เมื่อถึงวันต้องย้ายกลับเมืองหลวง ชาวบ้านต่างก็ออกมาส่งขบวนเสด็จกันทั่วหน้า ซาบซึ้งในน้ำใจที่พระองค์คอยช่วยเหลือชาวบ้านตาดำ ๆ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน พวกเขาก็ได้หวังว่าท่านอ๋องจะทรงเสด็จมาเที่ยวที่นี่บ่อย ๆ
แม้จะเป็นการเดินทางที่ยาวนานหลายวัน เส้นทางในบางช่วงบางตอนขรุขระไม่น้อย ทว่าภายในรถม้าคันใหญ่ก็บุไว้ด้วยฟูกหนาเป็นพิเศษ จึงทำให้เวลารถม้าแล่นไปตามถนนขรุขระไม่เกิดการสะเทือน มากพอทำให้เป็นอันตรายต่อหนิงเซียนที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ในตอนนี้ ทว่าในขณะที่นางกำลังเคลิ้มหลับรถม้ากลับหยุดกะทันหัน ทำให้นางตื่นเต็มตาทันที
“เกิดอะไรขึ้น” เหลียงเฟิงเปิดม่านหน้าต่างสอบถามองครักษ์ที่อยู่ด้านนอกทันที เขาไม่ชอบใจนักเมื่อมีอะไรมาทำลายเวลาพักผ่อนของภรรยา
“มีเด็กวิ่งตัดหน้ารถม้าพ่ะย่ะค่ะ” ในขณะที่รถม้าวิ่งไปตามปกติ ได้มีเด็กชายผู้หนึ่งวิ่งพรวดพราดออกมาจากข้างทางกะทันหัน ทำให้ต้องหยุดรถม้า
“อืม จัดการให้เรียบร้อย” ยังไม่ทันที่เหลียงเฟิงปิดม่านหน้าต่างลง ก็ได้มีเสียงเด็กดังแว่วมาให้ได้ยิน ทำให้คนตัวเล็กที่กำลังจะหลับ ถึงกลับตื่นขึ้นมาดูด้วยความสนใจ
“เด็กจากที่ใดเพคะ” เสียงเด็กร้องดังแว่วมาช่างน่าสงสารนัก หากว่าไม่ใช่ความผิดร้ายแรงนางก็อยากจะให้ท่านอ๋องปล่อยเขาไป
“อย่าไปสนใจเลย ประเดี๋ยวก็จัดการเรียบร้อยแล้วนอนต่อเถอะ” ทว่าพูดจบไม่ทันไรกลับมีเสียงเด็กน้อยแผดเสียงขึ้นมา ทำเอาอ๋องหนุ่มต้องจิ๊กปากไม่พอใจ
“นายท่านได้โปรดไว้ชีวิตข้าน้อยด้วยเถิด ได้โปรดอย่าฆ่าข้าเลยขอรับ ฮือออ”
“หม่อมฉันอยากลงไปดูเพคะ”
“ไม่ได้ เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าจะทำอย่างไร”
“แค่เด็กน้อยไม่เป็นไรหรอกเพคะ พระองค์ก็อยู่ข้างหม่อมฉันตลอดมิใช่หรือ ผู้ใดจะกล้าทำร้ายหม่อมฉันได้” เพื่อให้ได้ดั่งต้องการ หนิงเซียนจึงใช้ท่าไม้ตาย ทำตาวิ้ง ๆ ส่งให้อย่างออดอ้อนอย่างที่ไม่เคยทำกับผู้ใดมาก่อน พร้อมกับสรรหาคำเยินยอเพื่อให้ท่านอ๋องยอมตามใจ
“อืม... ก็จริงของเจ้า ข้าอยู่ทั้งคนใครจะกล้า” ชายหนุ่มยิ้มอย่างพึงพอใจ ที่อนุญาตไม่ใช่เพราะคำพูดของนางหรอกนะ แต่เป็นเพราะเห็นด้วยที่ว่ามีเขาข้างกายนางจะปลอดภัยที่สุดแล้ว
ชายหนุ่มก้าวลงจากรถม้าเป็นคนแรก ก่อนจะช่วยพยุงให้อีกคนลงตาม ภาพที่ปรากฏแก่สายตาเหล่าองครักษ์ ไม่ว่าอย่างไรก็ช่างไม่คุ้นชินนักกับความอ่อนโยนที่เหลียงอ๋องปฏิบัติต่ออนุหนิง
“ค่อย ๆ ก้าว”
“ขอบพระทัยเพคะ”
ในช่วงเวลานั้นเอง เสียงเด็กน้อยที่เหมือนจะเงียบลงไปแล้วกลับร้องขึ้นมาอีกครั้งด้วยความเจ็บปวด ทำให้หนิงเซียนต้องรีบเข้าไปดูสถานการณ์ เขายังเด็กถึงอย่างไรก็ไม่ควรที่จะมาตายเช่นนี้ เมื่อได้มาเห็นสภาพของเด็กน้อยเจ้าของเสียง ยิ่งทำให้หญิงสาวรู้สึกสงสารจับใจ คาดเดาจากสายตาเด็กอายุยังไม่ทันจะถึงห้าหนาว เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล นั่งยกมือไหว้ขอชีวิตตัวสั่นงันงกกลัวเหล่าทหารองครักษ์จะทำร้ายตนเอง เด็กคนนี้ต้องเจอกับอะไรมาบ้างกันนะ
เหล่าทหารที่ยืนล้อมเมื่อเห็นว่าเจ้านายยกมือห้าม พวกเขาจึงได้ถอยออกห่าง เพื่อให้เจ้านายทั้งสองได้สอบถามเด็กน้อยที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากที่ใด ทำให้การเดินทางต้องล่าช้าออกไปเกินกำหนดการ
“เด็กน้อยไม่ต้องกลัวไม่มีใครทำเจ้าหรอก เจ้าชื่ออะไร แล้วใครทำร้ายเจ้า” หนิงเซียนพยายามพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลที่สุด เพื่อไม่ให้เด็กชายตรงหน้าตื่นกลัว พร้อมกันนั้นก็ยังเข้าไปพยุงตัวให้เขาลุกขึ้นจากการนั่งหมอบกราบหน้าซบพื้นดิน เนื้อตัวมอมแมมผอมแห้งแทบจะหาเนื้อหนังไม่เจอ ช่างน่าสงสารเหลือเกิน
“ข้าน้อยมีนามว่าหยุนขอรับ น่ะ... หนีเจ้านายท่านที่ซื้อตัวมาขอรับ” ปากน้อย ๆ เริ่มเบะออกอย่างสุดจะกลั้น พ่อแม่ตายจาก จึงถูกญาติขายต่อเพราะเห็นว่าเขาผอมเกินไป เลี้ยงไว้ก็เสียข้าวสุกช่วยงานอะไรไม่ได้รังแต่จะเป็นภาระ จึงได้ขายต่อให้เหล่าพ่อค้าในราคาถูก ๆ ให้เป็นเด็กรับใช้ แต่ก็มิวายถูกตบตีไม่เว้นแต่ละวัน เมื่อความอดทนสิ้นสุดลงจึงได้หนีออกมา
“ไฉฉือหยุดความคิดของเจ้าเดี๋ยวนี้” คำพูดจากปากสาวเจ้าไม่ค่อยจะเข้าหู มู่หลางพยายามข่มกลั้นความโกรธของตนเองอย่างสุดความสามารถ“พวกเจ้าเป็นอันใดกัน น่ารำคาญยิ่งนัก จะไปไหนก็ไป” หลังจากเขากับภรรยาแอบฟังมู่หลางพูดคุยอยู่นาน ได้จังหวะเหมาะจึงแสร้งทำเป็นไม่พอใจไล่คนทั้งสองไปที่อื่นเสีย“ขออภัยพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง กระหม่อมขอเวลาสักครู่พ่ะย่ะค่ะ” หากวันนี้ตกลงกันไม่เข้าใจ เห็นทีว่าไฉฉือคงต้องได้ยืดเวลากลับบ้านไปหาท่านป้าแล้ว“ไม่ต้อง อีกสองวันค่อยกลับมาทำหน้าที่ของเจ้า ไปแก้ปัญหาให้จบ อย่าให้ข้าเห็นเช่นนี้อีก” เหลียงเฟิงตวาดเสียงดุ ความจริงแล้วเขาก็อยากจะเล่นงิ้วต่อ แต่ภรรยาสุดที่รักกลับให้เขารีบจบบทบาทเจ้านายอารมณ์ร้ายนั่นเสีย ช่างน่าเสียดาย“ขออภัยอีกครั้งพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไม่ให้เกิดขึ้นอีก” องครักษ์หนุ่มสำนึกผิดที่ตนทำให้นายเหนือหัวต้องรำคาญใจ ทั้งที่วันนี้ท่านอ๋องกับหวังเฟยควรจะได้ออกมาทานข้าวนอกอย่างสำราญใจแท้ ๆ กายหนาหันกลับไปคว้ามือเล็กคนข้างกาย พาอีกฝ่ายขึ้นชั้นสามไปอย่างรวดเร็ว“ว๊าย! พี่มู่เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ” ไฉฉือร้องทัดทาน มือบางรวบเก็บชุดส่วนบนไว้แน่น ยิ่งพี่มู่ของนางดึงแรงเพียงใด
“เป็นอะไรไปไฉฉือ” หนิงเซียนเอ่ยถามขึ้น เมื่ออีกฝ่ายเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเดินผิด ๆ ถูก ๆ“นายหญิงเจ้าคะ ให้ข้ากลับเถอะเจ้าค่ะ คนมองเต็มเลย สงสัยข้าน้อยแต่งตัวประหลาด” หญิงสาวกระซิบกระซาบเสียงเบา ตั้งแต่นางพาเข้าในโรงเตี๊ยม ก็ถูกผู้คนจับต้องตลอดทางเดิน ทำให้นางไม่เป็นตัวของตัวเองเท่าใดนัก“เป็นเพราะเจ้างดงามพวกเขาจึงได้มอง ไปกันเถอะ ไม่มีอะไรต้องกลัว ไม่อยากเจอพี่มู่ของเจ้าหรือ”“พี่มู่อยู่ที่นี่หรือเจ้าคะ” เมื่อนายหญิงเอ่ยชื่อพี่ชายที่แสนดี หญิงสาวก็หูผึ่งขึ้นมาทันที หลงลืมความอายไปชั่วขณะ“ใช่แล้ว ไปกันเถอะ” มู่หลางจงจำไว้ที่เจ้าพูดว่าจะไม่แต่งงานน่ะ ข้าจำคำนั้นขึ้นใจเชียวละ หุ หุเพราะหลายครั้งที่นางได้ยินคำนี้ออกจากปากองครักษ์หนุ่ม หนิงเซียนก็เฝ้ารอวันที่มู่หลางจะพลาดพลั้งบ้าง ส่วนมากคนพูดเช่นนี้ก็มักจะไม่พ้นผิดไปจากที่พูดเสียทุกรายมู่หลางหายใจฟึดฟัดเมื่อเห็นอีกคนเดินเข้ามาด้านในโรงเตี๊ยม วันนี้ไม่รู้ว่าท่านอ๋องคิดอะไรอยู่ ถึงได้ออกมานั่งรอหวังเฟยที่โต๊ะด้านนอก แทนที่จะเปิดห้องพิเศษเหมือนทุกครั้งไป นั่นใครสั่งใครสอนให้แต่งกายประหลาดเช่นนั้น เดินทีกระโปรงเปิดเปลือยไปถึงขาอ่อน แต่งมายั่
“น้องสาวทางสายเลือดหรือไม่” ตรงส่วนนี้ที่นางรู้สึกสงสัย ก็ไหนมู่หลางเคยบอกว่าไม่มีครอบครัวแล้วอย่างไร เหตุใดถึงได้มีน้องสาวโผล่มาได้“ไม่ ๆ เจ้าค่ะ ข้าน้อยเป็นเพียงบุตรสาวคนข้างบ้านพี่มู่ แต่ว่าเติบโตมาด้วยกันจึงสนิทกันเจ้าค่ะ” หญิงสาวรีบชี้แจงให้นายหญิงคนงามเข้าใจ นางและพี่มู่ห่างกันตั้งหกปี แม้จะเคยสนิทสนมกันมาก ทว่าเมื่อโตขึ้นพี่มู่กลับเว้นระยะห่าง แม้แต่เคยเล่นกอดคอกันเมื่อตอนเด็ก ๆ เขายังสั่งห้ามมิให้เข้าใกล้ ซึ่งนางก็ไม่ค่อยจะเข้าใจสักเท่าใดนัก“จริงหรือ แล้วเขาดูแลเจ้าดีหรือไม่” ที่หนิงเซียนซักถามเช่นนั้น ก็เพราะว่ามู่หลางเป็นคนค่อนข้างจะทึ่มทื่อปากหนักในเรื่องชายหญิง นางก็อยากจะรู้เขาจะมีความรู้สึกพิเศษอะไรกับไฉฉือหรือไม่ สตรีหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักออกปานนี้ ไม่มีความรู้สึกอันใดก็คงจะแปลกไม่น้อย“ดีมากเจ้าค่ะ มีอะไรก็นึกถึงข้ากับท่านแม่ตลอดเลย นี่ก็ห่วงว่าพี่มู่จะหาภรรยาไม่ได้ แก่ไปคงได้อยู่ตัวคนเดียว ท่านแม่จึงให้ข้ามาดูให้เห็นกับตาเจ้าค่ะ” ด้วยความใสซื่อ ไฉฉือจึงพูดออกมาอย่างไม่มีปิดบัง แต่เมื่อถึงตอนนั้น หากเขามีคนรักขึ้นมาจริง นางก็ไม่รู้ว่าตนเองจะทำใจรับได้หรือไม่ ที่ผ่านมาต
ไฉฉือสาวน้อยจากหมู่บ้านชนบทยืนชะเง้อคอยาวอยู่หน้าประตูวังอันใหญ่โต นางไม่คิดว่าพี่มู่จะอยู่ดีเกินคาดไปมาก เมื่อได้เห็นกับตาก็สบายใจไปเปลาะหนึ่งที่ผ่านมานางและมารดากลัวว่าเขาจะอยู่อย่างยากลำบาก เงินที่แบ่งปันให้นางกับครอบครัวทุกเดือนก็มากโข แล้วไหนจะมีของฝากราคาแพงอีกมากมาย เพราะแบบนี้มารดาจึงไม่สบายใจ เกรงว่ามู่หลางจะเอาแต่ทำงานหนักไม่รู้จักดูแลตนเอง เงินที่ได้มาก็คงจะส่งให้พวกตนทั้งหมด ด้วยเขามีนิสัยคิดถึงผู้อื่นมากกว่าตนเองเสมอครอบครัวไฉฉือและมู่หลางไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดแต่อย่างใด เป็นเพียงเพื่อนบ้านที่ดีต่อกันเท่านั้น ตอนเด็กนางและเขาสนิทกันมาก ในตอนมู่หลางอายุได้สิบหนาวบิดามารดาตายจากด้วยโรคระบาด ไม่มีญาติมิตรคอยดูแล มารดาไฉฉือสงสารจึงได้ส่งเสียเลี้ยงดูราวกับลูกในไส้ สำหรับสายตาของหญิงสาว มารดาออกจะรักมู่หลางมากกว่านางที่เป็นบุตรสาวแท้ ๆ เสียอีกเมื่อเติบโตต่างฝ่ายต่างแยกย้าย ไฉฉือเป็นเพียงสตรีจึงทำได้แค่ช่วยมารดาทำสวนทำไร่อยู่บ้านนอก ส่วนมู่หลางเขาได้เดินทางมาเมืองหลวงเพื่อหางานทำ หลังจากนั้นก็ไม่ได้พบหน้ากันอีกเลย มีเพียงจดหมายพร้อมกับตั๋วเงินแนบมาให้ในทุก ๆ เดื
เด็ก ๆ สามคน รวมไปถึงมู่หลางนั่งล้อมวงดื่มชากินขนมกันอยู่ศาลาพัก พร้อมกับพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน จวนแม่ทัพหยางให้ความเอ็นดูเด็กแฝดเป็นอย่างมาก ฮูหยินหยางอยากให้บุตรชายได้มีบุตรแบบนี้สักคู่ทว่าแต่งงานมาได้สองปีกลับยังไม่มีหลานให้อุ้ม พวกเขาจึงแก้เหงาด้วยการขอท่านหญิงน้อย ท่านอ๋องน้อย มาเล่นที่จวนแม่ทัพในบางครั้งขนมพร้อมกับน้ำชาแสนอร่อยถูกลำเลียงมาวางจนเต็มโต๊ะ ทำเอาเด็ก ๆ ทั้งสามตาลุกวาวอย่างถูกอกถูกใจ มาจวนแม่ทัพทีไรล้วนแล้วแต่มีของอร่อยให้ได้กินจนเต็มคราบแต่เมื่อกลับถึงวังของหวานเหล่านี้จะกินตามใจปากไม่ได้แล้ว เพราะท่านแม่มักจะจำกัดการกินของพวกเขาเสมอ ท่านแม่บอกว่าเด็กกินของหวานไม่ดี ฟันจะผุ ถูกแมลงตัวร้ายกินหมดปาก“เฮ้อ” เด็กหญิงเคี้ยวขนมแก้มตุ่ย นั่งถอนหายใจราวกับมีเรื่องให้หนักใจเป็นหนักหนา กระนั้นก็ยังยกขนมในมือขึ้นกัดเข้าไปอีกคำโต“ไม่สบายตรงไหนหรือพ่ะย่ะค่ะท่านหญิง” หลี่หยุนรีบวางขนมในมือทันที พร้อมกับถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง“เราไม่เป็นไร เราแค่กังวลใจ”“ท่านหญิงกังวลใจเรื่องอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ เล่าให้กระหม่อมฟังได้หรือไม่” มู่หลางรู้สึกเป็นห่วง ท่านหญิงเป็นเด็กร่าเริง น้อยนักท
“หนิงหนิง พี่ทนไม่ไหวแล้ว”กายหนาจับภรรยาหันหน้าเข้าผนังห้องทันที ก่อนจะถลกกระโปรงหญิงสาวขึ้นถึงเอว จากนั้นท่อนเนื้ออันใหญ่โตสอดเข้าผสานเนินสาวอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังออกแรงโยกไปตามอารมณ์ดิบเข้าออกเป็นจังหวะช้าเร็วตามแรงอารมณ์ ไม่แม้แต่จะเล้าโลมให้เสียเวลา“ท่านพี่เดี๋ยวก่อน” หนิงเซียนบัดนี้นางได้ถูกคนตัวโตตอกอัดตนเองเข้ากับผนังอย่างไม่ทันตั้งตัว นางและเขาใช้ชีวิตรักฉันสามีภรรยามานาน จนบุตรแฝดทั้งสองอายุได้สามหนาวแล้ว ทว่าความต้องการของสามีก็มิได้ลดน้อยลงจากเดิม ในบางครั้งออกจะมีความต้องการมากล้นเสียด้วยซ้ำตั้งแต่เจ้าสองแสบเริ่มโต นางและเขาก็มิได้มีเวลาให้กันมากเท่าใดนัก ด้วยบุตรทั้งสองต่างงอแงอ้อนขอนอนด้วยทุกค่ำคืน แม้พวกเขาจะโตมากพอที่จะแยกห้องนอนกันได้แล้ว แต่ก็ยังเกาะติดผู้เป็นมารดาราวกับลูกลิง บิดาผู้หลงบุตรมีหรือจะไม่ยอมตามใจ ผลกรรมทั้งหมดได้ตกมาอยู่ที่เขาแทน“พี่ขอเถอะ ประเดี๋ยวลูกก็คงกลับจากเรียนวิชาดาบแล้ว” เขาอดกินภรรยามาเกือบเจ็ดวันแล้ว เวลานี้ได้โอกาสเหมาะ จึงไม่พลาดที่จะกลืนกินภรรยาสาว ทุกเวลาล้วนมีค่าสำหรับเขา“อ๊ะ! แรงไปแล้วนะเจ้าคะ” หนิงเซียนหัวโยกหัวคลอน เขาไม่ยอมผ่อน