หลังจากควบม้าผ่านท่าน้ำหน้าวังหลัง โอรสสวรรค์ชะงักงันเพียงชั่วครู่ก่อนจะหันไปสั่งการกับองค์รักษ์ที่คอยติดตามอยู่ด้านข้าง
“พวกเจ้าล่วงหน้าไปรอเราที่สำนักศึกษาก่อนเถิด เราอยากเที่ยวเล่นในเมืองสักพัก ใกล้ถึงวันแข่งขันเราจะไปที่นั่นเอง” “แล้วความปลอดภัยของพระองค์เล่าพะย่ะค่ะ!” “ไม่ต่องห่วงอันใด พวกเจ้าลืมแล้วหรือว่ายังมีองครักษ์เงาอยู่กับเราทุกๆที่” “น้อมรับคำสั่งพะย่ะค่ะ” หยางจิ่งถงฝากม้าโลหิตไว้ที่โรงเลี้ยงม้าด้านข้าง ก่อนจะกระโดดขึ้นเรือรับจ้างที่มุ่งสู่จุดหมายปลายทาง เรือลำใหญ่ลัดเลาะตามลำน้ำอย่างอ้อยอิ่ง สายลมเย็นพัดโชยเอื่อยตลอดเส้นทางจนทำให้โอรสสวรรค์เผลอหลับไป ระหว่างทางเรือลำใหญ่จอดรับนักเดินทางที่ท่าเรือกลางตลาดในเมืองเฮยจิวจู่ ด้วยความแออัดของนักเดินทางที่เต็มลำเรือ ข้างกายโอรสสวรรค์ปรากฏร่างหญิงสาวใบหน้างามล่มเมืองในชุดแต่งกายสีเรียบ ที่เพิ่งกลับจากงานสอนเครื่องปั้นในสำนักช่างฝีมือ ชายหนุ่มสูงศักดิ์ตื่นขึ้นมาสบตากับสตรีด้านข้างที่มีใบหน้าพริ้มเพราด้วยความตะลึงงัน หลังจากถูกบุรุษแปลกหน้าจดจ้องเป็นนานสองนาน ซุนซูหลินจึงเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ “ใบหน้าข้ามีอันใดติดอยู่หรือเจ้าคะ?” “มิมีอันใด แม่นางเป็นคนเมืองนี้หรือ?” “ใช่เจ้าค่ะ แล้วท่านเล่าเจ้าคะ? ดูท่าทางท่านมิใช่คนเมืองนี้ ท่านจะไปที่ใดหรือเจ้าคะ” “ข้าอยากไปท่าเรือใหม่ที่ใกล้ทางขึ้นเขาเฮยจิวจู่ แม่นางรู้จักบ้างหรือไม่?” “ข้าต้องลงท่าเรือแห่งนั้นเช่นกันเจ้าค่ะ ท่าเรืออยู่ด้านหน้าแล้ว เชิญท่านตามข้ามาเจ้าค่ะ” “แม่นาง!! บุรุษของเจ้าเขายังมิได้จ่ายค่าเรือให้แก่ข้า เจ้าจะจ่ายแทนเขาใช่หรือไม่?” “ท่านมิได้พกเงินมาหรือ?“หญิงสาวกระซิบถามชายหนุ่มด้านหลังที่กำลังตามนางขึ้นบนฝั่ง “ตอนออกจากเรือนข้ารีบร้อนมาก มิได้ถือเงินติดตัวมาเลย” “ท่าน!!” หญิงสาวก้มลงหยิบเงินในถุงมอบให้คนขับเรือ ก่อนที่นางจะพาบุรุษลูกหนี้เข้าไปพูดคุยในเรือนหลังเล็ก ในขณะนั้นเป็นเวลาเก็บร้านขายเซาปิ่งอยู่พอดี คนงานหญิงจึงนำจดหมายของพี่ชายจอมเสเพลที่ฝากมอบให้นางผู้เป็นน้องสาว ในเนื้อหาจดหมายบอกว่าเขาต้องไปจัดการธุระในเมืองสักเจ็ดแปดวัน พร้อมกำชับท้ายจดหมายให้นางดูแลตนเองดีๆ หญิงสาวพับจดหมายลงในกล่อง ก่อนจะหันไปคุยกับลูกหนี้หนุ่มที่กำลังสำรวจร้านเซาปิ่งของนางอย่างสนอกสนใจ “ท่านมาพบผู้ใดที่นี่ ข้าจะให้บ่าวรับใช้ไปส่งเจ้าค่ะ” “ข้านัดพบกับญาติที่เมืองนี้ในอีกสิบวันข้างหน้า ระหว่างนี้ยังหาที่พักไม่ได้ เจ้าพอจะช่วยสงเคราะห์ชายยากไร้เช่นข้าได้หรือไม่” “ข้ายินดีให้ท่านพักที่โรงเตี๊ยมริมน้ำของข้าระหว่างรอพบญาติของท่าน แต่มีข้อแม้ว่าท่านต้องช่วยงานในโรงเตี๊ยมแลกกับค่าที่พักกับค่าอาหารได้หรือไม่?” “ข้ายินดี เจ้าช่างเป็นสตรีที่มีจิตใจงดงามยิ่ง” “ข้ามีนามว่าซุนซูหลิน แล้วท่านมีนามว่าอันใด?” “พ่อกับแม่เรียกข้าว่าอาถง เจ้าก็เรียกเช่นนั้นเถิด” “อืมม! เดี๋ยวตอนเย็นข้าจะแบ่งสำรับเอาไว้ ให้ ท่านเดินมารับที่ครัวในเรือนเล็กได้เลย” หญิงสาวให้บ่าวรับใช้พาเขาเข้าพักห้องว่างภายในโรงเตี๊ยม เขาสำรวจห้องพักที่ตกแต่งด้วยศิลปะงานปูนปั้นของหญิงสาวด้วยความสนใจ มือเรียวเล็กช่างรังสรรค์ผลงานได้งดงามประดุจช่างฝีมือในวังหลวง ต้นยามโหย่ว (17.00-19.00) ชายหนุ่มเข้าไปรับสำรับอาหารจากหญิงสาวที่เรือนหลังเล็ก หลังเปิดฝาครอบสำรับอาหารก็พบกับข้าวปรุงรสที่มีรสชาติหอมมัน โปะหน้าด้วยเนื้อไก่นึ่งอ่อนนุ่ม ราดด้วยน้ำปรุงรสจากถั่วเหลือง กินแนมคู่กับน้ำแกงฟักแก่และผัดยอดผักป่า แม้จะเป็นเพียงอาหารพื้นบ้านแต่กลับทำให้โอรสสวรรค์ถึงกลับกินข้าวหมดหลายชามจนอิ่มจุก เมื่อเข้าสู่ปลายยามสวี่ (19.00-21.00) ในขณะที่หยางจิ่งถงกำลังนอนหลับเข้าสู่ภวังค์ความฝัน ก็พลันสะดุ้งตื่นกลางดึก จากเสียงเตียงของห้องด้านข้างลั่นเสียดสีดังเอี๊ยดอาด สลับกับเสียงครางกระเส่าของหญิงสาวที่ถูกแก่นกายใหญ่ของบุรุษหนุ่มสอดใส่ในกายนางด้วยท่วงทำนองถี่กระชั้น “อ๊ะ! อร๊างงค์! ศิษย์พี่ อย่ากัดปลายถันข้า” นักพรตหนุ่มรูปงามยังคงขบเม้มปลายถันของหญิงสาว โดยมิฟังเสียงครวญครางของนางแต่อย่างใด ในขณะที่เบื้องล่างของเขายังคงจ้วงแทงนางถี่รัวจนเตียงไม้สั่นไหวยิ่งกว่าเดิม เขากระซิบที่ข้างหูของนางด้วยเสียงแหบพร่า ก่อนจะขบเม้มติ่งหูเล็กอย่างแผ่วเบา “อ่าส์! ฟ่านฟ่าน ไปที่หน้าต่างกันเถิด ศิษย์พี่จะสอนท่าใหม่ให้แก่เจ้า ” นักพรตสาวถูกเขาจับจูงไปที่หน้าต่างริมห้อง ชุดนักพรตที่หลุดรุ่ยถูกชายหนุ่มปลดเปลื้องจนเหลือเพียงกายขาวผ่อง มือเรียวบางคว้าจับที่ขอบหน้าต่าง ในขณะที่ศิษย์พี่ของนางกำลังกดแก่นกายเข้าทางแคบจนเต็มลำ เอวคอดถูกจับตรึงไว้แน่นก่อนที่สะโพกสอบจะโยกเข้าออกในกายหญิงสาวอีกครั้ง แรงตอกตรึงที่หนักหน่วงทำให้หญิงสาวครางกระเส่าขึ้นมาอีกระลอก ร่างเปลือยท่อนบนของหญิงสาวสัมผัสสายลมนอกหน้าต่าง รับกับแสงจันทร์กระจ่างที่สาดส่องมายังร่างเปลือยเปล่าของคนทั้งคู่ ซึ่งต่างกำลังบรรเลงรักกันอย่างเร่าร้อนที่ริมหน้าต่างบานใหญ่ติดแม่น้ำ ซุนซูหลินจ้องมองงิ้วบนหน้าต่างด้วยตาไม่กระพริบ ก่อนหน้านี้นางลงมานั่งรับลมที่ท่าน้ำ เพื่อปั้นเตากำยานสำหรับฝากขายตามร้านเครื่องหอมภายในตัวเมือง แต่ระหว่างนั้นเสียงครางกระเส่าบนหน้าต่างกลับทำให้สมาธิของนางต้องฟุ้งซ่านกระเจิดกระเจิง หญิงสาวละสายตาจากงานตรงหน้าแล้วจ้องมองคนทั้งคู่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ความรู้สึกร้อนผ่าวเกิดขึ้นกลางกายสาววัยสะพรั่ง ภาพเบื้องหน้าทำให้ใบหน้าพริ้มเพรากลับมีสีชมพูระเรื่อแต่งแต้มบนพวงแก้มอิ่ม หลังคนทั้งคู่ไปถึงฝั่งฝัน นางจึงละสายตามาที่ท่าน้ำเบื้องหน้า กลับสบตาของชายหนุ่มลูกหนี้ ที่กำลังจ้องมองนางด้วยใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้ม “อาถง เจ้ามาทำอันใดที่นี่!” “ข้าก็มาแอบดูงิ้วบนหน้าต่างเช่นเจ้าอย่างไรเล่า!” ”ข้าไม่ได้มาแอบดู ข้าตั้งใจมาทำงานของข้า เจ้ามาก็ดีแล้วพรุ่งนี้ให้หลงจู๊เปลี่ยนฟูกบนห้องนั้นให้หมด แล้วทำความสะอาดให้หมดจดเข้าใจหรือไม่?” “เข้าใจแล้วขอรับนายหญิง ว่าแต่นายหญิงชอบงิ้วเมื่อสักครู่ไหม?” ”ใครจะไปชอบ บัดสีบัดเถลิง!!” หญิงสาวเจ้าของเรือนเดินจากชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความอับอาย ในขณะที่หยางจิ่งถงลอบมองร่างอวบอิ่ม ที่กำลังเดินจากไปด้วยหัวใจที่สั่นไหวไม่เป็นจังหวะ ตั้งแต่เขาเกิดมาบนบัลลังค์มังกร นี่เป็นครั้งแรก ที่มีสตรีทำให้หัวใจของมังกรหนุ่มเช่นเขาสั่นไหวได้ ซุนซูหลินนางช่างเป็นหญิงสาวที่น่าสนใจเสียจริง!กว่าจะเสร็จสิ้นการสอนงานปั้นในชั้นเรียนก็กินเวลาถึงพลบค่ำ คนทั้งสองออกจากสำนักช่างฝีมือในต้นยามสวี่ (19.00-21.00) ในขณะที่ทั้งสองกำลังลัดเลาะบนถนนสายเล็ก ต่างปกคลุมไปด้วยป่าไผ่ที่กำลังสั่นไหวโอนเอน จู่ๆพายุฝนก็โหมกระหน่ำใส่คนทั้งคู่อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย หยางจิ่งถงพาหญิงสาวเข้าหลบฝนที่ใต้ร่มไม้ใหญ่ ก่อนจะมีเสียงฟ้าผ่าขึ้นในจุดที่ไม่ไกลจากคนทั้งคู่ หญิงสาวข้างกายกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว เขาจึงตัดสินใจช้อนร่างอวบอิ่มที่กำลังสั่นเทาวิ่งฝ่าสายฝนเข้าไปหลบในอารามร้างที่อยู่ไม่ไกลนักจักรพรรดิ์หนุ่มบรรจงวางนางลงบนท่อนฟางนุ่มที่เขาเก็บรวบรวมในอารามร้าง ก่อนจะลุกออกไปนั่งที่มุมห้องอีกด้าน มือเรียวเล็กคว้าแขนท่อนใหญ่เอาไว้ได้ทัน ก่อนจะร้องเรียกเขาด้วยเสียงแผ่วเบา“อาถง อยู่ข้างๆข้าได้หรือไม่? ข้ากลัวเสียงฟ้าร้อง”“อืมม! ไม่ต้องกลัว ข้าอยู่นี่แล้ว”“เจ้าหิวหรือไม่? ข้ามีเซาปิ่งติดตัวมาด้วย เราแบ่งกันคนละชิ้นนะ”คนทั้งคู่นั่งกินเซาปิ่งเงียบๆ ท่ามกลางพายุฝนที่ไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงแต่อย่างใด ชายหนุ่มกินเซาปิ่งในมือด้วยความเอร็ดอร่อยพลางเอ่ยถามหญิงสาวตรงหน้าด้วยความสนใจ“เซาปิ่งพวกนี้เจ้าทำเองหรือ? รส
เช้าวันต่อมา นักพรตหนุ่มเหลียงตั๋วลู่กับศิษย์น้องต่างเตรียมตัวเดินทางต่อ ก่อนออกเดินทางเขาจึงพานางมารับสำรับที่ลานกว้างใต้ร่มไม้ใหญ่ ชายหนุ่มลิ้มรสโจ๊กปูด้วยความเอร็ดอร่อยในขณะที่ศิษย์น้องฟ่านฟ่านกำลังกินเซาปิ่งหมดเป็นชิ้นที่สาม“สำรับอาหารที่นี่ช่างรสชาติดีกว่าสำนักของเราเป็นหลายร้อยเท่าเลยนะศิษย์พี่” “เช่นนั้น ข้าจะลองไปคุยกับแม่ครัว เผื่อจะชักชวนให้เขาไปทำอาหารที่สำนักของเราได้ เจ้าว่าดีไหม?”“ดีเจ้าค่ะ”เมื่อเดินไปในครัวเขาก็พบกับหญิงสาวหน้าตาพริ้มเพรากำลังเดินออกจากครัวเล็ก หลังจากที่เพิ่งทำสำรับเสร็จเขาตกตะลึงในความงดงามของหญิงสาวตรงหน้าก่อนจะรวบรวมสติสอบถามนางด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน“แม่นาง เจ้าเป็นคนทำสำรับเหล่านี้หรือ? เจ้าสนใจไปทำอาหารที่สำนักของอาจารย์ข้าหรือไม่ ข้าจะขอให้อาจารย์จ่ายให้เจ้าเป็นสองเท่าเลยนะ”“เห็นทีต้องทำให้คุณชายผิดหวังแล้วเจ้าค่ะ ข้าเป็นเจ้าของร้านที่นี่ มิอาจรับทำอาหารในสำนักคุณชายได้เจ้าค่ะ”“อ่า! ข้าขออภัยแม่นางเป็นอย่างยิ่ง ข้ามิได้ตั้งใจแย่งชิงแม่ครัวในร้านของเจ้า เพียงแต่ประทับใจในรสชาติอาหารเท่านั้น”“ขอบคุณเจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ”“ข้าช
หลังจากควบม้าผ่านท่าน้ำหน้าวังหลัง โอรสสวรรค์ชะงักงันเพียงชั่วครู่ก่อนจะหันไปสั่งการกับองค์รักษ์ที่คอยติดตามอยู่ด้านข้าง“พวกเจ้าล่วงหน้าไปรอเราที่สำนักศึกษาก่อนเถิด เราอยากเที่ยวเล่นในเมืองสักพัก ใกล้ถึงวันแข่งขันเราจะไปที่นั่นเอง”“แล้วความปลอดภัยของพระองค์เล่าพะย่ะค่ะ!”“ไม่ต่องห่วงอันใด พวกเจ้าลืมแล้วหรือว่ายังมีองครักษ์เงาอยู่กับเราทุกๆที่”“น้อมรับคำสั่งพะย่ะค่ะ”หยางจิ่งถงฝากม้าโลหิตไว้ที่โรงเลี้ยงม้าด้านข้าง ก่อนจะกระโดดขึ้นเรือรับจ้างที่มุ่งสู่จุดหมายปลายทาง เรือลำใหญ่ลัดเลาะตามลำน้ำอย่างอ้อยอิ่ง สายลมเย็นพัดโชยเอื่อยตลอดเส้นทางจนทำให้โอรสสวรรค์เผลอหลับไป ระหว่างทางเรือลำใหญ่จอดรับนักเดินทางที่ท่าเรือกลางตลาดในเมืองเฮยจิวจู่ ด้วยความแออัดของนักเดินทางที่เต็มลำเรือ ข้างกายโอรสสวรรค์ปรากฏร่างหญิงสาวใบหน้างามล่มเมืองในชุดแต่งกายสีเรียบ ที่เพิ่งกลับจากงานสอนเครื่องปั้นในสำนักช่างฝีมือ ชายหนุ่มสูงศักดิ์ตื่นขึ้นมาสบตากับสตรีด้านข้างที่มีใบหน้าพริ้มเพราด้วยความตะลึงงัน หลังจากถูกบุรุษแปลกหน้าจดจ้องเป็นนานสองนาน ซุนซูหลินจึงเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ“ใบหน้าข้ามีอันใดติดอยู่หรื
หยางจิ่งถง โอรสองค์เดียวของชินอ๋อง (หรือที่เหล่าชาวเมืองต่างขนานนามว่า องค์ชายห้า)ที่เกิดกับจางฮองเฮา เขามีน้องสาวต่างมารดาที่เกิดจากหลิวกุ้ยเฟยอยู่คนหนึ่ง นางมีนามว่าองค์หญิงหยางจิงฮวา จักรพรรดิ์หยางจิ่งถงขึ้นครองราชย์แทนบิดาที่สละราชสมบัติเพื่อท่องเที่ยวยุทธภพพร้อมกับมารดาตั้งแต่ตอนที่เขาอายุได้สิบแปดปี บุรุษสูงศักดิ์เติบโตขึ้นเป็นบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ที่ถอดเค้าโครงหน้ามาจากบิดาไม่มีผิดเพี้ยน ความรูปงามของโอรสสวรรค์ล้วนเป็นที่เลื่องลือออกไปต่างแคว้น จนบรรดาแคว้นเล็กแคว้นน้อยต่างมอบบุตรีให้เป็นสตรีวังหลังของจักรพรรดิ์หนุ่มถึงแม้จะมีสตรีวังหลังอยู่มากมาย แต่เขามิอาจแต่งตั้งผู้ใดขึ้นเป็นฮองเฮาคู่ใจได้ เพราะในวัยเยาว์เขาได้หมั้นหมายกับบุตรีของเสนาบดีฝ่ายซ้ายผู้กุมความลับของราชวงศ์เอาไว้อย่างแน่นหนาเช้าวันครบรอบของการครองราชสมบัติครบปีที่สอง เสนาบดีฝ่ายซ้ายหูจวี่ได้ยื่นฎีกาในท้องพระโรง เพื่อขอพระราชทานสมรสและแต่งตั้งบุตรีของเขาขึ้นเป็นฮองเฮา หลังจากที่จักรพรรดิ์หยางจิ่งถงมีอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์เหมาะแก่การมีคู่บารมี เพื่อให้กำเนิดองค์รัชทายาทเพื่อความมั่นคงของราชสำนัก ท่ามกลางการส
สิบแปดปีผ่านไป ร้านเซาปิ่งอันเลื่องชื่อกลับมาครึกครื้นไปด้วยลูกค้ามากหน้าหลายตาอีกครั้ง หลังจากที่ฮูหยินเจ้าของเรือนล้มป่วยจากไปปรโลกเมื่อสามปีก่อน ทั้งโรงเตี๊ยมริมน้ำและร้านเซาปิ่งแห่งนี้ก็ปิดตัวลงอย่างกะทันหันเมื่อจัดการงานศพไว้ทุกข์ให้กับมารดาเป็นที่เรียบร้อย ซุนซูหลินก็กลับมาเปิดร้านเซาปิ่งและโรงเตี๊ยมริมน้ำของมารดาดังเช่นกาลก่อน โรงเตี๊ยมที่เคยตกแต่งอย่างเรียบง่ายถูกเพิ่มเติมด้วยเครื่องปั้นงานศิลปะที่หญิงสาวเชี่ยวชาญในขณะทิวทัศน์ด้านหลังของโรงเตี๊ยมถูกโอบล้อมด้วยทุ่งข้าวฟ่างกับไร่ถั่วเหลืองนับร้อยหมู่ที่ชูช่อสีเหลืองทองเป็นทิวแถว จนทำให้เหล่าบัณฑิตและเหล่ากวีเอกต่างเข้าจับจองที่พักในฤดูการเก็บเกี่ยวเพื่อชื่นชมความงามที่ถูกรังสรรค์ขึ้นจากธรรมชาติร้านเซาปิ่งหน้าเรือนหลังเล็กถูกมารดานางต่อเติมพื้นที่เรือนให้ใหญ่โตกว้างขวาง ระแนงไม้ข้างบ้านต่างรายล้อมไปด้วยดอกไม้นานาพรรณ หลังจากที่มารดาของนางจากไปปรโลกเมื่อสามปีก่อน บิดาได้แต่เก็บตัวเงียบอยู่ในสำนักศึกษา วันนี้หลังจากนางกลับมาจากงานสอนช่างฝีมือเครื่องปั้น ซุนซูหลินจึงเข้าครัวตั้งใจเตรียมข้าวห่อใบบัวกับน้ำแกงไก่ป่าซึ่งเป็นของโปรดข
วันเวลาล่วงเลยไปนานแปดเดือนเศษ ร้านขายเซาปิ่งของหลิวจิ่นอิงนับวันจะขายดีขึ้นเรื่อยๆ หญิงสาวเจรจาให้ลี่จือสหายคนสนิทนำหมั่นโถวกับซาลาเปามาเปิดแผงเพิ่มที่ร้านของนาง ทำให้เหล่านักเดินทางที่ลงเรือที่ท่าน้ำ กับบรรดาศิษย์ของสำนักศึกษาที่อยู่บนเขา ต่างแวะเวียนมานั่งพักรับความสำราญอยู่ที่นี่เป็นประจำก่อนหน้านี้เหล่าซือเฒ่ากว้านซื้อที่ดินบริเวณรอบเรือนเล็กเพื่อให้หลิวจิ่นอิงได้ต่อเติมกิจการร้านค้า นางจึงรวบรวมเงินที่ได้จากน้ำพักน้ำแรงมาสร้างโรงเตี๊ยมขนาดเล็กขึ้นที่ริมแม่น้ำด้านข้าง ขนาดห้องพักมีรูปแบบเรียบง่าย เข้ากับบรรยากาศริมแม่น้ำกับทุ่งข้าวฟ่างที่กำลังชูช่อสีเหลืองทองอยู่เต็มผืนดิน และแล้วโรงเตี๊ยมก็สร้างเสร็จทันกำหนดคลอดของหลิวจิ่นอิงเมื่อเข้าสู่ยามเหม่า (5.00-7.00) ของเช้าวันหนึ่ง รถม้าจากสำนักศึกษาได้พาหมอเทวดามาทำคลอดฮูหยินของเหล่าซือเฒ่าที่กำลังเจ็บท้องใกล้คลอด ในเรือนหลังเล็กท่ามกลางความเงียบสงบของเมืองเฮยจิวจู่ในเวลาไม่นาน บุตรีตัวอ้วนขาวก็คลอดออกมาทักทายมารดาของนางด้วยความปลอดภัย ท่ามกลางการลุ้นระทึกของเหล่าซือเฒ่า ที่ผุดลุกผุดนั่งที่หน้าห้องทำคลอด เขาโอบอุ้มบุตรีตัวอ้วนด้วยควา
เหล่าซือเฒ่าโอบอุ้มสตรีในดวงใจ กับเจ้าก้อนแป้งน้อยที่อยู่ในย่ามใหญ่กลับเรือนหลังเล็กด้วยใบหน้าฉาบสีแดงก่ำ จากบุรุษม่ายกลับกลายเป็นหัวหน้าครอบครัวใหญ่ที่มีทั้งฮูหยิน และเจ้าก้อนแป้งทั้งสองหน่อในชั่วข้ามคืน เขาเฝ้าดูแลหลิวจิ่นอิงกับเด็กน้อยอาซูจนถึงเช้า กระทั่งนางฟื้นจากอาการเป็นลมด้วยกลิ่นหอมฉุยของโจ๊กปูฝีมือของเหล่าซือเฒ่าด้านเจ้าหนูน้อยอาซูที่เคล้าคลออยู่ไม่ห่างจากมารดาก็ถูกเขาป้อนน้ำนมวัวจนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง “เจ้าฟื้นแล้วหรือจิ่นอิง ไม่สบายตรงไหนบ้างหรือไม่?” “ข้าหายดีแล้วเจ้าค่ะ ขอบคุณเหล่าซือที่ดูแลเราสองคนแม่ลูกนะเจ้าคะ” “เช่นนั้นข้าขอกลับสำนักก่อนนะ ยาบำรุงกับโจ๊กปู ข้าเคี่ยวไว้ในครัวแล้ว ถ้าเจ้าหิวก็ตักกินได้เลย ไม่ต้องเป็นห่วงอาซูนะ ข้าป้อนนมวัวให้เขาจนอิ่มแล้ว กว่าจะตื่นก็คงอีกหลายชั่วยาม” “ขอบคุณเจ้าค่ะ” หลิวจิ่นอิงมองตามหลังบุรุษเฒ่าด้วยความตื้นตัน คล้อยหลังจากเขาออกไปเพียงชั่วครู่ ลี่จือสหายคนสนิทของนางก็กึ่งเดินกึ่งวิ่ง มาที่เรือนหลังเล็กติดเชิงเขาเพื่อบอกเล่าข่าวลือของนางที่กระจายไปทั่วเมือง “จิ่นอิง เจ้ายังเห็นข้าเป็นสหายอยู่หรือไม่? เหตุใดจึงไม่ยอมบอกว่าเจ้
เมื่อหูฮูหยินเดินทางมาถึงโรงเก็บฟืนด้านหลังจวน นางตรงเข้าไปเรียกชายตัดฟืนคนใหม่ที่หน้าประตูห้องเด็กหนุ่มวัยสิบแปดที่มีรูปร่างสูงใหญ่ เปิดประตูออกมาท่ามกลางความมืดมิด เขาตกใจเมื่อเห็นฮูหยินของจวนมาเยือนบ่าวต้อยต่ำถึงที่นี่“ฮูหยินมีอันใดให้ข้ารับใช้หรือขอรับ!”“อาเฟิงเจ้าไปเลือกฟืนท่อนใหญ่ในโรงเก็บฟืนเป็นเพื่อนข้าหน่อย ข้าจะรีบเอาไปใช้คืนนี้!”“ได้ขอรับฮูหยิน เชิญตามบ่าวมาทางนี้ขอรับ”อาเฟิงเดินนำหูฮูหยินเข้าไปในโรงเก็บฟืนข้างเรือนพัก สตรีสูงศักดิ์ปิดล็อคประตูจากด้านในก่อนจะเดินไปประกบที่แผ่นหลังใหญ่ของบ่าวตัดฟืน“ท่อนนี้ดีไหมครับฮูหยิน ตัดจากไม้เนื้อหอม วงปีของมันนับสิบปี ยิ่งโดนไฟเผาจะยิ่งส่งกลิ่นหอมขอรับ“แต่ข้าว่าท่อนนี้ดีกว่า ดูหนุ่มแน่นน่าดูดชิมมากกว่าท่อนไหนเสียอีก!”มือเรียวเอื้อมไปลูบคลำท่อนฟืนใหญ่ที่หลับไหลอยู่ใต้ร่มผ้า ก่อนจะปลดชุดปะชุนของชายหนุ่มตรงหน้าออก เหลือเพียงฟืนท่อนใหญ่ ที่ชูชันท้าทายนายสาวอยู่เบื้องหน้า ลิ้นเรียวเล็กไล้เลียจากปลายหัวหยักไปจนถึงโคน จนฟืนทั้งท่อนเปียกชุ่มไปด้วยน้ำลายของนาง ก่อนจะกลืนกินฟืนท่อนใหญ่เข้าไปจนมิดลำ บ่าวตัดฟืนที่ยังหนุ่มยังแน่นถึงกับคราง
หลังจากที่หลิวจิ่นอิงพักผ่อนที่เรือนจนหายดี นางก็เข้าไปสอบถามข่าวคราวของลี่จือถึงในเรือน ก็ได้รับทราบว่า หลังจากพักฟื้นจากอาการบอบช้ำ สหายของนางก็ถูกบิดานำไปอยู่พักกับญาติที่เมืองหลวงชั่วคราวเพื่อหลบหนีจากเรื่องอับอายที่เกิดขึ้นสองเดือนให้หลัง หลังจากทัพใหญ่เคลื่อนย้ายออกไปจากหมู่บ้าน น้ำข้นรักที่แม่ทัพใหญ่ได้ฝากฝังไว้ก็เติบโตเป็นหน่อเนื้ออ่อนในครรภ์ของนาง เรื่องของหลิวจิ่งอิงกลายเป็นที่ติฉินนินทาจากคนทั้งหมู่บ้าน แต่ถึงกระนั้นนางก็ยอมอดทนอดกลั้นใช้เงินก้อนสุดท้ายที่ได้จากแม่ทัพใหญ่มาเลี้ยงดูตนกับบุตรในท้องจวบจนถึงวันคลอด ในขณะที่บิดาของนางก็ย้ายไปอยู่กับกวงฮูหยินที่เรือนข้างๆ โดยมิได้สนใจบุตรีเยี่ยงนางเลยแม้แต่น้อยบุตรชายตัวอ้วนขาวของหลิวจิ่นอิงคลอดออกมาอย่างปลอดภัยด้วยความโล่งใจของนางกับสหาย หลังจากลี่จือได้ข่าวว่าหลิวจิ่นอิงกำลังใกล้คลอด นางก็เดินทางออกจากบ้านญาติที่เมืองหลวงมาดูแลสหายกับบุตรชายของนางอยู่มาวันหนึ่ง บุตรชายตัวอ้วนของนางเกิดไม่สบายอย่างหนัก หลิวจิ่นอิงจึงโอบอุ้มเด็กชายขึ้นรถม้ารับจ้างเพื่อไปรักษาที่โรงหมอชื่อดังในตัวเมือง หลังรักษาเสร็จหมอเทวดาจึงคิดค่ารักษากับห