สิบแปดปีผ่านไป ร้านเซาปิ่งอันเลื่องชื่อกลับมาครึกครื้นไปด้วยลูกค้ามากหน้าหลายตาอีกครั้ง หลังจากที่ฮูหยินเจ้าของเรือนล้มป่วยจากไปปรโลกเมื่อสามปีก่อน ทั้งโรงเตี๊ยมริมน้ำและร้านเซาปิ่งแห่งนี้ก็ปิดตัวลงอย่างกะทันหัน
เมื่อจัดการงานศพไว้ทุกข์ให้กับมารดาเป็นที่เรียบร้อย ซุนซูหลินก็กลับมาเปิดร้านเซาปิ่งและโรงเตี๊ยมริมน้ำของมารดาดังเช่นกาลก่อน โรงเตี๊ยมที่เคยตกแต่งอย่างเรียบง่ายถูกเพิ่มเติมด้วยเครื่องปั้นงานศิลปะที่หญิงสาวเชี่ยวชาญ ในขณะทิวทัศน์ด้านหลังของโรงเตี๊ยมถูกโอบล้อมด้วยทุ่งข้าวฟ่างกับไร่ถั่วเหลืองนับร้อยหมู่ที่ชูช่อสีเหลืองทองเป็นทิวแถว จนทำให้เหล่าบัณฑิตและเหล่ากวีเอกต่างเข้าจับจองที่พักในฤดูการเก็บเกี่ยวเพื่อชื่นชมความงามที่ถูกรังสรรค์ขึ้นจากธรรมชาติ ร้านเซาปิ่งหน้าเรือนหลังเล็กถูกมารดานางต่อเติมพื้นที่เรือนให้ใหญ่โตกว้างขวาง ระแนงไม้ข้างบ้านต่างรายล้อมไปด้วยดอกไม้นานาพรรณ หลังจากที่มารดาของนางจากไปปรโลกเมื่อสามปีก่อน บิดาได้แต่เก็บตัวเงียบอยู่ในสำนักศึกษา วันนี้หลังจากนางกลับมาจากงานสอนช่างฝีมือเครื่องปั้น ซุนซูหลินจึงเข้าครัวตั้งใจเตรียมข้าวห่อใบบัวกับน้ำแกงไก่ป่าซึ่งเป็นของโปรดของบิดา เตรียมไว้ให้พี่ชายของนางนำขึ้นไปบนสำนักศึกษา แต่จนแล้วจนรอดพี่ชายตัวดีของนางก็ยังไม่โผล่หัวเข้ามาให้เห็น นางจึงให้สาวใช้ระดมออกตามหาเขาจนทั่วเรือน ก่อนที่ตนจะเริ่มทำงานปั้นกระเบื้องเคลือบที่หญิงสาวโปรดปราน ในขณะที่บรรดาสาวใช้กำลังตามหาคุณชายซุนจิ้งซู บุรุษรูปงามรูปร่างสูงใหญ่ซึ่งเป็นบุตรชายคนเดียวของหัวหน้าสำนักศึกษา ในขณะที่เจ้าตัวกำลังทาบทับอยู่บนร่างอวบอิ่มของสาวใช้คนใหม่ บนทุ่งข้าวฟ่างสีเหลืองทองที่กำลังชูช่อเตรียมเก็บเกี่ยว ปากหยักใหญ่เข้าดูดเลียเต้าอวบเต็มมือของเด็กสาววัยสิบหก พร้อมกับถลกกระโปรงนางขึ้นเหนือเอวคอด กางเกงชั้นในผืนบางถูกเขาถอดทึ้งจนติดมือ เผยให้เห็นเนินโหนกนูนของเด็กสาวที่กำลังสั่นระริก รอแก่นกายใหญ่ของชายหนุ่มเข้าไปเติมเต็ม “อ๊าาส์!! คุณชาย เราจะทำกันที่นี่หรือเจ้าคะ? บ่าวกลัวจะมีคนเห็นเจ้าค่ะ!” “ข้าให้เพิ่มเป็นห้าตำลึง ว่าอย่างไร? ข้ามีเวลาไม่มากนัก” “คุณชายว่าดี ข้าก็ว่าดีเจ้าค่ะ!” “อ้าขากว้างๆ!” เรียวขาของเด็กสาวถูกแยกออกกว้าง ก่อนที่เขาจะควักแก่นกายใหญ่ออกมานอกร่มผ้า หัวหยักใหญ่กดลงช่องทางแคบของเด็กสาวจนเต็มลำ ในขณะที่นิ้วมือสากสอดเข้าปากเรียวบางเพื่อผ่อนคลายความเจ็บปวดให้กับสตรีใต้ร่าง สะโพกสอบโยกเข้าออกในกายนางอย่างช้าๆ ก่อนจะเพิ่มความเร็วจนเด็กสาวต้องร่อนสะโพกรับด้วยความเสียวซ่าน ทุ่งข้าวฟ่างสั่นไหวตามแรงรักของชายหนุ่มที่กระทุ้งเข้ากลางกายของสาวใช้วัยกำดัด ซุนจิ้งซูจับนางบรรเลงรักราวครึ่งชั่วยามก่อนที่เขาจะถอดแก่นกายออกจากช่องทางแคบ แล้วปลดปล่อยน้ำข้นเหนียวลงในปากเรียวบางเด็กสาวจนเอ่อล้น นางกลืนกินน้ำรักของเจ้านายหนุ่มลงคอจนอิ่มเอมก่อนจะใช้ลิ้นไล้เลียทำความสะอาดแก่นกายใหญ่ของเขาเสียหมดจด มือหยาบใหญ่หยิบถุงเงินยัดใส่มือนุ่มของเด็กสาว แล้วหันมากำชับนางก่อนจะจากไป “นี่คือรางวัลของเจ้า อย่าให้ใครรู้เรื่องนี้เด็ดขาด โดยเฉพาะน้องสาวข้า เข้าใจหรือไม่!!” ” เข้าใจเจ้าค่ะ คุณชายอย่าลืมเรียกใช้บ่าวอีกนะเจ้าคะ” “อืมม!!” หลังจากปลดเปลื้องแรงกำหนัดในกายแล้ว ซุนจิ้งซูก็เยื้องย่างเข้าเรือนใหญ่โดยมิรู้ตัวว่าทุกคนออกตามหาเขามานานนับหนึ่งชั่วยามแล้ว “ท่านพี่ไปที่ใดมาเจ้าคะ เหตุใดบ่าวไพร่จึงตามหาท่านทั่วเรือนไม่เจอ” “พี่ทำของตกไว้ริมป่าฝั่งนู้น เลยออกไปค้นหามาน่ะ” “อ้อ!! แล้วที่ชายป่าฝั่งนู้นมีทุ่งข้าวฟ่างด้วยหรือเจ้าคะ?” “??” ” ตามตัวท่านพี่มีเศษข้างฟ่างอยู่เต็มไปหมด!” “เอ่อ คือว่าก่อนไปหาที่ชายป่าฝั่งนู้น พี่ก็ไปหาที่ทุ่งข้าวฟ่างก่อนน่ะ” “เช่นนั้นก็แล้วไปเจ้าค่ะ ข้าเตรียมสำรับตอนเย็นของท่านพ่อไว้แล้ว รบกวนท่านนำไปที่สำนักศึกษาทีนะเจ้าคะ ส่วนของท่าน ข้าเตรียมไว้ที่โต๊ะสำรับแล้วเจ้าคะ” “น้องสาวของพี่ช่างงดงามและเพียบพร้อมเช่นนี้ บุรุษผู้ใดได้เจ้าเป็นฮูหยินต้องมีบุญวาสนามากเป็นแน่!!” ” มิมีวันนั้นหรอกเจ้าค่ะ!! ข้าตัดสินใจจะอยู่เป็นเพื่อนท่านพ่อกับท่านพี่ไปจนแก่เฒ่า มิต้องเป็นห่วงนะเจ้าคะ” “อย่าเลยหลินหลิน!! เจ้าปล่อยพี่ไปเถอะ” ซุนจิ้งซูถือสำรับอาหารของบิดาเดินทางไปสำนักศึกษาด้วยความกลัดกลุ้มใจ น้องสาวตัวดีของเขาเข้าปีนี้ก็อายุครบสิบแปดปีแล้ว แต่นางกลับไม่เคยสนใจบุรุษหน้าไหนที่แวะมาเกี้ยวพานางแม้แต่คนเดียว วันทั้งวันสนใจแต่ร้านขายเซาปิ่งกับงานศิลปะดินปั้นที่นางหลงไหลตั้งแต่วัยเด็ก มีเพียงบิดากับตัวเขาที่นางใส่ใจดูแลดุจเป็นมารดาคนที่สอง เขาเสียดายความงดงามของน้องสาวที่ถูกซ่อนเร้นอยู่แต่ในร้านเซาปิ่งกับสำนักสอนช่างฝีมือ ใบหน้าของเด็กสาวถอดเค้าโครงความงดงามหมดจดมาจากมารดาไม่ผิดเพี้ยน อีกทั้งผิวพรรณผุดผ่องที่มีส่วนโค้งส่วนเว้าเกินวัย ไม่ได้การ!เห็นทีงานนี้เขาต้องลงมือหาน้องเขยเองกระมัง!! “ท่านพ่อ สำรับมาแล้วขอรับ” “อืมม เข้ามาเลยจิ้งซู พ่อมีเรื่องจะไหว้วานเจ้ากับน้องเสียหน่อย” “ท่านพ่อมีอันใดหรือขอรับ?” ” อีกสิบวันข้างหน้าจะมีแขกสำคัญมาจากเมืองหลวงเพื่อมาร่วมชมงานประลองระหว่างสำนักในปีนี้ พ่ออยากให้น้องเจ้ามาจัดเตรียมอาหารไว้ให้พวกเขาสักหน่อย ส่วนเจ้าก็มาช่วยศิษย์คนอื่นจัดเตรียมสถานที่และรับแขกช่วยพ่อ” “น้อมรับคำสั่งขอรับ เดี๋ยวลูกจะไปแจ้งน้องให้เตรียมการตั้งแต่วันนี้เลยนะขอรับ” “อืมม ไปเถอะ อย่าลืมหาชุดแต่งกายงดงามเยี่ยงสตรีแรกรุ่นให้นางด้วยเล่า! เห็นนางสวมใส่แต่ชุดเก่าเก็บสีซีดเช่นนี้ เมื่อใดจะมีบุรุษดีๆ ตบแต่งเข้าจวนเสียทีเล่า” “ท่านพ่อวางใจได้ขอรับ เดี๋ยวลูกจัดการเอง” เมื่อชายหนุ่มเดินทางกลับถึงเรือน เขาได้บอกกล่าวเรื่องนี้ให้น้องสาวได้รับทราบ นางจึงได้คิดค้นเตรียมเมนูอาหารจนเสร็จเรียบร้อย แล้วจึงสั่งการให้สาวใช้ทยอยตระเตรียมซื้อของตามรายการที่นางจัดแจงไว้ บิดาของนางเคยเปรยๆ ว่าตั้งใจอยากออกบวชให้มารดาหลังจากเสร็จสิ้นงานครั้งประลองครั้งนี้แล้ว ซุนซูหลินจึงตั้งใจอย่างเต็มที่ให้สมกับที่บิดานางได้ทำหน้าที่ในสำนักศึกษาแห่งนี้เป็นครั้งสุดท้ายกว่าจะเสร็จสิ้นการสอนงานปั้นในชั้นเรียนก็กินเวลาถึงพลบค่ำ คนทั้งสองออกจากสำนักช่างฝีมือในต้นยามสวี่ (19.00-21.00) ในขณะที่ทั้งสองกำลังลัดเลาะบนถนนสายเล็ก ต่างปกคลุมไปด้วยป่าไผ่ที่กำลังสั่นไหวโอนเอน จู่ๆพายุฝนก็โหมกระหน่ำใส่คนทั้งคู่อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย หยางจิ่งถงพาหญิงสาวเข้าหลบฝนที่ใต้ร่มไม้ใหญ่ ก่อนจะมีเสียงฟ้าผ่าขึ้นในจุดที่ไม่ไกลจากคนทั้งคู่ หญิงสาวข้างกายกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว เขาจึงตัดสินใจช้อนร่างอวบอิ่มที่กำลังสั่นเทาวิ่งฝ่าสายฝนเข้าไปหลบในอารามร้างที่อยู่ไม่ไกลนักจักรพรรดิ์หนุ่มบรรจงวางนางลงบนท่อนฟางนุ่มที่เขาเก็บรวบรวมในอารามร้าง ก่อนจะลุกออกไปนั่งที่มุมห้องอีกด้าน มือเรียวเล็กคว้าแขนท่อนใหญ่เอาไว้ได้ทัน ก่อนจะร้องเรียกเขาด้วยเสียงแผ่วเบา“อาถง อยู่ข้างๆข้าได้หรือไม่? ข้ากลัวเสียงฟ้าร้อง”“อืมม! ไม่ต้องกลัว ข้าอยู่นี่แล้ว”“เจ้าหิวหรือไม่? ข้ามีเซาปิ่งติดตัวมาด้วย เราแบ่งกันคนละชิ้นนะ”คนทั้งคู่นั่งกินเซาปิ่งเงียบๆ ท่ามกลางพายุฝนที่ไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงแต่อย่างใด ชายหนุ่มกินเซาปิ่งในมือด้วยความเอร็ดอร่อยพลางเอ่ยถามหญิงสาวตรงหน้าด้วยความสนใจ“เซาปิ่งพวกนี้เจ้าทำเองหรือ? รส
เช้าวันต่อมา นักพรตหนุ่มเหลียงตั๋วลู่กับศิษย์น้องต่างเตรียมตัวเดินทางต่อ ก่อนออกเดินทางเขาจึงพานางมารับสำรับที่ลานกว้างใต้ร่มไม้ใหญ่ ชายหนุ่มลิ้มรสโจ๊กปูด้วยความเอร็ดอร่อยในขณะที่ศิษย์น้องฟ่านฟ่านกำลังกินเซาปิ่งหมดเป็นชิ้นที่สาม“สำรับอาหารที่นี่ช่างรสชาติดีกว่าสำนักของเราเป็นหลายร้อยเท่าเลยนะศิษย์พี่” “เช่นนั้น ข้าจะลองไปคุยกับแม่ครัว เผื่อจะชักชวนให้เขาไปทำอาหารที่สำนักของเราได้ เจ้าว่าดีไหม?”“ดีเจ้าค่ะ”เมื่อเดินไปในครัวเขาก็พบกับหญิงสาวหน้าตาพริ้มเพรากำลังเดินออกจากครัวเล็ก หลังจากที่เพิ่งทำสำรับเสร็จเขาตกตะลึงในความงดงามของหญิงสาวตรงหน้าก่อนจะรวบรวมสติสอบถามนางด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน“แม่นาง เจ้าเป็นคนทำสำรับเหล่านี้หรือ? เจ้าสนใจไปทำอาหารที่สำนักของอาจารย์ข้าหรือไม่ ข้าจะขอให้อาจารย์จ่ายให้เจ้าเป็นสองเท่าเลยนะ”“เห็นทีต้องทำให้คุณชายผิดหวังแล้วเจ้าค่ะ ข้าเป็นเจ้าของร้านที่นี่ มิอาจรับทำอาหารในสำนักคุณชายได้เจ้าค่ะ”“อ่า! ข้าขออภัยแม่นางเป็นอย่างยิ่ง ข้ามิได้ตั้งใจแย่งชิงแม่ครัวในร้านของเจ้า เพียงแต่ประทับใจในรสชาติอาหารเท่านั้น”“ขอบคุณเจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ”“ข้าช
หลังจากควบม้าผ่านท่าน้ำหน้าวังหลัง โอรสสวรรค์ชะงักงันเพียงชั่วครู่ก่อนจะหันไปสั่งการกับองค์รักษ์ที่คอยติดตามอยู่ด้านข้าง“พวกเจ้าล่วงหน้าไปรอเราที่สำนักศึกษาก่อนเถิด เราอยากเที่ยวเล่นในเมืองสักพัก ใกล้ถึงวันแข่งขันเราจะไปที่นั่นเอง”“แล้วความปลอดภัยของพระองค์เล่าพะย่ะค่ะ!”“ไม่ต่องห่วงอันใด พวกเจ้าลืมแล้วหรือว่ายังมีองครักษ์เงาอยู่กับเราทุกๆที่”“น้อมรับคำสั่งพะย่ะค่ะ”หยางจิ่งถงฝากม้าโลหิตไว้ที่โรงเลี้ยงม้าด้านข้าง ก่อนจะกระโดดขึ้นเรือรับจ้างที่มุ่งสู่จุดหมายปลายทาง เรือลำใหญ่ลัดเลาะตามลำน้ำอย่างอ้อยอิ่ง สายลมเย็นพัดโชยเอื่อยตลอดเส้นทางจนทำให้โอรสสวรรค์เผลอหลับไป ระหว่างทางเรือลำใหญ่จอดรับนักเดินทางที่ท่าเรือกลางตลาดในเมืองเฮยจิวจู่ ด้วยความแออัดของนักเดินทางที่เต็มลำเรือ ข้างกายโอรสสวรรค์ปรากฏร่างหญิงสาวใบหน้างามล่มเมืองในชุดแต่งกายสีเรียบ ที่เพิ่งกลับจากงานสอนเครื่องปั้นในสำนักช่างฝีมือ ชายหนุ่มสูงศักดิ์ตื่นขึ้นมาสบตากับสตรีด้านข้างที่มีใบหน้าพริ้มเพราด้วยความตะลึงงัน หลังจากถูกบุรุษแปลกหน้าจดจ้องเป็นนานสองนาน ซุนซูหลินจึงเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ“ใบหน้าข้ามีอันใดติดอยู่หรื
หยางจิ่งถง โอรสองค์เดียวของชินอ๋อง (หรือที่เหล่าชาวเมืองต่างขนานนามว่า องค์ชายห้า)ที่เกิดกับจางฮองเฮา เขามีน้องสาวต่างมารดาที่เกิดจากหลิวกุ้ยเฟยอยู่คนหนึ่ง นางมีนามว่าองค์หญิงหยางจิงฮวา จักรพรรดิ์หยางจิ่งถงขึ้นครองราชย์แทนบิดาที่สละราชสมบัติเพื่อท่องเที่ยวยุทธภพพร้อมกับมารดาตั้งแต่ตอนที่เขาอายุได้สิบแปดปี บุรุษสูงศักดิ์เติบโตขึ้นเป็นบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ที่ถอดเค้าโครงหน้ามาจากบิดาไม่มีผิดเพี้ยน ความรูปงามของโอรสสวรรค์ล้วนเป็นที่เลื่องลือออกไปต่างแคว้น จนบรรดาแคว้นเล็กแคว้นน้อยต่างมอบบุตรีให้เป็นสตรีวังหลังของจักรพรรดิ์หนุ่มถึงแม้จะมีสตรีวังหลังอยู่มากมาย แต่เขามิอาจแต่งตั้งผู้ใดขึ้นเป็นฮองเฮาคู่ใจได้ เพราะในวัยเยาว์เขาได้หมั้นหมายกับบุตรีของเสนาบดีฝ่ายซ้ายผู้กุมความลับของราชวงศ์เอาไว้อย่างแน่นหนาเช้าวันครบรอบของการครองราชสมบัติครบปีที่สอง เสนาบดีฝ่ายซ้ายหูจวี่ได้ยื่นฎีกาในท้องพระโรง เพื่อขอพระราชทานสมรสและแต่งตั้งบุตรีของเขาขึ้นเป็นฮองเฮา หลังจากที่จักรพรรดิ์หยางจิ่งถงมีอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์เหมาะแก่การมีคู่บารมี เพื่อให้กำเนิดองค์รัชทายาทเพื่อความมั่นคงของราชสำนัก ท่ามกลางการส
สิบแปดปีผ่านไป ร้านเซาปิ่งอันเลื่องชื่อกลับมาครึกครื้นไปด้วยลูกค้ามากหน้าหลายตาอีกครั้ง หลังจากที่ฮูหยินเจ้าของเรือนล้มป่วยจากไปปรโลกเมื่อสามปีก่อน ทั้งโรงเตี๊ยมริมน้ำและร้านเซาปิ่งแห่งนี้ก็ปิดตัวลงอย่างกะทันหันเมื่อจัดการงานศพไว้ทุกข์ให้กับมารดาเป็นที่เรียบร้อย ซุนซูหลินก็กลับมาเปิดร้านเซาปิ่งและโรงเตี๊ยมริมน้ำของมารดาดังเช่นกาลก่อน โรงเตี๊ยมที่เคยตกแต่งอย่างเรียบง่ายถูกเพิ่มเติมด้วยเครื่องปั้นงานศิลปะที่หญิงสาวเชี่ยวชาญในขณะทิวทัศน์ด้านหลังของโรงเตี๊ยมถูกโอบล้อมด้วยทุ่งข้าวฟ่างกับไร่ถั่วเหลืองนับร้อยหมู่ที่ชูช่อสีเหลืองทองเป็นทิวแถว จนทำให้เหล่าบัณฑิตและเหล่ากวีเอกต่างเข้าจับจองที่พักในฤดูการเก็บเกี่ยวเพื่อชื่นชมความงามที่ถูกรังสรรค์ขึ้นจากธรรมชาติร้านเซาปิ่งหน้าเรือนหลังเล็กถูกมารดานางต่อเติมพื้นที่เรือนให้ใหญ่โตกว้างขวาง ระแนงไม้ข้างบ้านต่างรายล้อมไปด้วยดอกไม้นานาพรรณ หลังจากที่มารดาของนางจากไปปรโลกเมื่อสามปีก่อน บิดาได้แต่เก็บตัวเงียบอยู่ในสำนักศึกษา วันนี้หลังจากนางกลับมาจากงานสอนช่างฝีมือเครื่องปั้น ซุนซูหลินจึงเข้าครัวตั้งใจเตรียมข้าวห่อใบบัวกับน้ำแกงไก่ป่าซึ่งเป็นของโปรดข
วันเวลาล่วงเลยไปนานแปดเดือนเศษ ร้านขายเซาปิ่งของหลิวจิ่นอิงนับวันจะขายดีขึ้นเรื่อยๆ หญิงสาวเจรจาให้ลี่จือสหายคนสนิทนำหมั่นโถวกับซาลาเปามาเปิดแผงเพิ่มที่ร้านของนาง ทำให้เหล่านักเดินทางที่ลงเรือที่ท่าน้ำ กับบรรดาศิษย์ของสำนักศึกษาที่อยู่บนเขา ต่างแวะเวียนมานั่งพักรับความสำราญอยู่ที่นี่เป็นประจำก่อนหน้านี้เหล่าซือเฒ่ากว้านซื้อที่ดินบริเวณรอบเรือนเล็กเพื่อให้หลิวจิ่นอิงได้ต่อเติมกิจการร้านค้า นางจึงรวบรวมเงินที่ได้จากน้ำพักน้ำแรงมาสร้างโรงเตี๊ยมขนาดเล็กขึ้นที่ริมแม่น้ำด้านข้าง ขนาดห้องพักมีรูปแบบเรียบง่าย เข้ากับบรรยากาศริมแม่น้ำกับทุ่งข้าวฟ่างที่กำลังชูช่อสีเหลืองทองอยู่เต็มผืนดิน และแล้วโรงเตี๊ยมก็สร้างเสร็จทันกำหนดคลอดของหลิวจิ่นอิงเมื่อเข้าสู่ยามเหม่า (5.00-7.00) ของเช้าวันหนึ่ง รถม้าจากสำนักศึกษาได้พาหมอเทวดามาทำคลอดฮูหยินของเหล่าซือเฒ่าที่กำลังเจ็บท้องใกล้คลอด ในเรือนหลังเล็กท่ามกลางความเงียบสงบของเมืองเฮยจิวจู่ในเวลาไม่นาน บุตรีตัวอ้วนขาวก็คลอดออกมาทักทายมารดาของนางด้วยความปลอดภัย ท่ามกลางการลุ้นระทึกของเหล่าซือเฒ่า ที่ผุดลุกผุดนั่งที่หน้าห้องทำคลอด เขาโอบอุ้มบุตรีตัวอ้วนด้วยควา
เหล่าซือเฒ่าโอบอุ้มสตรีในดวงใจ กับเจ้าก้อนแป้งน้อยที่อยู่ในย่ามใหญ่กลับเรือนหลังเล็กด้วยใบหน้าฉาบสีแดงก่ำ จากบุรุษม่ายกลับกลายเป็นหัวหน้าครอบครัวใหญ่ที่มีทั้งฮูหยิน และเจ้าก้อนแป้งทั้งสองหน่อในชั่วข้ามคืน เขาเฝ้าดูแลหลิวจิ่นอิงกับเด็กน้อยอาซูจนถึงเช้า กระทั่งนางฟื้นจากอาการเป็นลมด้วยกลิ่นหอมฉุยของโจ๊กปูฝีมือของเหล่าซือเฒ่าด้านเจ้าหนูน้อยอาซูที่เคล้าคลออยู่ไม่ห่างจากมารดาก็ถูกเขาป้อนน้ำนมวัวจนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง “เจ้าฟื้นแล้วหรือจิ่นอิง ไม่สบายตรงไหนบ้างหรือไม่?” “ข้าหายดีแล้วเจ้าค่ะ ขอบคุณเหล่าซือที่ดูแลเราสองคนแม่ลูกนะเจ้าคะ” “เช่นนั้นข้าขอกลับสำนักก่อนนะ ยาบำรุงกับโจ๊กปู ข้าเคี่ยวไว้ในครัวแล้ว ถ้าเจ้าหิวก็ตักกินได้เลย ไม่ต้องเป็นห่วงอาซูนะ ข้าป้อนนมวัวให้เขาจนอิ่มแล้ว กว่าจะตื่นก็คงอีกหลายชั่วยาม” “ขอบคุณเจ้าค่ะ” หลิวจิ่นอิงมองตามหลังบุรุษเฒ่าด้วยความตื้นตัน คล้อยหลังจากเขาออกไปเพียงชั่วครู่ ลี่จือสหายคนสนิทของนางก็กึ่งเดินกึ่งวิ่ง มาที่เรือนหลังเล็กติดเชิงเขาเพื่อบอกเล่าข่าวลือของนางที่กระจายไปทั่วเมือง “จิ่นอิง เจ้ายังเห็นข้าเป็นสหายอยู่หรือไม่? เหตุใดจึงไม่ยอมบอกว่าเจ้
เมื่อหูฮูหยินเดินทางมาถึงโรงเก็บฟืนด้านหลังจวน นางตรงเข้าไปเรียกชายตัดฟืนคนใหม่ที่หน้าประตูห้องเด็กหนุ่มวัยสิบแปดที่มีรูปร่างสูงใหญ่ เปิดประตูออกมาท่ามกลางความมืดมิด เขาตกใจเมื่อเห็นฮูหยินของจวนมาเยือนบ่าวต้อยต่ำถึงที่นี่“ฮูหยินมีอันใดให้ข้ารับใช้หรือขอรับ!”“อาเฟิงเจ้าไปเลือกฟืนท่อนใหญ่ในโรงเก็บฟืนเป็นเพื่อนข้าหน่อย ข้าจะรีบเอาไปใช้คืนนี้!”“ได้ขอรับฮูหยิน เชิญตามบ่าวมาทางนี้ขอรับ”อาเฟิงเดินนำหูฮูหยินเข้าไปในโรงเก็บฟืนข้างเรือนพัก สตรีสูงศักดิ์ปิดล็อคประตูจากด้านในก่อนจะเดินไปประกบที่แผ่นหลังใหญ่ของบ่าวตัดฟืน“ท่อนนี้ดีไหมครับฮูหยิน ตัดจากไม้เนื้อหอม วงปีของมันนับสิบปี ยิ่งโดนไฟเผาจะยิ่งส่งกลิ่นหอมขอรับ“แต่ข้าว่าท่อนนี้ดีกว่า ดูหนุ่มแน่นน่าดูดชิมมากกว่าท่อนไหนเสียอีก!”มือเรียวเอื้อมไปลูบคลำท่อนฟืนใหญ่ที่หลับไหลอยู่ใต้ร่มผ้า ก่อนจะปลดชุดปะชุนของชายหนุ่มตรงหน้าออก เหลือเพียงฟืนท่อนใหญ่ ที่ชูชันท้าทายนายสาวอยู่เบื้องหน้า ลิ้นเรียวเล็กไล้เลียจากปลายหัวหยักไปจนถึงโคน จนฟืนทั้งท่อนเปียกชุ่มไปด้วยน้ำลายของนาง ก่อนจะกลืนกินฟืนท่อนใหญ่เข้าไปจนมิดลำ บ่าวตัดฟืนที่ยังหนุ่มยังแน่นถึงกับคราง
หลังจากที่หลิวจิ่นอิงพักผ่อนที่เรือนจนหายดี นางก็เข้าไปสอบถามข่าวคราวของลี่จือถึงในเรือน ก็ได้รับทราบว่า หลังจากพักฟื้นจากอาการบอบช้ำ สหายของนางก็ถูกบิดานำไปอยู่พักกับญาติที่เมืองหลวงชั่วคราวเพื่อหลบหนีจากเรื่องอับอายที่เกิดขึ้นสองเดือนให้หลัง หลังจากทัพใหญ่เคลื่อนย้ายออกไปจากหมู่บ้าน น้ำข้นรักที่แม่ทัพใหญ่ได้ฝากฝังไว้ก็เติบโตเป็นหน่อเนื้ออ่อนในครรภ์ของนาง เรื่องของหลิวจิ่งอิงกลายเป็นที่ติฉินนินทาจากคนทั้งหมู่บ้าน แต่ถึงกระนั้นนางก็ยอมอดทนอดกลั้นใช้เงินก้อนสุดท้ายที่ได้จากแม่ทัพใหญ่มาเลี้ยงดูตนกับบุตรในท้องจวบจนถึงวันคลอด ในขณะที่บิดาของนางก็ย้ายไปอยู่กับกวงฮูหยินที่เรือนข้างๆ โดยมิได้สนใจบุตรีเยี่ยงนางเลยแม้แต่น้อยบุตรชายตัวอ้วนขาวของหลิวจิ่นอิงคลอดออกมาอย่างปลอดภัยด้วยความโล่งใจของนางกับสหาย หลังจากลี่จือได้ข่าวว่าหลิวจิ่นอิงกำลังใกล้คลอด นางก็เดินทางออกจากบ้านญาติที่เมืองหลวงมาดูแลสหายกับบุตรชายของนางอยู่มาวันหนึ่ง บุตรชายตัวอ้วนของนางเกิดไม่สบายอย่างหนัก หลิวจิ่นอิงจึงโอบอุ้มเด็กชายขึ้นรถม้ารับจ้างเพื่อไปรักษาที่โรงหมอชื่อดังในตัวเมือง หลังรักษาเสร็จหมอเทวดาจึงคิดค่ารักษากับห