Share

บทที่ 7

Author: หอมดังเดิม
ลู่เหิงจือขมวดคิ้วเล็กน้อย วางจอกชาลงบนโต๊ะด้วยน้ำหนักพอดี

คนที่อยู่ในที่นั้นต่างคิดในใจว่า ซูชิงลั่วเป็นแค่เด็กกำพร้า กล้าก่อเรื่องขึ้นในตอนนี้ คงจบไม่สวยแน่

ลู่เหิงจือมีความโกรธอยู่จริง แต่ไม่ใช่เพราะซูชิงลั่วก่อเรื่อง แต่เป็นเพราะการที่นางเลือกที่จะเสี่ยงและขอความช่วยเหลือจากเขาในเวลานี้ ไม่รู้ว่านางต้องถูกบีบคั้นและกดดันอะไรมาอีกบ้าง

นางหลิ่ว นางเฉียน และสาวใช้สองสามคนรีบเข้ามา นางหลิ่วรีบพูดว่า "ท่านสาม ชิงลั่วยังเด็กไม่รู้สา หวังว่าท่านสามอย่าได้ถือสานางเลย ข้าจะพานางไปเดี๋ยวนี้"

พูดจบก็ส่งสัญญาณให้พวกหญิงรับใช้พาตัวซูชิงลั่วออกไป แต่ก็ได้ยินเสียงเย็นชาของลู่เหิงจือพูดขึ้นว่า "ช้าก่อน"

นางหลิ่วรู้สึกเหมือนหัวใจหล่นวูบ

ลู่เหิงจือเพียงพูดแค่สองคำ แต่ทุกคนก็ถูกน้ำเสียงที่มีอำนาจของเขากดดันจนไม่มีใครกล้าขยับ

ลู่โย่ว นายท่านรองเพิ่งอดหลับอดนอนมาทั้งคืน กำลังจะกลับไปพักผ่อน ไม่รู้ว่าซูชิงลั่วที่ปกติว่านอนสอนง่ายก่อเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้อย่างไร

เขาไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในบ้านเลย มอบหมายให้นางหลิ่วจัดการทั้งหมด ทำไมขนาดเรื่องหมั้นหมายของชิงลั่วกับเหยียนเออร์ก็เกิดปัญหาขึ้นอย่างนั้นเหรอ?

ต่อหน้าคนมากมาย ใบหน้าของเขาย่อมไม่สู้ดีนัก พูดว่า "ชิงลั่ว ข้าเห็นเจ้าเป็นเหมือนลูกสาวแท้ๆ ของข้ามาโดยตลอด เรื่องนี้เป็นเรื่องภายในบ้าน เราปิดประตูคุยกันยังไงก็ได้ ไม่ต้องรบกวนท่านอัครมหาเสนาบดีหรอก"

นางหลิ่วรีบพูดต่อทันที "ใช่แล้วชิงลั่ว หลายปีมานี้ทุกคนก็เห็นกันอยู่แล้วว่าน้าชายและน้าหญิงดูแลเจ้าอย่างไร อีกอย่างเหยียนเออร์ก็ส่งของดีๆ ให้เจ้าออกบ่อยๆ ถึงน้าหญิงจะทำอะไรผิดไปบ้าง เจ้าก็คงไม่ถึงขนาดต้องทำให้น้าชายและน้าหญิงขายหน้าต่อหน้าคนอื่นแบบนี้กระมัง? อีกอย่างท่านยายก็กำลังร่างกายเป็นแบบนี้อีก?"

นางพูดไปก็เริ่มสะอื้นเบาๆ ไป

ชื่อเสียงของลู่โย่วดีและเป็นที่เคารพของในตระกูลไม่น้อย ตอนนี้จึงมีคนออกมาช่วยพูดทันที

"ใช่แล้ว อย่างน้อยน้าชายกับน้าหญิงก็เลี้ยงดูเจ้ามาหลายปี ทำไมถึงทำแบบนี้ได้?"

"แค่เด็กกำพร้าคนหนึ่ง ช่างเป็นหมาป่าที่เลี้ยงไม่เชื่องจริงๆ ไม่รู้จักบุญคุณ..."

"ไม่ใช่ว่าข้าพูดเกินไปนะ แต่เจ้าช่างไม่กตัญญูจริงๆ ท่านแม่ยังไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร..."

แค่ชื่อเสียงเหล่านี้ ก็เพียงพอที่จะกดดันซูชิงลั่วจนตายได้แล้ว

น้ำตาเอ่อรื้นขึ้นในดวงตาของนาง นางรู้สึกน้อยใจอย่างมาก

ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์และด่าทอ ลู่เหิงจือพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสงบ "ใช่แล้ว เพราะอะไรอย่างนั้นหรือ?"

เขาพูดด้วยเสียงเรียบๆ "มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถึงทำให้คุณหนูจากตระกูลผู้ดีต้องทนทุกข์จนต้องเสี่ยงมาขอความช่วยเหลือจากข้าในเวลานี้? ท่านลุงรองบอกว่าเห็นนางเป็นเหมือนลูกสาวแท้ๆ ของท่าน แล้วท่านไม่คิดถึงสาเหตุที่ทำให้เป็นเรื่องเป็นแบบนี้บ้างหรือ?"

เมื่อเขาเริ่มพูด สถานการณ์ก็เปลี่ยนทันที

ทุกคนต่างก็รู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล

"ใช่แล้ว ข้ารู้จักคุณหนูซู นางเป็นคนมีการศึกษาและใจดีเสมอ ปฏิบัติต่อคนใช้ก็ดีมาก..."

"เด็กกำพร้าคนหนึ่งที่ต้องมาอยู่กับคนอื่น ใครจะรู้ว่านางต้องทนทุกข์ขนาดไหน?"

"ใช่แล้ว เกิดอะไรขึ้นที่ทำให้นางต้องออกมาขอความช่วยเหลือจากท่านอัครมหาเสนาบดีในเวลานี้กันนะ?"

ลู่โย่วมีสีหน้าเคร่งขรึมลงโดยไม่รู้ตัว

คำพูดของลู่เหิงจือชัดเจนว่าแอบแขวะที่เขาไม่ได้ดูแลซูชิงลั่วดีเท่าที่ควร

ความรู้สึกน้อยใจของซูชิงลั่วค่อยๆ หายไป นางมองเขาผ่านฉากกั้น รู้สึกว่าเขามีบารมีอย่างยิ่งยวด ในเวลานี้ราวกับเขาเป็นเทพเจ้าที่ลงมาจากสวรรค์เพื่อมาช่วยนางจากความทุกข์

ลู่เหิงจือพูดเรียบๆ ว่า "ถึงจะเป็นเรื่องของบ้านสอง แต่ในเมื่อคุณหนูซูมาขอความช่วยเหลือจากข้าในฐานะอัครมหาเสนาบดี ข้าก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ช่วย"

"ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อหกปีก่อนข้ากับท่านลุงรองก็เป็นคนพาคุณหนูซูจากจินหลิงมายังเมืองหลวง อย่างไรคุณหนูซูก็เรียกข้าว่าพี่สาม หากนางถูกบีบคั้น ข้าย่อมต้องช่วยเหลือนาง"

เรื่องที่กล่าวมามีน้อยคนในที่นี้ที่จะรู้ ไม่มีใครคาดคิดว่าเด็กกำพร้าคนนี้จะมีความสัมพันธ์กับท่านอัครมหาเสนาบดีผู้ทรงอิทธิพลเช่นนี้ และฟังดูเหมือนเขาจะปกป้องนางเป็นพิเศษ

ในขณะนั้น ในใจทุกคนต่างรู้สึกสงสัยมากยิ่งขึ้น

เพราะคนทั้งโลกรู้ดีว่า ลู่เหิงจือเป็นคนเย็นชา ไม่ใกล้ชิดผู้หญิง

ลู่เหิงจือได้ตำแหน่งจอหงวนเมื่ออายุสิบแปดปี และได้รับเลือกเข้าไปในสำนักฮั่นหลิน เมื่ออายุยี่สิบสองปีก็ได้เป็นอัครมหาเสนาบดี ซึ่งถือเป็นอัครมหาเสนาบดีที่อายุน้อยที่สุดของราชวงศ์ฉู่

หลายปีที่ผ่านมา มีหญิงสาวผู้สูงศักดิ์ในเมืองหลวงจำนวนมากที่ต้องการแต่งงานกับเขา แต่ก็ถูกปฏิเสธกลับอย่างสุภาพทั้งหมด มีคนส่งผู้หญิงมาให้เขาก็ถูกเขาส่งกลับไป แม้กระทั่งมีคนคาดเดาว่าอัครมหาเสนาบดีท่านนี้อาจจะชอบผู้ชาย

หรือว่าเขาจะมีใจให้กับเด็กกำพร้าจากตระกูลซูคนนี้?

ลู่เหิงจือย่อมรู้ดีว่าคำพูดของเขาจะทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างไร แต่เขาก็ยังคงพูดออกไป

ในใจเขาคิดด้วยซ้ำว่าการที่คนอื่นจะวิพากษ์วิจารณ์พวกเขาสองคนร่วมกันก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร แถมเขายังรู้สึกคาดหวังเล็กน้อยอีกด้วย

เขาเงยหน้าขึ้น มองไปที่ฉากกั้นลม เห็นเงาร่างหญิงสาวคุกเข่าอยู่บนพื้น หลังตรง รูปร่างบอบบางและอ่อนแอ

เขาสั่งการออกไปว่า "ไปเอาเก้าอี้มาให้คุณหนูซูตัวหนึ่ง ให้นางนั่งลงแล้วค่อยๆ พูด"

ทันทีที่พูดจบ ทั้งในลานและห้องโถงต่างก็เงียบสนิท ทุกคนตกใจจนไม่มีใครพูดอะไร

ลู่โย่ว นางหลิ่วและผู้ใหญ่อีกหลายคนยังยืนอยู่เลยนะ แต่ให้หญิงสาวคนนี้นั่งคนเดียวคืออะไร?

ซ่งเหวินยกเก้าอี้มอบให้สาวใช้ด้วยตัวเอง หลังจากที่ซูชิงลั่วนั่งลงแล้วก็ค่อยๆ เล่า

"ประมาณยี่สิบวันก่อน ข้าบังเอิญเห็นลู่เหยียนกับหลิ่วเยียนหรานลูกพี่ลูกน้องของเขา แอบนัดพบกันที่ห้องส่วนตัวในโรงน้ำชาฝูจี้ ทั้งสองมีท่าทางสนิทสนมกันมาก จากคำพูดของพวกเขาเห็นได้ชัดว่ามีความสัมพันธ์กันมานานแล้ว วันนั้นเมื่อกลับมา ข้าก็บอกท้านน้าหญิงว่าต้องการจะถอนหมั้น ท่านน้าหญิงบอกว่าการถอนหมั้นไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ให้รอจนกว่านางจะถามให้รู้ความก่อน"

"ข้าก็เตรียมจะกลับไปรอ คิดว่าบางทีท่านน้าหญิงอาจจะช่วยข้าได้จริง บังเอิญข้าทำถุงหอมตกไว้จึงกลับไปหา ไม่คิดว่าจะได้ยินท่านน้าหญิงกำลังว่ากล่าวลู่เหยียนที่ไม่ระวังจนเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น บอกให้เขามาขอโทษข้า และบอกว่าต้องแต่งงานกับข้าถึงจะได้สินเดิมมหาศาล หลังจากแต่งงานแล้วเขาจะทำอะไรก็ตามใจ"

ทุกคนในตอนนี้ถึงเพิ่งคิดได้ว่า ตระกูลซูในอดีตเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของจินหลิง ได้รับการขนานนามว่าร่ำรวยเป็นอันดับหนึ่งของแคว้น เหลือลูกสาวที่รักอยู่คนเดียวแบบนี้ สินเดิมนางจะมากมายขนาดไหน?

ตระกูลลู่ก็เป็นตระกูลเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงมาร้อยปี แม้จะไม่รุ่งเรืองเหมือนในอดีต แต่ก็ยังดูถูกเรื่องแบบนี้

ในเวลานี้ สายตาของทุกคนที่มองไปที่ลู่โย่วก็แฝงไว้ด้วยความดูถูก

ใบหน้าของลู่โย่วแดงสลับขาวโดยไม่รู้ตัว ได้แต่แอบด่านางหลิ่วในใจอย่างเงียบๆ

ซูชิงลั่วพูดต่ออีกว่า "ข้าเห็นแก่ความสัมพันธ์ในฐานะญาติ จึงไม่เคยทะเลาะกับท่านน้าหญิงจริงจัง คิดแค่ว่าขอถอนหมั้นก็พอแล้ว ไม่คิดว่าท่านน้าหญิงจะปฏิเสธหลายครั้ง แถมยังใช้ความกตัญญูมากดดัน ไม่ให้ข้าถอนหมั้น"

"ข้าคิดว่ายังเหลือเวลาอีกหน่อยก่อนจะถึงวันแต่งงาน บางทีอาจหาวิธีอื่นได้ แต่เมื่อคืนท่านยายลู่เกิดเป็นลมกะทันหัน ไม่รู้จะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ใครจะรู้ว่าเช้านี้ท่านน้าหญิงกลับกล้าพูดอย่างไม่อาย บอกให้ข้าแต่งงานกับลู่เหยียนพรุ่งนี้เพื่อเป็นการแก้เคล็ดให้กับท่านยาย"

เมื่อได้ยินคำว่า "แก้เคล็ด" ลู่เหิงจือก็หรี่ตาเล็กน้อย สายตาเย็นเยียบประดุจลูกศรพุ่งไปที่ลู่โย่ว ราวกับจะทะลุทะลวงร่างเขาอย่างนั้น

นางหลิ่วช่างบังอาจยิ่งนัก กล้าพูดแบบนี้ออกมาได้

ลู่โย่วไม่รู้เรื่องทั้งหมดนี้เลย เหงื่อเย็นเริ่มไหลลงมาจากหน้าผาก

การแก้เคล็ดจะเป็นเรื่องที่ตระกูลผู้ดีอย่างบ้านตระกูลลู่ทำได้อย่างไร

"ใต้เท้าได้โปรดพิจารณา ลู่เหยียนเป็นคนทรยศก่อน แถมนางหลิ่วก็บีบคั้นภายหลัง แถมไม่สนใจสุขภาพของท่านยายลู่ ใจคิดแต่จะฮุบสินเดิมของข้าเท่านั้น คนแบบนี้ ข้า ซูชิงลั่ว จะไม่มีวันแต่งงานด้วยเด็ดขาด!"

ซูชิงลั่วพูดอย่างหนักแน่น

ทั้งในลานและห้องโถงเงียบสนิทในทันที

หลังจากนั้นสักพัก ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้น

"ทั้งน้าชายน้าสาวช่างน่ากลัวเกินไปแล้ว เรื่องนี้มันโหดร้ายมาก..."

"แก้เคล็ดอะไรกัน ไม่ใช่กลัวคนหนีไปแล้วไม่ได้เงินเหรอ? บ้านสองขาดเงินขนาดนั้นเลยหรือ?"

สีหน้าของนางหลิ่วซีดเผือด ไม่รู้ว่าซูชิงลั่วไปได้ยินการสนทนาตั้งแต่เมื่อไหร่ ตอนนี้นางจึงตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบแบบนี้

แต่นางเป็นคนหัวไวโดยทุนเดิม จึงร้องไห้เสียงดังในทันที "หม่อมฉันถูกใส่ร้ายนะเจ้าคะ ชิงลั่ว เจ้าใส่ร้ายข้าแบบนี้ได้อย่างไร? การหมั้นนี้ท่านแม่เป็นคนตัดสินใจเอง ถึงเหยียนเออร์จะไม่เก่งแต่ก็เป็นถึงบัณฑิต ยังจะขาดคู่หมั้นดีๆ หรืออย่างไร?"

นางกล่าวคำสาบาน "หากข้าคิดโลภในสินเดิมของเจ้าก็ขอให้ข้าไม่ตายดี!"

เรื่องนี้นางจะยอมรับไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นนางคงจะไม่มีหน้ามองใครในเมืองหลวงตลอดชีวิต แม้ซูชิงลั่วจะได้ยินจริงๆ แต่ก็หาหลักฐานไม่ได้หรอก

นางร้องไห้เสียงดัง "เยียนหรานเป็นลูกพี่ลูกน้องของเหยียนเออร์ ทั้งสองคนคุยกันในบ้าน เจ้าก็หึง เหยียนเออร์เลยต้องไปเจอเยียนหรานข้างนอก ก็แค่คุยกันเท่านั้น เจ้าอยากถอนหมั้นแต่ใยต้องแต่งเรื่องโกหกพวกนี้มากล่าวหาข้าด้วย?"

นางหลิ่วตัดสินใจเด็ดขาด พูดว่า "ใต่เท้า ถ้าท่านไม่เชื่อ ก็เรียกเหยียนเออร์ให้มาอธิบายเองเถอะเจ้าค่ะ!"

เรื่องถึงขั้นนี้แล้ว ก็ต้องเสี่ยงดูว่าคนฟังจะเชื่อใครมากกว่ากัน

ในสถานการณ์นี้ ลู่โย่วทำได้เพียงยืนอยู่ข้างนางหลิ่ว

เขาพูดว่า "ในเมื่อจำเป็นต้องอธิบายต่อหน้าทุกคน ก็ต้องเรียกเหยียนเออร์มาด้วย จะฟังความข้างเดียวได้อย่างไร?"

ลู่เหิงจือพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม "จริงด้วย"

สายตาของเขากวาดมองผู้คนเบื้องล่าง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ "ลู่เหยียนนล่ะ? ท่านย่าป่วยหนัก แม้แต่หลานนอกยังอยู่เฝ้าทั้งคืน เขาเป็นถึงลูกชายคนเดียวของบ้านสอง แล้วทำไมไม่เห็นเขา?"
Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 458

    เสียงของนางแฝงความหมายว่า “รู้แล้วทำไมไม่บอกข้า”ซูชิงลั่วกระซิบว่า “ซือไหวไม่ให้ข้าบอกท่าน และข้าก็กลัวว่าหากบอกท่านไป แล้วจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างพี่สะใภ้กับน้องสาวได้”ลู่เหิงจือเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “แต่เจ้าไม่กลัวว่าจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาหรือ”ซูชิงลั่วซบลงในอ้อมอกเขา “จะกระทบหรือ?”ลู่เหิงจือฮึดฮัด น้ำเสียงนั้นชัดเจนว่าไม่เป็นเช่นนั้นซูชิงลั่วอดยิ้มไม่ได้ “อันที่จริงแล้วใต้เท้าอวี๋ก็ไม่เลวเลย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงเข้มขรึมว่า “ห้ามชมเขา”ซูชิงลั่วตอบอย่างเชื่อฟังว่า “ได้”อวี๋ซื่อชิงเดินมาพร้อมกับลู่ซือไหวลู่เหิงจือมองคนทั้งสองพลางถามว่า “นานแค่ไหนแล้ว?”อวี๋ซื่อชิงตอบอย่างมั่นใจว่า “เกือบปีแล้ว”นานแค่ไหนนะ???เช่นนี้ก็หมายความว่าพวกเขาเริ่มคบหากันหลังจากที่เขาและซูชิงลั่วออกจากเมืองหลวงไม่นานอย่างนั้นหรือ?ลู่เหิงจือหันมองลู่ซือไหว “เจ้ามานี่”อวี๋ซื่อชิงพูดว่า “มีเรื่องอะไรข้าจะคุยกับท่านเอง”ลู่เหิงจือยิ้มเย้ยหยัน “การสนทนาของพวกข้าสองพี่น้อง ไม่เกี่ยวกับเจ้า”ลู่ซือไหวดึงแขนเสื้อของอวี๋ซื่อชิง อวี๋ซื่อชิงจึงถอยออกไปลู่เหิงจือพาลู่ซือไหวออ

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 457

    เซี่ยถิงอวี่เดินเข้ามา มองลู่เหิงจือพลางเอ่ยว่า “เหิงจือ รอบที่แล้วเจ้าแต่งงาน ข้าไม่สะดวกไปร่วมงานเพราะสถานะของข้า รอบนี้เจ้าแต่งงาน ข้าจะต้องมาดูสักครั้ง เพื่อความสบายใจของข้าเอง”เสียงของเขาดูจริงใจ ราวกับกำลังพูดคุยกับมิตรสหายคนหนึ่งลู่เหิงจือเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณมาก”ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะมีการใช้กันและกันเป็นเครื่องมือหรือไม่ แต่ยามนี้ พวกเขาเป็นสหายที่จริงใจต่อกันมากที่สุดเมิ่งชิงไต้ก็เอ่ยว่า “รอบที่แล้วข้าไม่ได้เข้าร่วมงานแต่งงานของน้องซู ก็รู้สึกเสียดายเหมือนกัน อันที่จริงแล้ว ข้าพาอวี้จู๋และโฉวกว่างมาด้วย”หลังจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่วกลับจินหลิง เซี่ยถิงอวี่ก็เรียกโฉวกว่างกลับมาเพราะการส่งองครักษ์ลับที่ผ่านการฝึกฝนอย่างหนักไปยังจินหลิงนั้นดูจะไม่คุ้มค่า ลู่เหิงจือก็ไม่มีความเห็นอะไร อวี้จู๋จึงยังคงอยู่ในเมืองหลวงและติดตามเมิ่งชิงไต้ซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจและเอ่ยว่า “ขอบคุณพี่เมิ่ง”เซี่ยถิงอวี่หัวเราะออกมาอย่างกะทันหันเพราะปิดหน้าอยู่ ซูชิงลั่วจึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา รู้สึกได้เพียงว่าเสียงของเขามีความเย้าแหย่แฝงอยู่“ใช่แล้ว ข้าพาอวี๋ซื่อชิงมาด้

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 456

    เนื่องจากชุดเครื่องประดับศีรษะชุดนี้ทำค่อนข้างยาก รวมถึงสุขภาพของซูชิงลั่วที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ และหลิงเกอเอ๋อร์ยังเล็กอยู่ การแต่งงานรอบสองระหว่างลู่เหิงจือกับซูชิงลั่วจึงเลื่อนออกไปหนึ่งปีทั้งสองเคยแต่งงานกันมารอบหนึ่งแล้ว การแต่งงานรอบสองเป็นเพียงการให้คำมั่นสัญญาแก่กัน และไม่ได้จัดงานใหญ่โต มีเพียงเชิญญาติฝ่ายเรือนสามและญาติของตระกูลซูมาร่วมงานคล้ายคลึงกับงานฉลองอายุครบเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์เท่านั้นซูชิงลั่วสวมเครื่องประดับศีรษะที่ลู่เหิงจือคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเอง มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อยจื๋อหยวนเอ่ยว่า “ของที่ใต้เท้าคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเองย่อมงดงามมาก”ซูชิงลั่วพยักหน้า ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือทำให้ฝีมือของช่างเหล่านั้นพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นเลยทีเดียวก่อนหน้านี้ไม่เคยมีงานฝีมือการทอเส้นไหมทองที่ประณีตขนาดนี้มาก่อนอัญมณีสีชมพูที่ใช้ประดับดอกไม้ต้องมีสีที่เหมือนดอกท้อมากที่สุด ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือเดินทางไปทั่วเจียงหนานเพื่อคัดเลือกอัญมณีหลายร้อยชิ้น จนกระทั่งพบกับอัญมณีที่มีสีใกล้เคียงกับสีชมพูของดอกท้อมากที่สุดหลิงเกอเอ๋อร์เดินได้มาหนึ่งเดือนกว่าแล้วยามนี้เขาวิ่งเข้ามาอย่างท

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 455

    ลู่เหิงจือนวดหว่างคิ้วเบาๆ ไม่ตอบอะไรซ่งอวี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “อันที่จริงแล้วข้ามีวิธีฝังเข็มคุมกำเนิดสอนท่านได้ หากท่านไม่ต้องการมีลูก หลังจากมีเพศรักทุกครั้ง ท่านก็สามารถฝังเข็มให้ฮูหยินได้ ไม่มีผลข้างเคียง เพียงแต่อาจจะเรียนรู้ยากหน่อย”ลู่เหิงจือโล่งอก “ข้าเรียน”เขายังเรียนเขียนบทบรรยายได้เลย การฝังเข็มแค่นี้เขาไม่กลัวอยู่แล้วซ่งอวี้ “เรื่องนี้ต้องปรึกษาฮูหยินของท่านด้วย”“แน่นอน ข้าแค่มาถามท่านก่อน” ลู่เหิงจือตอบด้วยน้ำเสียงเป็นธรรมชาติหลังจากส่งซ่งอวี้กลับห้องแล้ว ลู่เหิงจือก็เดินตามทางเดินที่คดเคี้ยวกลับต้องยอมรับว่าจวนตระกูลซูสร้างได้ดีจริงๆ แม้แต่แสงจันทราก็ยังสวยกว่าที่เมืองหลวงเขายกหน้าขึ้นมองพระจันทร์ คิดว่ายามนี้หลิงเกอเอ๋อร์หลับแล้วแน่นอน คงพาซูชิงลั่วออกมาชมจันทร์ได้เขายิ้มมุมปาก จู่ๆ ก็คิดบางอย่าออก รีบก้มดูถุงหอมที่ตนเองห้อย- ถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้ลู่ซือไหวล้วนเป็นการปักสองด้านหมด แล้วของเขา......เขารีบเปิดออกนี่คือถุงหอมอันแรกที่ซูชิงลั่วให้เขานางเคยให้เขาสามอัน เขาห้อยอันนี้บ่อยที่สุด เพราะรู้สึกว่าอันแรกมีความหมายที่แตกต่างปลายนิ้วของเขาสั่น

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 454

    ลู่เหิงจือเอ่ยกึ่งติดตลกว่า "หรือว่าข้าจะมาเป็นกรรมการดี?"เขาแค่พูดเล่นๆ แต่ลู่ซือไหวกลับคิดจริงจัง "ดีเลย"นางก็รีบแกะถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้นางมาจากเอวซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจ - นางพกติดตัวตลอดจริงๆลู่เหิงจือหยิบขึ้นมาเทียบกับสร้อยทองในมือของซูชิงลั่ว แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า "ก็สู้ของพี่สะใภ้ไม่ได้หรอก"ลู่ซือไหวไม่ได้รู้สึกไม่พอใจที่ถูกพูดเช่นนี้ ใบหน้าก็ยิ้มแย้ม "ก็เพราะการปักลายสองด้านจำกัดฝีมือของพี่สะใภ้"นางพลิกถุงหอมกลับด้าน ด้านในมีอะไรซ่อนอยู่ลู่เหิงจือรู้สึกเหมือนจะนึกอะไรออกแต่ก็จับไม่ได้ทันที ก็ได้ยินบ่าวรับใช้มารายงานว่าหมอหลวงซ่งจากเมืองหลวงมาถึงแล้วเขาอายุมากแล้ว ฮ่องเต้องค์ใหม่มีหมอหลวงที่ไว้ใจได้ของพระองค์เอง เขาจึงลาออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิดเขาเป็นชาวจินหลิง พอได้ยินว่าลูกชายของลู่เหิงจืออายุครบเดือน ก็รีบมาแสดงความยินดีในวันรุ่งขึ้นทันทีคนอื่นๆ ล้วนเป็นญาติหรือสหายเก่าของตระกูลซูแห่งจินหลิง ลู่เหิงจือไม่จำเป็นต้องไปต้อนรับเป็นพิเศษ แต่เมื่อซ่งอวี้มาเอง เขาต้องไปพบซูชิงลั่วเห็นว่าญาติมาครบแล้ว ก็อุ้มหลิงเกอเอ๋อร์และจูงมือลู่ซือไหวออกไปทักทายทุกคนทัน

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 453

    ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่กระทำกลับอ่อนโยนอย่างไม่เคยมีมาก่อนเห็นได้ชัดว่าเขาดูแลนางเป็นอย่างดีหลังคลอดไม่นานทว่าซูชิงลั่วก็อดร้องออกมาด้วยเสียงที่ทำให้หัวใจเต้นรัวไม่ได้เขาเพิ่งเคยจูบนางเช่นนี้เป็นครั้งแรก จูบที่ทั้งถี่และอ่อนโยนจนแทบจะทั่วทั้งร่างกายของนางสุดท้ายแนบชิดนางอย่างระมัดระวังจูบเสร็จแล้ว ซูชิงลั่วก็เอนตัวลงในอ้อมแขนของเขาและถามว่า “ท่านจะเขียนบทบรรยายให้ข้าอีกหรือไม่”ลู่เหิงจือตอบเสียงเบาว่า “หากเจ้าอยากอ่าน ข้าก็จะเขียน”ซูชิงลั่วตอบว่า “อยากอ่าน”ลู่เหิงจือตอบว่า “ได้”ซูชิงลั่วรู้สึกพึงพอใจและหลับไปในอ้อมแขนของเขา*งานฉลองวันเกิดครบหนึ่งเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์ จัดขึ้นเมื่อเขาอายุได้ สามสิบห้าวันซึ่งจัดช้ากว่าที่จินหลิงไม่กี่วันเนื่องจากญาติฝ่ายตระกูลซูเหลือไม่มาก และญาติฝ่ายตระกูลลู่ส่วนใหญ่อยู่ที่เมืองหลวง จำนวนแขกที่มาในงานจึงไม่มาก มีเพียงแค่สองโต๊ะเท่านั้นแต่ภายในบ้านก็ยังคงคึกคักเป็นพิเศษ เพราะไม่ได้มีงานมงคลเช่นนี้มานานแล้วลู่ซือไหวก็ถูกรับกลับมาจินหลิงเช่นกัน เนื่องจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่ววางแผนจะอยู่ที่จินหลิงสักสองสามปี นางจึงอยากอยู่กับพี่ช

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status