บทที่ 35
ณ เมืองหลวง
เมืองหลวงกับเมืองอู่เฉิงห่างกันไม่มาก ใช้เวลาเดินทางเพียง 4 วันก็ถึงแล้ว
สำหรับยุคที่เดินทางด้วยรถม้าถือว่าเร็วมาก
เมื่อมาถึงเมืองหลวง ทุกคนมองถนนอันคราคร่ำด้วยผู้คนด้วยแววตาตื่นเต้น
เสี่ยวซิน เสี่ยวกวางและอาฉี ถึงกับร้อง ว้าว! ออกมาเลยทีเดียว
ตงตงเองก็เบิกตาโต มองถนนที่กว้างขวางกับผู้คนที่เดินพลุกพล่านอยู่ริมทาง
แม้เคยเห็นภาพเหล่านี้จากในทีวี แต่พอสัมผัสด้วยตาตัวเองกลับรู้สึกตื่นตาตื่นใจไม่น้อย
“นายท่าน จุดหมายคือที่ไหนขอรับ” คนขับรถม้าตะโกนถาม
อ๊ะ!
ตงตงรีบดึงสติกลับ แล้วตอบออกไป
“ไปถนนทางใต้ ตรอกที่สองเจ้าค่ะ”
“เข้าใจแล้วขอรับ”
รถม้าเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างช้าๆ เนื่องจากตอนนี้เป็นช่วงสาย บนท้องถนนจึงยังเต็มไปด้วยผู้คน
การที่ตงตงบอกจุดหมายอย่างไม่ลังเล เพราะนางได้ข้อมูลมาจากหานป๋อเหล่ย บิดาของหานเจียเอ๋อร์
มิหนำซ้ำ นางยังทำสัญญาเช่าอาคารล่วงหน้าไว้แล้ว
…..
…..
ย้อนกลับไปเมื่อหลายวันก่อน
วันที่ตงตงกับจางไคเฮ่อนำสินค้าไปขายให้กับหานเจียเอ๋อร์ที่บ้านตระกูลหาน บังเอิญว่าหานป๋อเหล่ยอยู่บ้านพอดี
สองพ่อลูกตระกูลหานตื่นเต้นอย่างมากเมื่อเห็นสินค้าของตงตง
ก่อนที่จะถามถึงสาเหตุที่ตงตงปิดโรงเตี๊ยม ทั้งสองคนเหมาสินค้าของตงตงหมดเกลี้ยง
หานเจียเอ๋อร์ได้เครื่องประดับและกระจก
หานป๋อเหล่ยกว้านซื้อเครื่องเทศและของกินเล่น อย่างคุกกี้ ขนมอบกรอบ และผลไม้แห้ง 5 สหาย
หลังจากซื้อสินค้าและชำระเงินเสร็จ สองฝ่ายถึงมานั่งจิบชาพูดคุยกัน
‘วันนี้หลงจู๊ร้านข้ามาบอก ว่าเจ้าปิดร้านหลายวันแล้ว เกิดอะไรขึ้นหรือ’ หานป๋อเหล่ยเอ่ยถาม
‘ข้าจะย้ายร้านไปที่เมืองเมืองหลวงเจ้าค่ะ’
หานป๋อเหล่ยฟังคำตอบนั้นแล้ว ยังคงนั่งดื่มชาเสียงดัง ซู๊ด
สักครู่หนึ่ง ร่างอ้วนท้วมของหานป๋อเหล่ยพลันลุกจากเก้าอี้ โพล่งออกมาเสียงดัง
‘เมืองหลวง!?’
‘เจ้าค่ะ เมืองหลวง’ ตงตงย้ำ
‘หมายความว่าอย่างไร อธิบายมาเร็วเข้า’ คำถามนี้เป็นของหานเจียเอ๋อร์
ตงตงอธิบายอย่างเรียบง่าย ว่าต้องการขยายกิจการจึงตัดสินใจย้ายไปที่เมืองหลวง สูตรหม้อไฟหมาล่า นางขายให้กับโรงเตี๊ยมตระกูลอย่างเลี่ยงไม่ได้
หานป๋อเหล่ยได้ยินอย่างนั้นก็ถามหน้าตาแตกตื่น ‘พวกนั้นบีบบังคับเจ้าหรือ’
‘ก็ไม่เชิง รายละเอียด ข้าไม่สะดวกตอบจริงๆ ขออภัยด้วย’
หานป๋อเหล่ยถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ‘สรุปคือ…ที่เจ้าปิดโรงเตี๊ยมเพราะจะย้ายร้านไปเปิดที่เมืองหลวงสินะ’
ตงตงยิ้มตอบว่าเจ้าค่ะ
หานป๋อเหล่ยไม่ได้รบเร้าถามถึงสาเหตุ แต่เปลี่ยนมาถามเรื่องร้าน ‘แล้วร้านใหม่ของเจ้าอยู่ถนนเส้นไหน ทำเลดีหรือไม่ เผื่อว่าข้ากับเจียเอ๋อร์เข้าเมืองหลวงจะได้แวะไปกินของอร่อย’
แม้ตระกูลหานจะเปิดโรงเตี๊ยม แต่หานป๋อเหล่ยผู้เป็นเจ้าของ กลับชอบแสวงหาของอร่อยกินเป็นที่สุด โรงเตี๊ยมไหนมีของอร่อยขึ้นชื่อ เขาไม่เคยพลาด
ทันทีที่ตงตงบอกหานป๋อเหล่ยว่า นางยังไม่ได้หาทำเลเปิดร้าน หานป๋อเหล่ยก็เอ็ดนางยกใหญ่ หาว่าขาดการเตรียมพร้อม หลังจากบ่นจบไปหนึ่งยก เขาก็ช่วยแนะนำทำเลดีๆ ให้หลายที่
หากเป็นย่านที่มีคนพลุกพล่านราคาเช่าอาคารจะอยู่ที่ 2-8 ตำลึงทองต่อเดือน ถือว่าแพงมากสำหรับร้านเล็กที่คนยังไม่รู้จัก
แต่ถ้าเป็นถนนทางใต้ของเมืองหลวง โดยเฉพาะตรอกที่หนึ่งและสอง ราคาเช่าจะถูกอย่างไม่น่าเชื่อ เพียง 2-3 ตำลึงเงินเท่านั้น และบังเอิญมากที่ภรรยาของหานป๋อเหล่ยได้อาคารละแวกนั้นเป็นมรดกเมื่อสองปีก่อน
‘ฮูหยินท่านมาจากเมืองหลวงหรอกหรือ’ ตงตงถาม
หานป๋อเหล่ยยืดยกตอบว่า ‘ใช่แล้ว เพราะฉะนั้น สำหรับข้าเดินทางไปเมืองหลวงถือว่าเป็นเรื่องเล็กๆ’
‘ฮูหยินท่านปล่อยเช่าอาคารหรือไม่’
‘แน่นอนสิ’
หลังจากนั้น หานป๋อเหล่ยก็เรียกฮูหยินอแกมา
พอหานฮูหยินได้ยินว่าตงตงจะเช่าอาคารบนถนนทางใต้ของเมืองหลวง นางพลันแสดงสีหน้าลังเลและกังวลใจ ก่อนจะบอกเหตุผลที่ราคาเช่าถูกกว่าที่อื่น
สำหรับตงตง เรื่องทำเลและขนาดของอาคารไม่ใช่ปัญหา ขอแค่ราคาเช่าสมเหตุสมผลก็พอ
เหตุนี้เอง หานฮูหยินจึงปล่อยเช่า 3 ตำลึงเงิน
ราคาถูกอย่างไม่น่าเชื่อ!
เมื่อสองฝ่ายตกลงค่าเช่าและจ่ายเงินเสร็จ ตงตงกับจางไคเฮ่อก็เตรียมตัวกลับ
ก่อนกลับบ้าน ตงตงสัมนาคุณให้กับตระกูลหาน ด้วยลูกกวาดรสผลไม้รวมเอาไว้กินเล่น
เนื่องจากบ้านพ่อตาของหานป๋อเหล่ยอยู่ที่เมืองหลวง เขารับปากว่าจะพาหานเจียเอ๋อร์กับภรรยามาอุดหนุนร้านของตงตงให้ได้
…..
…..
กลับมาปัจจุบัน
พอรถม้าจอดหน้าอาคารแห่งหนึ่ง ทุกคนก็ช่วยกันขนข้าวของลงจากรถ แล้วเอาเข้าไปไว้ข้างใน
ผู้คนที่เดินผ่านไปมา บางคนมองมาด้วยความสงสัยปนสนใจ บางคนส่ายหัว ทั้งยังมีแววตาเหมือนสงสารหน่อยๆ
ตงตงหาได้สนใจอยู่แล้ว
ตรงกันข้าม เด็กสาวใช้โอกาสนี้โปรโมตร้าน
“อีก 2 วันโรงเตี๊ยมตระกูลจางจะเปิดกิจการ อย่าลืมมาอุดหนุนกันนะเจ้าคะ”
รอยยิ้มอันใสซื่อของเด็กสาว บางคนเห็นแล้วก็ยิ้มตอบ ขณะที่บางคนยังคงสั่นหัว
ตงตงยิ้มกว้างอย่างสดใส แล้ววิ่งกลับไปช่วยทุกคนขนของต่อ
ตอนทำสัญญาเช่า หานฮูหยินบอกว่าด้านหลังมีอาคารแยกหนึ่งหลัง ใช้เป็นบ้านพักได้ตามสบายเลย
เช่าอาคารในราคา 3 ตำลึงเงินต่อเดือน แถมที่พักให้อีก พูดได้ว่าคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม
ขนของเสร็จแล้ว ตงตงก็จ่ายเงินค่าเช่ารถม้า
ทุกคนช่วยกันทำความสะอาดและจัดข้าวของ เมื่อเตรียมทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทุกคนมารวมกันที่อาคารใหญ่ข้างหน้า
อาคารนี้ตงตงจะใช้เปิดร้านอาหาร
“เหนื่อยกันมาทั้งวัน หาอะไรกินกันก่อนดีกว่า”
ทุกคนต่างเห็นด้วย
“ข้าจะไปหุงข้าว เมื่อกี้เห็นว่าในครัวมีฟืนเหลือนิดหน่อย” เสี่ยวซินยกมือขึ้นเหนือศีรษะ รีบอาสา
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะเตรียมของไว้กับข้าว” หยูฮูหยินบอก
“ท่านแม่ ให้ข้าไปช่วยท่านด้วยนะ” เสียงเล็กๆ น่ารักนี้เป็นของเสี่ยวเยว่ ลูกสาววัย 6 ขวบของหยูฮูหยิน
“ได้สิลูก”
“ข้ากับอาฉีจะหาฝ่าฟืน” เสี่ยวกวางว่าอย่างนั้น
หลังจากคุยกันจบ พวกเขาก็แยกย้ายกันไปทำงานที่ตนถนัด
ตงตงกับจางไคเฮ่อก็ไปช่วยพวกเขาด้วย
เดินทางไกลติดต่อ 4 วัน ไหนจะใช้เวลาครึ่งวันทำความสะอาดที่พัก ถึงอย่างนั้น เรี่ยวแรงของทุกคนยังคงเหลือล้น
คิดแล้วตงตงก็ส่ายหัวยิ้มๆ
มื้อเย็นวันนั้น พวกเขากินข้าวกันแบบง่ายๆ
บทพิเศษความลับของตระกูลจาง หนึ่งวันหลังเสร็จสิ้นงานแต่ง จางไคเฮ่อนำชื่อของเหยียนหลิ่วเข้าทะเบียนราษฎร์ของตระกูลจาง นับจากนี้เหยียนหลิ่วจะกลายเป็นคนตระกูลจางเต็มตัว กลายเป็น ‘จางเหยียนหลิ่ว’ ล่วงเข้าสู่วันที่ห้าหลังจากที่ทั้งสองกลายเป็นสามีภรรยากัน เหยียนหลิ่วก็ถูกตงตงจูงมือพาลงไปที่ห้องใต้ดินของโรงเตี๊ยม “ภรรยา…ห้องใต้ดินเป็นความลับของตระกูล เจ้าแน่ใจหรือว่าข้าลงไปที่นั่นได้” เหยียนหลิ่วถามเพื่อให้ตงตงไตร่ตรองอีกครั้ง เหยียนหลิ่วรู้แค่ว่า ภายในห้องใต้ดินเป็นสถานที่เก็บสินค้าและสมบัติของตระกูลจาง กุญแจมีเพียงสองดอกเท่านั้น ดอกหนึ่งจางไคเฮ่อเป็นคนเก็บ และดอกหนึ่งเป็นของตงตง กระนั้น ตงตงกลับหันมายิ้มให้กับเหยียนหลิ่วด้วยสีหน้าสบายๆ “ตอนนี้ท่านเองก็เป็นคนของตระกูลจางแล้ว” “ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ แต่…” “ในอนาคตท่านคิดจะหย่ากับข้าหรือ…หรือว่า…ท่านจะหักหลังตระกูลจาง?” “เรื่องนั้นจะไม่มีทางเกิดขึ้นเด็ดขาด!” เหยียนหลิ่วตอบกลับอย่างหนักแน่น หย่ากันหรือ
บทส่งท้าย ฤกษ์แต่งงานที่เร็วที่ก็คือต้นเดือนหน้า นับวันดูแล้ว พวกเขามีเวลาจัดเตรียมงานไม่ถึง 1 เดือนด้วยซ้ำ ตงตงกับเหยียนหลิ่วจึงต้องตัดชุดแต่งงานกันตั้งแต่เนิ่นๆ เขียนบัตรเชิญส่งให้แขก กำหนดเมนูอาหาร และเริ่มซื้อข้าวของมาตกแต่งสถานที่ พอยุ่งอยู่กับการเตรียมงาน เผลอแป๊บเดียวก็เหลือเวลาอีกแค่ 2 วันเท่านั้น “ตงตง!” เสียงหญิงสาวอันคุ้นเคยดังหน้าประตูโรงเตี๊ยม ตงตงกำลังตรวจความเรียบร้อย หลังจากที่จิ่งฝางกับพวกเสี่ยวกวางแขวนโคมแดงเสร็จ รีบหันมองตามเสียงเรียกนั้น หานเจียเอ๋อร์ยืนยิ้มให้กับตงตง ข้างๆ หานเจียเอ๋อร์คือถังเหวินที่กำลังอุ้มลูกชายวัย 2 ขวบ ทั้งคู่แต่งงานกันเมื่อ 3 ปีก่อน หลังพิธีวิวาห์ สองเดือนถัดมา หานเจียเอ๋อร์ก็ตั้งครรภ์ทันที ถัดจากถังเหวินก็คือซานหลัวเฉินกับภรรยาที่เพิ่งแต่ง ครั้นเห็นคนคุ้นเคย ตงตงก็เดินยิ้มเข้าไปหาทุกคน “พวกท่านมากันแล้ว เข้ามาก่อนเจ้าค่ะ…อาหลงตัวน้อย สบายดีไหมจ๊ะ” เด็กน้อยวัย 2 ขวบพยักหน้าตอบ “อื้อ”
บทที่ 78ขอแต่งงาน 10 วันต่อมา ณ สำนักราชองครักษ์หลวง ทันทีที่กลับมาถึงเมืองหลวง เหิงเจากับเหยียนหลิ่วเข้าพบเสนาธิการเว่ยจ้ง รายงานเรื่องราวทั้งหมดตอนอยู่ป้อมปราการตะวันออก เมื่อเสร็จธุระหมดแล้ว เหยียนหลิ่วขอตัวกลับทันที ชายหนุ่มเดินบนถนนด้วยฝีเท้าเร่งรีบ เมื่อมาถึงโรงเตี๊ยมตระกูลจาง เห็นหญิงสาวในดวงใจยืนต้อนรับลูกค้าอยู่หน้าร้านพอดี เหยียนหลิ่วส่งเสียงเรียกหญิงสาวด้วยความตื่นเต้น “ตงตง!” เสียงเรียกของชายหนุ่มไม่เพียงดึงดูดสายตาของตงตง ยังเรียกความสนใจจากคนรอบข้างอีกด้วย ทว่า… สองหนุ่มสาวหาได้สนใจคนอื่นแต่อย่างใด ในสายตาของทั้งคู่มีเพียงกันและกันเท่านั้น “พี่หลิ่วกลับมาแล้ว!” ตงตงยิ้มกว้าง ก้าวยาวๆ เข้าไปหาชายหนุ่ม เมื่อระยะห่างของทั้งคู่ร่นลงจนไม่เหลือช่องว่าง เหยียนหลิ่วตอบกลับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้ากลับมาแล้ว” เหยียนหลิ่วไม่เพียงพูดเปล่าๆ สองมือใหญ่ยังโอบเอวบางของนาง แล้วยกร่างของนางขึ้นจากพื้นอ
บทที่ 77จู่โจมรวดเร็ว หลังจากหัวหน้าเผ่าฮุยรู้ข่าวเรื่องกองทัพสนับสนุนเดินทางมาถึงป้อมปราการตะวันออก พวกมันก็ไม่อยู่เฉย เคลื่อนทัพท่ามกลางความมืด รอจังหวะบุกโจมตีป้อมปราการตะวันออกอย่างไม่ให้แคว้นเฉียนรู้ตัว หากทว่า กลางดึกคืนเดียวกันนั้น ฟางอู่เซิงวางกองกำลังไว้ที่นอกป้อมปราการอย่างเงียบเฉียบ ทันทีที่แสงแรกมาเยือน หัวหน้าพลธนูที่ซ่อนตัวตั้งแต่กลางดึก ก็ได้ส่งสัญญาณมือให้โจมตี พลธนูที่ซุ่มบนต้นไม้นับสิบนายปล่อยศรพุ่งออกไป ฟิ้ว… “อึก!” “อั่ก!!” ทหารเผ่าฮุยที่ตั้งทัพเตรียมบุกป้อมปราการ ล้มกองบนพื้นทีละคนสองคนราวกับใบไม้ล่วงจากต้น เริ่มต้นสงคราม มองเผินๆ ฝ่ายที่ได้เปรียบอาจจะเป็นทางแม่ทัพฟางอู่เซิง แต่ทันทีที่เผ่าฮุยรู้สึกตัวว่าพวกมันถูกซุ่มโจมตี หัวหน้าเผ่าฮุยได้สั่งการและแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งให้หันกลับไปสังหารพลธนูของแคว้นเฉียน โดยใช้ศพของพวกเดียวกันเป็นเกาะกำบัง อีกฝ่ายหนึ่งทุ่มเทสุดกำลังทำลายป้อมปราการแล้วบุกเข้าไป “แทนที่จะล่าถอย แต่เลือกบุกต่
บทที่ 76กำลังเต็มร้อยด้วยอาหารอัดแท่ง วันต่อมา กองทัพของแม่ทัพฟาง หน่วยคุ้มกันเสบียงของเหิงเจา และหน่วยลอบโจมตีของเหยียนหลิ่ว เคลื่อนตัวออกจากเมืองหลวง เสบียงที่ทหารทุกนายพกติดตัวนั้น ส่วนใหญ่มาจากโรงเตี๊ยมตระกูลจาง นอกจากจะเป็นของแห้งที่เก็บไว้ได้นาน น้ำหนักเบา สารอาหารยังครบถ้วน ไม่เปลืองแรงเวลาต้องหอบหิ้วเวลาที่ต้องเดินทางไกลๆ แถมรสชาติยังอร่อย กินเท่าไรก็ไม่เบื่อ และต้องขอบคุณเสบียงจากโรงเตี๊ยมตระกูลจางเช่นกัน ทำให้การเดินทางมาถึงชายแดนตะวันออกเร็วกว่ากำหนดหลายวัน แม้ระหว่างทาง รถขนเสบียงจะถูกดักปล้น แต่ทหารทุกคนที่ได้กินธัญพืชอัดแท่งที่มีพลังงานสูง พวกเขาจึงปกป้องเสบียงหลวงเอาไว้ได้ โดยที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ในขณะเดินทางไกล เลี่ยงไม่ได้ท่ีจะมีล้มป่วยด้วยพิษไข้ แต่ด้วยยาเม็ดจากโรงเตี๊ยมตระกูลจาง กินเพียงสองเม็ด ไข้หวัดเล็กน้อยพลันบรรเทาลง พร้อมออกเดินทางต่อได้ทันที ไม่ต้องทิ้งใครไว้ข้างหลัง ด้วยเหตุนี้เอง ตอนมาถึงป้อมปราการตะวันออก เรี่ยวแรงของทหารทุกนายจึงยังล้นเหลือ พร้อมออกรบได้ทันที
บทที่ 75คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมพิธีการ ครั้นพอได้ยินเสียงคุ้นๆ สองหนุ่มสาวที่พลอดรักกันอยู่หน้าบ้าน มองผู้มาเยือนที่ไม่ได้รับเชิญด้วยสายตาเอือมระอา “เข้าบ้านคนอื่นก่อนได้รับอนุญาต ใครกันแน่ที่หน้าไม่อาย” เหยียนหลิ่วบอกด้วยเสียงเย็นชา “แม้ว่าเป็นข้าอย่างนั้นหรือ พี่เหยียนหลิ่ว” เสียงหวานกังวานใสดังขึ้นที่หน้าประตู จากนั้นหญิงสาววัยสิบแปดรูปร่างหน้าตาสะสวย สวมใส่อาภรณ์หรูหราก็ก้าวเข้ามาในบ้าน สาวรับใช้ที่ยืนเท้าสะเอว ทำหน้ายักษ์มองมาที่ตงตง รีบกลับไปยืนข้างหลังหญิงสาวผู้มาใหม่ พร้อมเรียกฝ่ายนั้นว่า “คุณหนู” เหยียนหลิ่วขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดด้วยความรู้สึกไม่ชอบใจนัก “ถึงจะเป็นคุณหนูสามจากจวนเจ้ากรมพิธีการ ก็ควรเรียนรู้มารยาทสักหน่อย” ถูกชายหนุ่มที่ตัวเองชอบสั่งสอน ซูหลันหลัน…คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมพิธีการรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก หันไปขึงตาใส่ตงตงที่นั่งเงียบ เหยียนหลิ่วลุกขึ้น ใช้ร่างใหญ่โตของตนยืนบังตงตงหมายปกป้องหญิงคนรัก แม้จะรู้ว่าคุณหนูสามซูคนนี้จะไม่กล้าแตะต้องตงตงก็ตาม