บทที่ 61
ขยายกิจการ
หลายวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
จางไคเฮ่อทำสัญญาซื้ออาคารทั้งสองแห่งสำเร็จลุล่วง โดยใช้เงินทั้งหมดไปแค่ 380 ตำลึงทอง
ราคาบ้านเรือนในเมืองหลวง 1 หลังไม่ต่ำกว่า 300 ตำลึงทอง
อาคารที่อยู่ติดกันนี้ เจ้าของเดิมย้ายไปอยู่เมืองข้างๆ ตั้งแต่ 4 กว่าปีก่อน ติดป้ายขายในราคา 300 ตำลึงทอง อันเป็นราคาต่ำสุดในตลาดอสังหาริมทรัพย์
แต่จางไคเฮ่อก็ใช้ความอดทน ต่อรองราคาให้เหลือน้อยที่สุด มิหนำซ้ำยังใช้วิธีเล่นตัวแบบที่ตงตงสอนจนเหลือเพียง 230 ตำลึงทองเท่านั้น
ส่วนอาคารที่เปิดโรงเตี๊ยมในปัจจุบัน เจ้าของคือหานฮูหยิน ถือว่าเป็นคนรู้จักกัน หานฮูหยินขายให้ในราคา 150 ตำลึงทอง เนื่องจากนางตั้งใจจะปล่อยขายอยู่แล้ว
เดิมที ตงตงตั้งงบไว้ประมาณ 500 ตำลึงทอง ในเมื่อใช้เงินทั้งหมดแค่ 380 ตำลึงทอง ก็นับว่าคุ้มค่า
หลังจากได้อาคารมาแล้ว จางไคเฮ่อจ้างให้คนมาปรับปรุง ก่อนจะไปถนนที่ตั้งร้านซื้อขายทาส
ใช้เงินอีก 80 ตำลึงทองในการซื้อทาสกลับมา 3 คน
ทาสสองคนคือหนุ่มสาวอายุอยู่ในช่วง 17 - 20 ปี ทำงานคล่องแคล่ว
ทาสคนที่สามเป็นชายอายุ 20 ปีปลายๆ เห็นว่ารู้วิชาป้องกันตัว ชายคนนี้เติบโตมาในชนบท ต้องเลี้ยงชีพด้วยการเผาถ่านและล่าสัตว์ ขายตัวเองมาเป็นทาสเพราะต้องใช้เงินรักษามารดา
สุดท้ายโรคที่มารดาเป็นกลับรักษาหาย มารดาเสียชีวิต แต่หนี้สินยังอยู่ เขาจึงกลายเป็นทาสอย่างที่เห็น
จางไคเฮ่อคิดว่าชายคนนี้หน่วยกร้านไม่เลว กตัญญูและดูสัตย์ซื่อ จึงให้เขาทำหน้าที่เป็นยามช่วยเฝ้าระวังภัย
เมื่อทุกอย่างลงตัว โรงเตี๊ยมตระกูลจางและร้านค้าใหม่ก็เปิดกิจการ
…..
…..
นับตั้งแต่กลับมาเปิดร้านอีกครั้ง ลูกค้าเก่าลูกค้าใหม่แวะเวียนเข้าร้านไม่ขาดสาย
หลังจากเกิดคดีความ ตงตงคิดว่าลูกค้าจะหายไปมากกว่าครึ่ง กลับกันแล้ว ลูกค้าเข้าร้านมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ
เหตุผลคงเพราะตอนไต่สวนคดี ได้มีการประลองอาหาร กรรมการทั้งสามผู้มีชื่อเสียงในเมืองหลวง ต่างยอมรับว่าอาหารฝีมือจางตงตงอร่อยมาก
เล่นเอาทุกคนอยากมาลิ้มลองอาหารอร่อย
อีกอย่าง กลับมาเปิดร้านครั้งนี้ ตงตงเพิ่มเมนูทานเล่น 2 เมนู ซาโมซ่ากับเฟรนช์ฟรายส์
เป็นของทานเล่นที่แปลกใหม่และอร่อยไม่เหมือนใคร
เพียงวันเดียว เมนูใหม่ทั้งสองอย่าง ขายดีจนติดชาร์ทอันดับหนึ่ง!
“ตงตง ขอคุยด้วยหน่อย”
ตอนที่ลูกค้าในร้านเริ่มซาลง จิ่งฝางเดินเข้ามาหาตงตงที่โต๊ะคิดเงิน
“มีอะไรหรือพี่จิ่งฝาง”
“คือ…ข้าคิดว่าถึงเวลาที่เจ้าต้องหาหลงจู๊ หรือไม่ก็พนักงานคิดเงินสักคนแล้ว” จิ่งฝางเสนอความคิด
ในตอนที่ตงตงยุ่งอยู่หลังร้าน ลูกค้าบางคนก็จะเรียกให้จิ่งฝางไปเก็บเงิน
แต่จิ่งฝางคิดเลขไม่เก่ง ต้องรอตงตงทุกครั้ง
พอเห็นตงตงวิ่งหน้าวิ่งหลังอยู่คนเดียว ก็อดรู้สึกเห็นใจไม่ได้
คำพูดของจิ่งฝางทำให้เด็กสาวฉุกคิด ก่อนจะตอบจิ่งฝางออกไป
“ข้าก็คิดแบบนั้น”
ยอมรับตรงนี้เลย ตอนนี้นางยุ่งจนหัวหมุน อยากได้คนมาช่วยคิดเงินกับตรวจสอบบัญชีจริงๆ นั่นละนะ
“ติดป้ายรับสมัครที่หน้าร้านดีหรือไม่” จางไคเฮ่อได้ยินทั้งสองคนคุยกันพอดีจึงเข้ามาชี้แนะ
“แบบนั้นก็ดี ถ้าว่างเมื่อไรข้าจะเขียนป้ายรับสมัคร” ตงตงตอบ
จิ่งฝางทำหน้าลังเล ปากขยับเหมือนอยากจะพูด
จางไคเฮ่อเห็นแบบนั้นจึงบอกให้จิ่งฝางพูดมา
พอครุ่นคิดสักครู่ จิ่งฝางก็บอกว่า “หากพวกท่านไม่คิดมากว่าต้องเป็นคนมีประสบการณ์เท่านั้น ลองจ้างบัณฑิตจากสำนักศึกษาดีหรือไม่ขอรับ พอดีข้าได้ยินจากเถ้าแก่อู๋ เจ้าของร้านขายใบชา เขาบอกว่ามีบัณฑิตหลายคนต้องการงานพิเศษ”
“บัณฑิตทำงานพิเศษได้ด้วยหรือ” ตงตงถามด้วยความแปลกใจ
“ถ้าเป็นบัณฑิตมีชาติตระกูลจะหยิ่งในศักดิ์ศรี ไม่มีทางทำงานพิเศษแน่ แต่หากเป็นบัณฑิตยากไร้ที่มาจากเมืองอื่น พวกเขาต้องการเงินค่าเช่าห้อง ค่ากินอยู่ ร้านค้ามากมายก็จ้างบัณฑิตกลุ่มนี้ เถ้าแก่อู๋บอกว่าหากจ้างบัณฑิตกลุ่มนี้จะประหยัดต้นทุนค่าแรงได้มาก” จิ่งฝางอธิบาย
“เข้าใจแล้ว”
คำพูดของจิ่งฝาง ทำให้ตงตงหวนนึกถึงตัวเองในชาติก่อน
ตอนเข้ามาอยู่ในเมืองใหญ่ ยังไม่มีงานทำเป็นหลักเป็นแหล่ง ที่รอดมาได้แต่ละเดือนล้วนเป็นเงินจากงานพาร์ทไทม์
หากจ้างบัณฑิตยากไร้ นับเป็นการช่วยเหลือทุนการศึกษาด้วย
ดี!
ตงตงว่า
“ช่วงที่ติดป้ายรับสมัครผู้ดูแลร้าน ข้าจะรับบัณฑิตมาทำงานชั่วคราว ขอรบกวนท่านพ่อกับพี่จิ่งฝางช่วยหาคนได้หรือไม่ ขอสัก 2 คนก็พอ”
จางไคเฮ่อมองคนเก่ง จิ่งฝางอัธยาศัยดีรู้จักคนเยอะ ให้พวกเขาสองคนช่วยหาคนให้ย่อมดีกว่าให้ตงตงไปหาเอง
แน่นอนว่า งานบัญชีตงตงยังคงทำเองทั้งหมด แต่เรื่องคิดเงินตามโต๊ะและดูแลหน้าร้าน นางจะให้บัณฑิตทำแทน แบบนี้จะช่วยลดงานของตงตงได้มาก
จางไคเฮ่อกับจิ่งฝางพยักหน้าตอบ “อืม”
วันต่อมา ทั้งสองคนออกไปที่หน้าสถานศึกษาเพื่อหาบัณฑิตมาทำงานบัญชี
ตกเย็นวันเดียวกันนั้น ทั้สองคนก็พาพนักงานบัญชีคนใหม่มาแนะนำ ทั้งคู่เป็นบัณฑิตหญิง หายากมากในยุคศักดินาที่เหล่าบัณฑิตส่วนใหญ่ที่เป็นบุรุษ
บทพิเศษความลับของตระกูลจาง หนึ่งวันหลังเสร็จสิ้นงานแต่ง จางไคเฮ่อนำชื่อของเหยียนหลิ่วเข้าทะเบียนราษฎร์ของตระกูลจาง นับจากนี้เหยียนหลิ่วจะกลายเป็นคนตระกูลจางเต็มตัว กลายเป็น ‘จางเหยียนหลิ่ว’ ล่วงเข้าสู่วันที่ห้าหลังจากที่ทั้งสองกลายเป็นสามีภรรยากัน เหยียนหลิ่วก็ถูกตงตงจูงมือพาลงไปที่ห้องใต้ดินของโรงเตี๊ยม “ภรรยา…ห้องใต้ดินเป็นความลับของตระกูล เจ้าแน่ใจหรือว่าข้าลงไปที่นั่นได้” เหยียนหลิ่วถามเพื่อให้ตงตงไตร่ตรองอีกครั้ง เหยียนหลิ่วรู้แค่ว่า ภายในห้องใต้ดินเป็นสถานที่เก็บสินค้าและสมบัติของตระกูลจาง กุญแจมีเพียงสองดอกเท่านั้น ดอกหนึ่งจางไคเฮ่อเป็นคนเก็บ และดอกหนึ่งเป็นของตงตง กระนั้น ตงตงกลับหันมายิ้มให้กับเหยียนหลิ่วด้วยสีหน้าสบายๆ “ตอนนี้ท่านเองก็เป็นคนของตระกูลจางแล้ว” “ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ แต่…” “ในอนาคตท่านคิดจะหย่ากับข้าหรือ…หรือว่า…ท่านจะหักหลังตระกูลจาง?” “เรื่องนั้นจะไม่มีทางเกิดขึ้นเด็ดขาด!” เหยียนหลิ่วตอบกลับอย่างหนักแน่น หย่ากันหรือ
บทส่งท้าย ฤกษ์แต่งงานที่เร็วที่ก็คือต้นเดือนหน้า นับวันดูแล้ว พวกเขามีเวลาจัดเตรียมงานไม่ถึง 1 เดือนด้วยซ้ำ ตงตงกับเหยียนหลิ่วจึงต้องตัดชุดแต่งงานกันตั้งแต่เนิ่นๆ เขียนบัตรเชิญส่งให้แขก กำหนดเมนูอาหาร และเริ่มซื้อข้าวของมาตกแต่งสถานที่ พอยุ่งอยู่กับการเตรียมงาน เผลอแป๊บเดียวก็เหลือเวลาอีกแค่ 2 วันเท่านั้น “ตงตง!” เสียงหญิงสาวอันคุ้นเคยดังหน้าประตูโรงเตี๊ยม ตงตงกำลังตรวจความเรียบร้อย หลังจากที่จิ่งฝางกับพวกเสี่ยวกวางแขวนโคมแดงเสร็จ รีบหันมองตามเสียงเรียกนั้น หานเจียเอ๋อร์ยืนยิ้มให้กับตงตง ข้างๆ หานเจียเอ๋อร์คือถังเหวินที่กำลังอุ้มลูกชายวัย 2 ขวบ ทั้งคู่แต่งงานกันเมื่อ 3 ปีก่อน หลังพิธีวิวาห์ สองเดือนถัดมา หานเจียเอ๋อร์ก็ตั้งครรภ์ทันที ถัดจากถังเหวินก็คือซานหลัวเฉินกับภรรยาที่เพิ่งแต่ง ครั้นเห็นคนคุ้นเคย ตงตงก็เดินยิ้มเข้าไปหาทุกคน “พวกท่านมากันแล้ว เข้ามาก่อนเจ้าค่ะ…อาหลงตัวน้อย สบายดีไหมจ๊ะ” เด็กน้อยวัย 2 ขวบพยักหน้าตอบ “อื้อ”
บทที่ 78ขอแต่งงาน 10 วันต่อมา ณ สำนักราชองครักษ์หลวง ทันทีที่กลับมาถึงเมืองหลวง เหิงเจากับเหยียนหลิ่วเข้าพบเสนาธิการเว่ยจ้ง รายงานเรื่องราวทั้งหมดตอนอยู่ป้อมปราการตะวันออก เมื่อเสร็จธุระหมดแล้ว เหยียนหลิ่วขอตัวกลับทันที ชายหนุ่มเดินบนถนนด้วยฝีเท้าเร่งรีบ เมื่อมาถึงโรงเตี๊ยมตระกูลจาง เห็นหญิงสาวในดวงใจยืนต้อนรับลูกค้าอยู่หน้าร้านพอดี เหยียนหลิ่วส่งเสียงเรียกหญิงสาวด้วยความตื่นเต้น “ตงตง!” เสียงเรียกของชายหนุ่มไม่เพียงดึงดูดสายตาของตงตง ยังเรียกความสนใจจากคนรอบข้างอีกด้วย ทว่า… สองหนุ่มสาวหาได้สนใจคนอื่นแต่อย่างใด ในสายตาของทั้งคู่มีเพียงกันและกันเท่านั้น “พี่หลิ่วกลับมาแล้ว!” ตงตงยิ้มกว้าง ก้าวยาวๆ เข้าไปหาชายหนุ่ม เมื่อระยะห่างของทั้งคู่ร่นลงจนไม่เหลือช่องว่าง เหยียนหลิ่วตอบกลับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้ากลับมาแล้ว” เหยียนหลิ่วไม่เพียงพูดเปล่าๆ สองมือใหญ่ยังโอบเอวบางของนาง แล้วยกร่างของนางขึ้นจากพื้นอ
บทที่ 77จู่โจมรวดเร็ว หลังจากหัวหน้าเผ่าฮุยรู้ข่าวเรื่องกองทัพสนับสนุนเดินทางมาถึงป้อมปราการตะวันออก พวกมันก็ไม่อยู่เฉย เคลื่อนทัพท่ามกลางความมืด รอจังหวะบุกโจมตีป้อมปราการตะวันออกอย่างไม่ให้แคว้นเฉียนรู้ตัว หากทว่า กลางดึกคืนเดียวกันนั้น ฟางอู่เซิงวางกองกำลังไว้ที่นอกป้อมปราการอย่างเงียบเฉียบ ทันทีที่แสงแรกมาเยือน หัวหน้าพลธนูที่ซ่อนตัวตั้งแต่กลางดึก ก็ได้ส่งสัญญาณมือให้โจมตี พลธนูที่ซุ่มบนต้นไม้นับสิบนายปล่อยศรพุ่งออกไป ฟิ้ว… “อึก!” “อั่ก!!” ทหารเผ่าฮุยที่ตั้งทัพเตรียมบุกป้อมปราการ ล้มกองบนพื้นทีละคนสองคนราวกับใบไม้ล่วงจากต้น เริ่มต้นสงคราม มองเผินๆ ฝ่ายที่ได้เปรียบอาจจะเป็นทางแม่ทัพฟางอู่เซิง แต่ทันทีที่เผ่าฮุยรู้สึกตัวว่าพวกมันถูกซุ่มโจมตี หัวหน้าเผ่าฮุยได้สั่งการและแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งให้หันกลับไปสังหารพลธนูของแคว้นเฉียน โดยใช้ศพของพวกเดียวกันเป็นเกาะกำบัง อีกฝ่ายหนึ่งทุ่มเทสุดกำลังทำลายป้อมปราการแล้วบุกเข้าไป “แทนที่จะล่าถอย แต่เลือกบุกต่
บทที่ 76กำลังเต็มร้อยด้วยอาหารอัดแท่ง วันต่อมา กองทัพของแม่ทัพฟาง หน่วยคุ้มกันเสบียงของเหิงเจา และหน่วยลอบโจมตีของเหยียนหลิ่ว เคลื่อนตัวออกจากเมืองหลวง เสบียงที่ทหารทุกนายพกติดตัวนั้น ส่วนใหญ่มาจากโรงเตี๊ยมตระกูลจาง นอกจากจะเป็นของแห้งที่เก็บไว้ได้นาน น้ำหนักเบา สารอาหารยังครบถ้วน ไม่เปลืองแรงเวลาต้องหอบหิ้วเวลาที่ต้องเดินทางไกลๆ แถมรสชาติยังอร่อย กินเท่าไรก็ไม่เบื่อ และต้องขอบคุณเสบียงจากโรงเตี๊ยมตระกูลจางเช่นกัน ทำให้การเดินทางมาถึงชายแดนตะวันออกเร็วกว่ากำหนดหลายวัน แม้ระหว่างทาง รถขนเสบียงจะถูกดักปล้น แต่ทหารทุกคนที่ได้กินธัญพืชอัดแท่งที่มีพลังงานสูง พวกเขาจึงปกป้องเสบียงหลวงเอาไว้ได้ โดยที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ในขณะเดินทางไกล เลี่ยงไม่ได้ท่ีจะมีล้มป่วยด้วยพิษไข้ แต่ด้วยยาเม็ดจากโรงเตี๊ยมตระกูลจาง กินเพียงสองเม็ด ไข้หวัดเล็กน้อยพลันบรรเทาลง พร้อมออกเดินทางต่อได้ทันที ไม่ต้องทิ้งใครไว้ข้างหลัง ด้วยเหตุนี้เอง ตอนมาถึงป้อมปราการตะวันออก เรี่ยวแรงของทหารทุกนายจึงยังล้นเหลือ พร้อมออกรบได้ทันที
บทที่ 75คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมพิธีการ ครั้นพอได้ยินเสียงคุ้นๆ สองหนุ่มสาวที่พลอดรักกันอยู่หน้าบ้าน มองผู้มาเยือนที่ไม่ได้รับเชิญด้วยสายตาเอือมระอา “เข้าบ้านคนอื่นก่อนได้รับอนุญาต ใครกันแน่ที่หน้าไม่อาย” เหยียนหลิ่วบอกด้วยเสียงเย็นชา “แม้ว่าเป็นข้าอย่างนั้นหรือ พี่เหยียนหลิ่ว” เสียงหวานกังวานใสดังขึ้นที่หน้าประตู จากนั้นหญิงสาววัยสิบแปดรูปร่างหน้าตาสะสวย สวมใส่อาภรณ์หรูหราก็ก้าวเข้ามาในบ้าน สาวรับใช้ที่ยืนเท้าสะเอว ทำหน้ายักษ์มองมาที่ตงตง รีบกลับไปยืนข้างหลังหญิงสาวผู้มาใหม่ พร้อมเรียกฝ่ายนั้นว่า “คุณหนู” เหยียนหลิ่วขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดด้วยความรู้สึกไม่ชอบใจนัก “ถึงจะเป็นคุณหนูสามจากจวนเจ้ากรมพิธีการ ก็ควรเรียนรู้มารยาทสักหน่อย” ถูกชายหนุ่มที่ตัวเองชอบสั่งสอน ซูหลันหลัน…คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมพิธีการรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก หันไปขึงตาใส่ตงตงที่นั่งเงียบ เหยียนหลิ่วลุกขึ้น ใช้ร่างใหญ่โตของตนยืนบังตงตงหมายปกป้องหญิงคนรัก แม้จะรู้ว่าคุณหนูสามซูคนนี้จะไม่กล้าแตะต้องตงตงก็ตาม