ณ.กระท่อมท้ายจวน
บริเวณหน้ากระท่อมเต็มไปด้วยใบไม้แห้งร่วงหล่นกองสูงจนเต็มลานไปหมด ลมพาดผ่านมากับอากาศที่เหน็บหนาวจนเย็นยะเยือกไปทั่วกาย ดีที่ว่ายังไม่ถึงช่วงหิมะตกโปรยปรายจึงทำให้เมืองฉางอานปราศจากสีขาวโพลนของเกล็ดหิมะ จึงยังสามารถเดินทางโดยไม่มีอุปสรรคเสียเท่าใดนอกเสียจากความเย็นยะเยือกเท่านั้น
หลัวอี้หลางก้าวเดินออกมาจากประตูทางทิศเหนือมุ่งไปยังทางเดินเพื่อผ่านประตูทางทิศใต้รีบเร่งไปพบกับหลิวเหวินซานอาจารย์ผู้เปรียบเสมือนบิดาคนที่สองก็ว่าได้ ผ้าคลุมผืนใหญ่คลุมร่างเอาไว้อย่างมิดชิดเพื่อปกป้องความหนาวเย็นถูกสะบัดไปมาครั้นเดินมาถึงหน้าประตู ทว่ายังไม่ทันได้เปิดประตูเข้าไปเสียงของบุรุษที่มีจำนวนไม่น้อยดังแทรกขึ้นท่ามกลางกระแสลมที่พัดพาความเย็นยะเยือกจนใบไม้ร่วงหล่นอยู่เต็มลานกว้างปลิวว่อนกระจายไปทั่วบริเวณดังกล่าว “คิดเห็นเช่นไรท่านผู้เฒ่าในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสสูงสุดของพรรค พวกเราทั้งเจ็ดต่างแอบปะปนไปสังเกตการณ์ที่จวนตระกูลจางด้วยกันทั้งสิ้น จนเป็นที่แน่ใจแล้วว่าหินโลหิตที่พรรคมารของเราเฝ้าเก็บรักษามานับพันปีบัดนี้เข้าไปสถิตอยู่ในกายของสตรจวนไต้อ๋องคันฉ่องลายวิจิตรสะท้อนใบหน้างามอันเฉิดฉายของเสี้ยนจูคนงามที่ถูกแต่งเติมด้วยเครื่องประทินโฉมแบบจัดเต็ม ด้วยวันนี้เป็นงานเลี้ยงพระราชทานคิ้วเข้มถูกเขียนจนดำขลับ ริมฝีปากคาบแผ่นชาดสีแดงสดจนขับผิวขาวโพลน ก่อนจะใช้มือลูบไล้ของเหลวคล้ายน้ำมันนำมาใส่ผมสกัดมาจากดอกหอมหมื่นลี้ ติดตามด้วยลูบไล้เนื้อตัวด้วยน้ำหอมแห้งสำหรับใช้ในฤดูหนาวนำมาใส่ในถ้วยกระเบื้องเคลือบ ก่อนนำไปตั้งไฟจนละลายกลายเป็นของเหลวนำมาแต้มบริเวณซอกคอ ท้องแขนและข้อมือเพื่อส่งกลิ่นหอมรัญจวนทำให้เหล่าบุรุษลุ่มหลงในกายของนาง ใบหน้างดงามของสตรีที่ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นหญิงงามแห่งฉางอานไม่นับอู่เจาอี๋ พระสนมอันเป็นที่รักยิ่งของถังเกาจงฮ่องเต้ที่มีความงามเป็นที่เลื่องลือไปทั่วทั้งแผ่นดินเช่นกัน “เสี้ยนจูงดงามจังเลยเพคะ...นี่ถ้าท่านผู้บัญชาการทัพได้เห็นในงานเลี้ยงที่ฝ่าบาทรงจัดขึ้นในวันนี้จะต้องตกตะลึงอย่างแน่นอน จากที่ต้องการสมรสกับสตรีชั้นต่ำผู้นั้นจะต้องเปลี่ยนใจไปทันที”นางกำนัลหลินซีพูดประจบเอาหน้า รอยแสยะยิ้มเหยียดปรากฏบนดวงหน้างามเมื่อได้ยินนางกำนัลคนสนิทพูดประจบออกมาเช่นนั้น ใบห
จวนตระกูลจางร่างสูงใหญ่ของจางเย่วฉินสวมอาภรณ์สีน้ำตาลทองสูงค่าเพื่อเตรียมตัวเดินทางไปร่วมงานเลี้ยงซึ่งถังเกาจงฮ่องเต้ทรงมีพระบัญชาให้จัดขึ้นฉลองชัยชนะให้แก่ต้าถังมีชัยเหนือชนเผ่านอกด่าน และเฉลิมฉลองที่พระองค์ทรงได้พระราชธิดาจากอู่เจาอี๋พระสนมองค์โปรด แม่ทัพรูปงามเดินออกมาจากห้องแต่งตัวที่อยู่ปีกซ้ายของห้องนอน เดินตรงไปที่เตียงของตัวเองพร้อมทรุดกายลงนั่งมองใบหน้าแสนสวยของนางมารน้อยที่หลับใหลมานานติดต่อกันเป็นวันที่สิบเข้าไปแล้ว “นางมารน้อย! เมื่อไรเจ้าจะตื่นขึ้นมาเสียที รู้ไหมตั้งแต่เจ้าล้มป่วยและหลับใหลไปอย่างไม่รู้ต้นสายปลายเหตุข้าเงียบเหงามากเพียงใด ไม่มีใครสร้างเรื่องปวดหัวและคอยทะเลาะกับข้าดั่งเช่นกาลก่อน ตอนนี้เจ้ามีบิดาและพี่ชายถึงสี่คนท่านพ่อของเจ้าเป็นถึงเสนาบดีใหญ่ของราชสำนัก ไม่ได้เป็นนางมารตามที่ข้าเข้าใจตั้งแต่แรกแล้วนะ”จางเย่วฉินพูดพลางคว้ามือเรียวสวยที่เขาชื่นชมอยู่เสมอเมื่อครั้งอยู่ในร่างของมี่อิง นิ้วเรียวยาวดุจดั่งลำเทียนและเล็บมือที่เคลือบสีกลีบดอกบัวเงางาม ซึ่งมี่อิงจะคอยดูแลอยู่เสมอ รวมไปถึงร่างของนางก็ด้วยเช่นกัน จะเพียรเฝ้าคอยใช้เคร
“อะไรนะ!!!”หลัวอี้หลางพูดพึมพำด้วยความรู้สึกที่ยากเกินกว่าจะรับความจริงดังกล่าวได้ “ข้า! คือลูกชายแท้ๆ ของท่านอย่างนั้นเหรอ!เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้!!!”หลัวอี้หลางตะโกนเสียงดังก้อง “แต่มันเป็นความจริง! เจ้าคือลูกชายแท้ๆ เป็นสายเลือดในอกของข้า!”หลิวเหวินซานตวาดกลับไป ใบหน้าคมเข้มเต็มไปด้วยความบึ้งตึงขึ้นมาทันทีครั้นได้ยินเสียงยืนยันกลับมาเช่นนั้น “ไม่จริง! ท่านแม่ของข้าไม่มีวันทำเรื่องผิดจารีตเป็นที่น่าอับอายเช่นนี้อย่างแน่นอน ท่านแม่ไม่ได้คบชู้กับท่าน!”หลัวอี้หลางต่อว่ากลับไป “หุบปากของเจ้าเดี๋ยวนี้! ท่านแม่ของเจ้าไม่ได้คบชู้แต่อย่างใดแต่นางเป็นคนรักของข้า! หลัวไค๋ต่างหากที่แย่งนางไป! ทั้งๆ ที่ล่วงรู้ว่านางเป็นคนรักของข้า!!!” ตุบ! หลัวอี้หลางถึงกับทรุดนั่งลงกับพื้นกระท่อมทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ท่านพ่อนะเหรอแย่งท่านแม่มา!!!”แม่ทัพหนุ่มพูดย้ำอยู่เช่นนั้นด้วยไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่คนเป็นอาจารย์กล่าว “ข้าเมื่อ 25 ปีก่อนคือจอมยุทธ์ที่ท่องไปทั่วยุทธภพ ได้พบแม่ของเจ้าซึ่งเป็นคุณหนูใหญ่จากสกุลจู เราสองตกหลุมรักซึ่งกันและกันนับตั้งแต่คราแร
พระตำหนักจื่อเฉินตำหนักจื่อเฉินเป็นหนึ่งในสามของพระตำหนัก สำหรับใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงขนาดใหญ่ ซึ่งสามารถรองรับบรรดาขุนนางมากมายนับร้อยคน พร้อมทั้งผู้ติดตามซึ่งอนุญาตให้เป็นภรรยาเอก บุตรชายหรือบุตรสาวของขุนนางแต่ละคนร่วมงานได้อีกหนึ่งคน ในขณะที่พระตำหนักเซวียนเจิ้ง ใช้เป็นสถานที่รับรองราชทูตและตัวแทนจากต่างแคว้นต่างเมืองมาเยือนต้าถัง องค์จักรพรรดิจึงเลือกตำหนักแห่งนี้ใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงรับรองแขกบ้านแขกเมือง ส่วนพระตำหนักหานเยวียนมีไว้เป็นสถานที่สำหรับองค์จักรพรรดิออกว่าราชการ และที่สำคัญจักรพรรดิถังเกาจงทรงมีพระบัญชาที่จะเสด็จมาประทับอยู่ที่พระราชวังต้าหมิง กำลังทหารของทุกหน่วยเหล่าจึงถูกแบ่งออกมาเพื่อคอยดูแลรักษาการณ์พระราชวังแห่งนี้อย่างเต็มรูปแบบ ภายใต้คำสั่งการของจางเย่วฉินในฐานะผู้บัญชาการทัพและผู้บัญชาการทหารราชองค์รักษ์ ภายในสถานที่จัดงานเต็มไปด้วยบรรดาขุนนางตั้งแต่ระดับห้าขึ้นไปเสียส่วนใหญ่จะมาพร้อมกับภรรยาเอก มีบางส่วนที่มาพร้อมบุตรชายหรือบุตรสาวของขุนนางผู้นั้น ด้วยในงานเลี้ยงวันนี้เชื้อพระวงศ์ฝ่ายในได้รับพระราชทานอ
จวนไต้อ๋อง“เจ้าว่าอะไรนะ!”เสี้ยนจูคนงามแผดเสียงดังก้องอยู่ภายในตำหนักส่วนตัว ครั้นได้ยินอดีตบ่าวรับใช้กลับมารายงานความเคลื่อนไหวของจางเย่วฉิน ร่างอวบอิ่มลูกพรวดพราดขึ้นจากตั่งอย่างรวดเร็วด้วยไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เพิ่งได้ล่วงรู้จากปากของบ่าวรับใช้ “หม่อมฉันได้ยินมากับหูเลยเพคะ สตรีที่เสี้ยนจูพบในหอฝูหรงครานั้นแท้จริงแล้วคือธิดาที่เกิดจากฮูหยินของเสนาบดีจ้าวซึ่งหายสาบสูญไปนานเกือบ 20 ปี หมอหลวงชุนทำการพิสูจน์เลือดความเป็นพ่อลูกออกมาแล้ว และผลออกมาก็คือนางเป็นธิดาของท่านเสนาบดีจริงๆ เจ้าค่ะ”อดีตบ่าวรับใช้รายงานอย่างละเอียด ตุบ!!! เสี้ยนจูคนงามถึงกับหมดแรงที่จะยืนเลยทีเดียว นางทรุดกายลงนั่งบนตั่งตามเดิม “นางนั่นที่ข้าเห็นในหอฝูหรงแท้จริงแล้วคือธิดาของจ้าวฟ่านกั๋ว อย่างนั้นเลยเหรอ! มันเป็นความจริงหรือนี่! จากคนชั้นต่ำก้าวขึ้นมาอยู่ในสายเลือดหงส์ของชนชั้นสูง มิหนำซ้ำแม่ทัพจางยังขอฝ่าบาทให้ประทานสมรสพระราชทานเพื่อแต่งงานกับนางหรือว่าท่านแม่ทัพล่วงรู้อยู่ก่อนหน้านี้แล้วว่าแท้จริงนางนั่นเป็นใคร”เสี้ยนจูคนงามรำพึงออกมาเบาๆ ก่อนจะหันกลับไปมองหน้าบ่าวรับใช้ที
ณ.กระท่อมท้ายจวนบริเวณหน้ากระท่อมเต็มไปด้วยใบไม้แห้งร่วงหล่นกองสูงจนเต็มลานไปหมด ลมพาดผ่านมากับอากาศที่เหน็บหนาวจนเย็นยะเยือกไปทั่วกาย ดีที่ว่ายังไม่ถึงช่วงหิมะตกโปรยปรายจึงทำให้เมืองฉางอานปราศจากสีขาวโพลนของเกล็ดหิมะ จึงยังสามารถเดินทางโดยไม่มีอุปสรรคเสียเท่าใดนอกเสียจากความเย็นยะเยือกเท่านั้น หลัวอี้หลางก้าวเดินออกมาจากประตูทางทิศเหนือมุ่งไปยังทางเดินเพื่อผ่านประตูทางทิศใต้รีบเร่งไปพบกับหลิวเหวินซานอาจารย์ผู้เปรียบเสมือนบิดาคนที่สองก็ว่าได้ ผ้าคลุมผืนใหญ่คลุมร่างเอาไว้อย่างมิดชิดเพื่อปกป้องความหนาวเย็นถูกสะบัดไปมาครั้นเดินมาถึงหน้าประตู ทว่ายังไม่ทันได้เปิดประตูเข้าไปเสียงของบุรุษที่มีจำนวนไม่น้อยดังแทรกขึ้นท่ามกลางกระแสลมที่พัดพาความเย็นยะเยือกจนใบไม้ร่วงหล่นอยู่เต็มลานกว้างปลิวว่อนกระจายไปทั่วบริเวณดังกล่าว “คิดเห็นเช่นไรท่านผู้เฒ่าในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสสูงสุดของพรรค พวกเราทั้งเจ็ดต่างแอบปะปนไปสังเกตการณ์ที่จวนตระกูลจางด้วยกันทั้งสิ้น จนเป็นที่แน่ใจแล้วว่าหินโลหิตที่พรรคมารของเราเฝ้าเก็บรักษามานับพันปีบัดนี้เข้าไปสถิตอยู่ในกายของสตร
จวนสกุลหลัว ภายในห้องหนังสือน้ำสีเหลืองอ่อนโชยกลิ่นหอมของใบชา ‘อู่อี๋เหยียนฉา’ หรือเรียกอีกชื่อ ‘ชาหินผา’ หนึ่งในตระกูลของชาอู่หลง ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากภูเขาอู่อี๋ซาน ของมณฑลฝูเจี้ยน ทางตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากต้นชาชนิดนี้เติบโตท่ามกลางโขดหิน จึงถูกเรียกว่า ‘ชาหินผา’ ชาอู่อี๋เหยียนฉา มีสรรพคุณช่วยลดความอ้วน บำรุงกำลัง และยังมีฤทธิ์ช่วยซ่อมแซมหัวใจ ลดการเกิดโรค ทำให้โลหิตไหลเวียนได้ดีขึ้น ส่งผลให้หัวใจแข็งแรง และยังช่วยขับปัสสาวะ ด้วยเหตุนี้ชนชั้นระดับสูงตั้งแต่เชื้อพระวงศ์ ขุนนางและคหบดีผู้มั่งคั่งของต้าถังจึงนิยมจิบชาอู่อี๋เหยียนฉานี้ในวันที่มีอากาศหนาวเหน็บเพื่อทำให้ร่างกายอบอุ่นอยู่เสมอ บ่าวรับใช้คนสนิทค่อยๆ บรรจงชงชาอย่างละเมียดละไม ก่อนจะนำมารินใส่ถ้วยชาให้แก่หลัวอี้หลาง ประมุขจวนสกุลหลัวคนปัจจุบันที่กำลังนั่งอ่านรายงานต่างๆ ของหน่วยพยัคฆ์ขาวซึ่งถังเกาจงฮ่องเต้โปรดเกล้าแต่งตั้งให้แม่ทัพหนุ่ม เป็นผู้บัญชาการหน่วยดังกล่าวและอยู่ภายใต้คำสั่งของผู้บัญชาการทหารคนปัจจุบันนั่นก็คือจางเย่วฉิน “ข้าน้อยชงชาอู่อี๋เหยีนนฉามาให้ท่านแม่ทัพหนึ่งกา ลองจ
และคำตอบดังกล่าวทำให้บ่าวรับใช้นางนั้นมีสีหน้าวิตกอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งทำให้เสี้ยนจูเห็นท่าทีที่แสดงออกมานั้นได้อย่างชัดเจน คนงามยกหีบที่มีความสูงพอประมาณจากทางด้านหลังมาวางไว้ข้างตัว ก่อนดันออกไปหยุดอยู่ตรงหน้าบ่าวรับใช้นางนั้นพร้อมเอ่ยขึ้น “นี่คือเงินจำนวนหนึ่งพันตำลึงทองสำหรับเป็นค่าเหนื่อยของเจ้ารับไปสิ”พูดพลางเปิดหีบดังกล่าวออกว้างเผยให้เห็นเงินจำนวนหนึ่งพันตำลึงทองอัดแน่นอยู่ภายในนั้นจนเต็ม ท่ามกลางอาการตะลึงตะลานของอีกฝ่าย “ให้หม่อมฉันจริงๆ หรือเพคะ”บ่าวรับใช้นางนั้นถามกลับไปแทบจะไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองที่ได้เห็นเงินจำนวนมากมายถึงเพียงนี้ “ข้าจะพูดเท็จกับเจ้าไปทำไมนี่คือค่าเหนื่อยที่จะได้รับ นี่เพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้นเพราะหากเจ้าทำงานนี้ให้แก่ข้า สำเร็จจะได้รับอีกสองพันตำลึงทองพร้อมปลดปล่อยเจ้าเป็นอิสระไม่ต้องมาเป็นบ่าวอีกต่อไป กลับไปใช้ชีวิตที่บ้านเกิดของเจ้าแล้วหาชายสักคนแต่งงานสร้างครอบครัว เช่นนี้แล้วคิดว่ารางวัลที่จะได้รับคุ้มค่ากับความเสี่ยงหรือไม่”เสี้ยนจูโน้มน้าวบ่าวของตัวเองให้คล้อยตาม ในขณะที่บ่าวรับใช้นางนั้นสายตาจับจ้องอยู่แต่ก้อนเงินสีทองอร่
ภายในห้องนอนของจางเย่วฉินบุรุษผู้มากด้วยยศศักดิ์ในฐานะขุนนางระดับสูงทั้งสาม ต่างพากันก้าวเดินเข้ามาภายในห้องนอนใหญ่ของแม่ทัพรูปงาม ทุกสายตาจับจ้องอยู่ที่ร่างของสตรีสาวที่กำลังนอนเหยียดยาวอย่างสงบนิ่งอยู่บนเตียง โดยมีหัวหน้าหมอหลวงกำลังพลิกตำราแพทย์เล่มแล้วเล่มเล่าเพื่อหาวิธีการรักษา และมีกัวเหยียนไฉกำลังนั่งอยู่บนตั่งคัดตัวยาสมุนไพรอยู่ใกล้ๆ หมอหลวงชุนและกัวเหยียนไฉรีบลุกออกจากตั่งอย่างรวดเร็ว ครั้นสายตาเหลือบไปเห็นผู้ที่เดินตามเข้ามาในห้องเป็นเสนาบดีใหญ่ที่มีอิทธิพลอยู่ในราชสำนักในขณะนี้ “ข้าน้อยคารวะใต้เท้าทั้งสอง!”หมอหลวงชุนและกัวเหยียนไฉกล่าวออกมาพร้อมกัน “ไม่ต้องมากพิธีตามสบาย”เสียงของเสนาบดีจ้าวกล่าวออกไป “นางมีอาการเป็นอย่างไรบ้างหมอชุน ได้สติขึ้นมาบ้างไหม”จางเย่วฉินเอ่ยถามเป็นประโยคแรก ทันทีที่ก้าวเข้ามาภายในห้องนอน และจากคำถามดังกล่าวทำให้จ้าวฟ่านกั๋วหันกลับไปมองทิศทางอันเป็นที่ตั้งของเตียงนอนและเห็นหญิงสาวผู้หนึ่งกำลังนอนหลับใหลอยู่ในขณะนั้น โดยมีม่านสีขาวบางเบาทั้งสองข้างบังร่างอรชร