จิ้งเฟยยังดิ้นรนอยู่ในน้ำ กลับไม่มีใครลงไปช่วยนางองค์หญิงใหญ่คว้าจับเฟิ่งจิ่วเหยียนไว้อย่างแข็งกร้าว“ผู้ใดเป็นคนผลัก ผู้นั้นก็ลงไปช่วย!”ที่นี่เป็นตำหนักฉือหนิง องครักษ์ สาวใช้ในบริเวณโดยรอบนี้ ล้วนเป็นคนขององค์หญิงใหญ่พูดเสร็จ นางก็จะผลักเฟิ่งจิ่วเหยียนลงไปในน้ำช่วงเดือนมีนาคม น้ำในสระเยือกเย็นไปถึงกระดูกเฟิ่งจิ่วเหยียนขยับไปด้านข้าง หลบเลี่ยงการผลักขององค์หญิงใหญ่ได้แววตาองค์หญิงใหญ่โกรธจัด“ฮองเฮา เจ้า...”ที่ไหนได้ ถึงแม้เฟิ่งจิ่วเหยียนหลบเลี่ยงนางได้ ทว่าพริบตาเดียวก็กระโดดลงไปในน้ำแล้วองค์หญิงใหญ่โกรธจัดจนขำหัวเราะ“ช่วย...ช่วยข้า...” จิ้งเฟยว่ายน้ำไม่เป็น อาภรณ์เครื่องประดับบนตัวทั้งหนาทั้งหนัก ผูกมัดแขนขาของนางไว้นางผลุบ ๆ โผล่ ๆ อยู่ในน้ำ ดื่มน้ำเข้าไปเป็นจำนวนมาก สิ้นหวังอย่างที่สุดเมื่ออยู่ต่อหน้าความตาย นางยากที่จะสงบสติอารมณ์และมีสติได้“ช่วยข้า...”ในขณะที่นางไม่มีเรี่ยวแรงจะดิ้นรนอีก ครั้นกำลังจะจมลงไป ก็มีมือข้างหนึ่งคว้าจับนางไว้วินาทีนั้น เหมือนแสงแดดส่องลงสู่ในสระน้ำอันเยือกเย็นทันใดนั้นก็เหมือนนางสามารถยืนมั่นคงอยู่ในน้ำได้ฮ่าว...ศีรษ
ผมของเฟิ่งจิ่วเหยียนยังไม่แห้งสนิท มัดปักด้วยปิ่นปักผมอย่างง่ายลมเย็นพัดมากระทบหน้า ชายกระโปรงของนางพลิ้วไหวซุนหมัวมัวรีบไล่ตามนาง พูดเกลี้ยกล่อมอยู่อย่างปากเปียกปากแฉะ“ฮองเฮา อย่างน้อยท่านก็อธิบายให้ฝ่าบาทฟังบ้างสิเพคะ?“จะให้ฝ่าบาทเข้าใจท่านผิดเช่นนี้หรือ?”สายตาเฟิ่งจิ่วเหยียนมองไกลออกไปอย่างห่างเหิน“ไม่เป็นไร”เดิมก็เป็นคนที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนางภายในห้องโถงด้านข้างหมอหลวงกำลังตรวจชีพจรให้กับจิ้งเฟยจักรพรรดิยืนเอามือไพล่หลังอยู่ริมหน้าต่าง แววตามองไกลออกไปจิ้งเฟยมองดูเงาหลังของชายหนุ่มด้วยแววตาซับซ้อนหลังจากฮองเฮาไปแล้ว ฝ่าบาทก็ยืนอยู่ตรงนั้นตลอด ไม่รู้ว่ากำลังดูอะไรอยู่หมอหลวงตรวจเสร็จ ก็กราบทูลรายงานฝ่าบาท“ฝ่าบาท พระนางได้รับความเย็น ทำให้ร่างกายอ่อนแอ กระหม่อมจัดยาขับความเย็นให้ทานก็พอ แต่จะโดนความหนาวไม่ได้อีก ไม่อย่างนั้นอาการป่วยจะยิ่งรุนแรง”“อืม” เซียวอวี้หันไปมองจิ้งเฟยทั้งที่ตกน้ำเหมือนกัน นางอ่อนแออยู่ในสภาพเช่นนี้ ฮองเฮากลับเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยยังไงก็เป็นคนฝึกวรยุทธคิดว่าฮองเฮาคงไม่เป็นอะไรมากหลังจากหมอหลวงกราบทูลออกไปแล้ว จิ้งเ
ตำหนักหย่งเหอซุนหมัวมัววิ่งเข้ามารายงานอย่างมีความสุขในความโชคร้ายของคนอื่น“ฮองเฮา ท่านทายได้ไหมว่า! เกิดเรื่องกับทางตำหนักซินฮุ่ยแล้ว!“ไม่ง่ายนักที่ฝ่าบาทจะเข้ามาวังหลัง คืนนี้ต้องการให้จิ้งเฟยร่วมบรรทม แต่ไม่รู้ทำไม จิ้งเฟยทำให้ฝ่าบาทขุ่นเคือง ฝ่าบาทจึงทิ้งนางแล้วก็จากไป ยังลงโทษกักบริเวณนางด้วย!”ซุนหมัวมัวยิ่งพูดก็ยิ่งสะใจ เฟิ่งจิ่วเหยียนกลับรู้สึกปวดศีรษะแปลบ ๆ นายกำลังจัดการกิจการงานทั่วไปของวังหลัง เพียงต้องการให้ทุกเรื่องเรียบร้อยอย่างดีตั้งแต่ต้นจนจบซุนหมัวมัวพูดมากเช่นนี้ นางยากที่จะใจจดใจจ่อ“ออกไป ไม่มีคำสั่งของข้า ผู้ใดก็ห้ามเข้ามา”ซุนหมัวมัวไม่รู้ว่าตนเองพูดอะไรผิดเหลียนซวงกลับไปเยี่ยมญาติที่บ้านเกิด ในที่สุดนางก็ได้คอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายฮองเฮา แต่ฮองเฮามักจะเมินเฉยกับนาง ทำให้นางน้อยใจยิ่งนักเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่สนใจท่าทีสีหน้าโศกเศร้าของซุนหมัวมัว มือข้างหนึ่งปัดลูกคิด ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา“ยังไม่ออกไปอีก?”ซุนหมัวมัวเพิ่งหันตัว หลังจากเห็นอะไรแล้ว ก็ดีใจตกตะลึงตาค้างคือฝ่าบาท? !นางรีบก้มศีรษะถวายความเคารพ“บ่าวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาทอายุยืนหมื
พักนี้เพราะความวุ่นวายจากภัยสงครามรอบด้าน ทำให้เซียวอวี้แทบจะไม่มีเวลาพักผ่อนเลยเตียงในตำหนักหย่งเหอหลังนี้ เขานอนแล้วรู้สึกสบายเป็นอย่างมากทว่าเวลานี้เอง ภายในตำหนักซินฮุ่ยจิ้งเฟยนั่งอยู่ในอ่างอาบน้ำ ดวงตาบวมด้วยความโศกเศร้าหยาดน้ำตาหยดลงผสมกับน้ำสุดท้ายนางก็ยังทำไม่สำเร็จอยู่ดี...ผู้อื่นต่างคิดว่านางได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทอย่างลึกซึ้ง ทว่าที่จริงแล้วฝ่าบาทไม่เคยแตะต้องนางมาก่อนเลยภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ นางจะตั้งครรภ์ได้อย่างไรกัน!คืนนี้นางจึงได้ลองกล่าวเรื่องร่วมบรรทมกับฝ่าบาทฝ่าบาทกลับส่งสายตาที่เย็นชาถึงเพียงนั้นใส่นาง เตือนให้นางอย่าได้คิดเพ้อเจ้อถึงสิ่งที่ตัวเองไม่คู่ควรไม่คู่ควร...ที่แท้แล้วนางไม่คู่ควรกับการให้กำเนิดองค์ชายอย่างนั้นหรือ?“ฮ่าฮ่า...” จิ้งเฟยโมโหจนหัวเราะเสียงต่ำอย่างที่สุดออกมา นางใช้มือกุมปากของตนเอาไว้ กดความโกรธ ความไม่ยินยอมนั้นลงไปฝ่าบาทช่างอำมหิตเสียจริงชิวหงที่ยืนอยู่นอกห้องอาบน้ำเป็นห่วงพระสนมเป็นอย่างยิ่งเดิมทีคืนนี้พระสนมสามารถร่วมบรรทมกับฝ่าบาทได้แท้ ๆ ทว่าฝ่าบาทกลับจากไปทั้งอย่างนี้ณ ตำหนักหย่งเหอท้องฟ้ามืดสนิทแล้
เซียวอวี้วางถ้วยสุราลงอย่างว่าง่าย น้ำเสียงผ่อนคลายสงบนิ่ง“ได้ ตามที่ฮองเฮาว่า”หลิวซื่อเหลียง : ?เหตุใดจึงไม่เหมือนอย่างที่เขาคิดเอาซะเลย?เฟิ่งจิ่วเหยียนเองก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าเขาจะฟังนางถึงเพียงนี้นางเพียงแต่เกรงว่าถ้าเขาดื่มมากจนเมามายไปจะทำลายแผนการของนางก็เท่านั้นขุนนางใหญ่ที่นั่งอยู่เมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงนี้ ต่างเกิดความรู้สึกซาบซึ้งใจ“ฝ่าบาท ครานี้แคว้นจ้าวพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ สาแก่ใจยิ่งนัก!”“พวกเขาครอบครองผังการวางกำลังป้องกันปลอมดั่งสมบัติล้ำค่า จนนึกว่าจะสามารถทลายแนวป้องกันของหนานฉีเราได้ ช่างเพ้อเจ้อเสียจริง”“ฝ่าบาท ชายแดนเหนือมีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งนาม ‘จางฉี่หยาง’ ครานี้สร้างผลงานการศึกไม่น้อยเลย มีอนาคตยิ่งนัก!”“จางฉี่หยาง? ชื่อนี้คุ้นหูอยู่บ้าง ใช่เด็กหนุ่มที่มอบหินเซวียนอิงให้เราในตอนนั้นหรือไม่?”“ใช่แล้ว เขานั่นแหละ!”เฟิ่งจิ่วเหยียนจิบสุราอึกหนึ่งโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าเซียวอวี้เกิดความรู้สึกสนใจในตัวของจางฉี่หยางขึ้นมาศิษย์ของซูฮ่วน ย่อมไม่ใช่คนธรรมดาหากเขาสามารถทำงานรับใช้ราชสำนักต่อไป ราชสำนักย่อมไม่ปฏิบัติต่อเขาอย่างไม่ยุติธรรมแน่“ถ่ายทอดราช
เซียวอวี้ไม่ให้โอกาสเฟิ่งจิ่วเหยียนปฏิเสธ“เจ้าจำกลิ่นดอกหอมหมื่นลี้ได้หรือไม่“ยามนั้นเราโปรยกลิ่นดอกหอมหมื่นลี้ใส่ร่างนักฆ่าหญิงผู้นั้น บนร่างของเจ้าเองก็มีเช่นกัน”เฟิ่งจิ่วเหยียนพลันนึกออกจากนั้นก็ได้ยินเขาพูดอีกว่า “กลิ่นดอกหอมหมื่นลี้เป็นของที่ใช้ติดตามคน เมื่อกลิ่นติดตัวแล้ว ภายในสามวันไม่มีทางหลุดออก ทั้งยังไม่อาจกระจายไปยังผู้อื่นได้”เฟิ่งจิ่วเหยียนชะงักไปเล็กน้อยที่แท้ก็ความแตกมานานแล้วอย่างนั้นหรือ...เซียวอวี้จ้องนางนิ่ง ๆ“เจ้าใช้กำลังภายในเพื่อช่วยเราอย่างไม่เสียดาย“ยาฤทธิ์ร้ายแรงในร่างกายเรา ก็มาจากความช่วยเหลือของเจ้า“ฮองเฮา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำเพื่อเรา เราล้วนรู้ดี”เฟิ่งจิ่วเหยียนขมวดคิ้วน้อย ๆ“ที่ข้าช่วยท่าน ก็เพราะฐานะผู้นำแคว้นของท่าน ทว่าท่านไม่เคยรู้สึกสงสัยบ้างเลยหรือ สตรีคนหนึ่งที่ถูกเลี้ยงดูอยู่แต่ในห้องหอ เหตุใดจึงรู้วรยุทธ์?”เซียวอวี้กล่าวตอบทันที“เราเคยให้คนไปตรวจสอบมาก่อน“เคยแม้กระทั่งสงสัยว่าเจ้าไม่ใช่เวยเฉียง“คืนงานเลี้ยงไหว้พระจันทร์คืนนั้น เราจัดการทดสอบหยดเลือดความเป็นพ่อลูกของเจ้าและพ่อของเจ้า พิสูจน์แล้วว่าพวกเจ้าเป็นพ่
เฟิ่งจิ่วเหยียนกล่าวอย่างหนักแน่น“ทูลฝ่าบาท เรื่องที่ข้าแต่งงานแทนนั้นตระกูลเฟิ่งไม่รู้เรื่องจริง ๆ เพคะ”เซียวอวี้ไม่พูดอะไร เพียงจ้องมองนางอย่างเย็นชา ราวกับต้องการมองทะลุไปในจิตวิญญาณของนางดวงตาสองคู่ประสานกัน ภายในตำหนักเงียบสงัดจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจของเขาที่ไม่เป็นจังหวะด้วยความโกรธจากนั้นเขาก็ปล่อยมือออกจากคางของนาง เขาหันกายอย่างรวดเร็วและดุดัน หันหลังให้นางเขาประสานมือไว้ด้านหลัง กำหมัดแน่นทำให้ดูออกว่าเขาสกัดกั้นความโกรธเอาไว้“เรื่องใหญ่เช่นนี้ตระกูลเฟิ่งจะไม่รู้เรื่องได้อย่างไร?“นี่เจ้าคิดว่าเราหลอกง่าย หรือมั่นใจว่าเราไม่มีทางเอาเรื่องเจ้ากัน!“ทว่าเจ้าไม่ควร...ไม่ควรอธิบายเรื่องนี้ให้เราฟังในคืนนี้ ยามนี้“เจ้าทำทุกอย่างพังหมดแล้ว!”ทำลายปิ่นหงส์ด้ามนั้น ทำลายความเชื่อใจที่เขายากจะมีเขาคิดว่าในวังหลังที่มีแต่คำหลอกลวงนี้ ฮองเฮาจะเป็นข้อยกเว้นนึกไม่ถึงว่านางก็ไม่ต่างจากผู้อื่นเลย!“ฝ่าบาท...”“หุบปาก! ยามนี้เราไม่อยากได้ยินเจ้าพูดอีก!” เซียวอวี้โมโหอย่างที่สุด เขาหันกลับมาตวาดด้วยความโกรธทว่าเมื่อสบตาเข้ากับดวงตาที่สงบนิ่งคู่นั้น เขากลับไม่
สีหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียนสงบนิ่ง แววตาเด็ดเดี่ยวแน่วแน่เรื่องที่นางจับหลิงเยี่ยนเอ๋อร์ไป นางกล้าทำก็กล้ารับ ไม่กลัวว่าจะถูกเซียวอวี้เอาความย้อนหลัง ยามนี้นางจะต้องพูดสิ่งที่ควรพูดออกมาให้หมด“หลิงเยี่ยนเอ๋อร์พูดยอมรับเองกับปาก ที่นางลงมือกับเวยเฉียง เป็นเพราะนางได้รับจดหมายจากบุคคลลึกลับผู้หนึ่ง“บุคคลลึกลับนั่นใช้หลักฐานความผิดมาข่มขู่นาง”“จดหมายนั่น ข้าได้มาแล้ว”นางมอบจดหมายให้เซียวอวี้เซียวอวี้ลังเลอยู่ไม่กี่อึดใจก็เปิดอ่านในเวลาเดียวกัน เฟิ่งจิ่วเหยียนก็หยิบจดหมายอีกฉบับออกมา“หลายเดือนก่อนหน้านี้ จิ้งเฟยเองก็ได้รับจดหมายจากบุคคลลึกลับเช่นกัน“จดหมายฉบับนี้เผยข้อมูลกับนางว่าพ่อของข้าซื้อตัวพระที่วัดหลงหัว ทำการสลับหนังสือแห่งโชคชะตา”เซียวอวี้ขมวดคิ้วแน่นจิ้งเฟยเองก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยอย่างนั้นหรือ!น้ำเสียงของเฟิ่งจิ่วเหยียนสงบนิ่ง นางเตรียมการทุกอย่างไว้แล้ว ทั้งเป็นระเบียบและมีความชัดเจน“จากนั้นข้าก็ร่วมมือกับจิ้งเฟย ในคืนส่งท้ายปีเก่าบุคคลลึกลับนั่นลอบเข้ามาในตำหนักฟางเฟยเพื่อส่งจดหมายลับอีกครั้ง ข้าจับนางได้คาหนังคาเขา“คนผู้นั้นก็คือเฉียวม่อ”เดิมทีนางได้เต
เฉินจี๋ได้รับการช่วยเหลือจากนายพรานผู้หนึ่ง ด้วยอาการบาดเจ็บรุนแรง กระทั่งตอนนี้ก็ยังหมดสติอยู่นี่จึงไม่น่าแปลกใจที่เขายังไม่ปรากฏตัว ที่แท้เป็นเพราะร่างกายไม่อาจเคลื่อนไหวได้นายพรานรู้ว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนกับคณะรู้จักกับเฉินจี๋ จึงรู้สึกโล่งใจ“ข้าลำบากใจจริง ๆ เพราะคิดว่านี่คือชีวิตคนคนหนึ่ง จึงไม่อาจทอดทิ้งได้ ทว่าจะรักษาอาการบาดเจ็บของเขา ข้าก็ต้องใช้เงิน...”ไม่รอให้นายพรานพูดจบ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ส่งสัญญาณให้อู๋ไป๋นำเงินให้อู๋ไป๋ถนัดการจัดการเรื่องต่าง ๆ สักพักก็เริ่มคุ้นเคยกับนายพราน และเอ่ยขอบคุณอย่างสนิทสนม“พี่ชาย ขอบคุณจริง ๆ ที่เจ้าช่วยสหายข้าไว้! เงินเล็กน้อยนี้ไม่พอจะทดแทนคำขอบคุณได้! ใช่แล้ว เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่า เจอสหายข้าที่ใด แล้วเขาได้รับบาดเจ็บอย่างไร? และเจอคนที่น่าสงสัยคนอื่นหรือไม่?“เจ้าอย่าเพิ่งเข้าใจผิด ข้าเพียงแค่อยากรู้ให้ชัดเจน ว่าผู้ใดทำร้ายสหายข้า บาปมีคนก่อหนี้ย่อมมีเจ้าหนี้”คำพูดของอู๋ไป๋ ล้วนเป็นความรู้สึกตามธรรมชาติของคนนายพรานลองคิดทบทวนอย่างละเอียดรอบหนึ่ง“ข้าช่วยเขาตรงริมแม่น้ำ ตอนนั้นไม่พบผู้อื่น ขอโทษจริง ๆ ที่ข้าช่วยพวกท่านไม่ได้”“
ปลายเดือนสิบสอง ปีใหม่ใกล้เข้ามาเส้นทางมุ่งหน้าไปทางเหนือเต็มไปด้วยน้ำแข็ง การเดินทางนั้นยากลำบากเฟิ่งจิ่วเหยียนในช่วงอยู่ไฟมิได้พักฟื้นอย่างเต็มที่ ตอนนี้ยังต้องเดินทางท่ามกลางพายุหิมะอีก จึงมักจะปวดเมื่อยเอว และเหงื่อออกมากอยู่บ่อย ๆในช่วงกลางคืนเข้านอน ก็มักรู้สึกเย็นที่ไหล่ และหนาวอย่างรุนแรงอู๋ไป๋เห็นสีหน้าของนางไม่สู้ดีนัก จึงเตือนนาง“นายท่าน ไม่สู้ให้หมอมาตรวจดูบ้าง?”เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบร้อนจะตามหาคน จึงไม่อยากล่าช้าครั้งนี้อู๋ไป๋ยืนหยัดอย่างเต็มที่“นายท่าน ต่อให้ท่านไม่คำนึงถึงตนเอง ก็ควรนึกถึงฝ่าบาท หากท่านเจ็บป่วย จะยิ่งไม่ล่าช้ามากกว่าหรอกหรือ?”เขาเอ่ยเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงเริ่มลังเลก็จริงหากนางเจ็บป่วยจนลุกไม่ขึ้น ก็จะไม่คุ้มกับสิ่งที่เสียไปตรงชายแดนหนานฉี เฟิ่งจิ่วเหยียนได้ไปที่สำนักการแพทย์แห่งหนึ่งหลังจากหมอจับชีพจรของนาง ก็เอาแต่ส่ายหัว“ฮูหยินท่านนี้ ท่านมีภาวะร่างกายไม่สมดุลหลังคลอด จึงเป็นต้นเหตุเกิดโรคเรื้อรัง“อาการปวดตามข้อเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะในระยะนี้ที่ฝนหิมะรุนแรง แน่นอนว่าย่อมไม่สบายตัว“ในยามปกติรู้สึกว่าไม่เป็นไร ทนหน่อยก็ผ่
บนบัลลังก์มังกร เซียวถงเต็มเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณของจักรพรรดิ “เรารับพระราชโองการจากเสด็จอา มาทำหน้าที่รักษาการแทนตำแหน่งฮ่องเต้ชั่วคราว ทุกท่านมีเรื่องใดก็เสนอได้”เหล่าขุนนางในราชสำนักมองไปรอบ ๆ ด้วยความงุนงงบางคนถึงกับสงสัยว่าเซียวถงแย่งชิงบัลลังก์ทว่าคิดดูอีกที ฮองเฮาทรงมีทักษะเพียงนั้น ผู้ใดจะกล้าแย่งชิงบัลลังก์?ณ วังหลังเฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกอาวรณ์อย่างยิ่งที่จะกล่าวอำลาต่อบุตรทั้งสองพวกเขายังคงนอนหลับอยู่ ใบหน้าขณะหลับดูสงบนิ่งเป็นพิเศษ นางจุมพิตบนหน้าผากของพวกเขา หัวใจราวกับถูกบีบเข้าหากันสาวใช้หว่านชิวรู้สึกเศร้าใจ “ฮองเฮา จักต้องเสด็จไปให้ได้หรือเพคะ?”ฮองเฮาทรงตัดใจจากเลือดเนื้อเชื้อไขของตนได้อย่างไร?เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าอย่างหนักแน่นการไปของนางครั้งนี้ จะมีชีวิตอยู่หรือตายยังไม่แน่นอนการพาบุตรทั้งสองคนไปด้วย หนึ่งจะเป็นภาระให้กับนาง สองอาจจะนำภัยอันตรายถึงแก่ชีวิตมาให้พวกเขาการแยกจากบุตร ย่อมต้องทุกข์ใจอยู่แล้ว ทว่าหากให้นางกับลูกรออยู่ในวัง และทนทรมานกับการรอฟังข่าว นางยิ่งไม่ยินยอม“ฮองเฮา หนิงเฟยมาถึงแล้วเพคะ” เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบปรับอารมณ์ทันที และเ
ที่ดินที่โซ่วอ๋องได้รับมอบไม่ถือว่าไกลจากเมืองหลวงมากนัก หลังจากได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ซื่อจื่อเซียวถงก็ออกเดินทางภายในวันเดียวกันห้าวันต่อมา เซียวถงก็มาถึงพระราชวัง และตรงไปยังห้องทรงพระอักษรเพื่อเข้าเฝ้าครั้งล่าสุดที่เขามาเมืองหลวง ก็คือเมื่อสามปีก่อน ช่วงที่เกิดความวุ่นวายในวิหารบรรพบุรุษ เขาได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญจากฮ่องเต้ ให้ขึ้นครองบัลลังก์ชั่วคราว เพื่อหลอกลวงพรรคเทียนหลงกับกองทัพศัตรูให้สับสนในตอนนั้นเขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก พระราชโองการพินัยกรรมของฝ่าบาท ได้แต่งตั้งให้เขาเป็นว่าที่จักรพรรดิครั้งนี้ฮองเฮาทรงเรียกเขามา ไม่รู้ว่ามาเพราะเรื่องใดทว่าก็รู้สึกอยู่ลึก ๆ ว่า น่าจะเกี่ยวข้องกับพระราชโองการพินัยกรรมก่อนที่เขาจะมาเมืองหลวง ท่านพ่อก็ยังเตือนเขาว่า ตอนนี้ฮองเฮาทรงประสูติองค์ชายแล้ว เช่นนั้นเขาที่เคยเป็นคนที่อ้างถึงในพระราชโองการพินัยกรรม ก็เท่ากับเป็นตัวขัดขวางขององค์ชายดังนั้น การมาเมืองหลวงครั้งนี้ ก็เสี่ยงอันตรายอย่างมากในใจของเซียวถงเต็มไปด้วยความสงสัยมากมาย ทว่าสีหน้ายังคงสงบนิ่ง ไม่ถือตัวไม่ถ่อมตนเกินพอดีแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยสนใจตำแหน่งฮ่องเต้ แล
วันต่อมา องค์หญิงเซี่ยนอี๋เสด็จมาพบองค์ชายสี่ด้วยพระองค์เององค์ชายสี่ทรงยิ้มแย้ม ทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น“แขนของน้องหญิงเป็นอย่างไรบ้าง?”องค์หญิงเซี่ยนอี๋โมโหจนเก็บอารมณ์ไม่อยู่“เหตุใดเสด็จพี่ต้องขัดขวางข้า!”รอยยิ้มขององค์ชายสี่เลือนหายไป และตอบอย่างมีเหตุมีผล“เซี่ยนอี๋ ข้าคิดว่าเจ้าแค่พาลไร้เหตุผล นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะโง่เขลาเพียงนี้ เจ้าคิดได้อย่างไรที่จะวางยาผู้อื่น แล้วบังคับขืนใจเขา?“หากเจ้าพลีกายให้กับฮ่องเต้ฉี แล้วจะให้ข้าทูลเสด็จพ่ออย่างไร?“คืนก่อนเจ้าเกือบจะแขนหักไปข้างหนึ่ง ก็น่าจะจำเป็นบทเรียนได้แล้วกระมัง”เซี่ยนอี๋รู้ตัวว่าทำผิดทว่าเรื่องที่นางยังทำไม่เสร็จสิ้น จะไม่ยอมแพ้และเลิกล้มเช่นนี้“หากข้าได้เป็นฮองเฮาของหนานฉี หนานฉีก็จะไม่เล่นงานเป่ยเยี่ยนอีก นี่ไม่ดีหรอกหรือ?”องค์ชายสี่แย้มพระสรวล“เซี่ยนอี๋ หากเสด็จพ่อได้ยินคำพูดนี้ของเจ้า เกรงว่าจะต้องถูกลงโทษสถานหนัก“การเกี่ยวดองของสองแคว้น เดิมทีไม่อาจหยุดยั้งความโหดเหี้ยมของหนานฉีได้“เจ้าจะทำให้ตนเองเสียหายโดยเปล่าประโยชน์ และถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะ“บุรุษดี ๆ ในเป่ยเยี่ยนของเรามีมากมาย เหตุใดเจ้าต
ช่วงหลายวันที่เซียวอวี้ถูกขังอยู่ในคุกลับ หาได้นั่งนิ่งรอความตายไม่ จากการสังเกตของเขา องค์ชายสี่แห่งเป่ยเยี่ยนมิได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้เยี่ยน แต่กลับเป็นหินที่ไว้ปูทางเดิน เพื่อผลักดันความทะเยอะทะยานให้องค์ชายเจ็ด หากสามารถโน้มน้าวใจองค์ชายสี่ได้ เขาก็จะหนีออกจากที่นี่ได้ กระนั้น องค์ชายสี่ของเป่ยเยี่ยนไม่โง่ ทันทีที่เขาได้ยินคำพูดของเซียวอวี้ ก็รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการชนะใจตน เพื่อยุแยงเขากับเจ้าเจ็ด รวมถึงตัวเขาและเสด็จพ่อด้วย “ฮ่องเต้ฉี ยิ่งพูดยิ่งพลาด ท่านตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ควรพูดให้น้อยลงจะดีกว่า” องค์ชายสี่พูดจบก็คิดจะเดินจากไป จู่ ๆ เซียวอวี้หัวเราะเยือกเย็นขึ้นมา “ในเวลาหนึ่งเดือน ฮ่องเต้เยี่ยนจะแต่งตั้งองค์ชายเจ็ดเป็นองค์รัชทายาท” องค์ชายสี่หยุดชะงัก ฮ่องเต้ฉีมั่นใจขนาดนั้นเชียวหรือ? ตำแหน่งองค์รัชทายาทนั้นเย้ายวนใจนัก องค์ชายสี่ต้องหันกลับมา พิจารณาเซียวอวี้อีกครั้ง เขาหาได้รุกถามใด ๆ ไม่ เพียงรอให้เซียวอวี้พูดต่ออย่างเงียบ ๆ เซียวอวี้ไม่ทำให้ผิดหวัง เอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “กองทัพเยี่ยนเดินทัพลงใต้ เพื่อพิชิตแ
ในคุกลับ เซียวอวี้กินอาหารตามปกติ ไม่นานก็รู้สึกถึงความผิดปกติในร่างกาย เขาตระหนักได้ทันที มันเป็นฤทธิ์ยาปลุกกำหนัด! ดวงตาเย็นชาของเขามืดลง ความโกรธพลุ่งพล่านขึ้นมา ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า เป็นฝีมือของผู้ใด จริงตามคาด เพียงไม่นาน องค์หญิงเซี่ยนอี๋ก็มาที่คุกลับ คืนนี้นางแต่งกายอย่างพิถีพิถัน สวมอาภรณ์สีสันสดใส ประทินโฉมประณีตงดงาม สายตาเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและความต้องการครอบครอง นางมองใบหน้าที่แดงเพราะฤทธิ์ยาของเซียวอวี้ รู้สึกปรีดาบนความทุกข์ของผู้อื่น “สิ่งใดที่ข้าอยากได้ ไม่มีคำว่าไม่ได้!” เซียวอวี้พยายามสงบจิตใจอย่างหนัก เพื่อไม่ให้ถูกควบคุมโดยฤทธิ์ยา เขาไม่กล้าคิด หากสัมผัสผู้หญิงคนอื่นแล้ว เขาจะเผชิญหน้ากับจิ่วเหยียยอย่างไรในอนาคต ให้ตาย! เขาอยากจะฆ่าคน ทว่ากลับสูญเสียกำลังภายในทั้งหมด แม้คุกลับจะคุมขังผู้คนไว้มากมาย แต่ห้องขังของเซียวอวี้อยู่ในจุดที่ลับตาคน และเป็นเอกเทศ องค์หญิงเซี่ยนอี๋จึงไม่กลัวที่จะมีคนมารบกวน นางปลดอาภรณ์ชั้นนอกของตนออก หัวเราะอย่างหยาบคาย “ฮ่องเต้ฉี ข้ารอให้เจ้าขอร้องข้าอยู่” ถูกฤ
ตำหนักหย่งเหอ เมื่อไทเฮาและหนิงเฟยมาถึง กลับไม่เห็นฮองเฮา เด็กทารกน้อยร้องไห้ระงมราวกับหัวใจจะแตก แม้พวกนางได้ยินแล้วยังรู้สึกปวดใจนัก หมอหลวงกำลังถวายโอสถให้องค์ชายน้อย ปริมาณยาทำให้คนเห็นแล้วอกสั่นขวัญแขวน หนิงเฟยขมวดคิ้ว อดไม่ได้ที่จะเตือน “พวกเจ้าระวังหน่อย! อย่าทำให้เด็กสำลัก!” ไทเฮาอดไม่ได้ที่จะตำหนิ “ฮองเฮาอยู่ที่ใด? นี่คือลูกชายแท้ ๆ ของนาง กลับทิ้งไว้แบบนี้รึ?” สาวใช้หว่านชิวตอบ “มีรายงานด่วนจากชายแดนเพคะ ฮองเฮาประทับที่ห้องทรงพระอักษร เพื่อหารือกับเหล่าแม่ทัพ...” ไทเฮาทนไม่ไหวอีกแล้ว น้ำเสียงจริงจังขึ้น “หารือตลอดทั้งวัน นางคิดถึงลูกชายทั้งสองบ้างหรือไม่? “คนหนึ่งถูกนางใช้เป็นเครื่องมือว่าราชการหลังม่าน อีกคนถูกนางทิ้งให้โดดเดี่ยวในวังหลัง นางทนได้อย่างไร!” ไทเฮาทราบดีว่าฮองเอามีราชกิจรัดตัว ทว่าเห็นเด็กน้อยที่น่าสงสารเช่นนี้ ก็อดจะทุกข์ใจมิได้ หว่านชิวไม่กล้าโต้แย้ง หนิงเฟยเกลี้ยกล่อม “ท่านป้าเพคะ ฮองเฮาต้องเห็นราชกิจสำคัญที่สุด ส่วนองค์ชายมีหมอหลวงถวายการดูแล เขาจะปลอดภัยแน่นอนเพคะ” ไทเฮามองทารกด้วยค
หลังจากที่ฮ่องเต้เยี่ยนได้ฟังคำขอของพระธิดา ก็หาได้ปฏิเสธทันทีไม่ ฮองเฮาของเซียวอวี้——เฟิ่งจิ่วเหยียน มิใช่สตรีธรรมดา สาเหตุที่เป่ยเยี่ยนพ่ายแพ้ต่อหนานฉีหลายครั้ง ล้วนมีฝีมือของสตรีคนนี้อยู่ในนั้น ถึงแม้เซี่ยนอี๋ไม่เอ่ย เขาก็ต้องการกำจัดเฟิ่งจิ่วเหยียนอยู่แล้ว “ได้ พ่อรับปากเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋รู้สึกพอใจมาก “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!” สิ่งใดที่นางไม่ได้ครอบครอง คนอื่นก็อย่าหวังจะได้ ทว่า ฮ่องเต้เยี่ยนยังไม่หายแคลงใจ เขาถาม “เรื่องในคุกลับนั้น ผู้ใดบอกเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋ยังมีจิตสำนึกอยู่ หาได้ทรยศองค์ชายสี่ไม่ “เป็น...เสด็จพี่เจ็ดเพคะ” สีหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนพลันมืดลง เจ้าเจ็ดนี่ เลอะเลือนเกินไปแล้ว! องค์หญิงเซี่ยนอี๋ขอร้อง “เสด็จพ่อ เสด็จพี่เจ็ดก็ถูกหม่อมฉันบังคับ ท่านอย่าตำหนิเขาเลย และอย่าบอกเขาด้วยว่า หม่อมฉันพูด มิฉะนั้นต่อจากนี้เขาคงไม่รักเอ็นดูหม่อมฉันอีกเพคะ” ใบหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนแสดงความอดกลั้นไม่ใส่ใจ “ได้ เราเข้าใจแล้ว”…… เมื่อองค์หญิงเซี่ยนอี๋ออกจากวังหลวง ก็ตรงไปที่คุกลับอีกครั้ง ครั้