LOGIN“คิดดีแล้วใช่ไหม” เฉิดฉันถามขึ้นอีกครั้ง แววตายังแฝงความห่วงใยเอาไว้
“คิดดีแล้วค่ะ ฉันชอบบ้านหลังนี้ค่ะ”
“แต่ผมว่ามันน่ากลัวนะครับแม่” ฉัตรกุลเอ่ยออกมาโดยไม่ได้คิดอะไรมาก หน้าตาไม่ได้บอกว่ากลัวเหมือนคำพูด
“หนูก็ว่ามันน่ากลัวค่ะ มีแต่หญ้าเต็มไปหมด” ปากน้อย ๆ ขยับขึ้นลง สายตามองเข้าไปยังตัวบ้านแล้วพูดขึ้นด้วยความไร้เดียงสา “แม่คะหนูเห็นคนยืนอยู่ในบ้านสองคนค่ะ”
ทุกคนมองตามด้วยความตกใจ คมสันต์ มนสิริ และเฉิดฉันขนลุกซู่ไปทั่วร่าง
จันดีมองตามที่ลูกบอก เอ่ยขึ้นเสียงราบเรียบ เพราะไม่อยากให้ลูกกลัว “ไม่เห็นมีใครนี่นา ฉายตาฝาดแล้วล่ะ”
“แต่ผมก็เห็นนะครับ เป็นผู้หญิงกับผู้ชายแก่ ๆ ยืนยิ้มโบกมือให้ผมด้วยครับ” ไม่ว่าเปล่า ฉัตรกุลหันหน้าไปโบกมือให้คนที่ยืนอยู่บนเรือนด้วย
ตอนนี้คมสันต์กับภรรยาและเฉิดฉันต่างหน้าเหวอ ขนลุกตั้งแต่ปลายเท้าจนถึงศีรษะแล้ว
“ฉัน…ฉันว่าเรากลับกันดีกว่า” คมสันต์เริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง
มนสิริกับเฉิดฉันก็พยักหน้าเห็นด้วย ตอนนี้เริ่มก้าวขาไม่ออกแล้ว แต่เด็กสองคนยังหัวเราะคิกคัก ก็แค่คนแก่สองคนไม่เห็นจะน่ากลัวตรงไหน จันดีก็แอบขำเช่นกัน บ้านที่ปล่อยร้างไว้หลายปี ย่อมมีผีสางเทวดามาอาศัยอยู่บ้าง แต่พอมีคนเข้ามาอยู่ ทำบ้านให้สะอาดสะอ้าน ผีก็ไม่อยู่แล้ว
จันดีกลับมาถึงบ้านผู้ใหญ่บ้านจึงขอต่อราคาลงอีกเหลือสามหมื่นบาทถ้วน เพราะเธอยังไม่มีรายได้ทางอื่นเข้ามา เกรงว่าเงินที่เหลือจะไม่พอใช้ คมสันต์อยากขายบ้านให้ได้เร็ว ๆ จึงตอบตกลง
จากนั้นจันดีก็วางเงินมัดจำครึ่งหนึ่งทันที คมสันต์กับภรรยาเห็นจันดีอยากได้บ้านหลังนั้นมากจึงไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีก ถึงทั้งสองจะมั่นใจว่าบ้านหลังนั้นมีผีจริงก็ตาม
เดินออกมาไกลแล้วเฉิดฉันจึงพูดกับหลานสาวเสียงกระซิบกระซาบ เพราะเกรงว่าหลานทั้งสองที่วิ่งไล่กันอยู่ด้านหน้าจะได้ยิน “แกไม่กลัวจริง ๆ เหรอจันดี”
“ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอกค่ะป้า”
“แต่ฉัตรกับฉายก็เห็น…”
“เด็กก็พูดไปเรื่อยแหละค่ะ” ถึงจันดีจะเชื่อว่าในโลกนี้ผีมีจริง แต่เธอก็ไม่ได้นึกกลัว บางครั้งการที่เธอฝันว่าป้าเฉิดชวนเธอมาอยู่ด้วย แท้จริงแล้วอาจจะเป็นเจ้าของบ้านหลังนั้นอยากให้เธอมาอยู่ที่นี่ก็ได้
“ถ้างั้นพรุ่งนี้เราค่อยไปทำความสะอาดกัน”
“ค่ะ” แค่รู้ว่ามีที่ให้ซุกหัวนอนเธอก็เบาใจแล้ว ต่อไปก็คิดอ่านหาทางทำมาหากินต่อไป
ให้หลังจันดีอาทิตย์จึงเอ่ยถามพ่อกับแม่ “จันดีซื้อบ้านหลังนั้นจริง ๆ เหรอครับพ่อ”
“อือ”
“เธอไม่กลัวผีเหรอครับ”
“น่าจะไม่กลัว เพราะพ่อบอกทุกอย่างกับเธอแล้ว”
“ก็ไม่น่าจะมีอะไร ยังไงก็มีผัวอยู่ด้วย” อาทิตย์กล่าว
“เป็นม่าย” มนสิริพูดแทรกขึ้น
“อะไรนะครับ” น้ำเสียงมีความอยากรู้อยู่มาก
มนสิริจึงพูดซ้ำอีกครั้ง “จันดีเป็นแม่ม่ายลูกติด”
“อ้อ งั้นเหรอครับ” ใบหน้าเรียบเฉย แต่ในใจกลับรู้สึกมีความหวังขึ้นมาราง ๆ คนหน้าตาสวยอย่างจันดี อีกหน่อยคงมีทั้งหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่มารุมจีบ “แล้วผัวเขาไปไหนเหรอครับ”
“น่าจะโดนผัวทิ้งกระมัง ปากก็บอกว่าเลิกกันแต่โดยดี แต่ความจริงใครจะไปรู้ด้วย” ถ้าเลิกกันดี ๆ เหตุใดจันดีถึงหนีสามีมาอยู่ไกลเช่นนี้
“ช่างเขาเถอะน่า เขาจะเลิกกันดีหรือไม่ดีมันก็เรื่องของเขา”
“หึ พี่ก็ชอบพูดขัดฉันอยู่เรื่อย ฉันไปเม้าท์ต่อกับเพื่อนที่ศูนย์โอทอปดีกว่า” ว่าแล้วมนสิริก็เดินสะบัดบั้นท้ายจากไป
คมสันต์ส่ายหัวไปมา ระอากับภรรยาจริง ๆ พวกผู้หญิงทำไมถึงชอบนินทานัก
กลับไปถึงบ้านเบญญาก็กลับมาจากโรงเรียนแล้ว เธอเบิกตากว้างเมื่อเห็นจันดีเดินมากับแม่ พร้อมกับทักขึ้นเสียงตื่นเต้น “จันดีมาได้ยังไง” สายตามองเด็กที่จันดีเดินจูงมือมาด้วย “แล้วนี่…”
“ลูกฉันเองค่ะ คนนี้ชื่อฉัตรเป็นพี่ ส่วนคนนี้ชื่อฉายเป็นน้อง ฉัตรฉายไหว้ป้าเบญสิลูก”
ฉัตรกุลกับฉายระวีพนมมือไหว้ กล่าวสวัสดีเบญญาเสียงอ่อย แล้วรีบไปหลบอยู่หลังแม่ตามเคย
เบญญาครางอือในลำคออย่างคาดไม่ถึง “ได้ลูกแฝดเหรอ”
“ค่ะ” จันดียิ้มรับเต็มใบหน้า
เบญญามองหลานด้วยความรักใคร่พร้อมเอ่ยออก “แล้วพ่อหนูทั้งสองไม่มาด้วยเหรอคะ”
“หนูไม่มีพ่อค่ะ” ฉายระวีตอบเสียงไม่เบาไม่ดังแต่ได้ยินอย่างชัดเจน
เบญญาได้ยินดังนั้นถึงกับหน้าเจื่อน กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เงยหน้ามองจันดีด้วยความรู้สึกผิดที่ถามออกไปอย่างนั้น
“จริงเหรอจันดี”
“เรื่องมันยาวค่ะ เดี๋ยวฉันค่อยเล่าให้พี่ฟัง” สายตามองไปที่ท้องของอีกฝ่าย “พี่เบญท้องได้กี่เดือนแล้วคะ”
“ย่างเข้าเดือนที่เจ็ดแล้ว”
“อ้อ”
“เข้าไปคุยกันข้างในเถอะ รอพ่อแกกับไอ้ยมกลับมาก่อนค่อยคุยทีเดียว อ้อ แกขี่รถไปเรียกไอ้ยุตมากินข้าวเย็นที่นี่หน่อยนะ”
“ค่ะแม่” เบญญารับปาก สายตายังมองจันดีด้วยความกังขา แสดงว่าจันดีต้องมีเรื่องแน่ ๆ
จันดีพาลูกทั้งสองไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ จากนั้นจึงไปช่วยเบญญาทำอาหารเย็น แต่กว่าจะกล่อมให้ลูกทั้งสองอยู่กับยายเฉิดได้ก็ทำเอาเหนื่อยอยู่เหมือนกัน เพราะเด็กทั้งสองยังไม่สนิทกับใครจึงรู้สึกกลัวอยู่บ้าง
ขณะที่กำลังทำอาหารเบญญาจึงถามขึ้นอย่างอดใจไม่อยู่ “พ่อของเด็กไปไหน”
“เลิกกันแล้วค่ะ”
“อ้าว ทั้งที่มีลูกด้วยกันนี่นะ”
“เขาไม่รู้ว่าฉันท้องหรอกค่ะ”
“อ้าว เป็นงั้นไป แล้วแกบอกเขาหรือยัง”
“ไม่ได้บอกค่ะ และฉันก็ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนด้วย”
“เฮ้อ! แล้วก็ต้องเลี้ยงลูกคนเดียวนี่นะ”
“ไม่เป็นไรค่ะฉันเลี้ยงไหว”
เบญญามองด้วยสายตาที่ไม่ไว้ใจนัก “หนีใครมาหรือเปล่าเนี่ย เล่าให้พี่ฟังได้นะ”
“ไม่ได้หนีจริง ๆ ค่ะ ฉันกับลูกอยากมาอยู่ที่นี่จริง ๆ” เธอจะหนีทำไมล่ะ กระทั่งหน้าพ่อเด็กเธอยังไม่เคยเห็น ที่มาที่นี่ ส่วนหนึ่งก็เพราะมาตามหาเขาคนนั้น ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่เธอมีลางสังหรณ์ว่าเขาอาจจะเป็นคนในหมู่บ้านนี้ และถึงไม่รู้ว่าจะเจอเขาคนนั้นหรือไม่ แต่เธอก็ได้ทำตามความตั้งใจเดิมของเจ้าของร่างนี้แล้ว ที่เหลือปล่อยให้เป็นเรื่องของโชคชะตา
วันต่อมาจันดีก็ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้แล้ว ทั้งที่ยังถางหญ้าไม่เสร็จ แต่เธอรู้สึกเกรงใจลุงกับป้า จึงรีบย้ายออก และคิดว่าจะทำความสะอาดไปทุกวัน ไม่เกินหนึ่งสัปดาห์บ้านก็คงน่าอยู่มากแล้ว เฉิดฉันเตรียมเสื่อกก ผ้าห่ม ที่นอน หมอนมุ้งผืนใหม่ให้หลานสาวหลายชุด อีกทั้งยังเตรียมพริก เกลือ ปลาร้า และข้าวสารให้หลานสาวอีกด้วย ส่วนเครื่องครัวจันดีบอกป้าว่าจะเข้าไปซื้อในตลาดเอง เย็นวันนั้นจันดีกำลังถางหญ้าอยู่ข้างกำแพง พลันได้ยินเสียงคนทะเลาะกันอย่างถึงพริกถึงขิง “เมื่อไรแกจะหาเงินไปใช้หนี้ครูถาสักที วันนี้เมียเขามาทวงหนี้ฉันอีกแล้วนะ” “ผมก็หาอยู่นี่ไง แม่ไม่เห็นเหรอ แม่ก็รู้ว่าผมไม่เคยอยู่นิ่งสักวัน วัน ๆ เอาแต่ทำงานงก ๆ แม่เคยเห็นผมพักบ้างไหม” แต่เหมือนอีกฝ่ายจะไม่ฟังเหตุผล “ถ้าแกไม่มีปัญญาหาเงินมาใช้หนี้ แกก็ตัดสินใจแต่งงานกับยัยรินซะ” “ผมไม่แต่ง และจะไม่มีวันแต่งด้วย” จันดีจำได้ว่าเสียงที่ตวาดประโยคสุดท้ายนั้นเป็นเสียงของคนที่ชื่อแสงเพื่อนของชยุต และเขาคงทะเลาะอยู่กับแม่ของตน เธอถอนหายใจคล้ายปลงตก ไม่ว่าครอบคร
หลังมื้ออาหารเย็นฉัตรกุลกับฉายระวียอมนั่งเล่นกับคุณภัทรลูกชายของลุงอย่างว่าง่าย จันดีจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ทุกคนฟัง เล่าเหมือนกับเล่าให้เฉิดฉันและเบญญาฟัง คือเธอกับสามีเลิกกันตั้งแต่เด็กสองคนนี้ยังไม่เกิด และต่างคนต่างแยกย้ายกันไปโดยไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย ถึงจะมีบางอย่างที่เป็นเหมือนช่องโหว่ในเรื่องราวที่จันดีเล่า แต่ทุกคนก็เลือกที่จะปล่อยผ่าน เพราะไม่อยากคาดคั้นเธอมาก บางครั้งกว่าจันดีจะผ่านมาถึงจุดนี้ได้ เธออาจจะบอบช้ำมามากแล้วก็เป็นได้ แต่ทุกคนก็ยังเป็นห่วงเรื่องที่จันดีซื้อบ้านหลังนั้น “แต่บ้านหลังนั้นน่ากลัวมากเลยนะจันดี มีคนที่อยากซื้อบ้านหลังนั้นหลายคน แต่ก่อนถึงวันจ่ายเงินก็ต้องมีอันเป็นไปทุกราย” นอบเอ่ยขึ้นกับหลาน “แต่วันนี้ฉันจ่ายเงินมัดจำไปครึ่งหนึ่งแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นนี่คะ” นอบหันมาสบตากับภรรยา เฉิดฉันจึงยืนยันอีกเสียง “ใช่จ้ะพี่ ฉันคิดว่าเจ้าของบ้านอาจจะอยากให้จันดีไปอยู่บ้านหลังนั้นก็ได้” “ฉันก็คิดเช่นนั้นค่ะ” จันดีว่าเสริมขึ้นอีก “ถ้าคิดอย่างนั้นฉันก็คงไม่ขัดข้องอะไร” นอบกล่าว
“คิดดีแล้วใช่ไหม” เฉิดฉันถามขึ้นอีกครั้ง แววตายังแฝงความห่วงใยเอาไว้ “คิดดีแล้วค่ะ ฉันชอบบ้านหลังนี้ค่ะ” “แต่ผมว่ามันน่ากลัวนะครับแม่” ฉัตรกุลเอ่ยออกมาโดยไม่ได้คิดอะไรมาก หน้าตาไม่ได้บอกว่ากลัวเหมือนคำพูด “หนูก็ว่ามันน่ากลัวค่ะ มีแต่หญ้าเต็มไปหมด” ปากน้อย ๆ ขยับขึ้นลง สายตามองเข้าไปยังตัวบ้านแล้วพูดขึ้นด้วยความไร้เดียงสา “แม่คะหนูเห็นคนยืนอยู่ในบ้านสองคนค่ะ” ทุกคนมองตามด้วยความตกใจ คมสันต์ มนสิริ และเฉิดฉันขนลุกซู่ไปทั่วร่าง จันดีมองตามที่ลูกบอก เอ่ยขึ้นเสียงราบเรียบ เพราะไม่อยากให้ลูกกลัว “ไม่เห็นมีใครนี่นา ฉายตาฝาดแล้วล่ะ” “แต่ผมก็เห็นนะครับ เป็นผู้หญิงกับผู้ชายแก่ ๆ ยืนยิ้มโบกมือให้ผมด้วยครับ” ไม่ว่าเปล่า ฉัตรกุลหันหน้าไปโบกมือให้คนที่ยืนอยู่บนเรือนด้วย ตอนนี้คมสันต์กับภรรยาและเฉิดฉันต่างหน้าเหวอ ขนลุกตั้งแต่ปลายเท้าจนถึงศีรษะแล้ว “ฉัน…ฉันว่าเรากลับกันดีกว่า” คมสันต์เริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง มนสิริกับเฉิดฉันก็พยักหน้าเห็นด้วย ตอนนี้เริ่มก้าวขาไม่ออกแล้ว แต่เด็กสองคนยังหัวเราะคิกค
เฉิดฉันแนะนำหลานสาวให้รู้จักผู้ใหญ่บ้านกับภรรยาที่เป็นหัวหน้าศูนย์จำหน่ายสินค้าโอทอป แล้วจึงเล่าให้ผู้ใหญ่บ้านฟังคร่าว ๆ ว่าหลานสาวจะย้ายมาอยู่ที่นี่และอยากไปดูบ้านหลังนั้น คมสันต์กับภรรยาตกใจเล็กน้อยไม่คิดว่าหญิงม่ายลูกสองจะสนใจบ้านหลังนั้น “แม่เฉิดยังไม่ได้เล่าให้จันดีฟังเหรอ” มนสิริภรรยาของผู้ใหญ่บ้านถามออกคล้ายเป็นห่วง “บอกแล้วจ้ะแม่มน แต่จันดีมันบอกว่าไม่กลัว ฉันก็เลยพามันมาหาพ่อผู้ใหญ่นี่แหละ” “อ้อ ฉันก็คิดว่ายังไม่ได้เล่า” ผู้ใหญ่บ้านจึงถามจันดีออกไป “แกไม่กลัวจริง ๆ เหรอจันดี ถ้าซื้อแล้วอยู่ไม่ได้จะไม่เสียใจภายหลังเหรอ” “ฉันไม่กลัวจริง ๆ ค่ะพ่อผู้ใหญ่” คมสันต์ถอนหายใจก่อนพูดออกมา “ความจริงบ้านหลังนั้นก็ดูดีมากทีเดียว ถ้าลูกชายฉันมันกล้าไปอยู่ฉันก็อยากจะซื้อให้มันอยู่หรอก” ตอนนี้ลูกชายเขาก็ยังไม่ออกเรือนเช่นกัน “แล้วเขาขายเท่าไรเหรอคะ” “ขายแค่สามหมื่นห้าเอง ที่ตั้งหนึ่งไร่ บ้านก็หลังใหญ่โต” “ลุงผู้ใหญ่พาฉันไปดูได้ไหมคะ” บ้านพร้อมที่ดินหนึ่งไร่ ขายเพียงสามหมื่น
เฉิดฉันชะเง้อหน้าออกไปจึงรู้ว่าเพื่อนของลูกชายมาถึงแล้ว เธอจึงตะโกนตอบออกไป “อยู่จ้า กำลังออกไป” เธอหันไปพูดกับหลานสาว “แป๊บนึงนะ ป้าให้คนมาตัดต้นมะม่วงหลังบ้านให้ เมื่อคืนฝนตกหนัก ลมก็พัดแรงจนกิ่งมันหักไปหลายต้น” “ค่ะ” เฉิดฉันเดินออกไป จันดีกับลูกจึงเดินตามออกไปดูด้วย “หักหลายต้นเลยนะครับแม่” สุริยาเอ่ยออกไป สายตามองต้นมะม่วงที่มีกิ่งหักลงมาหลายต้น “ใช่จ้ะ แม่ถึงได้ให้แกมาตัดให้ไง” สุริยาเป็นเพื่อนสนิทของลูกชาย และเขายังมีอาชีพรับจ้างทั่วไป เพราะที่บ้านไม่มีที่ทำกิน เฉิดฉันจึงจ้างให้เขามาตัดต้นไม้ในบ้านให้เสมอ ๆ บางครั้งก็จ้างตัดหญ้า สุริยาหันกลับมามองแม่ของเพื่อนอีกครั้ง แต่สายตาก็อดไม่ได้ที่จะมองเลยไปยังสามคนด้านหลัง สายตาคมกริบสบประสานกันกับดวงตากลมโตวาววามคู่นั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ แวบแรกเขารู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาดใจ จากนั้นก็วกกลับมาสนใจคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง “ตัดลงเหมือนเดิมใช่ไหมครับ” “จ้ะ กิ่งไหนมันขึ้นสูงมากก็ตัดลงได้เลย” ฉวีบอก ว่าจบสุริยาไม่ได้พูดพร่ำทำเพลง เขารีบปีนขึ้นต้น
ไม่ถึงสิบนาทีอาทิตย์ก็จอดรถตรงหน้าบ้านเฉิดฉัน สามแม่ลูกจึงลงจากรถ เธอกล่าวขอบคุณอีกครั้ง แต่ไม่กล้าหยิบเงินค่าโดยสารให้เขา เพราะกลัวเขาจะหาว่าดูถูก อีกอย่างเธอพอรู้ว่าน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ คนต่างจังหวัดไม่เคยเก็บมาใส่ใจ เอาไว้เธอจะหาโอกาสตอบแทนเขาก็แล้วกัน รอให้เขาเคลื่อนรถอีแต๊กออกไปจันดีจึงพาลูกเข้าไปในบ้านของป้า ยังดีที่ฝนไม่ได้ตกลงมาอย่างที่เธอนึกกลัวในคราแรก “จันดีมาได้ยังไง” เฉิดฉันถามขึ้นด้วยความตื่นเต้นเมื่อเห็นหน้าหลานสาว พร้อมกับเหลือบมองเด็กน้อยหน้าตาดีชายหญิงอีกสองคนที่ยืนมองเธอตาแป๋วอยู่ข้างกายจันดี “แล้วนี่ลูกใคร” คิ้วของเฉิดฉันขมวดเข้าหากันทันที ในใจนึกฉงนขึ้นมา หากเป็นลูกจันดีเหตุใดเธอไม่ได้ข่าวว่าหลานสาวแต่งงาน แต่ถ้าบอกว่าไม่ใช่ ใบหน้าเด็กหญิงก็มีเค้าโครงละม้ายจันดีอยู่หลายส่วน ส่วนเด็กชายนั้นก็ดูหล่อเหลาตั้งแต่เด็ก แต่มองมุมไหนก็ไม่มีส่วนคล้ายกับคนในครอบครัวแม้แต่คนเดียว อาจจะมีส่วนคล้ายกับครอบครัวทางพ่อกระมัง “เดี๋ยวฉันเล่าให้ฟังค่ะ” “เออ ๆ เข้าบ้านก่อน” เฉิดฉันรีบพาหลานเข้าบ้าน ไม่วายยังแอบสังเกตกระเป๋าใบใหญ่ที่







