Masuk“โอ๊ย เดินจากเรือนนู้นมานี่ทุกวันคือไม่ต้องเข้ายิมแล้วมั้งเนี่ย” เมษาบ่นเสียงดังพลางย่อตัวลงนั่งพักตรงชานเรือนด้านล่าง ผ้าถุงที่แม่พลอยจัดให้ยังพับไม่เป็นระเบียบ เดินไม่คล่อง นั่งก็ไม่สบาย
“ไหนไวไฟ อยู่ตรงไหนคะ ใครมีพาสเวิร์ดบ้าง แล้วมือถือฉันไปไหนเนี่ย” เสียงของเธอดังลั่นเรือน
แม่พลอยที่เดินถือถาดใบตองมาถึงหน้าชานจำต้องทำคิ้วขมวดอีกครั้ง
“ไว อะไรนะ”
ยังไม่ทันได้ตอบ เสียงฝีเท้าแน่นหนักก็ดังขึ้นทางระเบียงไม้ ขุนเทวัญที่เพิ่งเดินมาจากเรือนด้านในหยุดยืนอย่างสงบ มองลงมายังหญิงสาวผู้แปลกประหลาดเบื้องล่าง คิ้วเข้มของเขาขมวดเข้าหากันช้า ๆ ราวกับต้องใช้แรงในการแปลภาษา
“แม่เมษา เธอโวยวายสิ่งใด ฉันให้ไปอยู่กับเรือนแม่พลอย เธอติดขัดอะไรหรือเปล่า”
เมษาหันขวับ ยกมือเท้าเอวทันทีแบบไม่ยอมแพ้ นี่ตกลงจะยังคอสเพลย์เป็นท่านขุนไม่เลิกอีกหรือไง ช่วงแรก ๆ มันก็สนุกดีอยู่แหละ แต่ตอนนี้เมษาชักเริ่มอารมณ์ไม่ค่อยจะดีแล้ว แม้เธอจะคิดว่านี่อาจเป็นการซ่อนกล้องเพื่อถ่ายอะไรบางอย่าง เธอก็เลยเออออตามน้ำไปแค่นั้นเอง
“โอเค...งั้นถามตรง ๆ เลยค่ะ ไม่มีไวไฟใช่มั้ย ไม่มีอินเทอร์เน็ต ไม่มีสัญญาณมือถือเลย”
ท่านขุนเลิกคิ้วขึ้นน้อย ๆ “เธอเอ่ยถึงสิ่งใดกันแน่ เป็นภาษาปะกิตหรือย่างไร”
เมษากลอกตา “บ้า ก็แบบจะให้ฉันใช้ชีวิตยังไงคะเนี่ย ไม่มีเน็ต ไม่มีแกรป ไม่มีมือถือ ไม่ได้ค่ะ ไม่ไหว เมษาจะไม่ทน พี่ ๆ คะ เมษาไม่เล่นแล้ว” เธอเดินวนไปมาบนชานไม้เหมือนนางเอกซีรีส์ที่วุ่นวายไปทั่วเพื่อมองหาทีมงานที่แอบซ่อน พอเดินจนสุดทางก็วกกลับมาใหม่ ท่าทางเหมือนจะบ่นให้ทั้งเรือนได้ยิน
“แม่เมษา” เสียงท่านขุนดังขึ้นอีกครั้ง เสียงเรียบ นิ่ง แต่ชัดเจน
“บ้านเรือนไทยนี้มีแต่สายลมกับกลิ่นไม้ หากเธอจะอยู่ต่อ ต้องเรียนรู้จะอยู่อย่างสงบ มิใช่เดินไปมาเหมือนลิงหลุดกรงเช่นนี้”
คิ้วเมษากระตุก “ท่านขุนขา เอ่อท่านขุนอะไรนะชื่อย๊าวยาว ช่างมันเถอะ แต่ขอโทษนะคะ แต่ฉันเป็นผู้หญิงสายแอคทีฟยอดอินฟลูเอนเซอร์คนฟอลโลเวอร์เป็นแสน ๆ จะให้มานั่งนิ่ง ๆ อย่างกุลสตรีแบบในนิทานก็ไม่ได้หรอกนะคะ ขายไม่ออกกันพอดี”
ว่าแล้ว เธอก็ทิ้งตัวลงบนตั่งไม้ตรงชาน ชันเข่าจนผ้าถุงถ่างเล็กน้อยโดยไม่ตั้งใจ ไร้ซึ่งความเป็นกุลสตรี
ท่านขุนปรายตามองเพียงชั่วครู่ก่อนพึมพำเบา ๆ ว่า “ผู้หญิงคนนี้ เพี้ยนราวกับไม่ใช่คนบ้านนี้เมืองนี้ ตาก็โต หน้าก็ขาว ผิวก็ซีด มิเหมือนคนสยามเลยแม้แต่น้อย นี่เธอเป็นเจ๊กจีนล่องเรือสำเภามามาหรืออย่างไร”
แม่พลอยกลั้นหัวเราะแทบไม่ทันเมื่อได้ยินที่ขุนเทวัญกล่าว ขณะที่เมษานั่งไขว่ห้างแล้วบ่นต่อ
“เอ้า จะไม่มีเน็ตฟลิกซ์ก็พอทน แต่ไม่มีแอร์ ไม่มีไวไฟนี่มันทรมานมากนะคะท่านขุน”
ท่านขุนชะงัก ดวงตาคมปรายมองท่านั่งของแม่เมษา แล้วก็คิ้วกระตุกอีกหนึ่งจึ้ก
เธอไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย ยังนั่งโยกเท้าไปมาแบบสาววัยรุ่นรอเอฟของจากไลฟ์สด
“จะว่าไป บ้านหลังนี้ตกแต่งสวยอยู่นะคะ วินเทจมาก แต่ก็ดูเก่า ๆ โทรม ๆ ไปหน่อย”
ท่านขุนสูดลมหายใจลึก ก่อนจะหันหลังเดินออกไปโดยไม่พูดอะไร เมษาเลิกคิ้ว มองตามด้วยสายตาไม่เข้าใจ
“อ้าว เกิดอะไรขึ้นอะ ท่านขุนเดินหนีฉันทำไม ขอยืมมือถือหน่อยสิ”
แม่พลอยถอนหายใจยาว “ท่านไม่ได้เดินหนี แต่คงระอาใจกับกริยาของเธอ ฉันเองยังปวดกบาลเลย”
“ปวดกบาลอะไร เชยมาก ต้องพูดว่าหัวจะปวดสิ”
“หัวจะปวด” แม่พลอยทวนคำ “ก็มันปวดไปแล้วไม่ได้จะปวด”
ช่วงบ่ายแดดแรงจนเมษาเริ่มรู้สึกว่าผ้าถุงที่พันอยู่มันไม่ได้ช่วยเรื่องระบายอากาศสักเท่าไร เธอมองหาแม่พลอยที่เคยบอกว่าจะไปซักผ้าหลังเรือน แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เห็นเงา
“พลอย อยู่ไหนอะ ฉันอยากล้างหน้า จะเป็นลมตายอยู่แล้วเนี่ย”
เธอบ่นไป เดินไปตามทางเดินไม้แคบ ๆ ด้านข้างเรือน จนมาถึงทางหลัง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงน้ำไหล
สมองเธอผูกโยงอัตโนมัติ “สงสัยจะเป็นห้องน้ำหรือที่ซักผ้าที่พลอยเคยพูดถึงแน่เลย”
เธอรีบวิ่งตรงไปทางท่าน้ำด้วยความเร็ว แต่ด้วยความที่พื้นไม้ด้านหลังเรือนนั้นลื่น แถมเธอก็ยังไม่ชินกับการใส่ผ้าถุง แผ่นไม้ของท่าน้ำที่เป็นพื้นไม้แฉะ ๆ ทำให้ร่างบางไถลพรวดไปข้างหน้าอย่างแรง
ตุบ!
เธอกระแทกเข้ากับอะไรบางอย่างที่เปียก อุ่น และแน่น
“อุ๊บ!”
“อ๊ะ!”
เสียงสองเสียงดังขึ้นพร้อมกัน เมษาเงยหน้าขึ้นช้า ๆ แล้วก็พบว่า เธอกำลังนอนฟุบอยู่บนแผ่นอกเปลือยเปล่าของชายหนุ่มร่างสูงกล้ามแน่นเป็นมัด ๆ จนแทบจะสะท้อนแดดช่วงบ่ายให้แสบตา เขามีผ้าขาวม้าพาดบ่า โจงกระเบนยังพันไม่เรียบร้อย น้ำยังหยดจากเส้นผมและปลายคาง เพราะขุนเทวัญเพิ่งอาบน้ำเสร็จ
เธอรู้ว่าเธอควรจะพูดอะไรที่สุภาพหรือขอโทษแต่ปากของเธอกลับพูดออกมาอย่างไม่รู้ตัว “ซิกแพคแน่น ๆ ”
ความเงียบก่อตัวอย่างรวดเร็วราวกับเวลาโดนแช่แข็ง ขุนเทวัญขยับตัวนิดหนึ่ง ดวงตาคมจ้องเธอด้วยความตกใจปนสับสน
“เธอทำอะไรน่ะ”
แม่พลอยที่เดินมาตามเสียงน้ำถึงกับยืนช็อกอยู่ข้างท่าน้ำ
“อร๊าย” เมษากรี๊ดเบา ๆ เหมือนกลั้นเสียงไว้สุดชีวิต
ขุนเทวัญรีบลุกขึ้น พาดผ้าขาวม้าคลุมตัวอย่างสุภาพ แต่ปลายหูของเขาแดงจัดจนน่ากลัวว่าจะแดงไปถึงท้ายทอย เมษากลิ้งตัวถอยออกมาอย่างเร็ว
“ลื่นค่ะ ลื่น ลื่นจริง ๆ ไม่ได้ตั้งใจเลยนะคะ” เธอหัวเราะแห้ง รีบลุกขึ้นปัดตัวแล้วพึมพำแบบเสียจริตเล็กน้อย
ท่านขุนไม่ตอบอะไร เขาหันหลังเดินจากไปช้า ๆ โดยไม่มองกลับมา แต่เมษาสังเกตเห็นความแดงฉ่าเกิดขึ้นที่ใบหน้าของขุนเทวัญ
ค่ำคืนในเรือนไทยช่างเงียบจนน่าประหลาด เมษานั่งอยู่บนฟูกบาง ๆ ใต้แสงตะเกียงน้ำมันที่ส่องไหวระริกอยู่มุมห้อง ซึ่งเป็นห้องที่แม่พลอยตระเตรียมเอาไว้ให้
เสียงจักจั่นยังร้องไม่หยุด กลิ่นดอกไม้หอมอ่อน ๆ ลอยมากับลม ไม่มีเสียงรถ ไม่มีเสียงแตร ไม่มีแม้แต่เสียงโทรศัพท์จากห้องข้าง ๆ
แม่พลอยนั่งอยู่ปลายฟูก พับผ้าอย่างคล่องมือในแสงตะเกียง เงาของเธอทอดลงบนพื้นไม้เป็นเงาสีส้มที่นุ่มนวล
“แม่พลอย” เมษาเอ่ยเสียงแผ่ว “ตรงนี้ไม่มีปลั๊ก ไม่มีสวิตช์ไฟ ไม่มีแม้แต่พัดลม แล้วก็ไม่มีคนถือกล้อง ไม่มีกล้องที่ซ่อนเอาไว้ ไม่มีเสียงคัต ไม่มีใครพูดเรื่องบทเลยสักคน”
แม่พลอยชะงัก หันมามองเธออย่างแปลกใจ “ฉันไม่เข้าใจ”
เมษาเงียบไปอีกครู่หนึ่ง ก้มหน้ามองมือตัวเอง แสงตะเกียงสะท้อนบนจี้สร้อยที่เธอยังคงคล้องคอไว้ สร้อยเส้นเดิมที่เธอเคยคิดว่าเป็นแค่พร็อพประกอบฉากสำหรับถ่ายคลิป แต่ตอนนี้ มันคือสิ่งเดียวที่เธอมีติดตัว สิ่งเดียวที่ดูจะเป็นของเธอจริง ๆ ในโลกที่ดูไม่ใช่ของเธอเลยแม้แต่น้อย
เธอยกมันขึ้นดูใกล้ ๆ นิ้วแตะเบา ๆ ที่จี้ทองลายไทย ลวดลายโบราณงดงามน่าประหลาด มันวาวระยับในแสงตะเกียง เงาสะท้อนนั้นเหมือนจะลึกกว่าที่ควรจะเป็น
“ที่นี่มันคือที่ไหนกันแน่” เมษาเอ่ยเสียงเบา ราวกับไม่ต้องการให้คำถามทะลุออกไปนอกห้อง
แม่พลอยยังคงพับผ้าไปอย่างไม่เร่งรีบ “เรือนคุณหลวง บ้านของท่านขุนเทวัญ แต่ฉันเคยบอกเธอไปแล้วเมื่อเช้านะ”
เมษาเม้มริมฝีปากแน่น เธอรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบเบา ๆ
ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีอินเทอร์เน็ต ไม่มีรถ ไม่มีตึกสูง ไม่มีแม้แต่ป้ายโฆษณานี่มันไม่ใช่ปีสองพันยี่สิบห้า แล้วก็ไม่ใช่กองถ่าย ไม่ใช่เซ็ตพิพิธภัณฑ์ ไม่ใช่โลกจำลอง
“มันคือ...อดีตใช่ไหม” คำตอบนั้นไม่มีใครตอบ
แม้แต่แม่พลอยที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ ก็เพียงแค่หันมายิ้มบาง ๆ เหมือนไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าเมษากำลังเผชิญอะไรอยู่
เมษาก้มหน้าลงเล็กน้อย ริมฝีปากยกยิ้มจาง ๆ แบบคนกำลังฝืนให้ตัวเองรับได้ “ถ้าฉันไม่ได้อยู่ในโลกของฉัน ก็คงต้องเรียนรู้จะอยู่ในโลกของคนอื่นให้ได้สินะ”
เธอกระชับผ้าห่มผืนบางขึ้นเล็กน้อย แสงตะเกียงยังไหวระริกเหมือนใจที่ยังไม่มั่นคง แต่คืนนี้ เมษาจะนอนที่นี่ ในยุคที่ไม่รู้ว่าเธอมาได้ยังไง กับความจริงที่เริ่มชัดขึ้นทุกนาทีว่า
เธอไม่ได้หลงทางในกองละคร แต่หลงยุคมาและอาจไม่มีใครตัดบทคัตให้เธออีกแล้ว
ตั้งแต่แม่เมษาหล่นตุ๊บเข้ามาสู่ยุครัตนโกสินทร์ตอนกลางและมาอยู่ในเรือนขุนเทวัญได้หลายวันคุณหญิงจันทร์วาดก็มองอยู่ห่าง ๆ ยังไม่ได้สืบสาวเล่าความอันใดให้เป็นแก่นสาร นั่นเพราะด้วยเหตุยังไม่มีเวลาว่างจะจัดการ และด้วยเพราะเมษาพูดจาไม่รู้ความเป็นภาษามนุษย์เลย และในเช้าวันนี้คุณหญิงก็อดไม่ได้อีกต่อไป“แม่พลอย ไปตามแม่เมษามาพบฉันแต่เช้า อย่าให้ต้องรอนาน”แม่พลอยวิ่งแจ้นไปถึงครัว เมษาที่กำลังลองทอดไข่ดาวด้วยเตาถ่านก็สะดุ้ง“ไปเร็วเถอะเมษา คุณหญิงท่านเรียกหา แล้วก็ระวังกริยามารยาทให้ดีด้วยนะคุณหญิงท่านเป็นคนเจ้าระเบียบ”เมษาสะบัดผ้าซิ่น พูดหน้าระรื่น “เอาน่า เดี๋ยวฉันจัดให้ คนอย่างเมษามีทักษะการเจรจาดีเริ่ด”ที่ห้องโถงในเรือนหลังใหญ่ คุณหญิงจันทร์วาดนั่งอยู่ตรงกลางห้องบนตั่งไม้สูง สวมผ้าไหมสีกรมปักดิ้นทอง แววตาสงบนิ่งเมษาค่อย ๆ ย่อตัวนั่งลงตรงหน้า ยิ้มแหย ๆ “กราบสวัสดีเจ้าค่ะคุณหญิงแม่ กราบสวัสดีค่ะคุณพี่ขุนเทวัญ”ขุนเทวัญนั่งอยู่ข้างแม่ สีหน้าเรียบนิ่งคล้ายจะสงบ แต่ในใจคงไม่สงบเพราะไม่รู้ว่าแม่เมษาจะแผลงฤทธิ์พูดจาโฉ่งฉ่างต่อหน้าผู้เป็นแม่ของเขาเมื่อใดเมษานั่งอยู่ตรงหน้าเพื่อบทสนทนาจากอีกฝ่าย
ยามเย็นในเรือนไทยนั้นเงียบสงบกว่าทุกเวลาที่เมษาเคยสัมผัส ไม่มีเสียงรถ ไม่มีข่าวในทีวี ไม่มีแจ้งเตือนจากมือถือ มีเพียงเสียงลมพัด เสียงนกร้อง และแสงอาทิตย์ที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มทองเมษานั่งบนชานเรือน ใกล้ศาลาเล็กใต้ร่มไม้ ขุนเทวัญนั่งอีกฝั่งของตั่งไม้ เตรียมเอกสารบางอย่างไว้ในมือ แต่ยังไม่ลงมืออ่านเมษาหันไปมองเขา ก่อนจะถามขึ้นอย่างลังเล “คุณพี่ขุนเทวัญคะ ขอถามอะไรหน่อยได้มั้ย”ขุนเทวัญเงยหน้าขึ้น มองเธอนิ่ง ๆ ก่อนพยักหน้า “ว่ามาเถิด หากตอบได้ ก็จะตอบ”“ตอนนี้ปีอะไรเหรอคะ”ขุนเทวัญนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบช้า ๆ “ก็จุลศักราชหนึ่งพันสองร้อยสามสิบห้า”“จุลศักราช” เมษากระพริบตา ขอโทษนะคะ เอาเป็นพุทธศักราชได้มั้ย”ขุนเทวัญยิ้มบาง ๆ “พุทธศักราชสองพันสี่ร้อยสิบหก”“แล้วตอนนี้เป็นแผ่นดินของพระมหากษัตริย์พระองค์ใด”“พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าน่ะ ทำไมหรือ”เมษาถึงกับนิ่งไป มือน้อย ๆ ยกขึ้นนับนิ้วเงียบ ๆ ในใจ ก่อนจะอุทานเบา ๆ“นี่มันสมัยรัชกาลที่ห้า”ขุนเทวัญพยักหน้าอย่างนุ่มนวล “ใช่แล้ว สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงทศพิธราชธรรมยิ่งนัก”เมษาหันหน้าไปมองท้องฟ้าสีส้ม เสียงลมหายใจของเธอแผ
บ่ายวันต่อมาในเรือนใหญ่ ขุนเทวัญนั่งพินิจเอกสารอยู่ในศาลาเล็กหน้าบ้าน แสงแดดลอดผ่านต้นพิกุลเป็นลายเงาบนโต๊ะไม้ เสียงฝีเท้าของแม่พลอยกับเสียงบ่นของใครบางคนก็ดังมาพร้อมกัน“แม่พลอย นี่เธอแน่ใจเหรอว่าผ้าถุงมันต้องรัดแน่นขนาดนี้อะ ฉันว่าฉันกำลังจะขาดอากาศหายใจตายไปซะก่อน”แม่พลอยหัวเราะคิก “อดทนหน่อยน่า กระโดกกระเดกแบบเธอ ต้องรัดแน่น ๆ เดี๋ยวผ้าผ่อนไปหลุดเอาต่อหน้าพวกคุณท่าน จะอายเอา”ขุนเทวัญเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวผู้ที่กำลังหมุนตัวเองดูชุดผ้าถุงสีสดราวกับนางแบบเดินแฟชั่นโชว์เขาถอนหายใจเบา ๆ“แม่เมษา” เสียงนิ่ง เรียบ แต่ดักสติเธอให้หยุดหมุนในพริบตา “ฉันเห็นเธอสวมชุดของคนในเรือนแล้ว ยังแลดูพิลึกอยู่มาก”เมษาหันมายิ้มแห้ง ๆ “ก็ฉันพยายามแล้วนี่คะคุณพี่ขุน แต่ยังไงมันก็ใส่ไม่สบายอยู่ดี ขอกลับไปใส่ชุดแบบที่ฉันเคยใส่มาตอนวันแรกได้ไหม”“ชุดแปลกประหลาดแบบนั้น มันจะไปหาซื้อได้ที่ไหนกันล่ะ” เขาหันไปทางแม่พลอย “เอาเงินนี่ไป พาแม่เมษาไปเลือกซื้อผ้าเสียที ให้ได้ชุดที่เหมาะกับหญิงไทย อย่าให้ต้องใส่สิ่งแปลกประหลาดอีก บอกให้ไอ้เฟื่องขับรถไปส่ง”แม่พลอยรับคำทันที “ได้เลยเจ้าค่ะท่านขุน”เมษายกมือไหว้แบบลวก
เช้าวันถัดมา แสงแดดอุ่นยามสายลอดผ่านบานหน้าต่างไม้เข้ามาในเรือนบ่าว กลิ่นน้ำอบอ่อน ๆ ลอยเคล้ากับกลิ่นขนมไทยที่แม่พลอยทำไว้แต่เช้าเมษานั่งกอดหมอนใบเล็กอยู่บนฟูก สวมผ้าถุงที่เกือบหลุด ข้างตัวมีสมุดกับดินสอที่แม่พลอยเตรียมไว้ให้ตามที่เธอขอ แต่สิ่งที่เธอจดไม่ใช่สูตรกับข้าวหรือบทกลอน“สิ่งที่ควรรู้เพื่ออยู่รอดในยุคที่ไม่มีกูเกิ้ล”แม่พลอยเดินเข้ามาพร้อมขันน้ำใบเล็ก “วันนี้ฉันจะสอนเธอนุ่งผ้าใหม่อีกทีนะ ไม่ใช่เดินแล้วชายหลุดเหมือนเมื่อวาน” “แล้วก็คำพูด อย่าเผลอพูดอะไรแปลก ๆ ต่อหน้าท่านขุนอีกนะ”เมษายิ้มเจื่อน “ยอมแล้วจ้ะ วันนี้จะเป็นเด็กดีของเรือนไทย แบบเท่าที่ฉันจะทำได้”ภารกิจที่ 1 นุ่งผ้าถุงแบบหน้านางแม่พลอยนั่งพับเพียบอย่างคล่องมือ มือซ้ายจับชายผ้า มือขวาพับจีบแนบต้นขาเมษาทำตามอย่างตั้งใจสุดฤทธิ์ แต่ทุกทีที่ลุกขึ้น ชายผ้าก็เบี้ยว บางทีก็หลุดลงมาตุงอยู่ตรงหน้าขาอย่างน่าอับอาย“เอ่อ แม่พลอย มีเวอร์ชั่นสำเร็จรูปแบบซิปมั้ยอะ แบบที่ดึงปุ๊บแล้วจบเลย เหมือนกางเกงน่ะ เข้าใจป้ะ”แม่พลอยเงยหน้าขึ้นมามองอย่างงง ๆ “ซิปอะไรอีกล่ะนั่น”“ซิปไง ซิป ตัวล็อกผ้าที่รูดขึ้นลงปื๊ด ๆ ไม่ใช่เชือก ไม่ใช่กระดุ
“โอ๊ย เดินจากเรือนนู้นมานี่ทุกวันคือไม่ต้องเข้ายิมแล้วมั้งเนี่ย” เมษาบ่นเสียงดังพลางย่อตัวลงนั่งพักตรงชานเรือนด้านล่าง ผ้าถุงที่แม่พลอยจัดให้ยังพับไม่เป็นระเบียบ เดินไม่คล่อง นั่งก็ไม่สบาย“ไหนไวไฟ อยู่ตรงไหนคะ ใครมีพาสเวิร์ดบ้าง แล้วมือถือฉันไปไหนเนี่ย” เสียงของเธอดังลั่นเรือนแม่พลอยที่เดินถือถาดใบตองมาถึงหน้าชานจำต้องทำคิ้วขมวดอีกครั้ง“ไว อะไรนะ”ยังไม่ทันได้ตอบ เสียงฝีเท้าแน่นหนักก็ดังขึ้นทางระเบียงไม้ ขุนเทวัญที่เพิ่งเดินมาจากเรือนด้านในหยุดยืนอย่างสงบ มองลงมายังหญิงสาวผู้แปลกประหลาดเบื้องล่าง คิ้วเข้มของเขาขมวดเข้าหากันช้า ๆ ราวกับต้องใช้แรงในการแปลภาษา“แม่เมษา เธอโวยวายสิ่งใด ฉันให้ไปอยู่กับเรือนแม่พลอย เธอติดขัดอะไรหรือเปล่า”เมษาหันขวับ ยกมือเท้าเอวทันทีแบบไม่ยอมแพ้ นี่ตกลงจะยังคอสเพลย์เป็นท่านขุนไม่เลิกอีกหรือไง ช่วงแรก ๆ มันก็สนุกดีอยู่แหละ แต่ตอนนี้เมษาชักเริ่มอารมณ์ไม่ค่อยจะดีแล้ว แม้เธอจะคิดว่านี่อาจเป็นการซ่อนกล้องเพื่อถ่ายอะไรบางอย่าง เธอก็เลยเออออตามน้ำไปแค่นั้นเอง“โอเค...งั้นถามตรง ๆ เลยค่ะ ไม่มีไวไฟใช่มั้ย ไม่มีอินเทอร์เน็ต ไม่มีสัญญาณมือถือเลย”ท่านขุนเลิกคิ้วขึ
กล้องมือถือบนขาตั้งวางอย่างมั่นคงในห้องนอนคอนโดสไตล์ลอฟต์ แสงไฟริงสะท้อนใบหน้าเรียวคมของหญิงสาวที่ชื่อว่าเมษากานต์ หรือที่ใคร ๆ ในโลกออนไลน์รู้จักในชื่อเมษาพาแซ่บ บิวตี้บล็อกเกอร์สาววัยยี่สิบห้า ผู้มากับวาจาปรอทแตกและแหกคอนเทนต์รีวิวตัวแม่ตัวมารดาไม่ไหว“สวัสดีค่า เมษามาแล้วค่ะทุกคน วันนี้เรามาในลุคพิธีกรสารคดีแห่งชาติ เพราะของที่อยู่ในมือเมษาตอนนี้ ไม่ใช่ของเล่นนะคะทุก ๆ คน แต่มันคือ สร้อยโบราณของจริง”เธอพูดพร้อมหมุนสร้อยในมือเล่นไปมา ตัวสร้อยดูเก่าแก่แต่มีพลังบางอย่าง มันเป็นทองคำสลักลายประณีต พร้อมจี้กลมเล็กที่มีลายไทยวิจิตร ดูไปแล้วก็แอบหรูแบบคลาสสิกมากกว่าน่ากลัว“ทุกคน ดูสร้อยที่เมษาเพิ่งซื้อมาสิ เมษาไปเจอที่ร้านขายของเก่า แล้วเมษาก็ เอ่อ...แอบตื่นเต้นค่ะ เพราะเขาบอกว่าสร้อยเส้นนี้น่ะ เคยเป็นของคุณหญิงคนหนึ่งในสมัยรัตนโกสินทร์เลยทีเดียว ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ ใช่หรือมั่ว ของเก่าขนาดนั้นจะยอมขายให้เมษาถูก ๆ เหรอ ก็ไม่รู้สินะ” เธอยักไหล่พลางยิ้มกรุ้มกริ่ม มองสร้อยเหมือนของเล่นใหม่“อย่าหาว่าเวอร์วังนะ เมษาว่าสร้อยเส้นนี้มันแบบ มีพลังลึกลับอะ แค่จับก็เหมือนใจสั่นเบา ๆ แล้ว ถ้าเป็นข







