แอบรักเธออีกสักที
บทนำ
กรุงเทพฯ
20.00 น.
ประตูเวิร์กช็อปปิดลงแล้วหลังจากลูกค้าคนสุดท้ายเดินออกไป ‘พรีม’ เพื่อนสาวคนสนิทควบด้วยตำแหน่งเพื่อนร่วมงานซึ่งอยู่ในชุดเสื้อคลุมสีขาวยาวถึงข้อเข่าไม่รอช้ารีบเดินไปพลิกป้ายด้านหลังบานประตูกระจกใสจากข้อความที่ระบุว่า open เปลี่ยนเป็น closedแทน
ใบหน้าอ่อนล้าหันกลับมามองฉันซึ่งกำลังนั่งกดปากกาลูกลื่นเป็นจังหวะช้า ๆ นัยน์ตาหรี่ลงเล็กน้อยอย่างใช้ความคิดเมื่อเห็นสภาพของคนเป็นเพื่อนที่ตอนนี้น่าจะไม่อยู่ในสภาวะที่จะไปบำบัดใครเขาได้
แม้ว่าหน้าเวิร์กช็อปจะมีป้ายอักษรโลหะตัวเบ้อเร่อระบุว่าเป็น ‘เวิร์กช็อปจิตวิทยา และศิลปะบำบัด’ แต่คนให้คำแนะนำกลับทำตัวราวกับต้องการได้รับการบำบัดเสียเอง
พรีมถอดเสื้อคลุมตัวยาวออกอย่างเชื่องช้าก่อนจะแขวนมันเก็บกลับที่เดิมบนราวแขวนเฉกเช่นทุกวันหลังเลิกงาน ร่างเพรียวระหงหมุนตัวกลับมามองกันเป็นครั้งที่สิบในรอบวัน แต่คราวนี้ไม่ใช่แค่มองอย่างเดียว นัยน์ตากลมโตกะพริบช้ามีน้ำใสเอ่อคลอ
ฉันถอนหายใจอย่างหนักอกก่อนจะหลับตาลงในจังหวะที่คนเป็นเพื่อนเดินเข้ามาถึงตัว แรงเขย่าที่แขนทำให้ต้องลืมตาขึ้นมอง
“แกต้องเข้าใจฉันนะปาย สภาพแบบนี้จะไปบำบัดใครเขาได้” น้ำเสียงกระท่อนกระแท่นสลับกับเสียงสูดน้ำมูกดังขึ้น สีหน้าพรีมบ่งชัดว่ายังไงเสียวันนี้เราคงจะต้องถกประเด็นนี้กันให้รู้เรื่อง
“ไม่เอาน่า… มันก็แค่ผู้ชายเลว ๆ คนนึง แกจะเสียงานเสียการเพราะคนแบบไอ้วิทย์ไม่ได้นะพรีม”
ฉันผ่อนลมหายใจหนักเลื่อนคิ้วเข้าหากัน จับมือสองข้างของเพื่อนเขย่าเพื่อเรียกสติ แต่พอได้ฟังกลายเป็นว่าคนข้าง ๆ กลับร้องไห้หอบหายใจจนตัวโยน แค่เพราะได้ยินชื่อของแฟนเก่าที่เพิ่งจะเป็นอดีตไปได้เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
ผู้ชายดี ๆ สมัยนี้หายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก ยิ่งล่วงเข้าวัยทำงานแบบเราแล้วด้วย การจะเจอใครสักคนที่จริงใจไม่หลงระเริงไปกับแสงสีของเมืองหลวงยิ่งยากเข้าไปใหญ่
ฉันได้แต่มองใบหน้าหวานหยดเปื้อนหยาดน้ำตาอย่างเห็นอกเห็นใจ พรีมยังคงเอาแต่สะอึกสะอื้นอยู่อย่างนั้นเมื่อความรักไม่เป็นไปอย่างที่หวัง แม้ว่าตัวฉันเองจะปลอบใจมันมากว่าสิบครั้งตั้งแต่เลิกรากับไอ้คนเฮงซวยที่นอกใจไปนอนกับสาวบาร์ แต่อารมณ์ดิ่งลึกของพรีมก็แลดูจะไม่ลดน้อยลงแม้แต่นิด
ในที่สุดก็เป็นฉันเองที่ถอนหายใจยาว พยักหน้าช้า ๆ อย่างอ่อนอกอ่อนใจ ก่อนจะตอบรับในสิ่งที่มันร้องขอตลอดหลายวันที่ผ่านมา
“ก็ได้ ๆ ถ้าแกไม่ไหวจริง ๆ”
“…” คนที่ยังคงใช้มือปาดน้ำหูน้ำตาที่ไหลอย่างต่อเนื่องเงยหน้าขึ้นมองกันอีกครั้ง มันเม้มริมฝีปากพร้อมทั้งกะพริบตาถี่ระรัว
“แกโอเคจริง ๆ ใช่ไหม?”
ถึงจะถามมาแบบนั้น แต่ฉันก็ไม่อยู่ในจุดที่จะทำอะไรได้ นอกจากพยักหน้ารับ พรีมปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้นโถมตัวเข้ากอดเต็มรัก ไหล่บอบบางสั่นระริกจนฉันรู้สึกหดหู่ไปด้วย แต่ก็ทำได้เพียงยิ้มออกมา ลูบแผ่นหลังคนที่กอดซบกันอยู่อย่างปลอบประโลม
“ไว้แกหายดี เราค่อยกลับมาทำงานก็ได้”
“ฉันรักแกจังเลยปาย”
“แกต้องรักตัวเองให้มาก ๆ”
“ฮึก”
“จะใช้เวลานานแค่ไหน?”
“…”
คนที่กำลังซบหน้าอยู่ที่ไหล่ของฉันไม่ได้ตอบในทันที แต่ดึงตัวกลับไปเม้มปากแน่น ส่ายหัวไปมา ก่อนจะซบใบหน้าเกรอะกรังไปด้วยร่องรอยของน้ำตาสดใหม่เข้าหาฝ่ามือ
“บอกตรง ๆ ว่ายังไม่รู้เลย”
“…”
“เอาอย่างนี้ไหม… แกลองเปิดรับสมัครงาน…”
“มันไม่ได้หาคนที่จบศิลปะบำบัดโดยตรงมาได้ง่าย ๆ ในไทยนะ ถึงจะมีไอ้โอ๊คแต่นั่นเราก็เปิดต่อได้แค่ให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิต”
ฉันกำลังพูดถึงเพื่อนอีกคนซึ่งเป็นจิตแพทย์แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาหรอก ก่อนที่เราจะมานั่งกันอยู่จุดนี้พรีมได้คุยกับเพื่อนคนที่ว่าไปเรียบร้อยแล้ว และโอ๊คมันก็โอเคเพราะยังไงทุกวันนี้งานมันก็รัดตัวคงอยากจะหาเวลาพักผ่อนบ้างไม่ต่างกัน คงเหลือก็แค่ฉันคนเดียวที่สุดท้ายแล้วก็ต้องทำใจยอมรับเหมือนกัน เพราะสภาพเพื่อนก็ไม่ไหวจริง ๆ
“มันก็จริง”
“ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นหรอก แกไปพักทำใจให้สบาย เดี๋ยวฉันจะลองรับคอมมิชชันวาดรูประหว่างที่รอก็ได้ โอ๊คเองก็มีโรงพยาบาลประจำยังไงพวกแกก็คุยกันไว้ก่อนแล้วด้วย”
“รักแกที่สุดเลยปาย”
“รักเหมือนกัน”
หนึ่งชั่วโมงต่อมา
ฉันกลับมาถึงคอนโดแล้วด้วยสภาพจิตใจที่ว่างเปล่า ไม่ได้รู้สึกหนักหน่วงอะไรที่เพื่อนสนิทซึ่งลงขันทำงานด้วยกันจะขอตัวปลีกวิเวกไปรักษาแผลใจที่คงกำลังอยู่ในช่วงซึ่งยังข้นหนักในความรู้สึก
อันที่จริงจะเปิดเวิร์กช็อปหาคนมาทำงานต่อก็คงได้ แต่การหาคนซึ่งจบศิลปะบำบัดโดยตรงในประเทศไทยมันช่างยากลำบาก เพราะยังไม่มีที่ไหนเปิดสอนแบบจริงจัง หากจะเรียนก็คือต้องไปเรียนเมืองนอก
เอาเป็นว่าระหว่างนี้คงไม่สามารถหาคนมาทำงานแทนหน้าที่มันได้ง่าย ๆ ก็แล้วกัน ตัวฉันเองก็จบแค่ทัศนศิลป์มาเท่านั้น ส่วนโอ๊คที่เป็นจิตแพทย์ก็ให้คำแนะนำคำปรึกษาด้านสุขภาพจิตอย่างที่บอก หากจะใช้ศิลปะบำบัดเข้าช่วยก็ต้องทำงานควบคู่ไปกับพรีม เอาเป็นว่ายังไงก็ต้องมีมัน
และฉันก็มีเงินเก็บอยู่เยอะมากพอที่จะหยุดงานได้เป็นปี ระหว่างที่เพื่อนพักใจฉันก็อาจจะหางานเสริมเล็ก ๆ น้อย ๆ ทำ เพราะงั้นเรื่องงานไม่ใช่อะไรที่น่าเป็นกังวล
แค่ตอนนี้มันแค่รู้สึกชีวิตว่างเปล่ามากเกินไปเสียหน่อย…
อาจเป็นเพราะอยู่ตัวคนเดียวในเมืองหลวงมานานหลายปี เอาแต่เรียนกับทำงาน พอจู่ ๆ ไม่มีอะไรให้ทำมันก็เลยแอบเคว้ง
Rrrrrr
สายเรียกเข้าดังขึ้นในจังหวะที่ฉันทิ้งแผ่นหลังลงบนเตียง มือควานหาโทรศัพท์ที่ก็คงจะอยู่ใกล้ ๆ ก่อนจะเลื่อนรับสายเมื่อเห็นว่าเป็นพี่ชายตัวเองโทรเข้ามา
“คิดถึงพี่ปราณจัง” ยังไม่ทันที่ปลายสายจะพูดอะไร ฉันก็เอ่ยออกไปก่อนพร้อมกันก็หลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน
‘เป็นอะไร?’ เสียงคุ้นหูของ ‘พี่ปราณ’ ถามกลับมาในทันที และนั่นก็ทำให้ฉันยิ้มออกมาได้เล็กน้อย
“เปล่าหรอก ปายแค่เหงา”
‘…’ ปลายสายเงียบเสียงอยู่อึดใจก็เอ่ยต่อ ‘เหงามากไหม?’
“มาก”
‘เหงามากก็กลับบ้าน’
“อยากกลับอยู่เหมือนกันคิดถึงแม่กับพ่อ”
‘แล้วเรื่องงาน…’
“ก็นี่แหละที่ทำให้อยากกลับบ้าน”
‘มีอะไรรึเปล่า?’ น้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยของคนปลายสายยิ่งทำให้ฉันรู้สึกเหงาจับใจ กระนั้นมุมปากก็ยกยิ้มขึ้นมาได้อีกครั้ง
“ไม่มีอะไรหรอก พรีมมันอกหัก ปายเลยว่าจะพักงานสักระยะ”
‘งั้นกลับมาพักที่บ้าน เราก็ไม่ได้กลับมาตั้งหลายปีแล้ว’
ฉันยกแขนขึ้นก่ายหน้าผาก ในหัวคิดถึงบ้านที่ว่าขึ้นมาเสียอย่างนั้น เพราะตัวฉันเองก็ไม่ได้กลับไปนานมากแล้วจริง ๆ แต่ยังไม่ทันที่จะได้ตอบอะไรกลับไป ก็มีเสียงใครคนหนึ่งดังแทรกขึ้นที่ปลายสาย
‘ใครวะ?’
‘ปาย’
‘ปายเป็นไงบ้าง?’
‘มึงอยากคุยไหมล่ะ?’
‘น้องมันจะว่าแปลกอะดิ’
‘ปาย’
“…”
‘ฮัลโหล… ปายอยู่ไหม…’
เสียงพี่ปราณที่กำลังเรียกชื่อกันซ้ำไปซ้ำมาแทบไม่ส่งผลอะไรต่อระบบโสตประสาทเลยแม้แต่น้อย เป็นเสียงหัวเราะของอีกคนที่ดังแทรกขึ้นมาต่างหากที่ทำให้เปลือกตาหนักอึ้งสองข้างเปิดขึ้นมา น้ำลายเหนียวหนืดถูกกลืนลงคอช้า ๆ
กับสุ้มเสียงคุ้นหูที่ไม่ได้ยินมานานแสนนาน…
‘ปายยังอยู่ไหม?’
“ตกลง”
‘ฮะ?’
“ปายจะกลับไปอยู่บ้านสักระยะ”
รู้ตัวอีกที… ฉันก็ตอบรับออกไปทั้งใจยังเหม่อลอย ปลายสายวางไปได้ร่วมสิบนาทีแล้วฉันก็ยังนอนแข็งค้างอยู่ท่าเดิม หัวใจกระตุกเต้นเป็นจังหวะประหลาดที่ไม่ได้พานพบมานานหลายปี
เหนือรักปายตอนพิเศษ 4 ปัจจุบัน เสียงหัวเราะของคนหลายคนดังแว่วมาให้ได้ยิน ตอนที่ผมกำลังเดินไปยังเวิร์กช็อปเล็ก ๆ ข้างกันกับตัวบ้านของผมเองที่ ๆ ปายตั้งใจจะเปิดสอนศิลปะให้กับคนที่สนใจ และก็ได้รับการตอบรับดีพอสมควร เพราะในตัวอำเภอไม่มีที่ไหนเปิดสอนศิลปะเป็นจริงเป็นจัง หากจะเรียนก็ต้องเข้าเมืองไปไกลกว่าสองชั่วโมง ลูกค้าส่วนมากก็เป็นเด็กนักเรียนที่พ่อแม่สนใจจะสนับสนุนลูก ๆ ให้เอาดีทางด้านนี้ แต่ก็มีผู้ใหญ่หลายคนอยู่เหมือนกันที่ให้ความสนใจมาลงเรียน บางกลุ่มก็มาเรียนบ้างเป็นพัก ๆ บางคนก็ตั้งใจจะเรียนระยะยาวแม้งานที่ว่านี้จะไม่ได้ทำรายได้เป็นกอบเป็นกำ แต่คนที่ตั้งใจทำก็ดูจะพอใจที่ทุกอย่างไปได้สวยอย่างที่คิด วันนี้เป็นเย็นวันธรรมดาคนเลยไม่เยอะเท่าไรนัก สังเกตได้จากรองเท้าที่ถอดเรียงเอาไว้บนชั้นวางรองเท้าด้านนอก หากเป็นวันเสาร์อาทิตย์คนก็จะเยอะกว่านี้ เสียงกริ่งประตูดังขึ้นตอนที่ผมผลักบานประตูเดินเข้าไป คนหลายคนด้านในหันมองมา เด็กนักเรียนผู้หญิงหลายคนกำลังนั่งจับกลุ่มวาดภาพสีน้ำ ตรงหน้าของแต่ละคนมีกระดานวาดภาพวางบนขาตั้งไม้ทรงสูง ผมได้แต่
เหนือรักปายตอนพิเศษ 3@ โรงเรียน “กูอยากถือป้าย” “ก็ถ้าไม่ใช่มึงเป็นดรัมฯ แล้วจะให้ใครเป็น?” “กูขี้เกียจซ้อม ขอถือป้ายแทนได้ปะ?” “ไอ้ฝ้ายก็จะนั่งเสลี่ยง มึงก็อยากจะถือป้าย ไม่มีใครอยากเป็นดรัมฯ บ้างเลยหรือยังไง?” “…” ผมได้แต่นั่งมองเพื่อนผู้หญิงโต้กันไปโต้กันมาเรื่องการเตรียมงานกีฬาสีของโรงเรียนที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ ขนาดว่านั่งเฉย ๆ ไม่ออกความเห็นอะไร สายตาคนอื่นก็พากันหันมากดดัน ราวกับจะให้ผมเป็นคนออกความเห็นว่าใครควรจะเป็นดรัมเมเยอร์เสียอย่างนั้น “อะไร? กูจะรู้ไหมเนี่ย? กูผู้ชาย” “มึงเป็นประธานไงเหนือ และนี่ไม่มีใครอยากเป็นเลยสักคน ดรัมฯ ไม้แรกเลยนะเว้ย กูละงงจริง ๆ”ไอ้จ๋าเกาหัวแกรก ๆ สีหน้าคิดไม่ตก สายตากดดันเลื่อนมองกลับไปยังคิมซึ่งนั่งกอดอกอยู่บนโต๊ะเรียนอีกครั้ง คนถูกมองพ่นลมหายใจเสียงดังพลางก็บ่นกระปอดกระแปด “ก็กูอยากถือป้าย มึงก็เป็นดรัมฯ เองสิ” “ลดน้ำหนักให้ได้สักสิบห้ากิโลฯ กูจะเป็นให้” คนที่เพื่อนปัดภาระให้เ
เหนือรักปายตอนพิเศษ 2@ โรงเรียน วันนี้เป็นอีกครั้งที่ใต้โต๊ะเรียนของผมมีคนเอาจดหมายมาสอดไว้เหมือนกับหลายวันที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนเอาของมาส่งให้ หากแต่ไม่มีใครใช้วิธีส่งจดหมายแบบนี้ ส่วนมากเป็นขนมกับของขวัญเสียมากกว่าก็มีอยู่แค่คนเดียวที่ใช้วิธีส่งจดหมายมา และแค่เห็นซองจดหมายก็รู้ได้ในทันทีว่าเป็นของคน ๆ เดียวกัน คนอื่นรอบตัวผมในขณะนี้ยังคงตั้งหน้าตั้งตาลอกการบ้านกันเหมือนอย่างเคยตอนที่ผมดึงเอากระดาษโน้ตลายกระต่ายสีชมพูออกจากซอง ไล่สายตาอ่านสิ่งที่เขียนอยู่บนแผ่นกระดาษอันที่จริงก็ไม่ได้ต่างไปจากทุกฉบับที่ผ่านมา คนส่งยังคงเขียนทำนองว่า วันนี้แอบมองผมตอนทำนู่นทำนี่ พรรณนาว่าตัวผมหล่อแค่ไหน ไม่ก็ประเภทที่ว่าเมื่อคืนฝันถึงผมอะไรประมาณนั้นทุก ๆ ย่อหน้าจะมีสติกเกอร์รูปหัวใจแปะอยู่ ท้ายแผ่นจะมีรูปการ์ตูนที่วาดไม่ซ้ำกันในแต่ละวัน อย่างวันนี้ก็เป็นผู้หญิงกำลังยืนเกาะแขนผู้ชายที่ก็คิดว่าคงแทนตัวผมเอง ผมได้แต่ระบายรอยยิ้มออกมา เพราะต้นทางคนส่งดูท่าจะตั้งใจมาก ไม่ว่าผมจะมาโรงเรียนเช้าแค่ไหน ก็จะเห็นว่ามีจดหมายสอดที่ใต้โต
เหนือรักปายตอนพิเศษ 1 สิบปีก่อน@ เหนือ “กูถึงแล้ว” ‘จอดรออยู่หลังสถานี’ “เค” ปลายสายวางไปแล้ว กระเป๋าเป้ใบใหญ่ถูกแบกขึ้นบ่าอีกรอบหลังจากถูกวางทิ้งไว้เมื่อนาทีก่อนเพราะผมเดินไปซื้อน้ำที่ร้านค้าหน้าสถานีรถไฟ อากาศประเทศไทยตอนกลางวันร้อนตับแตกแบบนี้ อะไรก็ไม่ดีเท่าได้กินน้ำแดงเย็น ๆ สักถุง หลังจากไปอยู่บ้านป้ามาตลอดปิดเทอมฤดูร้อนตอนนี้ก็ได้ฤกษ์กลับบ้านตัวเองเสียที เนื่องจากโรงเรียนใกล้เปิดเทอมแล้ว อีกไม่กี่วันก็คงต้องกลับไปเรียนเหมือนอย่างเคย และคงเป็นปีสุดท้ายที่จะได้ใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียน เพราะปีนี้ผมกำลังจะขึ้นชั้นม.หก “ไปบ้านกูก่อนแล้วกัน” แค่เจอหน้ากันไอ้ปราณเพื่อนสนิทที่เอามอเตอร์ไซค์มาจอดรอรับก็เอ่ยบอก พลางเอาขาตั้งรถขึ้น ผมไม่ทันได้พูดอะไรมันก็เตรียมจะออกรถ สุดท้ายเลยต้องรีบคร่อมขาซ้อนท้ายมัน ไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากถามเพื่อนว่าทำไมต้องไปบ้านมันก่อน เพราะถึงยังไงบ้านที่ว่าก็เป็นทางผ่านที่จะไปบ้านผมอยู่แล้ว สายลมพัดปะทะเข้าหาใบหน้าไม่ได้ช่วยให้คลายร้อนลงเท่า
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 49 หลายวันต่อมา หลังจากงานแต่งผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เราทุกคนก็กลับมาใช้ชีวิตกันอย่างปกติสุข ฉันยังคงไปเลี้ยงจ๋อมเหมือนทุกวัน พี่เหนือก็ออกไปดูแลร้านของเขาเหมือนทุกที พี่ปราณก็ยังคงช่วยดูแลกิจการของที่บ้าน ส่วนจ๋อมก็กำลังเตรียมสอบปลายภาคของระดับชั้นประถมศึกษา เพราะงานวันแต่งเราเชิญคนรู้จักมาเยอะมาก และแขกหลายคนก็เป็นอาจารย์ที่โรงเรียนเก่าของเราทั้งคู่รวมถึงรุ่นพี่รุ่นน้องชั้นปีอื่น ๆ ช่วงท้ายของงานทางอาจารย์เลยมีการขอแรงจากศิษย์เก่าเข้าไปช่วยจัดการเรื่องการย้ายโต๊ะนักเรียนแบบเก่าไปเก็บไว้ที่โกดังหลังโรงเรียนเพื่อที่จะรับโต๊ะเขียนแบบเลกเชอร์เข้ามาแทน แน่นอนว่าฉันกับพี่เหนือเองก็อาสาจะไปช่วย พวกเพื่อน ๆ ของเขา และเพื่อนสมัยเรียนของฉันก็พากันมาร่วมแรงร่วมใจกันในวันนี้ด้วยเหมือนกัน “ดีไหม?” “อะไร…” “ก็แกกับพี่เหนือไง ใกล้ได้ลูกรึยัง?” “บ้า…” “อย่ามาเขินหน่อยเลย เห็นว่าลุงหมานอยากมีหลานให้อุ้มไว ๆ” “ก็กำลังช่วยกันทำอยู่” “โอ๊ย! ไม่น่าถามเลยจริง
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 48 สองชั่วโมงต่อมา หลังจากที่เดินไหว้ผู้หลักผู้ใหญ่โต๊ะนู้นโต๊ะนี้จนเสร็จ ทุกคนก็ทานอาหารกันจนอิ่มหนำ ตอนนี้ก็เข้าสู่ช่วงเปิด VTR ของคู่บ่าวสาวที่พี่ปราณเป็นคนเสนอตัวจัดเตรียมให้เอง ฉันกับพี่เหนือได้แต่ยืนกลั้นขำกันอยู่บนเวทีเมื่อแต่ละรูปที่คนเป็นพี่เลือกมามันช่างน่าขำ ตั้งแต่รูปของเราสมัยยังเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ ข้ามมาสมัยผมของฉันยังสั้นเท่าติ่งหู และตัดมาที่ภาพสมัยมัธยมปลายที่เริ่มจะดูดีขึ้นมาหน่อย ช่างต่างจากคนเป็นเจ้าบ่าวที่หน้าตาดีมาตั้งแต่เด็กแบบที่คงไม่เคยพบเจอยุคมืดของตัวเองมาก่อน วิดีโอเล่นผ่านไปเรื่อย ๆ จนเข้าสู่รูปพรีเวดดิ้งของเราทั้งคู่ ที่ออกจะหวานเกินไปเสียหน่อย ทุกรูปพี่เหนือจะมองกันด้วยสายตาแบบที่ทำเอาหัวใจละลาย บรรดาสาว ๆ ในงานพากันกรี๊ดกร๊าดวี้ดว้ายกันไม่หยุดกับสายตาประเภทนั้นแม้จะเป็นเพียงภาพถ่ายก็ตาม และตอนนี้เองที่พี่เหนือเลื่อนมือมากุมประสานเข้ากันกับมือของฉัน สายตาที่มองมาอย่างสื่อความหมายทำเอาใจเต้นแรง แม้ว่าเราจะอยู่ท่ามกลางคนหลายร้อยคนฉันก็ไม่อาจห้ามจังหวะหัวใจให้เต้นช้าลงได้เลย