หลังจากออกมาจากบ้านหลี่ โจวเพ่ยชิงจึงพาลูกทั้งสองเดินต่อมายังบ้านโจว ระหว่างทางภาพของสามแม่ลูกทำให้ชาวบ้านมองกันอย่างตกตะลึง บางคนถึงขั้นขยี้ตาด้วยซ้ำเพราะไม่เชื่อกับสิ่งที่เห็น จวบจนทั้งสามคนเดินมาถึงบ้านโจว
“เม่ยเม่ย เปิดประตูให้พี่หน่อย ทุกคนยังไม่กลับมาเหรอ”
โจวเม่ยเม่ย เด็กสาววัยสิบห้าปี เมื่อได้ยินเสียงพี่สาวต่างแม่ก็อดที่จะตัวสั่นด้วยความกลัวไม่ได้ แต่ก็เดินมาเปิดประตูให้
“น้าเม่ยเม่ย พวกเรามาแล้ว” หลี่ซานซานร้องเรียกเม่ยเม่ย
“อาเฉิน ซานซาน ใส่ชุดใหม่ด้วยน่ารักจังเลย”
เด็กสาวเอ่ยทักทายอย่างเป็นกันเองกับหลานทั้งสองคนอย่างเป็นกันเอง เพียงแต่กับพี่สาวนั้นเธอยัง กล้า ๆ กลัว ๆ
โจวเพ่ยชิงเข้าใจถึงความกลัวของน้องสาวต่างแม่ เมื่อก่อนเธอร้ายไม่น้อย จึงไม่แปลกที่โจวเม่ยเม่ยจะยังคงหวาดกลัวเธอ
“ยังกลัวพี่อยู่เหรอเม่ยเม่ย” พอเจอพี่สาวถามแบบนั้น โจวเม่ยเม่ยจึงพยักหน้ารับทันที
“พี่ไม่ขอให้เม่ยเม่ยอภัยให้พี่ แต่พี่จะทำให้เม่ยเม่ยเห็นว่าเวลานี้พี่ปรับปรุงตัวและเปลี่ยนไปแล้ว จริงสิ วันนี้ไม่ไปเรียนเหรอ”
“สัปดาห์นี้โรงเรียนหยุดค่ะ แม่ให้มาช่วยที่คอมมูน พี่สามไม่ต้องขอโทษฉันหรอก ฉันไม่เคยโกรธพี่เลย แต่...”
“แต่ยังกลัวพี่ เอาเถอะ ค่อย ๆ คลายความกลัวก็แล้วกัน จริงสิ วันนี้พี่เข้าเมืองมา ซื้อของมาฝากทุกคนด้วย ร้านขายชุด เขาบอกว่าเด็กสาวมัธยมชอบชุดแบบนี้ ไม่รู้จะถูกใจเม่ยเม่ยหรือเปล่า เราเข้าบ้านกันดีไหม จะได้ช่วยเตรียมอาหารเย็นให้ทุกคนด้วย”
รอยยิ้มและน้ำเสียงของโจวเพ่ยชิง ทำให้เด็กสาวคลายความกลัวลงไม่น้อย ไม่นานเมื่อเห็นข้าวของที่พี่สาวเอามาฝาก จึงทำให้เด็กสาวยิ้ม รวมถึงแววตาและสีหน้าดูตื่นเต้นอย่างฉายชัด แม้จะเป็นคนขี้กลัว แต่โจวเม่ยเม่ยยังคงเป็นเด็กสาวที่รักสวย รักงาม ยิ่งเห็นของฝาก ยิ่งทำให้มีรอยยิ้มเต็มใบหน้า อีกทั้งยังเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“พี่สาม ชุดพวกนี้ราคาคงแพงมากใช่ไหม ฉันไม่กล้าใส่หรอก สหายในโรงเรียนขนาดเป็นลูกเถ้าแก่ร้านค้าของรัฐ ยังมีเนื้อผ้าไม่ดีขนาดนี้เลย”
“ถูกหรือแพงไม่สำคัญเลย ขอเพียงน้องสาวพี่ชอบก็พอ วันหน้าพี่เข้าเมือง พี่จะซื้อมาฝากอีก นี่มีผ้าผูกผมด้วยนะ”
ของพวกนี้โจวเพ่ยชิงล้วนเอามาจากมิติทั้งนั้น เธอเองก็เป็นคนรักสวยรักงาม ย่อมต้องรู้ว่าเด็กสาววัยนี้ต้องการอะไร และชอบแบบไหน เลยไม่แปลกใจหากน้องสาวจะมีอาการตื่นเต้นอย่างที่เห็น
“ไม่ต้องหรอกพี่สาม เปลืองเงิน เก็บเงินไว้ให้หลาน ๆ เรียนดีกว่า ปีหน้าก็ต้องเข้าเรียนแล้ว” โจวเม่ยเม่ยบอกอย่างเกรงใจ
ข้าวของพวกนี้เป็นของสิ้นเปลือง โจวเม่ยเม่ยจึงไม่ต้องการให้พี่สาวที่เพิ่งจะหายป่วยต้องเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์
“เม่ยเม่ยไม่ต้องห่วง เรื่องเรียนของอาเฉินและซานซานพี่เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว และคิดหาเงินเข้าบ้านเพิ่มด้วย แต่ไม่ต้องกลัว พี่ไม่ทำอะไรให้ตนเองเกิดอันตรายหรอกนะ”
“พี่จะขายของในตลาดมืดเหรอพี่สาม!!!” โจวเม่ยเม่ยได้ยินอย่างนั้นก็ถามกลับมาเสียงดังด้วยความตกใจ
“อย่าเสียงดังสิ เดี๋ยวหลาน ๆ ก็ได้ยินหรอก”
โจวเพ่ยชิงรีบเอามือปิดปากน้องสาวไว้ กลัวว่าจะมีใคร ได้ยินเข้า แม้จะอยู่ในบ้านก็ตาม เมื่อโจวเม่ยเม่ยพยักหน้าเข้าใจ
หญิงสาวจึงเอามือออก
“ก็แค่ซื้อมาขายไปเท่านั้น ดูอย่างที่คาดผมและผ้าผูกผมนี่สิ พี่รับมาจากคนรู้จักแค่อันละหนึ่งเหมาเท่านั้น พี่ขายในตลาดมืด สามเหมา ได้กำไรตั้งสองเท่า ยังมีอีกนะ นี่สบู่และแป้งทาหน้าสบู่นี้พี่รับมาหนึ่งหยวน ขายสองหยวนห้าเหมาหรือสามหยวนยังได้เลย ส่วนแป้งพี่รับมาห้าหยวน ขายสิบหยวน มีครีมกันแดดอีกนะ”โจวเพ่ยชิงสาธยายให้น้องสาวฟัง และรู้ว่าน้องสาวคนนี้มีหัวการค้าอยู่ไม่น้อย ความทรงจำชาติที่แล้ว หลังจากนี้อีกปีสองปี เด็กสาวมักจะหาของไปขายเสมอ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ให้เธอรู้ว่าน้องสาวก็ทำการค้าเช่นกัน“จริงเหรอพี่สาม ฉันสนใจนะ แต่เวลานี้เงินเก็บฉันแทบไม่มีเลย ที่คาดผมและผ้าผูกผม สหายในโรงเรียนชอบพูดโอ้อวดว่าซื้อจากห้างของรัฐ ราคาตั้งหนึ่งหยวน หากฉันแอบเอาไปขาย คงได้กำไรไม่น้อย”เป็นอย่างที่โจวเพ่ยชิงคิด น้องสาวคนนี้มีหัวการค้าจริง ๆ“เอาอย่างนี้ อีกสามวันพี่จะไปรับของและเอามาขายอีกครั้ง เม่ยเม่ยอยากได้อะไรก็เขียนลงกระดาษมาให้พี่ พี่จะลงทุนให้ก่อน พอขายได้ค่อยเอาทุนมาให้พี่ แต่ต้องสัญญานะว่า เรื่องนี้เป็นจะความลับ และอย่าทำให้ตนเองเกิดอันตราย”“แล้วเรื่องนี้บอกพ่อกับแม่ได้ไหม พี่ใหญ่กับพี่รองล่ะ”“บ
“จริงสิป้าหลุน พี่ใหญ่หลุนว่างหรือเปล่า ช่วงเย็นก็ได้หรือช่วงไหนก็ได้” ก่อนที่นางหลุนจะเดินจากไป โจวเพ่ยชิงก็ถามขึ้นมา“มีอะไรหรือเปล่าเพ่ยชิง” นางหลุนถามกลับมาอย่างสงสัย“พอดีว่าปีหน้าสองแฝดต้องเข้าเรียน แต่ฉันอยากให้ลูกทั้งสองอ่านออกเขียนได้ก่อน พี่ใหญ่หลุนเคยเป็นครูใช่ไหม เขาจะรับสอนเด็กทั้งสองคนได้หรือเปล่า แต่เอาเฉพาะเวลาว่างนะคะ”เรื่องที่ลูกชายบ้านหลุนเคยเป็นครูโรงเรียนประถมมาก่อนนั้น ชาวบ้านล้วนรู้ดี แต่เพราะเกิดการกลั่นแกล้งเลยทำให้เขาต้องลาออกกลับมาอยู่บ้าน และทำงานในคอมมูนจนถึงปัจจุบัน พอมีโอกาสได้คุยกัน เลยถามเรื่องนี้ขึ้นมา“จริงเหรอเพ่ยชิง”ไม่ใช่เสียงใคร แต่เป็นเสียงของหลุนหมิงซานั่นเอง“อ้าวพี่ใหญ่ พี่รอง พี่ใหญ่หลุน กลับมากันแล้วเหรอคะ”โจวเพ่ยชิงหันไปมองตามเสียง ก็เอ่ยทักทายทั้งสามคนขึ้น“อืม กลับมาแล้ว แล้วนี่น้องยังไม่ตอบพี่ใหญ่หลุนเลย”“ค่ะ ฉันพูดจริง ฉันต้องการให้สองแฝดได้เรียนรู้ตัวอักษรก่อนที่จะเข้าเรียนในปีหน้า ฉันกำลังมองหาครูมาสอนให้สองคนนี้พอดี นึกได้ว่าพี่เคยเป็นครูมาก่อน ว่าแต่พี่จะรับสอนได้หรือเปล่า”“ได้สิ แต่ไม่ต้องจ้างหรอก เราคนกันเอง เพ่ยชิงก็ไม่ต่าง
เช้าวันต่อมา...วันนี้สองแฝดตื่นมาด้วยท่าทีที่สดชื่น เนื่องจากแม่สัญญาว่าจะพาไปเที่ยวตลาดนัดนั่นเอง เมื่อเตรียมอาหารเช้าเสร็จแล้วโจวเพ่ยชิงจึงเอ่ยเรียกลูกทั้งสองคน“เอาละเด็ก ๆ อาหารเช้าเสร็จแล้ว มากินกันก่อนเร็วแม่จะพาไปเที่ยวตลาดนัด”เนื่องจากหมู่บ้านข้าง ๆ จัดตลาดนัดทุกสัปดาห์ นี่จึงทำให้โจวเพ่ยชิงอยากพาลูกทั้งสองไปเที่ยวเปิดหูเปิดตา เพราะที่ผ่านมาเธอไม่เคยทำหน้าที่แม่ที่ดีเลย“ครับ / ค่ะ” สองแฝดตอบรับเสียงใส ก่อนจะนั่งกินอาหารเช้าอย่างอร่อยมื้อเช้าในวันนี้โจวเพ่ยชิงทำข้าวต้มหมูที่มีเนื้อหมูสับละเอียดและปั้นเป็นก้อน ๆ พร้อมกับไข่ต้มอีกคนละฟอง อาหารเพียงแค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับสามคนแม่ลูกเมื่อเช้าหลังจากตื่นมาอาบน้ำเสร็จ หญิงสาวสังเกตว่าแผลบนใบหน้านั้นคล้ายจะจางไปเล็กน้อย และคิดว่านี่คงจะเป็นจริงอย่างที่ท่านตาคนกล่าวไว้ว่า ถ้าเมื่อไหร่ที่เธอทำความดี รอยแผลพวกนี้จะจางหายไปเอง แต่ต่อให้แผลนี้จะหายไปหรือไม่ หญิงสาวยินดีที่จะทำความดีอย่างต่อเนื่อง เพื่อลบล้างความผิดกับสิ่งที่เธอได้กระทำต่อครอบครัวและใครหลายคนทั้งชาตินี้และชาติที่แล้วระหว่างกำลังนั่งกินอาหารเช้า เสียงเรียกของโจวเม่ย
“พอจะมีเวลาคุยกันหน่อยไหม”เมื่ออยู่กันแค่สองคนแล้ว โจวเพ่ยชิงก็เปิดประเด็นทันที“เรื่องอะไรครับ คุณไม่กลัวคำนินทาที่คุยกับผมเหรอ”ตานเต๋อคงถามอย่างแปลกใจ ผู้หญิงคนนี้แปลกมาก กล้าคุยกับเขาได้ยังไงกัน ทั้ง ๆ ที่เขามีบาดแผลบนใบหน้าขนาดนี้“เรื่องคำนินทาฉันเจอมาเยอะแล้ว แค่นี้ไม่ทำให้ฉันสะเทือนหรอก เรามาคุยกันเรื่องสำคัญดีหรือเปล่า” เธอไม่ยี่หระกับเรื่องคำนินทา ตลอดชีวิตเธอเป็นหญิงร้ายกาจในสายตาทุกคนอยู่แล้ว อีกทั้งเรื่องนี้เธอทำเพื่อปากท้องของครอบครัว หากกลัวคำนินทา คงไม่ต้องทำมาหากินอะไรแล้วล่ะเวลานี้เธอยังมีเงินเดือนที่พี่ฮั่นตงพ่อของเด็ก ๆ ส่งมาให้ แต่เมื่อไหร่ที่เธอและเขาตัดสินใจจบคำว่าสามีภรรยา นั่นหมายถึงเธอจะต้องดิ้นรนทำทุกอย่าง เพื่อให้ชีวิตทุกคนและลูกทั้งสองคนดีขึ้น การค้าจึงเป็นสิ่งแรกที่เธอนึกถึง“ตามผมมา”ในเมื่อหญิงสาวคนนี้ไม่กลัวคำนินทา และเรื่องที่เธอต้องการสนทนาคงสำคัญไม่น้อย เขาจึงเดินนำไปยังต้นไม้ใหญ่ด้านหลังเพื่อหลบสายตาผู้คน“คุณมีเรื่องอะไรก็ว่ามา ผมมีเวลาไม่มาก ต้องขายของ”“ช่างไร้สัมพันธ์นัก เอาเป็นว่าเรามาเข้าเรื่องกันดีกว่า ฉันมีเงินให้ก้อนหนึ่ง คุณไปจัดการปัญห
“พี่สาม พี่จะบอกฉันหรือยัง ว่าคุยอะไรกับพี่ชายอาโมว่”แม้อาโมว่จะเป็นสหายของเธอ แต่เม่ยเม่ยกลับไม่คุ้นเคยกับพี่ชายของสหายจึงอดเป็นห่วงไม่ได้“พี่ช่วยเหลือบางอย่างครอบครัวนั้น และพี่ให้ตานเต๋อคง หาร้านค้าในตลาดมืดไว้ให้ พี่จะสั่งสินค้ามาลงและให้เขาดูแลให้”“แค่นี้เหรอคะ คุยกันนานเชียว แต่พี่ทำแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ไม่ต้องออกหน้า รอรับเงินอย่างเดียวจะได้ไม่อันตรายด้วย แม้พี่จะเป็นเมียนายทหารแต่มาค้าขาย ใครรู้เข้ามันไม่ดีแน่ แต่พี่ไว้ใจพี่ชายอาโมว่ขนาดนั่นเลยเหรอ” เม่ยเม่ยยังคงถามต่อเพราะเป็นห่วงพี่สาว คนนั่นจะไว้ใจได้แค่ไหน แม้จะเป็นพี่ชายของสหาย เธอก็ยังไว่ไว้ใจ“เรื่องบางเรื่องไม่จำเป็นต้องมองหรือศึกษานานหรอกนะ พี่เชื่อว่าสายตาพี่คงมองไม่ผิด ว่าแต่เรื่องนี้อย่าเพิ่งบอกใคร พี่ไม่อยากให้ทุกคนเป็นห่วง สัญญาได้ไหม ส่วนเรื่องที่พี่ไปค้าขายในตลาดมืด หรือเรื่องที่เม่ยเม่ยจะเอาเครื่องสำอางไปขาย สองเรื่องนี้บอกได้ พี่ไม่ห้าม รอให้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง พี่จะบอกทุกคนด้วยตัวเอง”โจวเพ่ยชิงขอคำสัญญาจากน้องสาว เรื่องนี้เธอยังไม่ต้องการบอกครอบครัวเพราะกลัวถูกห้าม รอให้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางเสียก่อน เ
หลังจากตรวจตราร้านค้าเสร็จแล้ว โจวเพ่ยชิงจึงเดินออกมาพร้อมกับตานเต๋อคง เพื่อไปดูโกดังที่ตานเต๋อคงเช่าไว้ไม่ไกลกับตลาดมืดมากนัก ซึ่งหากเธอมองว่าหากชายหนุ่มจะขนย้ายสินค้ามายังร้านค้า น่าจะไม่ใช่เรื่องยากหรือลำบากจนเกินไป“โกดังแห่งนี้เจ้าของเขาตั้งใจขายครับ เพียงแต่เวลานี้รัฐเข้มงวดในการซื้อขาย เขาจึงไม่อยากมีปัญหาเลยให้เราเช่าก่อนเดือนละสิบหยวน แต่ถ้าเราจะซื้อ เขาขายในราคาเจ็ดร้อยหยวน”“อืม ฉันขอดูเส้นสายอีกสักหน่อย ยังไงเช่าสักสองสามเดือนก่อนก็แล้วกัน ส่วนราคาที่ขายนั้นฉันคิดว่ามันไม่แพง จริงสิ นอกจากค้าขายในตลาดมืดแล้ว พี่คิดว่าเราควรทำการค้าอะไรอีกไหม”“ตามความคิดผม เวลานี้อาหารและวัตถุดิบนั้นขาดตลาดไม่น้อย ร้านค้าที่มีผลกระทบเลยก็คือร้านอาหาร แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นร้านอาหารของรัฐก็ตาม แต่ส่วนมากจะเป็นกลุ่มพ่อค้าทั่วไปที่ขอทำการค้ากับภาครัฐ เท่าที่ผมดูมา มีร้านอาหารหลายร้านปิดตัวลงเนื่องจากขาดวัตถุดิบ หากเราไปติดต่อทำการค้ากับร้านต่าง ๆ ในเมืองและในบริเวณใกล้เคียง ผมคิดว่าน่าจะดีและยอดขายคงมาก แต่ปัญหาอยู่ที่นายหญิงจะหาวัตถุดิบเพียงพอต่อความต้องการได้หรือไม่”ชายหนุ่มไม่ได้ดูหมิ่นในคว
“อ้าวกลับมาแล้วเหรอเพ่ยชิง” นางซูหนานเอ่ยถามลูกเลี้ยงต่อให้จะไม่ใช่แม้ที่แท้จริงแต่เวลานี้โจวเพ่ยชิงดูแลเธอและบุตรสาวไม่ต่างจากครอบครัวเดียวกัน แม้ที่ผ่านมาต่อให้โจวเม่ยเม่ยจะเป็นน้องสาวแท้ ๆ แต่ก็ต่างแม่ โจวเพ่ยชิงจึงมักจะจิกกัดและพูดจากระทบกระทั่งอยู่ตลอดเวลา“ค่ะแม่ แล้วนี่แม่ป่วยหรือเปล่าคะถึงไม่ไปทำงาน แม่ไปโรงพยาบาลไหม”“อย่าเลยลูก วันนี้แม่ปวดหลังเลยไม่ทำงาน ให้สามคนพ่อลูกไปกันเอง”นางซูหนานไม่ได้ป่วยอะไรหรอก เพียงแค่เมื่อวานต้องก้มหน้าตลอดเพื่อดำนา อาการปวดหลังเลยถามหา วันนี้เลยขอลาหยุดก็แค่นั้น ไม่คิดว่าจะสร้างความกังวลให้กับลูกสาวคนโต“เอาอย่างนี้ไหมแม่ ต่อไปแม่ไม่ต้องทำงานแล้ว บ้านโจวมีคนทำตั้งสามคน หัวหน้าคอมมูนคงไม่ว่าอะไร แม่มาเลี้ยงเด็ก ๆ ดีกว่า หลังจากนี้ฉันก็คงไม่ค่อยว่างช่วงเช้า อีกทั้งเวลาที่พี่ใหญ่หลุนมาสอนหนังสือพวกเด็ก ๆ จะได้ไม่มีคำครหา เรื่องอาหารการกินของบ้านโจว เดี๋ยวฉันจัดการให้เอง”“แล้วเพ่ยชิงจะไปไหนทุกเช้าล่ะลูก แม่ว่าวันสองวันแม่ก็หายป่วยแล้ว ไม่ต้องถึงขนาดหยุดงานหรอก ส่วนเรื่องอาหาร จะให้บ้านโจวไปรบกวนลูกได้ยังไงกัน อย่าลืมว่าเวลานี้เพ่ยชิงเองก็มีครอบค
ทันทีที่ตานเต๋อคงพาสหายทั้งสามมาถึงโกดัง เขาไขกุญแจและพาทุกคนเข้ามาด้านใน“โกดังแห่งนี้แม้จะขนาดกลาง แต่ถ้าลงของเต็มโกดัง คงใช้เงินหลายหมื่นหยวน ดีไม่ดีอาจจะหลักแสนหยวนเลยนะ”เหวินเทาพูดขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ หากเจ้านายคนใหม่ลงสินค้าเต็มโกดัง แสดงว่าเจ้านายคนนี้คงร่ำรวยมาก“อืม เดี๋ยวฉันจะพาไปดูด้านใน”และทันทีที่ประตูด้านในเปิดออก ตานเต๋อคงแทบล้มทั้งยืน ชายหนุ่มแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง เมื่อเห็นว่าในนี้จะเต็มไปด้วยข้าวของมากมายภายในหัวคล้ายจะตบตีกันเอง เนื่องจากเวลาไม่กี่ชั่วโมงที่แยกกัน สามารถจัดหาสินค้ามามากมายอย่างนี้ นายหญิงเพ่ยเพ่ยสามารถทำได้อย่างไรกันนะ“โอ้โหอาคง สินค้าเต็มไปหมด ยังมีอาหารสดอีกนะ เจ้านายของนายคงจะเส้นใหญ่ไม่น้อย ถึงสามารถหาของพวกนี้ได้มากมาย ทั้งที่สถานการณ์บ้านเมืองขาดแคลนและไม่เพียงพอต่อชาวบ้าน”“นั่นสิ แบบนี้ฉันมีที่คุ้มกะลาหัวแล้ว และขอสาบานเลยว่าจะทำงานให้เจ้านายด้วยใจที่ซื่อสัตย์ จะไม่มีวันหักหลัง วันใดที่ฉันคิดไม่ซื่อ ขอให้ตายอย่างไม่มีดินกลบหน้า”ต่อให้เงินจะสำคัญ แต่สำหรับเหว่ยซ่านนั้น เรื่องอาหารสำคัญกว่า และหวังว่าเจ้านายคนนี้จะไม่ปล่อยให้เขาต้องอดยาก
ตอนพิเศษ 7 โจวเม่ยเม่ย - ตานเต๋อคงหนึ่งเดือนต่อมางานมงคลสีแดงถูกจัดขึ้นอย่างประณีต ในบ้านเกิดของ โจวเม่ยเม่ยและตานเต๋อคง แม้บ้านเจ้าสาวจะไม่ได้ใช้ทำพิธีสำคัญแต่คนตระกูลโจวมีเงินทองมากมาย พวกเขาไม่ได้ประดับตกแต่งของสวยงาม หรือจัดงานใหญ่โตเพื่อโอ้อวด แต่ที่ทำเช่นนี้ ก็เพื่อน้องสาวคนเล็กสุดที่รักดอกไม้สดสีแดงถูกสั่งมาจากทั่วทุกสารทิศ มีทั้งที่ตัดออกมาจากต้น และปลูกไว้เป็นต้น ประดับไปตามเส้นทางจากบ้านเจ้าสาวไปบ้านเจ้าบ่าวในส่วนของถนนสาธารณะ ก็ได้มีการติดต่อกับทางการเพื่อบริจาคพืชเหล่านี้หลังใช้งาน แล้วยังมีงบการดูแลพืชให้ทุกปีต่อเนื่องไปอีกสิบปี นั่นทำให้ทางการยินดีให้บ้านโจวจัดงานได้เต็มที่พืชพรรณที่ออกดอกสีแดงสด ถูกซื้อและถอนมาจากทั่วประเทศ เพื่อปลูกไว้ประดับตกแต่งในวันงานแต่งงานของโจวเม่ยเม่ย น้องสาวคนสุดท้าย ตลอดทั้งเส้นทางที่ต้องส่งตัวเจ้าสาวส่วนบ้านเจ้าบ่าวนั้นก็ไม่ได้น้อยหน้า แม้จะไม่ได้ร่ำรวยเท่าตระกูลโจว แต่นายหญิงเพ่ยเพ่ยก็ไม่ได้เอาเปรียบพวกเขาพี่น้อง ตานเต๋อคงยังมีหุ้นส่วนในหลาย ๆ ร้านค้าที่ให้กำไรดี แล้วยังทำการเก็งกำไรร้านค้าในพื้นที่หลากหลาย ตามนายหญิงกล่าวได้ว่าเขาเอ
ตอนพิเศษ 6 โจวเม่ยเม่ย - ตานเต๋อคงกิจการร้านทั้งสามของโจวเม่ยเม่ย เมื่อมีตานเต๋อคงช่วยดูแลอีกแรงหนึ่ง ก็ทำให้เธอสามารถพัฒนาไปในลู่ทางของตัวเองได้มากขึ้น แตกต่างจากก่อนหน้านี้ ที่ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปภายใต้แผนการค้าเดิม เช่นเดียวกับร้านค้าอื่น ๆ ของนายหญิงเพ่ยเพ่ยความสามารถในการบริหารของหญิงสาว ทำให้ตานเต๋อคงรู้สึกทึ่งและภาคภูมิใจ ที่คนรักของเขามีความสามารถไม่เป็นรองนายหญิงเพ่ยเพ่ยผู้เป็นพี่สาวเลยสถานการณ์ด้านโรงงานของโจวเพ่ยชิงที่ขยายสาขามาในเมืองปักกิ่งกลับไม่ได้ดีนัก แต่ไม่ได้เป็นเพราะฝีมือการจัดการของตานเต๋อคงแย่ลง เพียงแต่เป็นเพราะมังกรต่างถิ่น ไม่อาจสู้งูดินเจ้าถิ่นได้ ทำให้เขาต้องทุ่มแรงอย่างหนัก เพื่อเอาชนะเจ้าถิ่นที่ครองตลาดเอาไว้หากเป็นการเปิดโรงงาน เปิดร้านค้าธรรมดา ก็แล้วไปเถอะ แต่ในช่วงสามเดือนระหว่างที่ตานเต๋อคงก่อตั้งร้านค้าในเครือเพ่ยเพ่ยในเมืองหลวง ทางโจวเพ่ยชิงเองก็พัฒนาขึ้น จนสามารถสร้างห้างสรรพสินค้าในเมืองหลักใกล้เคียงกับบ้านเกิดได้สำเร็จนั่นทำให้หญิงสาวตัดสินใจสร้างห้างสรรพสินค้าใหม่ในปักกิ่ง ซึ่งแน่นอนว่ามันจะเป็นการขัดผลประโยชน์กับเจ้าถิ่นอย่างไม่สามารถห
ตอนพิเศษ 5 โจวเม่ยเม่ย - ตานเต๋อคง“เม่ยเม่ย ไปไหน”เสียงเข้มเอ่ยถามน้องชายทันที เมื่อพบว่ามีเพียงตานโมว่ เดินเข้ามาในบ้าน วันนี้เป็นวันปิดภาคเรียน นักศึกษาเข้าไปส่งงานหรือไม่ก็สอบเป็นวันสุดท้าย ซึ่งโจวเม่ยเม่ยก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการไปมหาวิทยาลัยในวันนี้ได้“วันนี้ปิดภาคเรียน เด็ก ๆ ปีหนึ่งต้องไปกินดื่มกับพวกรุ่นพี่ในคณะสิครับ” ตานโมว่บอกกับพี่ชายถึงธรรมเนียมปฏิบัติ“แล้วนายไม่ได้ไป?”“ผมทำงาน อีกอย่างก็ไม่ได้มีสหายเยอะเหมือนเม่ยเม่ย รายนั้นเรียกได้ว่าเจ้ใหญ่ของสาขาวิชาก็ว่าได้”“...” ตานเต๋อคงไม่ประหลาดใจ เมื่อได้ยินอย่างนั้น จากความถี่ในการออกเที่ยวของโจวเม่ยเม่ย สามารถรู้ได้ว่าหญิงสาวมีสหายเยอะ หรือบางทีอาจจำกัดความได้ว่า ‘มีสหายกินดื่มเยอะ’ จะถูกกว่า“แต่เม่ยเม่ยดื่มไม่เก่ง” ตานเต๋อคงพูดขึ้นอย่างเป็นห่วง“หวงนักก็ตามไปเฝ้าสิครับ งานเลี้ยงวันนี้ไม่ได้เคร่งเหมือนในมหาวิทยาลัย คนนอกไปกันเยอะแยะ”“ห่วง ไม่ได้หวง” ในความเป็นจริงคือไม่มีสิทธิ์อะไรไปหวงมากกว่า“อย่าปากแข็งไปหน่อยเลย เอาเถอะ ผมก็จนปัญญากับ พวกพี่แล้ว วันนี้พี่ก็ไปรับเม่ยเม่ยเองแล้วกัน ให้ผมไปสืบเรื่องงานมาให้จนเกือบตาย ผ
ตอนพิเศษ 4 โจวเม่ยเม่ย - ตานเต๋อคงทิวทัศน์ของปักกิ่งนั้นช่างแปลกตา แตกต่างจากบ้านเกิดของตนเองอย่างชัดเจน ทำให้สองหนุ่มผู้เพิ่งเข้ากรุงตื่นเต้นอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แต่เมื่อรถพาแล่นมาถึงคฤหาสน์หลังหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางบ้านแบบใหม่หลายหลัง พวกเขาก็เปลี่ยนความตื่นเต้นเป็นกังวลใจทันทีที่รถจอดและพบหน้ากัน โจวเม่ยเม่ยไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร ท่าทางของเธอเฉยชาอย่างประหลาด นั่นทำให้ตานเต๋อคงประหม่าจนพูดไม่ออกคงมีแค่ตานโมว่ ที่คุยกับสหายอย่างกระตือรือร้น“นี่เป็นของฝากจากนายหญิงและทุกคน ลองดูสิเม่ยเม่ย”“ขอบใจนะ อาโมว่”โจวเม่ยเม่ยเหลือบมองของขวัญ แต่บังคับสายตาไม่ให้หันไปมองคนใจร้าย หลังรับของ เธอก็หันไปพาทั้งสองคนไปด้านใน“พี่และอาโมว่เลือกห้องได้เลยนะ ที่นี่หลังใหญ่จนเกินที่ฉันจะอยู่คนเดียว นายนั่นแหละอาโมว่ ที่ไม่ยอมมากับฉันตั้งแต่แรก”โจวเม่ยเม่ยเอ่ยขึ้น ก่อนจะหันมาบ่นสหายของตนเอง“จะดีเหรอ พวกเราออกไปเช่าห้องอยู่ หรือไปอยู่ที่หลังร้านก็ได้”ตานเต๋อคงเอ่ยแทรกขึ้น อย่างที่เขาได้ตัดสินใจก่อนจะมาที่นี่แต่… โอกาสของเขาดูเหมือนถูกตัดขาดอย่างรวดเร็ว เมื่อโจวเม่ยเม่ยตอบกลับและหันไปพูดกับตานโมว่สหา
ตอนพิเศษ 3 โจวเม่ยเม่ย - ตานเต๋อคง“นี่มัน…” ตานโมว่รู้สึกพูดไม่ออก หลังจากได้ฟังคำถามของเจ้านาย ไม่ใช่ว่าตอบไม่ได้เพราะปัญหาความซื่อสัตย์ แต่ไม่รู้ว่าควรพูดออกไปหรือไม่“นายอย่าปิดบังฉันเลย นายคงเห็นแล้ว ว่าพี่เต๋อคงแปลกไปจริง ๆ เขาชอบเหม่อเวลาทำงาน ตอนอยู่ที่บ้านด้วยกัน ก็คงจะเหม่อยิ่งกว่านี้อีกใช่ไหม”เมื่อคิดตามคำพูดของพี่สาวเพ่ยเพ่ยแล้ว ตานโมว่ก็รู้สึกว่ามันสมเหตุสมผล แต่ปัญหาก็ คือแม้เขาจะรู้ความจริงว่าทำไมพี่ชายถึงเป็นอย่างในตอนนี้ ก็ไม่กล้าพูดออกไปอยู่ดี“ฉันแค่เป็นห่วง และสงสัยว่าพี่เต๋อคงเป็นอะไรเท่านั้น ถ้ารู้ต้นเหตุ ไม่แน่ว่าเราอาจหาทางทำอะไรแก้ไขได้ ก่อนที่จะเกิดเรื่อง”“นี่… มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกครับ” ตานโมว่มองเจ้านายด้วยความรู้สึกหลากหลาย ยิ่งทำให้เจ้าตัวสงสัยมากขึ้น แต่ไม่ใช่ความสงสัยที่ว่าตานเต๋อคงมีปัญหา แต่อาจเป็นผลมาจากเรื่องของโจวเม่ยเม่ย น้องสาวของเธอเอง“หรือเป็นเพราะเม่ยเม่ยไปปักกิ่ง” โจวเพ่ยชิงพูดออกไป“นายหญิงรู้ได้ยังไง!”ไม่ต้องรอให้เขาตอบ เพียงท่าทีของตานโมว่ ก็บอกได้ทุกอย่าง โจวเพ่ยชิงได้ยินอย่างนั้นก็ถอนหายใจโล่งอกที่ไม่ใช่เรื่องอื่น“ก็ไม่เชิงรู
ตอนพิเศษ 2 โจวเม่ยเม่ย - ตานเต๋อคงกลับมาทางด้านตานเต๋อคงเวลานี้ชายหนุ่มเข้าใจความรู้สึกของตัวเองอย่างชัดเจนแล้ว แต่เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย ใจหนึ่งก็อยากติดตามไปดูแลใครบางคนที่อยู่ในเมืองหลวง หรือไม่ ก็ติดต่อเธอไปสักเล็กน้อยแต่ทุกวันนี้เขามักจะมองเหม่อไปทางโทรศัพท์ เมื่อมันดังขึ้นก็เฝ้าหวังว่าจะเป็นสายจากคนที่คิดถึง กระนั้นชายหนุ่มกลับต้องผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะแม้ว่าโจวเม่ยเม่ยจะติดต่อกลับมาก็เพื่อพูดคุยกับครอบครัว หรือไม่ก็สหายอย่างตานโมว่เท่านั้น ไม่ได้สนใจพี่ชายของสหายที่พ่วงด้วยฐานะผู้ช่วยคนสนิทของนายหญิงเพ่ยเพ่ยอย่างเขา ตานเต๋อคงเองก็ไม่มีหน้าพอที่จะไปขอคุยโทรศัพท์กับหญิงสาวทั้งที่ไม่มีธุระอะไรจนกระทั่งนายหญิงเพ่ยเพ่ยเรียกให้เขาเข้าพบ แล้วยื่นโทรศัพท์ให้ พร้อมกับบอกว่ามีคนจะปรึกษาเรื่องงาน“สวัสดีครับ”เขารับโทรศัพท์มา และกลอกเสียงที่ถูกทำให้นุ่มทุ้มลดระดับหนึ่งลงไปโดยไม่ได้ตั้งใจ“พี่เต๋อคง ช่วยสอนงานเล็กน้อยให้ฉันหน่อยได้ไหมคะ พอดีฉันกำลังจัดการปัญหาที่เจอในสาขาหนึ่งของร้านค้าในเมืองปักกิ่งอยู่ ถ้าได้ผู้เชี่ยวชาญอย่างพี่มาช่วยคงจะดีมาก”ตานเต๋อคงหัวใจกระตุกวูบ รู้ส
ตอนพิเศษ 1 โจวเม่ยเม่ย – ตานเต๋อคงหลังจากผ่านพ้นการปฏิวัติ มีหลายสิ่งเปลี่ยนแปลงในบ้านโจว โดยเฉพาะการตัดสินใจสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยของ‘โจวเม่ยเม่ย’ น้องสาวของบ้านนั่นเองการตัดสินใจครั้งนี้ของเธอ ได้รับการสนับสนุนจากทางบ้านอย่างแข็งขัน ทำให้โจวเม่ยเม่ยมีกำลังใจทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการอ่านหนังสือสอบจนกระทั่งหลังออกจากห้องสอบ หญิงสาวถึงได้โล่งอก ท่าทางมั่นอกมั่นใจของเธอ ทำให้ทุกคนวางใจ และไม่มีใครถามถึงเพื่อไม่เป็นการกดดันน้องสาวไม่นานหลังจากนั้น บ้านโจวก็ได้รับจดหมายตอบรับ ซึ่งข่าวเรื่องนี้มาถึงหูของโจวเพ่ยชิงก่อนที่บุรุษไปรษณีย์จะมาถึงเสียด้วยซ้ำทำให้เมื่อบุรุษไปรษณีย์มาถึง ก็พบว่ามีผู้คนมากมายออกมารอรับจดหมายอยู่ก่อนแล้ว จากนั้นเขาจึงได้ยื่นซองเอกสารที่ลงทะเบียนให้แก่หญิงสาวเจ้าของชื่อด้วยรอยยิ้ม“ยินดีด้วยนะ คุณหนูโจว” เมื่อแสดงความยินดีเสร็จแล้วจึงเดินหันหลังกลับไป โดยไม่ได้พูดอะไรต่อคำยินดีเป็นเพียงคำมงคลที่บุรุษไปรษณีย์มีให้เด็กนักเรียนที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยทุกคนอยู่แล้ว แต่เสียงเฮที่ตามหลังมา ทำให้เขาอมยิ้มมากขึ้น เพราะรู้ว่าจดหมายตอบรับนั้นเป็นข่าวดี“ยินดีกับน้องด้วยนะ”
บทส่งท้าย ความสุขที่ต้องการห้าปีต่อมา...เวลานี้ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น โจวเพ่ยชิงแนะนำนายพลข่ายและนายพลซีให้เลือกฝ่ายที่ถูกต้อง แม้ว่าทั้งสองจะสงสัยว่าโจวเพ่ยชิงรู้ได้อย่างไร ก็ไม่มีใครคิดที่จะถาม เมื่อเลือกฝ่ายที่ถูกต้อง ตำแหน่งหน้าที่ของทั้งสองจึงมั่นคงขึ้น นี่จึงทำให้ สายป่านของโจวเพ่ยชิงยิ่งยาวเข้าไปอีกห้าปีที่ผ่านมา เกิดเรื่องราวมากมายในชีวิต ไม่ว่าจะเป็น บ้านหลี่หรือบ้านโจว พี่ใหญ่โจวอย่างโจวเทียนอี้ ไม่รู้ว่าไปพบรักกับคุณหนูโม่ตอนไหน ทว่าเวลานี้ทั้งสองแต่งงานกันเรียบร้อยแล้วและพี่ใหญ่ก็ไป ๆ มา ๆ ระหว่างที่นี่กับเมืองลุยจืองานทางนั้นก็มากพอตัว อีกทั้งโรงงานที่ทำร่วมกับตระกูลโม่ก็มียอดขายเข้ามาไม่น้อย ซึ่งของขวัญวันแต่งงานสำหรับพี่ชายคนนี้โจวเพ่ยชิงมอบทรัพย์สินให้ไม่น้อย รวมถึงโรงงานที่เมืองลุยจือหากพูดถึงพี่ใหญ่แล้ว จะไม่พูดถึงพี่รองอย่างโจวว่านปิงคงไม่ได้ ไม่รู้ว่าชายที่หวงตัวเองไปหลงรักเซียงเหมยได้ยังไง มารู้ข่าวอีกทีพี่รองของเธอ ก็ให้พ่อกับแม่ไปสู่ขอหญิงสาวคนนี้เสียแล้วแต่ไม่ว่าพี่ชายทั้งสองจะรักกับใคร พี่สะใภ้ของเธอจะเป็นคุณหนูหรือลูกสาวชาวบ้านธรรมดา โจ
“นายหญิงเพ่ยเพ่ย!!” หว่านซีห่าวเอ่ยเรียกชื่อหญิงสาว“ขอบใจนะที่ยังจำกันได้ คุณซีห่าว”แม้จะโกรธแค้นแค่ไหน ทว่าโจวเพ่ยชิงกลับเก็บอารมณ์ได้ดี ไม่วู่วาม เพราะเธอมีเรื่องบางอย่างที่จะสอบถามหว่านซีห่าว“มีใครบ้างไม่รู้จักนายหญิงเพ่ยเพ่ยผู้ทรงอิทธิพลของกลุ่มการค้าเพ่ยเพ่ย ว่าแต่นายหญิงที่เข้ามาเยือนที่นี่ มีเรื่องอะไรจะสอบถามใช่หรือไม่ เพราะการกระทำของพวกเราในวันนี้ น่าจะทำให้นายหญิงต้องการเอาชีวิตพวกเรามากกว่า”“ถูกต้องแล้ว ความแค้นที่ฉันมีต่อคุณ มันมากเกินกว่าที่จะให้อภัยด้วยซ้ำ แต่ฉันมีข้อข้องใจบางอย่างที่อยากจะถาม นอกจากคุณที่แฝงตัวเข้าในทีมของพี่ฮั่นตงแล้ว ยังมีคนอื่นอยู่ด้วย ใช่หรือไม่ เพราะไม่เช่นนั้น พวกคุณคงไม่หนีหายและหลุดรอดออกไปได้เช่นนี้จนย้อนกลับมาทำร้ายพี่ฮั่นตงอีกครั้ง”นี่คือสิ่งที่เธออยากรู้ ก่อนที่จะเดินทางมาที่นี่ คนสนิทอย่างตานเต๋อคงได้รายงานบางอย่าง และก็ทำให้เธอคิดได้ แล้วเลือกที่จะถามก่อนที่จะจัดการเรื่องราวทั้งหมด“สิ่งที่นายหญิงกล่าวมาก็ไม่ผิด แต่ภารกิจที่พวกเราได้รับมอบหมายมาในครั้งนี้ไม่ใช่ฮั่นตง แต่เป็นตัวของนายหญิงเพ่ยเพ่ย เองต่างหาก”หว่านซีห่าวรู้ว่าอีกฝ่ายกำ