LOGIN“หากคุณหนูจางกล่าวเช่นนี้ ข้าก็จะไม่ถือสาเจ้าค่ะ”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ ข้าขอเดินดูก่อน หากถูกใจประเดี๋ยวจะบอกท่านนะเจ้าคะ” นางกล่าวด้วยท่าทีนอบน้อมทำให้เถ้าแก่เนี้ยมองอย่างพอใจ
“หากท่านถูกใจผ้าพับใดสามารถบอกกล่าวข้าได้เจ้าค่ะ ข้าขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”
“พี่สาว...”
“เอาล่ะ เจ้าอยากได้ผ้าผืนใดไหนลองบอกข้าสิ” นางรีบเอ่ยวาจาตัดบทก่อนที่อีกฝ่ายจะทำท่าออดอ้อน
“ข้าอยากได้ผ้าเช่นเดียวกับท่านเจ้าค่ะ”
“ที่ร้านแห่งนี้ไม่มีผ้าเช่นเดียวกับที่ข้ามีหรอก”
“พี่สาว ข้าไม่ได้คิดจะแย่งชิงความโดดเด่นจากท่านเลยนะเจ้าคะ ข้าเพียงคิดว่าผ้าเนื้อดีเช่นนั้นหากตัดเป็นอาภรณ์ออกมาคงสวมใส่สบาย แต่หากท่านไม่อยากซื้อให้ข้าก็ไม่เป็นไร ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ”
“คุณหนูกู้ ผ้าที่เจ้ากล่าวถึงเป็นผ้าที่บิดาข้าได้รับพระราชทานจากฮ่องเต้ และข้าเพียงนำมาตัดที่ร้านนี้ หากเจ้าอยากได้เกรงว่าคงไม่เหมาะสม” สิ้นเสียงกล่าว นางเห็นว่าอีกฝ่ายกำมือใต้อาภรณ์แน่นคล้ายพยายามสะกดกลั้นความรู้สึก
“ขออภัยเจ้าค่ะข้าไม่รู้ความ”
“เลือกผ้าที่เจ้าอยากได้เถิด”
“เจ้าค่ะ”
แต่ผ่านไปราวหนึ่งเค่อที่กู้ซินอี้เดินหายไปกับคนงานของร้านก่อนจะกลับมาพร้อมผ้าพับที่แพงที่สุดในร้านซึ่งราคาสูงถึงพับละห้าสิบตำลึงทอง
“พี่สาวข้าได้ผ้าที่ต้องการแล้วเจ้าค่ะ”
“คุณหนูกู้ ข้าคิดว่าผ้าพับนี้คงไม่เหมาะสมเท่าใดนัก”
“ผ้าพับนี้มิใช่ผ้าล้ำค่าอันใด พี่สาวคงไม่ได้คิดกลับคำพูดนะเจ้าคะ หากเป็นเช่นนั้นข้าคงเสียใจที่ท่านเพียงหลอกให้ข้าดีใจ”
“...”
“พี่สาวหากท่านกลัวว่าข้าจะโดดเด่นกว่าท่าน ท่านอย่าได้กังวลเลยเจ้าค่ะ ผ้าพับนี้หากเทียบเรื่องความงดงามย่อมเทียบไม่ได้กับผ้าพระราชทานของท่าน” กล่าวจบก็ส่งยิ้มใสซื่อให้นาง
วาจาของกู้ซินอี้ทำให้เหล่าคุณหนูกำลังเดินเข้ามาหยุดมองเพิ่มขึ้น จากห้าคนเป็นสิบคนและหนึ่งในนั้นยังมีคุณหนูผู้ขึ้นชื่อเรื่องซุบซิบนินทาอีกด้วย ช่างมาได้ในเวลาที่เหมาะสมยิ่ง
“คุณหนูกู้ เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ที่ข้าห้ามเจ้าหาใช่เป็นเพราะกลัวว่าเจ้าจะโดดเด่นกว่า แต่ข้าเพียงห่วงใยว่าหากเจ้าสวมใส่อาภรณ์ที่ล้ำค่าเกินไป เจ้าเมืองจิ่นโจวบิดาของเจ้าจะถูกจับตามองถึงการใช้เงินมือเติบของเจ้าซึ่งมันไม่สัมพันธ์กับเบี้ยหวัดของตำแหน่งเจ้าเมือง และอาจจะนำไปสู่การถูกเพ่งเล็งเรื่องกระทำการไม่เหมาะสมในหน้าที่ได้”
“ไม่มีใครกล้าคิดเช่นนั้นหรอกเจ้าค่ะ เพราะผู้คนในที่นี้ย่อมเป็นพยานได้ว่าเป็นท่านที่จะซื้อมันให้ข้า”
“ข้ากล่าวตามตรงอย่างไม่อายเลย ว่าแท้จริงข้าพกเงินออกมาเพียงสิบตำลึงทองตามปกติที่เหล่าคุณหนูพกติดตัวกัน ข้าเป็นเพียงคุณหนูที่ยังต้องพึ่งพาเบี้ยหวัดจากบิดา ไหนเลยจะมีมากมายถึงห้าสิบตำลึงทอง เดิมทีเห็นแก่เจ้าที่เป็นน้องสาวต่างแซ่ที่เพิ่งเคยพบหน้าเป็นครั้งแรก ได้ยินว่าเจ้าไม่มีอาภรณ์งดงามใส่ไปร่วมงานเลี้ยงจึงคิดอยากจะซื้อให้ แต่ไม่คิดว่าเจ้าจะเลือกอาภรณ์ที่แพงที่สุดในร้านเช่นนั้น” กล่าวจบนางที่ก้มหน้าลงเมื่อครู่ก็เงยขึ้นมาพร้อมกับน้ำตาที่คลอขึ้นเล็กน้อยคล้ายเสียใจ
“พี่สาวหากท่านไม่อยากซื้ออาภรณ์ให้ข้า ข้าก็ไม่ถือสาเจ้าค่ะเพราะอย่างไรเราก็เป็นพี่น้องกัน”
“หากเจ้าเลือกผ้าพับที่ไม่แพงมากข้าย่อมซื้อให้ได้ แต่หากแพงเกินไป ข้าคงต้องกลับไปปรึกษาบิดาก่อน เพราะอย่างไรเงินที่จะนำออกมาซื้อหาอาภรณ์ให้เจ้าเป็นของตระกูลจาง หากจะเบิกจ่ายซื้ออาภรณ์ให้คุณหนูกู้ย่อมต้องคำนึงถึงความเหมาะสมหลายด้าน”
‘ช่างหน้าไม่อาย ข้ายืนฟังอยู่นานได้ยินว่านางมาขออาศัยจวนตระกูลจางซึ่งเป็นจวนของอดีตสามีของมารดาไม่พอ ยังกล้ามาขอให้ซื้ออาภรณ์ล้ำค่าให้โดยใช้เงินของตระกูลจางอีก’ เป็นคุณหนูผู้หนึ่งกล่าว
‘เจ้ากรมขุนนางจางช่างมีเมตตายอมให้บุตรสาวอดีตฮูหยินของตนเข้ามาพักอาศัยที่จวน ทั้งที่สามารถปฏิเสธได้’
‘นั่นสิ! ข้าก็ได้ยินนางเอ่ยย้ำหลายครั้งว่าเป็นพี่น้องกับคุณหนูจาง หากไม่ได้ยืนฟังตั้งแต่ต้นข้าอาจจะคิดได้ว่าเจ้ากรมขุนนางจางมีบุตรสาวเพิ่ม ทั้งที่แท้จริงแล้วไม่มีความเกี่ยวข้อง’
‘พี่น้องอันใด คนเขาไม่มีเงินซื้อให้ ก็ยังเอ่ยวาจาบีบบังคับให้เอาเงินตระกูลจางมาซื้อให้ หึ! เป็นแค่บุตรสาวเจ้าเมืองแต่อยากปีนป่ายที่สูงโดยไม่เสียอันใดเลย น่ารังเกียจนัก’
‘เมื่อครู่ข้าได้ยินว่านางร่ำร้องจะเอาผ้าพระราชทานที่เจ้ากรมขุนนางได้รับพระราชทานมาด้วย ไร้ยางอายยิ่งนัก’
เสียงซุบซิบนินทาของเหล่าคุณหนูทำให้บุตรสาวเจ้าเมืองกำมือแน่น นัยน์ตาดอกท้อหลุบลงมองพื้นอย่างพยายามซ่อนความไม่พอใจก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองพี่สาวแล้วยิ้มเศร้า
“พี่สาวข้าขอโทษที่ไม่รู้ความเจ้าค่ะ หวังว่าท่านจะไม่ถือสาข้า”
“มิเป็นไรข้าเข้าใจว่าที่เมืองจิ่นโจวอาจไม่ได้มีธรรมเนียมมากมายเช่นเมืองหลวง ได้แต่หวังว่าเจ้าจะระมัดระวังการกระทำ”
“ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะพี่สาว”
จางซีถิงยกมือลูบผมน้องสาวพลางยิ้มอ่อนโยน ทว่าในใจกลับนึกขบขันสีหน้ายิ้มเจื่อนของอีกฝ่าย ประมือกับสตรีดอกบัวขาวช่างสนุกยิ่งนัก
แน่นอนว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในร้านขายผ้าย่อมเป็นไปตามที่นางคาดการณ์ ผู้คนต่างเล่าลือถึงความมีเมตตาของเจ้ากรมขุนนางจาง รวมถึงคุณหนูจางที่จิตใจดีงามไม่ถือสาวาจาไม่รู้ความของน้องสาวต่างบิดาที่ดูขัดแย้งกับท่าทางใสซื่อนั่น
ย้อนกลับไปเมื่อครึ่งเค่อก่อนหลังจากที่แยกกับพี่ชายแล้ว จางซีถิงก็กลับขึ้นรถม้า แต่ทว่าทันทีที่เปิดม่านเข้าไปในรถม้านางก็พบว่าด้านในมีบุรุษผู้หนึ่งนั่งอยู่ “มิทราบว่าวันนี้รถม้าของคุณชายรองเซี่ยเสียอีกแล้วหรือเจ้าคะ” นางเอ่ยถามก่อนจะนั่งลงด้านข้าง “ข้าเพียงบังเอิญผ่านมาแล้วรู้สึกเหน็ดเหนื่อยจึงเข้ามานั่งพักในรถม้า ช่างบังเอิญเสียจริงที่เป็นรถม้าของคุณหนูจาง” คนบังคับรถม้าก็เป็นองครักษ์เงาของเขาที่บัดนี้กลายเป็นผู้คุ้มกันในจวนตระกูลจาง ดังนั้นทุกอย่างย่อมอยู่ในการควบคุมของเขา ‘หึ! ความบังเอิญช่างน่ากลัวเสียจริง’ นางลอบคิด “ได้ยินว่าคุณหนูจางได้เครื่องรางมา ไม่ทราบว่ามีของข้าด้วยหรือไม่”&
“ขอบคุณเจ้าค่ะ แล้วทางจิ่นโจวมีจดหมายตอบกลับมาบ้างหรือไม่เจ้าคะ” “มี พี่เพิ่งเขียนเสร็จเมื่อวันก่อน ยามนี้คงถึงมือนางแล้ว” “เนื้อความในจดหมายกล่าวว่าอย่างไรบ้างเจ้าคะ ยามอยู่ในจวนข้าจะได้เตรียมรับมือนางได้” “เห็นว่าให้รีบลงมือวางยาพิษเจ้าให้มากขึ้นแล้วนำจดหมายที่มีการปลอมลายมือท่านพ่อเรียบร้อยแล้วไปไว้ในห้องหนังสือเมื่อคนของกรมอาญามาตรวจค้นจะได้มีหลักฐานมัดตัวท่านพ่อ แต่สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือ นางปลอมลายมือท่านพ่อได้เหมือนมาก หากเห็นเพียงผ่าน ๆ ย่อมคิดว่าทั้งหมดเป็นเรื่องจริง” “นางคิดทำสิ่งใดกับท่านพ่อหรือเจ้าคะ” “ยัดข้อหาทุจริตในการสอบจิ้นซื่อ โดยใช้บัณฑิตราวสิบคนยื่นหนังส
นัยน์ตาเมล็ดซิ่งที่มองตามรถม้าที่วิ่งจากไปฉายแววขบขัน หลังจากวันนั้นที่นางใช้วาจาบีบบังคับน้องสาวต่างบิดาให้กินน้ำแกงถ้วยนั้นเข้าไป อีกฝ่ายก็หายหน้าไปนานถึงสิบวันเพิ่งโผล่หน้ามารบกวนนางเมื่อวานเพื่อนัดหมายเรื่องการเดินทางไปชมงานประชันหญิงงามที่จะถูกจัดขึ้น พอรถม้าหายลับไปจากครรลองสายตา คุณหนูจางที่ท่าทางอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงเดินเหินจนต้องมีสาวใช้มาประคองเมื่อครู่กลับผละออกห่างจากสาวใช้ แล้วยืนด้วยตนเอง มือเรียวรับผ้าที่ผิงฟางยื่นให้มาเช็ดใบหน้า “หากเมื่อครู่บ่าวไม่รู้ว่าคุณหนูแสร้งทำ บ่าวคงคิดว่าคุณหนูป่วยจริงแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้คนสนิทของนางกล่าว “หากไม่แนบเนียนจะหลอกนางได้อย่างไร รีบไปผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เถิด” จางซีถิงเช็ดแป้งที่นางจงใจทาเพื่อให้ใบหน้าดูซีดเซียวกล่าวก่อนจะเดินนำหน้าเพื่อก
“มิเป็นไรเจ้าค่ะ น้ำแกงถ้วยนี้ข้าตั้งใจต้มมาให้ท่าน ประเดี๋ยวข้าค่อยกลับไปต้มใหม่ก็ได้เจ้าค่ะ” กู้ซินอี้ยกมือมาดันถ้วยน้ำแกงเอาไว้ “จะต้มใหม่ด้วยเหตุใดกันเล่า มิใช่ว่าต้องใช้เวลานานหรือ ข้าร่างกายแข็งแรงอยู่แล้ว เจ้าก็รับน้ำแกงบำรุงถ้วยนี้ไปกินเถิด” “มิเป็นไรจริง ๆ เจ้าค่ะ ข้าตั้งใจมอบให้ท่านแล้วข้าไม่รับคืนเจ้าค่ะ” “แต่คนที่ควรจะกินน้ำแกงบำรุงควรเป็นเจ้ามากกว่า หรือว่าที่เจ้าไม่ยอมรับน้ำแกงถ้วยนี้ไปกินเพราะน้ำแกงถ้วยนี้มีปัญหา” “มิได้เจ้าค่ะ” คุณหนูกู้ตอบกลับ “หากไม่มีปัญหาเช่นนั้นก็รับไปกินเสียสิ” นางยื่นถ้วยน้ำแกงไปตรงหน้าอีกครั้ง&n
7 เครื่องรางกันสิ่งชั่วร้าย เมื่อรถม้าแล่นจากไปจนลับสายตาคุณชายรองเซี่ยก็หันไปมองสหายที่เพิ่งเดินมายืนด้านข้าง “เจ้ามาได้อย่างไร” แม้ใบหน้าจะเรียบเฉยแต่ทว่าแววตาของเซี่ยหงหมิงกลับพราวระยับอย่างชัดเจน “ข้าก็ใช้วิชาตั
จางซีถิงขยับกายเล็กน้อยคล้ายรู้สึกอึดอัด นัยน์ตาเมล็ดซิ่งมองตอบโต้บุรุษที่จับจ้องใบหน้าตนไม่วางตา หากเขาไม่ออกมาขวางรถม้าของนางเพื่อขออาศัยเข้าเมือง นางก็คงจะแสร้งไม่เห็นและไม่สนใจรถม้าคันที่จอดเสียอยู่ “เมื่อครู่เจ้าคงไม่ได้คิดจะเมินเฉยไม่สนใจรถม้าตระกูลเซี่ยที่จอดเสียอยู่ใช่หรือไม่” “กลางป่าเช่นนี้ข้าย่อมต้องคำนึงถึงความปลอดภัยไว้ก่อน และท่านก็ไม่ควรออกมาขวางรถม้าผู้อื่นเช่นนี้มันอันตรายเจ้าค่ะ” “หากข้าไม่ออกมาขวางรถม้าเจ้า ข้าหรือจะได้รับความช่วยเหลือจากเจ้า” วาจาที่แฝงการตำหนิของเขาทำให้นางยกแขนขึ้นกอดอกแล้วมองเขานิ่ง “...” “เจ้าไปที่ใดมาหรือ เหตุใดถึงออกมาเพียงลำพัง สาวใช้ก็ไม่พามาด้วย” “คุณชายรองเซี่ย เรามิใช่ว่าเคยตกลงกันแล้วหรือเจ้าคะ ว่าถึงเมืองหลวงเมื่อใด เราทั้งสองจะกลายเป็นเพียงคนแปลกหน้า แล้วเหตุใดท่านถึงได้มาปรากฏตัวตรงหน้าข้าอยู่ร่ำไป” หรือแท้จริงมีแผนการใดแอบแฝงอยู่ พรึ่บ! สิ้นเสียงกล่าวของนาง เขาเคลื่อนกายอย่างรวดเร็วทำให้ตอนนี้เขาอยู่ตรงหน้านางในระยะประชิด มือใ







