LOGINพอออกจากร้านขายผ้าแล้วนางก็แวะไปที่ร้านเครื่องประดับเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยของเครื่องประดับที่ให้ผิงฟางนำแบบร่างมาส่งให้กับร้าน
เพราะเกิดเรื่องที่ร้านผ้าก่อนหน้านี้ กู้ซินอี้จึงสงบเสงี่ยมและว่าง่ายไม่โต้แย้งหรือเอ่ยวาจาใดให้มากความ แม้ในแววตาคู่นั้นจะมีประกายปรารถนาอยากได้พาดผ่านอยู่หลายครั้งก็ตาม
“พี่สาว นี่ก็ยามอู่ (11.00-12.59) แล้ว เราแวะไปหาอะไรกินที่โรงเตี๊ยมก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ ตั้งแต่มาเยือนเมืองหลวง ข้ายังไม่เคยนั่งกินอาหารในโรงเตี๊ยมเลยสักครั้ง ได้ยินท่านแม่เคยเล่าให้ฟังว่าอาหารในโรงเตี๊ยมที่เมืองหลวงนั้นเลิศรสยิ่ง” คุณหนูกู้กล่าวด้วยรอยยิ้มสดใสราวกับว่าไม่มีเรื่องขุ่นข้องหมองใจใดก่อนหน้านี้
แต่ทว่าเมื่อเดินไปถึงโรงเตี๊ยมที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วแคว้นกลับพบว่าโต๊ะเต็มเนื่องจากวันนี้เถ้าแก่เจ้าของโรงเตี๊ยมเชิญนักเล่านิทานจากต่างแคว้นมา ทำให้โต๊ะถูกเหล่าคุณหนูคุณชายจับจองจนเต็มแล้ว
“พี่ชายเสี่ยวเอ้อร์ ท่านพอจะช่วยหาหรือจัดโต๊ะเพิ่มให้พวกข้าสักโต๊ะไม่ได้หรือเจ้าคะ”
“มิได้หรอกขอรับคุณหนู หากทำเช่นนั้นข้าน้อยคงโดนเถ้าแก่ต่อว่า”
“แต่ว่า...” เพราะเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวและถูกมารดาตามใจมาโดยตลอด กู้ซินอี้จึงคิดว่าขอเพียงนางต้องการ สิ่งนั้นก็ย่อมเป็นของตน
“คุณหนูกู้ เจ้าอย่าทำให้พี่ชายท่านนี้ลำบากใจเลย ในเมื่อไม่มีโต๊ะ เราก็ไปที่โรงเตี๊ยมอื่นกันเถิด”
“พี่สาวท่านเติบโตในเมืองหลวงมีชีวิตที่ดีและเงินทองมากมายอาจจะได้ฟังนักเล่านิทานและมาเที่ยวโรงเตี๊ยมเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง ส่วนข้านั้นแม้จะเป็นน้องสาวร่วมสายเลือดของท่าน แต่กลับไม่ค่อยมีโอกาสได้เข้าไปกินอาหารเลิศรสในโรงเตี๊ยมใหญ่เช่นนี้ ทั้งยังไม่เคยฟังนักเล่านิทานเล่าเรื่องเลยสักครั้ง” กล่าวจบก็ก้มหน้าลงก่อนจะเงยขึ้นพร้อมกับน้ำตาที่คลอในดวงตาดอกท้อ
“คุณหนูกู้ เจ้าอย่าได้ไปเอ่ยวาจาเช่นนี้ให้ใครได้ยินอีกเข้าใจหรือไม่ ประเดี๋ยวคนจะดูแคลนบิดาของเจ้าที่เป็นถึงเจ้าเมืองจิ่นโจวและตระกูลกู้ ว่าปล่อยให้บุตรสาวมีความเป็นอยู่ที่ลำบาก แม้ข้าจะเป็นคุณหนูตระกูลจางแต่ทว่าข้าก็หาได้ใช้เงินมือเติบเช่นที่เจ้าเข้าใจ โรงเตี๊ยมแห่งนี้ข้าก็เพิ่งเคยมาเป็นครั้งที่สอง”
“เอ่อ...คุณหนูจางขอรับ แต่หากท่านรู้จักใครที่จับจองโต๊ะไว้ท่านสามารถเข้าไปร่วมโต๊ะกับพวกเขาได้นะขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์ กล่าวกับคุณหนูผู้งดงามและมีกิริยามารยาทดีงามที่สมเป็นบุตรสาวตระกูลใหญ่
“พี่สาว เช่นนั้นเราไปขอร่วมโต๊ะกับพวกเขาดีหรือไม่เจ้าคะ”
“พวกเขาตั้งใจมาพักผ่อนหาความสำราญ หากไม่ได้เอ่ยปากเชิญเราก็ไม่ควรรบกวน”
“ก็ได้เจ้าค่ะ” กู้ซินอี้บอกด้วยใบหน้าที่เศร้าสร้อย
แต่ทว่าในขณะที่สตรีทั้งสองจะหมุนกายเดินจากไป ผู้ดูแลร้านก็ส่งเสียงเรียกตามหลัง
“คุณหนูจางขอรับ ได้โปรดหยุดฝีเท้าก่อนขอรับ”
“มีอันใด...” นางยังกล่าวไม่ทันจบ บุตรสาวเจ้าเมืองจิ่นโจวก็เอ่ยวาจาแทรกขึ้นก่อน
“มีโต๊ะว่างแล้วหรือเจ้าคะ ดียิ่งนัก” รอยยิ้มดีใจและท่าทางตื่นเต้นของน้องสาวต่างบิดาทำให้นางปรายตามองอย่างเย็นชา ท่าทางเศร้าสร้อยเมื่อครู่ไม่รู้หล่นหายไปที่ใดแล้ว
สตรีดอกบัวขาวผู้นี้นอกจากเอ่ยวาจาปรักปรำผู้อื่นด้วยหน้าตาใสซื่อแล้วยังเปลี่ยนสีหน้าเร็วยิ่งกว่าจิ้งจกเปลี่ยนสี
“มิได้ขอรับ” ผู้ดูแลตอบกู้ซินอี้ด้วยท่าทางสุภาพ ก่อนจะหันมาเอ่ยวาจากับนาง
“มีคนให้มาเชิญพวกท่านขอรับ”
“ใครหรือเจ้าคะ” นางเอ่ยถามยังไม่ทันได้คำตอบสตรีที่ไม่ได้ใสซื่อเช่นหน้าตาก็รีบเอ่ยบอกก่อนจะให้ชายวัยกลางคนรีบนำทางทันที
“ท่านผู้ดูแลเชิญนำทางเจ้าค่ะ พี่สาวรีบไปกันเถิด อย่าได้ปฏิเสธให้เสียน้ำใจเลยเจ้าค่ะ” กล่าวจบก็รีบเดินตามผู้ดูแลไป
“เฮ้อ! ผิงฟาง เจ้าคิดว่าข้าจะแสร้งเป็นพี่สาวที่มีเมตตาและมีกิริยามารยาทเรียบร้อยงดงามเช่นนี้ได้อีกนานเพียงใด” ที่ยอมให้อีกฝ่ายเอ่ยวาจาหลอกด่ามากมายก็เพียงเพราะอยากจะให้ผู้คนเห็นความแตกต่างว่าสตรีที่มีมารดาคอยสั่งสอน แตกต่างจากนางที่ไร้มารดาสั่งสอนเพียงใดอีกทั้งนางก็อยากจะทราบว่าตระกูลของพระเอกผู้นั้นจะยอมรับและช่วยหนุนหลังสตรีดอกบัวขาวเช่นนี้ได้จริง ๆ หรือ
“ต่อให้เป็นพระโพธิสัตว์ บ่าวก็คิดว่าคงไม่สามารถทนได้นานเจ้าค่ะ” วาจาของสาวใช้ทำให้นางพยักหน้าอย่างเห็นด้วยก่อนจะก้าวเท้าเดินตามเข้าไปอย่างไม่เร่งรีบนัก
ปล่อยให้ทำตัวขายหน้าตระกูลกู้และจวนราชครูไปเถิด ประเดี๋ยวนางค่อยแสดงตัวเป็นพี่สาวต่างบิดาที่แสนดี คอยดูเถิด ใครจะแสร้งเป็นสตรีดอกบัวขาวได้ดีกว่ากัน
ย้อนกลับไปเมื่อครึ่งเค่อก่อนหลังจากที่แยกกับพี่ชายแล้ว จางซีถิงก็กลับขึ้นรถม้า แต่ทว่าทันทีที่เปิดม่านเข้าไปในรถม้านางก็พบว่าด้านในมีบุรุษผู้หนึ่งนั่งอยู่ “มิทราบว่าวันนี้รถม้าของคุณชายรองเซี่ยเสียอีกแล้วหรือเจ้าคะ” นางเอ่ยถามก่อนจะนั่งลงด้านข้าง “ข้าเพียงบังเอิญผ่านมาแล้วรู้สึกเหน็ดเหนื่อยจึงเข้ามานั่งพักในรถม้า ช่างบังเอิญเสียจริงที่เป็นรถม้าของคุณหนูจาง” คนบังคับรถม้าก็เป็นองครักษ์เงาของเขาที่บัดนี้กลายเป็นผู้คุ้มกันในจวนตระกูลจาง ดังนั้นทุกอย่างย่อมอยู่ในการควบคุมของเขา ‘หึ! ความบังเอิญช่างน่ากลัวเสียจริง’ นางลอบคิด “ได้ยินว่าคุณหนูจางได้เครื่องรางมา ไม่ทราบว่ามีของข้าด้วยหรือไม่”&
“ขอบคุณเจ้าค่ะ แล้วทางจิ่นโจวมีจดหมายตอบกลับมาบ้างหรือไม่เจ้าคะ” “มี พี่เพิ่งเขียนเสร็จเมื่อวันก่อน ยามนี้คงถึงมือนางแล้ว” “เนื้อความในจดหมายกล่าวว่าอย่างไรบ้างเจ้าคะ ยามอยู่ในจวนข้าจะได้เตรียมรับมือนางได้” “เห็นว่าให้รีบลงมือวางยาพิษเจ้าให้มากขึ้นแล้วนำจดหมายที่มีการปลอมลายมือท่านพ่อเรียบร้อยแล้วไปไว้ในห้องหนังสือเมื่อคนของกรมอาญามาตรวจค้นจะได้มีหลักฐานมัดตัวท่านพ่อ แต่สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือ นางปลอมลายมือท่านพ่อได้เหมือนมาก หากเห็นเพียงผ่าน ๆ ย่อมคิดว่าทั้งหมดเป็นเรื่องจริง” “นางคิดทำสิ่งใดกับท่านพ่อหรือเจ้าคะ” “ยัดข้อหาทุจริตในการสอบจิ้นซื่อ โดยใช้บัณฑิตราวสิบคนยื่นหนังส
นัยน์ตาเมล็ดซิ่งที่มองตามรถม้าที่วิ่งจากไปฉายแววขบขัน หลังจากวันนั้นที่นางใช้วาจาบีบบังคับน้องสาวต่างบิดาให้กินน้ำแกงถ้วยนั้นเข้าไป อีกฝ่ายก็หายหน้าไปนานถึงสิบวันเพิ่งโผล่หน้ามารบกวนนางเมื่อวานเพื่อนัดหมายเรื่องการเดินทางไปชมงานประชันหญิงงามที่จะถูกจัดขึ้น พอรถม้าหายลับไปจากครรลองสายตา คุณหนูจางที่ท่าทางอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงเดินเหินจนต้องมีสาวใช้มาประคองเมื่อครู่กลับผละออกห่างจากสาวใช้ แล้วยืนด้วยตนเอง มือเรียวรับผ้าที่ผิงฟางยื่นให้มาเช็ดใบหน้า “หากเมื่อครู่บ่าวไม่รู้ว่าคุณหนูแสร้งทำ บ่าวคงคิดว่าคุณหนูป่วยจริงแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้คนสนิทของนางกล่าว “หากไม่แนบเนียนจะหลอกนางได้อย่างไร รีบไปผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เถิด” จางซีถิงเช็ดแป้งที่นางจงใจทาเพื่อให้ใบหน้าดูซีดเซียวกล่าวก่อนจะเดินนำหน้าเพื่อก
“มิเป็นไรเจ้าค่ะ น้ำแกงถ้วยนี้ข้าตั้งใจต้มมาให้ท่าน ประเดี๋ยวข้าค่อยกลับไปต้มใหม่ก็ได้เจ้าค่ะ” กู้ซินอี้ยกมือมาดันถ้วยน้ำแกงเอาไว้ “จะต้มใหม่ด้วยเหตุใดกันเล่า มิใช่ว่าต้องใช้เวลานานหรือ ข้าร่างกายแข็งแรงอยู่แล้ว เจ้าก็รับน้ำแกงบำรุงถ้วยนี้ไปกินเถิด” “มิเป็นไรจริง ๆ เจ้าค่ะ ข้าตั้งใจมอบให้ท่านแล้วข้าไม่รับคืนเจ้าค่ะ” “แต่คนที่ควรจะกินน้ำแกงบำรุงควรเป็นเจ้ามากกว่า หรือว่าที่เจ้าไม่ยอมรับน้ำแกงถ้วยนี้ไปกินเพราะน้ำแกงถ้วยนี้มีปัญหา” “มิได้เจ้าค่ะ” คุณหนูกู้ตอบกลับ “หากไม่มีปัญหาเช่นนั้นก็รับไปกินเสียสิ” นางยื่นถ้วยน้ำแกงไปตรงหน้าอีกครั้ง&n
7 เครื่องรางกันสิ่งชั่วร้าย เมื่อรถม้าแล่นจากไปจนลับสายตาคุณชายรองเซี่ยก็หันไปมองสหายที่เพิ่งเดินมายืนด้านข้าง “เจ้ามาได้อย่างไร” แม้ใบหน้าจะเรียบเฉยแต่ทว่าแววตาของเซี่ยหงหมิงกลับพราวระยับอย่างชัดเจน “ข้าก็ใช้วิชาตั
จางซีถิงขยับกายเล็กน้อยคล้ายรู้สึกอึดอัด นัยน์ตาเมล็ดซิ่งมองตอบโต้บุรุษที่จับจ้องใบหน้าตนไม่วางตา หากเขาไม่ออกมาขวางรถม้าของนางเพื่อขออาศัยเข้าเมือง นางก็คงจะแสร้งไม่เห็นและไม่สนใจรถม้าคันที่จอดเสียอยู่ “เมื่อครู่เจ้าคงไม่ได้คิดจะเมินเฉยไม่สนใจรถม้าตระกูลเซี่ยที่จอดเสียอยู่ใช่หรือไม่” “กลางป่าเช่นนี้ข้าย่อมต้องคำนึงถึงความปลอดภัยไว้ก่อน และท่านก็ไม่ควรออกมาขวางรถม้าผู้อื่นเช่นนี้มันอันตรายเจ้าค่ะ” “หากข้าไม่ออกมาขวางรถม้าเจ้า ข้าหรือจะได้รับความช่วยเหลือจากเจ้า” วาจาที่แฝงการตำหนิของเขาทำให้นางยกแขนขึ้นกอดอกแล้วมองเขานิ่ง “...” “เจ้าไปที่ใดมาหรือ เหตุใดถึงออกมาเพียงลำพัง สาวใช้ก็ไม่พามาด้วย” “คุณชายรองเซี่ย เรามิใช่ว่าเคยตกลงกันแล้วหรือเจ้าคะ ว่าถึงเมืองหลวงเมื่อใด เราทั้งสองจะกลายเป็นเพียงคนแปลกหน้า แล้วเหตุใดท่านถึงได้มาปรากฏตัวตรงหน้าข้าอยู่ร่ำไป” หรือแท้จริงมีแผนการใดแอบแฝงอยู่ พรึ่บ! สิ้นเสียงกล่าวของนาง เขาเคลื่อนกายอย่างรวดเร็วทำให้ตอนนี้เขาอยู่ตรงหน้านางในระยะประชิด มือใ







