กลางกรุงที่พลุกพล่าน ท้องฟ้าสีครามถูกขับเน้นด้วยเส้นขอบฟ้าของตึกสูงรายรอบเสียงรถยนต์และฝูงชนที่เดินขวักไขว่สร้างบรรยากาศที่เต็มไปด้วยพลังของเมืองหลวง ใจกลางความวุ่นวาย สองพ่อลูกยืนอยู่ริมฟุตาบาธในเสื้อผ้าที่เรียบง่าย ฝุ่นจับรองเท้าสะพายกีต้าร์คู่ใจข้างหลัง
ดวงตาของอาดัมเปี่ยมไปด้วยความหวัง ลึกซึ้งและสุกใส ราวกับแสงประกายเล็กๆ ที่ส่องผ่านม่านเมฆหมอกแต่เขามองตรงไปข้างหน้าอย่างแน่วแน่ ตึกกระจกสูงระฟ้าที่สะท้อนแสงแดดยามบ่ายดูเหมือนจะเป็นมากกว่าอาคารมันเป็นเป้าหมาย เป็นปลายทางของความฝันที่เขาและพ่อร่วมกันสร้าง ดวงตาคู่นั้นไม่เพียงสะท้อนภาพความทะเยอทะยาน แต่ยังแฝงไว้ด้วยความเชื่อมั่นในพลังของเสียงเพลงและอนาคตที่ยังไม่ถูกกำหนดอาดัมและพ่อก้าวเข้าไปในตึกสูงตระหง่าน ประตูอัตโนมัติเปิดออก ล็อบบี้กว้างขวางที่ปูด้วยหินอ่อนเงาวับ แสงไฟนีออนสาดส่องให้ทุกอย่างดูหรูหราและเต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม เสียงรองเท้าของพวกเขากระทบพื้นดังกังวานในพื้นที่ที่ดูจะกว้างใหญ่เกินกว่าที่คุ้นเคย อาดัมเหลือบมองรอบตัวด้วยความตื่นเต้น ขณะที่พ่อมองตรงไปยังแผงปุ่มเรียกลิฟต์ ด้วยใบหน้าที่แฝงความมุ่งมั่นเมื่อประตูลิฟต์เปิดออก พวกเขาก้าวเข้าไปในพื้นที่โลหะขัดมันที่สะท้อนเงาเลือนรางของทั้งคู่ อาดัมรู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นแรงขึ้นทุกวินาที ขณะที่พ่อกดปุ่มไปยังชั้นบนสุด เสียง "ติ๊ง" เบาๆ ตามมาด้วยการเคลื่อนตัวของลิฟต์ขึ้นไปสู่อากาศด้านบน ดวงตาของอาดัมมองตัวเลขที่ค่อยๆ เปลี่ยนไปบนจอไฟดิจิทัล เขากำมือที่ถือเคสกีต้าร์แน่น ราวกับกอดความฝันไว้ไม่ให้หลุดมือ
ลมหายใจค่อยๆ หนักแน่นขึ้นในความเงียบของลิฟต์ ก่อนที่พ่อจะเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแต่มั่นใจ "พร้อมหรือยังลูก?" อาดัมหันมองพ่อ ก่อนพยักหน้าช้าๆ พร้อมรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความหมาย "พร้อมครับ"
ติ้ง !
เสียงลิฟต์ดังขึ้นอีกครั้งเมื่อประตูเปิดออกสู่ชั้นบนสุด จุดหมายที่เต็มไปด้วยความฝันและโอกาสรออยู่เบื้องหน้า
ส่งถึงห้องออดิชั้น..ห้องนั้นเรียบง่ายแต่ทรงพลัง ผนังสีขาวสะอาดล้อมรอบด้วยแผ่นกันเสียงสีเทาอ่อน บนผนังมีโลโก้ค่ายเพลงใหญ่ติดอยู่เด่นชัดเหมือนเครื่องหมายแห่งความฝัน โต๊ะยาวตั้งอยู่ด้านหน้า มีผู้บริหารและทีมงานนั่งเรียงกันอยู่ สายตาแต่ละคู่ดูนิ่งแต่เต็มไปด้วยความคาดหวัง และแฝงความกดดันที่ยากจะอธิบาย
พื้นห้องปูด้วยพรมสีเข้มซึ่งช่วยซับเสียง กึ่งกลางห้องมีไมโครโฟนตั้งอยู่เดี่ยวๆ พร้อมกับขาตั้งกีตาร์ที่ดูเหมือนจะรอคอยให้เสียงเพลงมาปลดปล่อยความเงียบ ห้องถูกส่องด้วยแสงไฟสีขาวนวลที่ทำให้ทุกอย่างดูชัดเจนจนไม่มีที่ให้หลบซ่อน
เสียงแอร์ที่ทำงานเบาๆ กลายเป็นเสียงพื้นหลังเดียวในขณะที่อาดัมและพ่อยืนอยู่ตรงกลางห้อง พื้นที่นั้นให้ความรู้สึกทั้งเปิดโล่งและโดดเดี่ยวในเวลาเดียวกัน อาดัมเหลือบมองผู้ฟังทุกคนที่นั่งอยู่เบื้องหน้า มือของเขาจับกีตาร์แน่นก่อนจะสูดลมหายใจลึก พ่อเอื้อมมือตบไหล่เบาๆ เหมือนจะส่งสัญญาณว่า นี่คือช่วงเวลาที่เรารอคอย
บรรยากาศในห้องนั้นหนักอึ้ง แต่เต็มไปด้วยศักยภาพ ทุกโน้ตและทุกคำร้องที่กำลังจะเกิดขึ้นจะเป็นตัวตัดสินชะตาของพวกเขาในเสี้ยวนาทีนี้
“พร้อมหรือยังครับ? ถ้าพร้อมแล้ว เริ่มเลย” เสียงของชายใบหน้าเคร่งขรึมที่นั่งอยู่ตรงกลางโต๊ะเปล่งออกมา เสียงนั้นต่ำลึกและมั่นคง แต่เต็มไปด้วยอำนาจที่ทำให้อาดัมรู้สึกเหมือนถูกตรึงอยู่กับที่ เขาไม่แม้แต่จะกระพริบตาเมื่อมองอาดัมและพ่อ ราวกับกำลังประเมินทุกอณูของพวกเขาในขณะนั้น
อาดัมเผลอกลืนน้ำลาย ขณะที่ห้องทั้งห้องดูเงียบงันจนเขาได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นชัดเจน พ่อยิ้มบางๆ และพยักหน้าเบาๆ เป็นสัญญาณให้เริ่ม อาดัมสูดลมหายใจลึก สัมผัสที่นิ้วมือจับกีตาร์แน่นขึ้น เขามองตรงไปข้างหน้า ดวงตาของเขาพบกับสายตาของชายคนนั้น—สายตาที่เฉียบคมแต่เต็มไปด้วยความคาดหวัง
เสียงแรกจากกีตาร์ดังขึ้น ทำลายความเงียบในทันที เสียงเพลงที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และความหวังเริ่มไหลลื่นในอากาศ ทุกสายตาจับจ้องไปยังพวกเขา ราวกับว่าทุกโน้ตและทุกคำร้องกำลังถูกวัดผล
เสียงเพลงไหลลื่นเป็นจังหวะ อาดัมร้องด้วยพลังที่สะสมมาทั้งชีวิต น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยอารมณ์และความเชื่อมั่น ในขณะที่พ่อส่งสายตาให้กำลังใจและดีดกีตาร์ช่วยประสาน เสียงเพลงค่อยๆ ครอบคลุมทั้งห้อง ทุกโน้ต ทุกคำร้องส่งต่อเรื่องราวที่ลึกซึ้ง สะกดให้ทุกสายตาของผู้บริหารจ้องมองโดยไม่ละสายตาเมื่อเสียงเพลงสุดท้ายจบลง ห้องออดิชั่นกลับมาเงียบงันอีกครั้ง เสียงกีตาร์ที่เคยก้องกังวานกลายเป็นเพียงความทรงจำในอากาศ อาดัม พยายามเก็บความตื่นเต้นและความกดดันที่ยังหลงเหลืออยู่ในอก เขาเหลือบมองผู้ตัดสินที่ยังคงนั่งนิ่ง เคร่งขรึม ไม่มีคำพูดใดหลุดออกจากพวกเขา มีเพียงสายตาที่เหมือนกำลังชั่งน้ำหนักและวิเคราะห์ทุกสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น
ชายใบหน้าเคร่งขรึมลุกขึ้นจากโต๊ะ ส่งสัญญาณให้ทีมงานคนอื่นลุกตาม พวกเขาก้าวออกจากห้องไปทางประตูอีกด้านหนึ่ง เสียงรองเท้ากระทบพื้นเงียบแต่หนักแน่น พวกเขาหายเข้าไปในห้องประชุมที่อยู่ไม่ไกล ประตูปิดลงช้าๆ ทิ้งให้ห้องออดิชั่นเต็มไปด้วยความเงียบที่แทบได้ยินเสียงลมหายใจของอาดัมและพ่อ
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า เสียงพูดคุยเบาๆ ที่เล็ดลอดออกมาจากห้องประชุมเหมือนเสียงกระซิบที่จับใจความไม่ได้ อาดัมเหลือบมองพ่อ ซึ่งพยายามยิ้มให้กำลังใจ แม้แววตาจะดูไม่ต่างจากเขากังวลและเต็มไปด้วยคำถาม
เสียงนาฬิกาในห้องดัง "ติ๊ก ติ๊ก" ในความเงียบชวนให้อดคิดไม่ได้ว่าผลลัพธ์ที่รออยู่อีกฟากประตูจะเป็นอย่างไร ทุกวินาทีรู้สึกเหมือนยาวนานกว่าปกติ พวกเขารู้ดีว่าคำตัดสินนี้อาจเปลี่ยนชีวิตไปตลอดแต่ก็ต้องรออย่างอดทน
ดวงตาของอาดัมจับจ้องไปที่ประตูที่ดูเหมือนเป็นตัวกั้นระหว่างโลกสองใบ โลกที่เขาอยู่ตอนนี้ กับโลกที่กำลังรออยู่หลังบานนั้น ทุกอย่างเงียบสงัดแม้กระทั่งเสียงนาฬิกาที่เคยดัง "ติ๊ก ติ๊ก" ก็เหมือนจะช้าลง หรืออาจจะหยุดไปในความรู้สึกของเขาประตูค่อยๆ แง้มออก เสียงบานพับที่ดังเบาๆ กลับฟังชัดในความเงียบของห้องเล็กๆ ชายคนหนึ่งปรากฏขึ้นที่ประตู ท่าทางสุขุม ดวงตาของเขามองตรงมายังอาดัม พร้อมเสียงเรียกที่สั้น กระชับ แต่แฝงด้วยน้ำหนัก
“อาดัม เข้ามา”
อาดัมหันไปมองพ่อที่นั่งอยู่ข้างๆ ดวงตาของพ่อเต็มไปด้วยความอบอุ่น แม้จะมีร่องรอยความกังวลซ่อนอยู่ลึกๆ แต่รอยยิ้มบางๆ บนใบหน้ากลับเปี่ยมด้วยความเชื่อมั่นในตัวเขา พ่อยื่นมือออกมาแตะที่มือของอาดัม บีบเบาๆ เพื่อส่งผ่านกำลังใจ
"ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พ่อภูมิใจในตัวลูกเสมอ" คำพูดของพ่อทำให้อาดัมรู้สึกถึงความหนักแน่นที่เริ่มกลับมาหาเขา เขาสูดลมหายใจลึก ปล่อยให้ความกลัวละลายไปในสายสัมผัสของพ่อ
เขาพยักหน้าเบาๆ แล้วลุกขึ้นยืน มุ่งหน้าไปยังประตูที่เปิดรอเหมือนเวทีที่เขาต้องแสดงตัวเป็นตัวเอก ชายที่ยืนรออยู่ไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแต่ถอยหลบเพื่อเปิดทางให้เขาก้าวเข้าไป
อาดัมเชื่อว่า... อาการป่วยของฮันน่าไม่สามารถรักษาได้ด้วยยาเพียงอย่างเดียว มันต้องการบางสิ่งที่ลึกซึ้งกว่านั้น คือ ความรัก และ หัวใจ เขาเชื่ออย่างยิ่งว่าเขาจะเป็นคนที่เยียวยาเธอได้ ไม่ใช่ด้วยคำพูดหวานหูหรือคำสัญญาที่เลื่อนลอย แต่ด้วยการอยู่เคียงข้างเธอทุกวัน ทุกวินาที คอยประคองเธอขึ้นจากความเจ็บปวด ให้เธอเห็นว่าโลกใบนี้ยังมีที่ให้เธอยืนอยู่ได้ …………….. แสงแรกของพระอาทิตย์สาดส่องเข้ามา กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ถูกวางรออยู่กลางห้อง รอคอยการเดินทางครั้งสำคัญที่กำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า แต่ก่อนที่พวกเขาจะก้าวออกไปจากที่นี่ ฮันน่ามีบางสิ่งที่ต้องเผชิญ บางสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจ ประตูห้องน้ำเปิดกว้าง... ฮันน่ายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ขวดยาในมือถูกกำไว้แน่นจนฝ่ามือสั่นระริก เธอค่อยๆ เปิดฝาขวด เทเม็ดยาสีขาวจำนวนมากลงบนมือ เธอจ้องมันนิ่งงัน หัวใจเต้นแรง ความลังเลและความกลัวตีตื้นขึ้นมา นี่คือสิ่งที่เธอพึ่งพามาตลอด… สิ่งที่ช่วยให้เธอหลับในคืนที่ฝันร้าย สิ่งที่กดเสียงในหัวให้เงียบลง แต่วันนี้ เธอจะปล่อยมันไป เธอหันมองอาดัม เขายืนอยู่ข้างๆ ดวงตาของเขาส่งผ่านความมั่นใจและความเข้าใจ ไม่มี
สามเดือนผ่านไป.. ตลอดสามเดือนที่ผ่านมา ฮันน่าอาศัยอยู่กับอาดัม แม้จะยังต้องใช้ไม้เท้าพยุงตัวเอง และต้องทานยารักษาอาการทางจิตควบคู่ไปด้วย เธอก็ยังคงไปพบแพทย์ตามนัด โดยมีอาดัมคอยดูแลอยู่ไม่ห่างแม้กายจะค่อยๆ ฟื้นตัว แต่หัวใจของเธอยังคงกลัวและหวาดระแวง... เงาของ "ลินลี่" และคำขู่ในวันนั้นยังตามหลอกหลอนเธอเสมอ ทำให้บางคืนเธอสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก พร้อมกับเสียงหายใจหอบหนักแต่ไม่ว่าเมื่อไรที่เธอตื่นขึ้นมา เธอมักจะพบว่า อาดัมยังอยู่ตรงนั้นเขาไม่เคยห่างไปไหนเธออาจจะยังลังเลและหวาดกลัว แต่สำหรับอาดัม… ยิ่งวันเวลาผ่านไป เขากลับแน่ใจมากขึ้น"เขารักเธอเข้าแล้ว..."กลางดึกที่เงียบสงัด ความเงียบโรยตัวไปทั่วทั้งบ้าน“กรี๊ดดด!!”เสียงกรีดร้องดังลั่น ทำลายความสงบในชั่วพริบตาฮันน่าสะดุ้งตื่นขึ้นมา ดวงตาเบิกกว้าง ร่างกายของเธอสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ น้ำตาไหลอาบแก้มเป็นสาย ลมหายใจของเธอหอบหนักราวกับขาดอากาศ เงาของฝันร้ายยังคงตามหลอกหลอน ภาพเลือนรางจากอดีตซ้อนทับเข้ามาไม่หยุดเธอพยายามควบคุมตัวเอง สูดลมหายใจลึกแม้จะไม่ช่วยอะไรเลยเธอเอื้อมไปจับไม้พยุง ก่อนค่อยๆ พยุงร่างกายที่อ่อนแรงไปยังห้องน้ำ ก้า
ท้องฟ้ายามค่ำคืนเงียบสงบ มีเพียงเสียงลมพัดแผ่วเบาลอดผ่านหน้าต่างห้องของอาดัม เขายืนถือโทรศัพท์ไว้แนบหู ปลายสายนั้นคือวิน เพื่อนสนิทที่โทรมาจากต่างแดน เพราะหลังจากเหตุการ์ณ์ที่เกาะทองคำวันนั้นวินได้บินกลับไปอย่างกระทันหัน "นายแน่ใจเหรอ...อาดัม?" เสียงของวินชัดเจนผ่านใบหูของอาดัมในขณะที่ทั้งสองได้คุยกันมาได้สักพักแล้วจนมาถึงช่วงสุดท้ายก่อนจะวางสายลง “แน่ใจสิ…”อาดัมตอบกลับด้วยความมั่นใจขณะที่ดวงตาคมกริบของเขาฉายแววความแน่วแน่มั่นคง ถึงแม้เขาจะรู้จักเธอแค่เพียงหนึ่งสัปดาห์ก็ตาม แต่บางอย่างในตัวเธอทำให้เขาตัดสินใจได้โดยไม่ลังเล เมื่อวินได้ยินคำตอบที่ราวกลั่นออกมาจากหัวใจของอาดัมแล้ว เขาก็เอ่ยด้วยด้วยน้ำเสียงแห่งความยินดี “เมื่อนายมั่นใจและเชื่อมั่นแล้ว ฉันก็เชื่อในตัวนายเช่นกันว่านายนั้นทำได้ดี” วินตอบกลับแล้วหันมองดูเวลาบนข้อมือที่ใกล้เข้ากะทำงานไปทุกที“ ไว้คุยกันใหม่ ฉันต้องเข้าทำงานแล้ว ขอพระเจ้าอวยพร นายกับฮันน่า นะ" “ขอบใจมากเพื่อน ..วิน! แล้วเจอกัน ” .. ตุ๊ด.. ตุ๊ด.. ตุ๊ด..………….เมื่อวางสายไปแล้ว อาดัมถอนหายใจออกมาช้าๆ พลางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามราตรี แสงดาวระยิบระยับสะท้อ
ยามหัวค่ำในห้องพักฟื้น อากาศเย็นจากเครื่องปรับอากาศแผ่ซ่านลึกเข้าไปถึงกระดูก ฮันน่า นอนนิ่งอยู่บนเตียง แม้ร่างกายยังคงเจ็บปวดจากบาดแผลที่ยังไม่หายดี แต่ถึงกระนั้นความเจ็บปวดจากร่างกายนั้นเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่กัดกินเธออยู่ภายในความกลัว ที่เหมือนเงาดำซึ่งคืบคลานเข้ามารัดแน่นจนหายใจแทบไม่ออกเธอรู้ดีว่าการหนีจาก ลินลี่ ไม่ใช่เรื่องง่าย... ไม่สิ มันเป็นไปไม่ได้เลย เพราะที่นี่ไม่ใช่ที่สำหรับคนอย่างเธอ นี่คือเมืองที่ลินลี่ครอบครองทุกสิ่งหญิงผู้มีอิทธิพล ผู้ทรงพลังยิ่งกว่ากฎหมายและความยุติธรรม ไม่มีมุมใดของเมืองนี้ที่จะหลบพ้นสายตาของเธอได้หัวใจของฮันน่าเต้นแรงในอก ดวงตาจ้องมองเงาตรงประตูหน้าห้องที่ดูเหมือนจะขยับเคลื่อนไหวตามเสียงฝีเท้าในจินตนาการของเธอ ทุกวินาทีราวกับกำลังรอคอยหายนะที่จะมาถึงโดยไม่มีวันเลี่ยงได้เธอไม่ได้หวังปาฏิหาริย์อีกต่อไป... ในเมืองของลินลี่ คนที่หนีไปได้ มีเพียงเงา หรือซากศพตึก... ตึก...ตึกเสียงรองเท้าส้นสูงดังสะท้อนก้องมาตามทางเดินยาวนอกห้อง ทุกก้าวการเดินนั้นราวกับกำลังย้ำเตือนถึงชะตากรรมที่กำลังจะมาถึง ทุกก้าว ยิ่งกระชั้นชิด เสมือนเสียงของนาฬิกาเรือนใหญ่ที่น
ภายในห้องพักฟื้นของโรงพยาบาล บรรยากาศเงียบงัน แสงไฟนวลตาส่องกระทบผนังสีขาวสะอาดตา ทว่ากลับให้ความรู้สึกโดดเดี่ยว อากาศอบอวลด้วยกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อเจือจาง เตียงคนไข้ถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบ ม่านสีขาวกั้นเป็นสัดส่วน อาดัมก้าวเข้ามาอย่างช้าๆสายตาของเขามองไปยังหญิงสาวที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง ผ้าพันแผลสีขาวพันรอบศีรษะของเธอ และขาของเธอถูกดามไว้อย่างแน่นหนา ร่องรอยบาดแผลและรอยฟกช้ำปรากฏให้เห็นบนผิวกายซีดเซียว ร่างกายของเธอดูเปราะบางราวกับอาจแตกสลายได้ทุกเมื่อ เสียงลมหายใจแผ่วเบาของเธอยืนยันว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็เป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด อาดัมรู้สึกเหมือนมีก้อนหินหนักๆ กดทับอยู่ในอก ราวกับแบกรับความรู้สึกผิดที่มองไม่เห็น เขายืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจเบาๆ สายตาไล่มองไปตามร่างของเธอ พลางครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เธอต้องเจ็บหนักขนาดนี้ เขารู้ว่าเธอรอดมาได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเธอจะผ่านมันไปได้โดยง่าย เสียงฝีเท้าของเขาเบาลงขณะก้าวถอยหลัง สุดท้ายอาดัมเลือกจะหมุนตัวเดินออกจากห้องแม้ความกังวลยังคงฝังแน่นอยู่ในใจ... เขาตรงกลับมาบ้านที่อบอุ่นเสียงฝีเท้าดังก้องทั่วห้องโถ่งทางเด
กลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ เรือสปีดโบ๊ทแล่นตัดผ่านเกลียวคลื่นอย่างรวดเร็ว เสียงเครื่องยนต์คำรามกลบความเงียบของท้องฟ้ายามเย็นที่กำลังมืดลง อาดัมนั่งเงียบอยู่ข้างฮันน่า ดวงตาของเขามองไปยังใบหน้าของฮันน่าที่เปื้อนไปด้วยเลือด เธอดูอ่อนล้าและไร้เรี่ยวแรงและในแววตาของเธอนั้นช่างเต็มไปด้วยความเจ็บปวด“คุณ…เข้มแข็งไว้นะ” อาดัมเอ่ยขึ้น ด้วยน้ำเสียงที่แฝงด้วยความห่วงใยลึกซึ้ง ขณะที่นันย์ตาเขามองเธอราวกับต้องการส่งกำลังใจทั้งหมดที่เขามีให้กับเธอ ปลายนิ้วของเขาแตะลงบนแขนของเธอเบา ๆ สัมผัสแผ่วเบาที่ไม่ได้ต้องการอะไร นอกจากให้เธอรู้ว่าเธอไม่ได้เผชิญกับสิ่งนี้เพียงลำพัง ฮันน่ามองอาดัม ก่อนพยักหน้าแม้ไม่มีคำพูดใดออกมา แต่แววตาของเธอนั้นรับรู้ถึงความห่วงใยของเขา และเธอจะพยายามอดทน ให้ถึ่งฝั่งเรือสปีดโบ๊ทเข้าใกล้ฝั่งมากขึ้น ทุกวินาทีเต็มไปด้วยความเร่งด่วน ไฟสีแดงของรถพยาบาลที่จอดรออยู่ที่ท่าเรือสะท้อนบนผิวน้ำ ราวกับประกาศความสำคัญของชีวิตที่กำลังแขวนอยู่บนเส้นด้ายทันทีที่เรือจอดเทียบที่ท่า คนขับเรือและเจ้าหน้าที่รีบเข้ามาช่วยอาดัมพยุงฮันน่าขึ้นไปยังรถพยาบาล เสียงไซเรนดังก้องเมื่อรถพุ่งออกจากท่าเรือ