วันที่ 31 เดือนตุลาคม...
รถยนต์คันหนึ่งแล่นมาด้วยความเร็ว บนถนนที่กำลังออกนอกจังหวัดกรุงเทพมหานครไปยังจังหวัดนครปฐม มีรถยนต์ผ่านมาบ้างเพียงสามสี่คัน ภายในรถยนต์คันนั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งเป็นผู้ขับ เธอสวมแว่นตาดำขับรถมาจนถึงสี่แยกแห่งหนึ่ง สัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนจากสีเหลืองมาเป็นสีแดงภายในพริบตา
หญิงสาวเงยหน้ามองเห็นไฟจราจรเปลี่ยน เท้าเหยียบเบรกรถยนต์ แต่...เบรกกลับไม่ยอมทำงานอย่างที่ควรจะเป็น ทำให้หญิงสาวบนรถเริ่มมีสีหน้าตื่นตระหนก เธอกรีดร้องเสียงดังลั่นเมื่อเห็นว่ารถไม่ยอมหยุด
“กรี๊ดดด!!!”
โครม!!!
รถยนต์ของหญิงสาวพุ่งชนกับรถอีกคันหนึ่ง เศษกระจกแตกกระจายเกลื่อนกลางสี่แยก รวมถึงชิ้นส่วนอื่นๆ ที่กระจัดกระจาย เสียงคนกรีดร้องจากริมถนนและรถยนต์คันอื่นที่จอดติดสัญญาณไฟแดงอยู่แถวนั้น เพียงครู่เดียวก็มีพลเมืองดีโทรศัพท์เรียกหน่วยกู้ภัยและตำรวจทันทีที่เกิดอุบัติเหตุ
น่าแปลก...ที่รถยนต์ของฝ่ายหลังถึงจะพังยับเยิน แต่คนขับรถที่เป็นผู้ชายกลับไม่เป็นอะไรเลย แค่ฟกช้ำจากการถูกกระแทกเพียงเล็กน้อย
กลับกัน...หญิงสาวในรถยนต์อีกคัน ร่างกายกระแทกกับพวงมาลัยรถ เศษกระจกบาดตามตัวของเธอผู้เคราะห์ร้ายคนนั้น มีชิ้นหนึ่งบาดเข้าที่คอจนเป็นบาดแผลฉกรรจ์ ทำให้เสียเลือดไปมาก
เจ้าหน้าที่กู้ภัยคนหนึ่งเปิดประตูรถยนต์คันนั้นและได้เห็นสภาพของหญิงสาวที่ฟุบอยู่ตรงพวงมาลัยรถ พร้อมกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่ว เขาจับชีพจรของเธอ มองไปยังเบาะรถยนต์ด้านหลัง เห็นกระเป๋าถือของหญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายวางอยู่ เขากำลังจะเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋านั้นมาดู แต่แล้วก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา
“เฮ้ย!”
เขาร้องอุทานด้วยความตกใจ แต่เมื่อตั้งสติได้ว่าเสียงนั้นดังมาจากกระเป๋าตรงหน้าจึงเปิดกระเป๋าออกดู ก่อนพบกับโทรศัพท์ที่มีสายเรียกเข้า หน้าจอโทรศัพท์ขึ้นมาว่า ‘น้องสาว’
เจ้าหน้าที่กู้ภัยหันมาเจอตำรวจคนหนึ่งยืนอยู่แถวนั้น เขายื่นโทรศัพท์ให้ตำรวจ แล้วหันมาค้นในกระเป๋าต่อจนเจอกระเป๋าสตางค์ของเธอ เขาเปิดออกดูหาบัตรประชาชน จะได้รู้ว่าหญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายคนนี้คือใคร?
“เจอแล้วครับ ชื่อผู้ตาย นางสาวนิรมล...”
“ที่นี่...ที่ไหนกันนะ?”
หญิงสาวหันมองรอบตัวที่มืดมิดจนไม่รู้ทิศทาง หูได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนที่ไม่แน่ใจว่าเป็นเสียงของมนุษย์หรือสัตว์กันแน่ เธอหันซ้ายหันขวามองหาที่มาของเสียง และคงหันมองรอบตัวอีกนาน หากไม่ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง
“ยังมีดวงวิญญาณหลงเหลืออีกหรือนี่ เจ้าน่ะชื่ออะไร?”
หญิงสาวหันหน้าไปมองก็พบชายคนหนึ่ง รูปร่างดูสูงใหญ่กว่าปกติ แต่ไม่สวมเสื้อ นุ่งโจงกระเบนสีแดง เมื่อเธอหันหน้ามามองเห็นว่าเขามายืนใกล้ชิดจนต้องถอยหลังหนี ด้วยความรู้สึกเกรงกลัวอะไรบางอย่างจาก ‘เขา’
“เจ้ามากับข้าทางนี้เถิด”
ชายคนนั้นเดินนำหน้าหญิงสาวที่ยังคงหันมองรอบทิศทาง หูยังคงเสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นเรื่อยๆ จนเธอเริ่มรู้สึกหวาดกลัว แต่ก็ยังคงเดินตามหลังทั้งที่ในหัวยังคงมีคำถามอยู่ตลอดเวลาว่าที่นี่คือที่ไหน จนเห็นสะพานเล็กๆ ตรงหน้า
“เจ้าเดินข้ามสะพานไปด้านโน้นเถิด”
หญิงสาวทำตามโดยดี แต่ก็ยังคงคิ้วขมวดด้วยความสงสัยจนอดที่จะถามไม่ได้
“ที่นี่คือที่ไหนคะ?”
“ที่นี่คือยมโลกยังไงละ หากเจ้าเดินข้ามสะพานไปทางด้านโน้น เจ้าจะได้พบกับท่านยมบาล”
ชายร่างสูงใหญ่นั้นคือ ‘ยมทูต’ นั่นเอง หญิงสาวก้มลงมองตัวเอง ก่อนพบว่าร่างของเธอโปร่งแสง แทบมองไม่เห็นแม้แต่มือ เธอได้แต่พึมพำอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“นี่...ฉะ...ฉันตายแล้วเหรอ แล้ว...ฉันตายได้ยังไงคะ”
“นี่เจ้าจำไม่ได้จริงๆ หรือว่าเจ้าตายได้ยังไง เจ้าเกิดอุบัติเหตุ รถยนต์ของเจ้าพุ่งชนกับรถอีกคันกลางสี่แยก”
หญิงสาวค่อยๆ นึกทบทวนความทรงจำ
“ใช่ ฉันจำได้ว่าเบรกรถยนต์ไม่ทำงาน พยายามเหยียบเบรก...แต่...”
‘ยมทูต’ คิดว่าถ้าปล่อยให้หญิงสาวถามอยู่แบบนี้ เธอคงไม่เดินไปไหนแน่ เขาใช้มือลากหญิงสาวให้เดินข้ามไปด้วยกัน
“เจ้าเดินข้ามสะพานไปเถิด ข้าไม่มีเวลาแล้ว เดี๋ยวข้าจะต้องไปรับดวงวิญญาณดวงอื่นอีก เจ้ามาทางนี้”
หญิงสาวจะร้องโวยวายหรือขัดขืน แต่เหมือนโดนสะกดให้ต้องทำตาม ระหว่างนั้นเธอหวนนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าที่เกิดขึ้น ภาพในหัวเริ่มค่อยๆ ปะติดปะต่อ และเริ่มชัดเจนโดยเฉพาะอุบัติเหตุที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสักครู่ อยู่ๆ พูดโพล่งออกมา
“ใครตัดสายเบรกหรือเปล่า?”
ยมทูตที่พาเดินนำหน้ามาหยุดชะงัก
“เจ้าว่าอย่างไรนะ”
“เอ่อ ฉะ...ฉันไม่แน่ใจ ทะ...ท่านจะพาฉันไปไหนคะ”
หญิงสาวมีอาการหวาดกลัวเพิ่มขึ้น ยิ่งกำลังจะเดินข้ามสะพานไปอีกด้าน เธอหันซ้ายหันขวามองไปรอบๆ ตัว แต่กลับไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความมืด หูยังคงได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนที่ดังขึ้นกว่าเดิม จนกระทั่งผู้ที่เดินนำหน้าเธอหยุดเดิน ทำให้หญิงสาวหันมามองตรงหน้า
ด้านหน้าของหญิงสาวมีชายผู้หนึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์ที่สูงจนเธอต้องแหงนหน้ามอง ท่าทางดูมีอำนาจและดูน่าเกรงขาม ยมทูตที่พาเธอเข้ามารีบบอกอีกฝ่าย
“ยังมีดวงวิญญาณอีกหนึ่งดวง กระผมพามาจากด้านหน้านี่เองขอรับ”
“เจ้าชื่ออะไร?”
หญิงสาวกำลังจะตอบ แต่แล้วกลับมีเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังลั่นจนเธอตกใจ ท่านยมบาลรีบออกคำสั่งกับยมทูตตรงหน้า
“เจ้าไปดูทีว่าเกิดสิ่งใดขึ้น”
ยมทูตหายไปตามคำบัญชา ท่านยมบาลหันมามองหญิงสาวตรงหน้าที่กำลังมองซ้ายขวา มือข้างหนึ่งจับที่หน้าอก ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว เสียงกรีดร้องโหยหวนจากที่ดังอยู่แล้วกลับยิ่งดังมากขึ้น จนท่านยมบาลต้องถามซ้ำอีกครั้ง
“เจ้าชื่ออะไร?”
“ดะ...ดิฉันชื่อ นิรมล ติยะสกุลค่ะ”
หญิงสาวพูดตะกุกตะกัก ท่านยมบาลเปิดประวัติดู คิ้วขมวดด้วยความสงสัยกับข้อมูลตรงหน้า ต่างจากเธอที่มีอาการ ‘กลัว’ อย่างเห็นได้ชัด
“เจ้าเป็นอะไรหรือ”
หญิงสาวหันซ้ายหันขวา ยังคงได้ยินเสียงร้องโหยหวนที่น่ากลัวนั้นอยู่ ปากพูดพึมพำโดยไม่ได้สนใจท่านยมบาลตรงหน้าสักนิด
“ฉันตายแล้วจริงๆ เหรอ ที่นี่คือยมโลก...ฉะ...ฉันตายแล้ว...”
“ใช่ เจ้าตายแล้ว ได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนเหล่านั้นหรือไม่ นั่นคือเสียงพวกใจบาปหยาบหนาที่ข้ากำลังลงทัณฑ์พวกมันอยู่!”
หญิงสาวได้ยินแบบนั้นก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัวมากขึ้นไปอีก ในใจคิดถึงบาปบุญที่เคยทำมา ท่านยมบาลเหมือนจะรู้ความในใจของเธอจึงพูดขึ้นมา
“หากที่ผ่านมาเจ้าทำบุญหรือทำดี ข้าคิดว่าไม่มีสิ่งใดต้องหวาดกลัวดอก”
คำพูดประโยคนั้นไม่ได้ช่วยให้หญิงสาวรู้สึกใจชื้นขึ้น แต่กลับนึกถึงสาเหตุการตายของตัวเองจนอดที่จะถาม ‘ท่าน’ ไม่ได้ ทั้งๆ ที่รู้สึกเกรงกลัว
“ฉันสงสัยการตายของตัวเองค่ะ ฉะ...ฉันขับรถมา อยู่ๆ เบรกก็ไม่ทำงาน ต้องมีใครคิดทำร้ายฉันแน่”
“เจ้าตายไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องคิดถึงเรื่องบนโลกมนุษย์อีก”
ท่านยมบาลพูดเตือนสติ แต่นิรมลอึกอัก คิดลังเลอยู่ในใจ จะพูดดีไหมนะ แต่ถ้าไม่พูด...เธอก็จะไม่มีวันรู้แน่นอน...
“ฉันอยากจะขอร้องท่าน ขอย้อนเวลากลับไปยังโลกมนุษย์อีกครั้งค่ะ อยากขอโอกาสจากท่าน...อยากรู้ว่าฉันไปทำอะไรให้ใครไม่พอใจหรือเปล่า หรือว่าไปทำอะไรไม่ดี ถึงต้องมาทำร้ายฉัน...จนตาย”
นิรมลพูดอ้อนวอนท่านยมบาล ถึงแม้ว่าเธอกลัวจนตัวสั่น ไม่กล้าเงยหน้าสบสายตากับ ‘ท่าน’ ได้แต่นั่งก้มหน้า แต่สิ่งที่สงสัยอยู่ในใจกลับมีมากกว่า อีกฝ่ายมองหญิงสาวนิ่ง
“ทำไมเจ้าถึงคิดเช่นนั้น ไหนลองบอกข้าที ถ้ามีเหตุผลมากพอ ข้าอาจจะรับฟังเจ้า”
นิรมลนิ่งคิด ค่อยๆ คิดทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา แต่...เธอกลับนึกอะไรไม่ออกเสียเลย
“ฉะ...ฉัน...เป็นเสาหลักของครอบครัว พ่อแม่คงลำบากแน่ถ้าฉันเสียชีวิต น้องสาวก็ยังเรียนหนังสืออยู่ ไหนจะหน้าที่การงานอีก ฉันยังตายไม่ได้”
ท่านยมบาลมองหน้าอีกฝ่ายนิ่ง ไม่พูดอะไรอีก ทำให้นิรมลพูดขอร้องอีกครั้ง
“ฉันรู้ว่ามันไม่ถูกต้อง แต่...ฉันอยากจะขอร้องท่านสักครั้ง ขอย้อนเวลากลับไปโลกมนุษย์ แค่ครั้งเดียวก็ยังดีค่ะ”
“เจ้าขอร้องข้าขนาดนี้ เจ้ามีสิ่งแลกเปลี่ยนกับข้าหรือไม่ ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้จะได้มาง่ายๆ ดอก”
หญิงสาวนิ่งคิด ต้องมีสิ่งทดแทนสินะ จะเอาอะไรไปแลกเปลี่ยนดี? เธอนั่งนิ่งไม่พูดอะไรอยู่นานจนอีกฝ่ายไม่พอใจ
“เจ้าจะว่าอย่างไร ข้าไม่ได้มีเวลามานั่งเฝ้ารอคำตอบจากเจ้าเช่นนี้ดอกนะ”
นิรมลสะดุ้ง เงยหน้าขึ้นสบสายตากับอีกฝ่าย แววตาแสดงความรู้สึกกลัวและไม่มั่นใจ แต่ก็ตัดสินใจพูดออกมา
“คะ...คือ ฉันจะช่วยเหลือดวงวิญญาณที่กำลังเดือดร้อนค่ะ จะได้เป็นบุญกุศลกับตัวฉัน และช่วยปลดปล่อยดวงวิญญาณเหล่านั้นด้วย”
ท่านยมบาลนิ่ง อ่านประวัติของหญิงสาวตรงหน้าเพื่อคิดทบทวนอีกครั้ง
“ได้ ความจริงแล้วเจ้ายังไม่ถึงฆาต ยังไม่ถึงเวลาของเจ้า ข้ายินยอมตามที่ร้องขอ แต่เจ้าจะย้อนเวลากลับไปได้เพียงเก้าสิบวันเท่านั้น และมอบสัมผัสพิเศษเปิดดวงตาที่สามให้เจ้ามองเห็น เจ้าต้องช่วยเหลือดวงวิญญาณห้าดวงตามที่พวกเขาร้องขอ เจ้าจะตกลงตามนี้หรือไม่”
“ตกลงค่ะ”
เมื่อสิ้นสุดคำว่า ‘ตกลง’ หญิงสาวรู้สึกว่าตัวเบา คล้ายๆ จะลอยไปไหนสักแห่ง และในวินาทีสุดท้ายก่อนที่จะหมดสติ หูของเธอได้ยินเสียงดังแว่ว
“แต่เจ้าจะจดจำช่วงเวลาเก้าสิบวันที่ผ่านมาไม่ได้ ยกเว้น...”
ตู้ด....ตู้ด...“อ้าว สายหลุดเหรอเนี่ย ไม่เป็นไรงั้นเดี๋ยวโทร. ใหม่ก็แล้วกัน”กฤติกาโทรศัพท์อีกครั้ง แต่คราวนี้ดูเหมือนว่าไม่มีสัญญาณอีกเลย นั่นยิ่งทำให้หญิงสาวร้อนใจมากขึ้น จนต้องโทรศัพท์ไปหาใครอีกคนหนึ่ง“คุณอาไม่รับโทรศัพท์พี่เลย เราจะเอายังไงดีคะ ได้ค่ะ เย็นนี้เราไปบ้านคุณอาด้วยกัน”เย็นวันนั้น นรีนันท์แวะมาหากฤติกาที่โรงเรียน เพื่อจะเดินทางไปหาพ่อแม่ของมาวินด้วยกัน โดยมีนรีนันท์เป็นผู้นำทางไปบ้านมาวิน แต่เมื่อไปถึงที่นั่น ทั้งสองคนพบว่าไม่มีใครอยู่บ้าน กฤติกาจึงโทรศัพท์หาพ่อของมาวินอีกครั้ง“พี่โทรศัพท์ไม่ติดเลย สงสัยว่าคุณอาจะบล็อกเบอร์พี่ไปแล้วแน่ๆ”นรีนันท์เห็นแบบนั้น เธอจึงโทรศัพท์หาพ่อแม่ของมาวิน แต่ทั้งสองคนก็ไม่ยอมรับโทรศัพท์เธอด้วยเช่นกัน ทำให้ทั้งคู่ได้แต่มองหน้ากันด้วยความสงสัยว่าเหตุใดพ่อแม่ของมาวินไม่ยอมรับโทรศัพท์กันแน่!ถัดจากนั้นอีกสามวัน ที่โรงเรียนมัธยมประจำจังหวัด ช่วงเวลาที่เด็กนักเรียนเลิกเรียนและกำลังทยอยกลับบ้าน ในระหว่างนั้นโทรศัพท์มือถือของกฤติกาก็ดังขึ้น“สวัสดีค่ะ วั
เช้าวันเสาร์ นิรมลขับรถกลับมาบ้านที่จังหวัดนครปฐมอีกเช่นเคย แต่ในวันนี้แทนที่เธอจะได้พบเจอกับนรีนันท์ดังเช่นทุกครั้ง หญิงสาวกลับเจอแม่อยู่ที่บ้าน ถือว่าผิดปกติ“สวัสดีค่ะแม่ วันนี้ไม่ได้ไปทำนาเหรอคะ ทำไมอยู่บ้าน แล้วน้องไปไหนคะ”แม่ในตอนนั้นที่ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อ หันมาตอบในขณะที่กำลังกวาดพื้นบ้านอยู่“วันนี้แม่อยู่บ้าน ตั้งใจว่าจะเก็บของในห้องให้เป็นระเบียบมากกว่านี้จ้ะ ส่วนนัทไปค่ายอาสาน่ะ ตามกำหนดจะกลับมาบ้านวันนี้”นิรมลพยักหน้ารับรู้ เธอเห็นแม่ดูท่าทางเหน็ดเหนื่อย หญิงสาวเดาว่าแม่น่าจะทำความสะอาดตั้งแต่เช้าแล้วจึงรีบอาสาช่วยงานทันที“ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวหนูเอาของขึ้นไปเก็บก่อนนะคะ แล้วจะลงมาช่วยค่ะแม่”นิรมลเอาของขึ้นไปเก็บบนห้องชั้นสอง เพียงครู่เดียวก็รีบลงมา พร้อมกับเปลี่ยนมาใส่เสื้อยืดสีดำ กางเกงขาสั้น แม่ของเธอหันมาเห็นก็ยิ้มให้“แหม...จริงๆ แล้วไม่ต้องเปลี่ยนชุดก็ได้ แต่เอาเถอะตั้งใจขนาดนี้แล้ว เดี๋ยวนิวช่วยแม่เอาของจากลังนี่ มาใส่กล่องพลาสติกให้แม่ที”แม่พูดแล้วชี้ให้นิรมลดูว่าเธอต้องย้ายของจากกล่องไหน หญิงสาวพยักหน
วันรุ่งขึ้น เป็นเช้าวันจันทร์อันแสนสดใส นิรมลขับรถออกจากบ้านที่นครปฐมตั้งแต่ตีห้า หญิงสาวต้องไปแวะที่คอนโดฯ เพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วย เธอขับรถผ่านจุดที่เกิดเหตุ ก็ได้พบเจอกับร่างโปร่งแสงของมาวินอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มาวินไม่ได้มาในสภาพน่ากลัวอีก แต่กลับยิ้มให้ด้วยใบหน้าที่มีความสุข พูดขอบคุณหญิงสาวที่ช่วยเหลือเขามาตลอด“ผมขอบคุณพี่นิวมากนะครับ ของที่ฝากพี่ไก่ไว้ เดี๋ยวพ่อแม่ผมไปเอาของคืนเอง แล้วก็...ผมฝากให้พี่ช่วยบอกพ่อแม่กับคุณลุงคุณป้าลองปรับความเข้าใจกันด้วยนะครับ”มาวินพูดเพียงแค่นั้น แล้วร่างโปร่งแสงของเขาก็หายวับไปกับตา นิรมลจึงพูดเสียงดัง“ตกลงจ้ะ วันไหนพ่อแม่ได้ของคืนแล้วมาบอกพี่ด้วยนะ”นิรมลเข้าทำงานที่บริษัท ด้วยความที่เป็นเช้าวันจันทร์ จึงมีแต่โทรศัพท์จากลูกค้าเข้ามาไม่ขาดสาย นอกจากนี้ยังมีประชุมอย่างต่อเนื่อง หญิงสาวยุ่งกับงานจนลืมเรื่องราวของมาวินไปเสียสนิทเหตุการณ์ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ นิรมลยุ่งวุ่นวายกับการทำงานจนลืมวันลืมคืน จนกระทั่งถึงวันพฤหัสบดี เป็นวันครบรอบการคบกันถึงเจ็ดปีของนิรมลและเอกภพ ด้วยความยุ่งทำให้นิรมลลืม แต
นิรมลและนรีนันท์ไปถึงโรงเรียนมัธยมประจำจังหวัด ซึ่งเป็นโรงเรียนเดิมของทั้งคู่ ประตูรั้วโรงเรียนปิดเนื่องจากเป็นวันหยุด แต่ทั้งสองคนก็ยังมองเห็นว่าภารโรงของโรงเรียนยืนคุยอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่ง แต่พวกเธอทั้งสองคนมองไม่เห็นหน้า เนื่องจากหญิงสาวคนนั้นหันหลังให้นิรมลยืนมองด้านนอกประตูรั้ว ทีแรกนรีนันท์จะเปิดประตูเข้าไป แต่พี่สาวของเธอห้ามไว้“จะเข้าไปทำไม ยืนรออยู่ตรงนี้ก่อนดีกว่า”โชคดีที่ทั้งคู่ต่างยืนรอกันอยู่ที่หน้าโรงเรียน อีกสิบห้านาทีต่อมา หญิงสาวคนที่ยืนคุยอยู่นั้นก็เดินออกมา นรีนันท์ที่ยืนมองอยู่ตาโตด้วยความดีใจ เธอรีบสะกิดบอกนิรมลทันที“พี่นิว พี่คนนี้แหละค่ะที่เป็นญาติของมาวิน”“จริงเหรอ นัทรู้ได้ยังไง”นรีนันท์ยิ้มให้กับพี่สาว แต่ก่อนที่จะทันอธิบายอะไรออกมา หญิงสาวคนนั้นก็ออกมาถึงหน้าโรงเรียนแล้ว นรีนันท์จึงเปลี่ยนเป็นเดินไปหาหญิงสาวคนนั้นแทน“สวัสดีค่ะพี่ไก่ จำนัทได้ไหมคะ”หญิงสาวคนนั้นหยุดชะงัก เธอมีใบหน้าคล้ายกับมาวิน แต่ขาวกว่า รูปร่างส่วนสูงพอๆ กันกับนรีนันท์ หญิงสาวคนนั้นหยุดคิดเพียงครู่เดียว แล้วร้องออกมา“
เช้าวันรุ่งขึ้น นรีนันท์รีบมาที่มหาวิทยาลัยตั้งแต่เช้า เธอนัดเพื่อนๆ ที่ห้องคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัย หญิงสาวได้รับข้อความจากพี่สาวว่ารู้พาสเวิร์ดแล้วและพิมพ์บอกรหัสนั้นมาให้กับเธอนรีนันท์ตื่นเต้น และลุ้นมากว่ารหัสพาสเวิร์ดที่พี่สาวบอกนั้นจะถูกต้องหรือไม่ แต่เมื่อพวกเธอได้ทดลองเข้าอีเมลของมาวิน ปรากฏว่าถูกต้อง สามารถเข้าอีเมลได้ ทั้งสามคนต่างก็ดีใจกันมาก“เอาล่ะ คราวนี้กลุ่มพวกเราก็มีงานส่งกันสักที”นรีนันท์และเพื่อนๆ อีกสองคนต่างก็วุ่นวายกับการช่วยกันทำรายงานส่งอาจารย์ และสามารถส่งงานอาจารย์ได้ทันภายในวันศุกร์ตามที่กำหนดไว้ จนนรีนันท์ลืมถามนิรมลว่ารู้รหัสพาสเวิร์ดของมาวินได้อย่างไร?จนกระทั่งถึงวันเสาร์ นิรมลกลับมาถึงบ้านที่นครปฐมตั้งแต่เช้า ได้เจอกับนรีนันท์ที่กำลังเตรียมตัวจะออกไปข้างนอก“พี่นิว ดีใจจังเลยค่ะที่กลับมา นัทกำลังคิดถึงพี่อยู่เลย”นรีนันท์วิ่งมากอดพี่สาวด้วยความคิดถึง นิรมลกอดน้องสาวตอบ เธอมองน้องสาวที่แต่งตัว สวมเสื้อยืดกางเกงยีนส์ เหมือนว่าเตรียมตัวจะออกไปข้างนอกมากกว่าจะอยู่บ้าน“นัทจะออกไปข้างนอกเหรอ แต่งตัวจะไปไห
นรีนันท์ที่ตอนนั้นถึงจะไม่เชื่อพี่สาวก็ตาม แต่เมื่อเธอย้อนกลับไปคิดทบทวนอีกครั้ง เธอจึงตัดสินใจที่จะทำตามอย่างที่พี่สาวบอก นั่นก็คือลองสอบถามจากเพื่อนๆ ของเธอที่ไปเจอมาวินในที่เกิดเหตุ“แกต้องไปถามแม่ของมาวินแล้วแหละ ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าของมาวินอยู่ไหน บางทีของอาจจะอยู่กับพ่อแม่ของเขาแล้วก็ได้”นรีนันท์ค้นหาเบอร์โทรศัพท์แม่ของมาวินที่เธอเคยขอไว้สำหรับการติดต่อกันเมื่อตอนงานศพของมาวิน แต่คำตอบของแม่มาวินกลับทำให้เธอสงสัยมากขึ้น‘แม่ยังไม่ได้ไปรับของคืนที่สถานีตำรวจเลย พ่อแม่ยังไม่ว่าง หนูมีอะไรหรือเปล่า’“เอ่อ...นัท...ตอนนี้นัทยังไม่มีอะไรหรอกค่ะ เพียงแต่นัทนึกถึงวันที่มาวินมาที่บ้าน วันนั้นดูเหมือนว่ามาวินจะมีโน้ตบุ๊กมาด้วย”‘งั้นเหรอจ๊ะ เอาเป็นว่าถ้าวันไหนแม่ว่างจะลองไปติดต่อที่สถานีตำรวจดูนะ’นรีนันท์วางโทรศัพท์ เธอนึกถึงเรื่องเมื่อเช้านี้ที่พี่สาวของเธอโทรศัพท์มาเล่าเรื่องบางอย่างให้ฟัง‘มาวินบอกว่าไฟล์รายงานที่ทำงานกลุ่มกัน อยู่ในโน้ตบุ๊กของเขา เขาอยากจะให้เอาของไปคืนให้พ่อแม่ของเขาให้หมดน่ะ’“แล้วพี่นิวรู้ได้ยังไงกัน มาวินมาเข้าฝันพี่หรือไง”นรีนันท์พูดเย้าแหย่พี่สาวเล่นๆ แต