แบร์กตันขมวดคิ้ว สัญชาตญาณนักล่าทะเลในตัวเขาเตือนว่า
ไม่ควรก้าวต่อไป แต่ก็เหมือนทุกคน…พวกเขาก้าวตามเสียงนั้นไปโดยไม่รู้ตัว รอยเท้าคนเปลือยเปล่านำพวกเขาสู่แนวหินสูงชัน ปกคลุมด้วยเถาวัลย์และหญ้า เสียงลมหายใจเบา ๆ หลายเสียงที่ “ไม่ใช่ของพวกเขา” > “นั่น…” ซินชี้ขึ้นเบา ๆ เบื้องหน้าคือ “ปากถ้ำ” มืดมิด ลึก และเย็นชืด แต่ด้านในกลับมีแสงระยิบระยับเหมือนเทียนนับร้อยเล่ม…หรือบางอย่างที่สว่างกว่า > “ข้าไม่ชอบแบบนี้เลยกัปตัน…” บรอลพึมพำ ขวานในมือหนักขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไม่ทราบสาเหตุ แบร์กตันเงียบ เขาค่อย ๆ ย่างเท้าเข้าไปในถ้ำ เมื่อพวกเขาก้าวข้ามเงาความมืดของปากถ้ำ—โลกทั้งใบก็เปลี่ยนไป ภาพตรงหน้าเหมือนมาจากตำนานที่บรรพบุรุษยังไม่กล้าฝันถึง กอง ทองคำ หีบสมบัติ เพชร พลอย เหรียญทองเรียงรายซ้อนกันสูงจรดเพดานถ้ำ บางหีบเปิดออก เผยให้เห็นสร้อยคอแห่งราชา โล่ทองคำแห่งเทพเจ้า และมงกุฎที่ดูราวกับเป็นของกษัตริย์ในยุคโบราณ > “...พระเจ้า…” ซินพึมพำ เบิกตากว้าง แสงสีทองกระทบดวงตาของพวกเขา ดึงดูดใจรุนแรงจนยากจะละสายตา > “ถ้าเราหอบไปแค่ครึ่งเดียว...ครึ่งเดียวก็พอ...” บรอลพูดทั้งที่น้ำลายไหล และมือเริ่มยื่นไปหาหีบหนึ่ง แต่แบร์กตันกลับไม่ขยับ เขามองรอบตัวช้า ๆ ดวงตาค่อย ๆ เปลี่ยนจากความตื่นตะลึง…เป็นความระแวง > “มันไม่มีฝุ่น” เขาพูดเสียงแผ่ว “ไม่มีแม้แต่รอยครูดบนทอง…เหมือนมันถูกขัดใหม่ทุกคืน” ทันใดนั้น เงาของซินสะท้อนบนกำแพงหิน…แต่เงานั้น “ไม่ใช่” เขามันยืนสูงกว่า มีหาง และผมยาวสยาย แบร์กตันหันขวับไปทางเขา แต่ซินยังยืนอยู่ตรงนั้นจริง ๆ ไม่ไหวติง > “เงานั่น…ไม่ใช่ของเขา” เขากระซิบ เงานั้นยิ้ม…แล้วจมหายไปกับแสงทองของถ้ำ บรอลกำลังจะคว้าเหรียญจากหีบใหญ่ แต่พอมือแตะลงไป—เหรียญกลับ “ละลาย” กลายเป็นหนอนสีดำไหลทะลักออกมาเต็มมือเขา > “อ๊ากก!!” เขากรีดร้อง ปัดมืออย่างบ้าคลั่ง แต่เมื่อมองอีกครั้ง…มันกลับเป็นเหรียญทองดังเดิม > “มันลวงตา…” แบร์กตันคำราม > “มันใช้สิ่งที่เรา ‘ต้องการ’ เพื่อดึงดูดเราเข้าไป…” ซินเริ่มหอบหายใจ สีหน้าเขาเปลี่ยนไปช้า ๆ ดวงตาเริ่มหม่นขึ้น > “ข้าเห็นแม่ข้า…นางยิ้มให้ข้า…ข้าเห็นบ้าน…ที่ข้าหนีมา…” แบร์กตันรีบคว้าคอเสื้อซิน > “ไม่ใช่ของจริง! ตั้งสติไว้!!” ถ้ำเริ่มสั่นเบา ๆ จากเบื้องลึก เสียงเพลงนั้นกลับมาอีกครั้ง…แต่อ่อนหวานขึ้น นุ่มนวลขึ้น เหมือนเสียงผู้หญิงที่กระซิบข้างหูคนรัก เสียงที่แทบไม่มีใครอยากต้าน > “…แบร์กตัน…” เสียงนั้นเอ่ยชื่อเขาโดยตรง ทุกคนชะงัก เสียงนั้นดังมาจาก…ด้านในสุดของถ้ำ จากความมืดสนิทที่ไม่มีแม้แต่ประกายทองใด ๆ เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังกลับมา พร้อมกลิ่นสาหร่ายเค็ม ๆ เจือกลิ่นเน่า แล้วเงาเคลื่อนไหวบางอย่างก็โผล่ขึ้นในเงาแสงทองของถ้ำ “แบร์กตัน...แบร์กตัน…” ชื่อของเขาดังซ้ำซากในหัว ไม่ใช่แค่เสียงเดียว แต่เป็นหลายเสียงประสานกัน...เสียงหญิงสาว เสียงแม่ เสียงเด็ก เสียงของลูกเรือที่เขาเคยสูญเสีย ซินกับบรอลยืนชิดกันอยู่ด้านหลัง ใบหน้าซีดเผือด พยายามไม่มองสิ่งใดตรงหน้า แต่กัปตันแบร์กตัน...กลับยืนอยู่คนเดียว ตรงหน้ากองทองคำสูงตระหง่าน ที่มีมงกุฎทองวางอยู่บนนั้น แสงจากมงกุฎส่องสว่างอย่างผิดธรรมชาติ เปล่งรัศมีราวกับพระอาทิตย์ยามรุ่งสาง ดวงตาของแบร์กตันเบิกกว้าง เขาก้าวเข้าไปช้า ๆ ลมหายใจหนักขึ้น > “ข้า...ข้าเคยฝันถึงมัน” เขาพึมพำเบา ๆ “มงกุฎของราชาแห่งคลื่น…” ทุกย่างก้าวที่เขาเดินเข้าใกล้ สมบัติยิ่งเปล่งแสงขึ้น...ยิ่งดูจริง ยิ่งดูสวยงาม และเมื่อเขายื่นมือไปแตะ... > “อย่าแตะมัน!!” เสียงตะโกนดังลั่นจากเงามืด แรงพอจะปลุกให้ซินกับบรอลสะดุ้ง เงาร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากช่องหินด้านข้าง — อีธาน ชายร่างผอม ผมยาวยุ่งเหยิง ดวงตาแดงกร่ำจากการไม่หลับมานาน เขาเงื้อแขนปัดมือกัปตันออกจากมงกุฎก่อนที่ปลายนิ้วจะสัมผัสมัน แบร์กตันล้มลงกับพื้นในทันที ใบหน้าตื่นตะลึงราวกับตื่นจากฝันร้าย > “เจ้าบ้าอะไร!?” เขาตะโกน แต่เมื่อเขาหันกลับไปมองกองทองอีกครั้ง... ไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้น ไม่มีมงกุฎ ไม่มีเพชร ไม่มีแม้แต่เหรียญทอง มีแค่ ซากเน่าเหม็น กองกระดูก กิ่งไม้แหลมเหมือนเข็ม และร่างเน่าของมนุษย์นับสิบที่ตายไปพร้อม “รอยยิ้มกว้าง” บนใบหน้า > “เจ้าเกือบกลายเป็นหนึ่งในนั้น” อีธานพูด เสียงแหบพร่า แบร์กตันลุกขึ้นมา มองเขาเขม็ง เขาหันมามองรอบตัว > “ข้าเห็นทองคำพวกนั้น” > “ข้าแตะมัน...สวมมัน…หัวเราะกับมัน...จนข้าลืมชื่อข้าเอง” ดวงตาของอีธานสั่นไหวเล็กน้อย ขณะที่เขาเดินเข้าไปกลางถ้ำ เขาย่อตัวลงแตะพื้น แล้วกวาดเศษอะไรบางอย่างขึ้นมา — เศษกระจกใสบางชิ้น > “ถ้ำนี้ไม่ใช้เวทมนตร์...แต่มันสะท้อน ‘ความปรารถนา’ ที่ลึกที่สุดของเจ้าผ่านเงา ผ่านเสียง ผ่านสิ่งที่เจ้าคิดว่าขาดหาย” > “และมันจะล่อเจ้าให้เดินเข้าไป…จนเจ้ากลายเป็นหนึ่งในกองนั้น” อีธานชี้ไปที่ซากศพที่ยังยิ้มไม่หุบ แบร์กตันกำดาบแน่น หายใจแรง > “นีร่าอยู่ที่นี่ใช่ไหม…” อีธานเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเบา ๆ > “ไม่ใช่ ‘นาง’ ที่อยู่ที่นี่...แต่มันคือ ‘สิ่งที่หลงเหลือ’ จากนาง” > “วิญญาณที่แตกหัก…คำสาป…หรือบางที…เงาของจิตใจเจ้าเองที่ทำให้นางไม่ไปไหน” เสียงบางอย่างเคลื่อนไหวในเงามืดด้านหลังพวกเขา เงาลาง ๆ ของเงือกหญิง ผมยาว หางสีเงิน สะท้อนเงาจางในกำแพงหิน เสียงกระซิบเบา ๆ ดังขึ้นอีกครั้ง—คราวนี้ตรงมาข้างหูแบร์กตัน > “เจ้าสวมมงกุฎให้ข้าเอง…ลืมแล้วหรือ?”ยามค่ำคืน – ริมชายฝั่งที่เงียบสงัดคลื่นทะเลซัดกระทบโขดหินเป็นจังหวะสายลมเย็นปะทะผิวจนหนาวสะท้านดวงจันทร์เต็มดวงส่องแสงจ้าเหนือผืนน้ำสีหมึกนีร่ายืนอยู่บนผืนทรายแผลที่แขนยังพันผ้าแน่น แต่เลือดยังซึมออกไม่หยุดข้างเธอ อีธานยืนเงียบเขาไม่พูดอะไร เพียงแต่จ้องมองหน้าเธอราวกับอยากจำทุกรายละเอียดไว้ให้ขึ้นใจนีร่าหันมามองเขาดวงตาสองคู่สบกันในความเงียบ“ข้าจะรีบกลับมา”เธอเอ่ยเบาๆ น้ำเสียงสั่นอีธานพยักหน้า แต่สายตาเขาเต็มไปด้วยห่วง“นานแค่ไหน?”“ข้าไม่รู้…”นีร่ากลืนน้ำลาย“แค่ไม่กี่วัน ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด”อีธานถอนหายใจ มือใหญ่ลูบผมเธออย่างแผ่วเบา“เจ้าพูดเหมือนมันจะง่าย”“มันไม่ง่าย” เธอยิ้มจางๆ“แต่ข้าต้องลอง”เขาเงียบไปนาน ก่อนจะหยิบมีดสั้นเล่มหนึ่งจากเอวด้ามเป็นเหล็กเรียบเรียง เส้นคมคมกริบ“เอาไว้ป้องกันตัว”นีร่ารับมาไว้ในมือสายตาเธอเริ่มพร่าเธอขยับเข้าไปใกล้ โอบแขนรอบตัวเขาแน่น“ข้ากลัว…”เธอกระซิบ“กลัวว่าจะไม่ได้เห็นหน้าเจ้าอีก”“ข้าก็กลัวเหมือนกัน”เขากอดเธอแน่นยิ่งกว่าเดิม“แต่ข้ารู้ว่าเจ้าเข้มแข็งกว่าใคร ข้าจะรออยู่ตรงนี้…ทุกวัน”นีร่าซบหน้ากับอกเขา น้ำตาไหลเงียบๆเธอไม่
นีร่ายังคงสั่นเทา น้ำตาไหลไม่หยุดอีธานคุกเข่าลงข้างเธอ มือใหญ่ประคองใบหน้าเธอแผ่วเบา“นีร่า…มองข้า…เจ้าอยู่ที่นี่ ปลอดภัยแล้ว”เธอกะพริบตา ถอยหายใจแรงเหมือนจะขาดใจเสียงในคอแหบจนแทบไม่เป็นเสียง“มัน…มันไม่ใช่แค่ฝัน…ข้าเห็นแม่จริงๆ”อีธานกอดเธอไว้แน่นกลิ่นเลือดและเหงื่อยังติดตัวเธอ“แม่ของข้า…ตาเปลี่ยนเป็นสีดำ…”เธอกัดริมฝีปาก มือสั่นจนแทบกำอะไรไม่อยู่“เธอกลายเป็น…สัตว์ประหลาด…พูดว่าข้า…ต้องกลับไป…เป็นเหมือนพวกมัน…”เสียงสะอื้นดังลอดออกมาอีธานค่อยๆ ลูบหลังเธอ“ไม่…เจ้าจะไม่เป็นเหมือนพวกมัน”น้ำเสียงเขาหนักแน่น“ข้าสัญญา”นีร่าเงยหน้าขึ้น ดวงตาแดงก่ำ“ถ้าแม่ยังมีชีวิต…ข้าต้องหาคำตอบ…ข้าต้องรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น…”“งั้นเราจะไปด้วยกัน”อีธานพูดช้าๆ จ้องตาเธอแน่วแน่“ไม่ว่าต้องไปที่ไหน…เจ้าไม่ได้อยู่คนเดียว”เสียงคลื่นนอกหน้าต่างยังซัดเข้าฝั่งไฟตะเกียงสั่นไหวเงียบๆในอกนีร่า ความกลัวค่อยๆ แปรเป็นแรงฮึดสู้เธอพยักหน้าช้าๆ“เราจะหาความจริง…ไม่ว่าจะต้องเจอกับอะไร…”อีธานกระชับมือเธอแน่นขึ้นและในค่ำคืนที่หนาวเหน็บหัวใจสองดวงก็ผูกพันกันมั่นคงกว่าเดิมสองวันถัดมาแผลบนแขนของนีร่าไม่ดีขึ้น
หัวหน้าเงือกพุ่งใส่อีธานสุดแรงครีบใหญ่หวดอากาศจนเกิดเสียงแตกดัง วืด!อีธานเบี่ยงตัวหลบไปทางซ้ายปลายมีดในมือฟาดเฉียงเข้าที่คอด้านข้างของมันฉึก!เสียงเนื้อฉีกดังชัดเลือดสีหมึกกระฉูดราดเต็มตัวเขาหัวหน้าเงือกคำรามลั่นจนพื้นสะเทือนร่างมหึมาสะบัดถอยหลังไปสองก้าวชั่ววินาทีนั้น…ศรเซรีออนในมือนีร่าเปล่งแสงจ้าเหมือนจะปล่อยพลังสุดท้ายออกมาเธอยกศรขึ้น…ริมฝีปากแห้งแตกพึมพำถ้อยคำเวทเสียงแหบจนแทบฟังไม่ออก“…จบสิ้น…อสูร…”ประกายฟ้ารูปวงเวทหมุนรอบตัวเธอพลังเวททะลักขึ้นจนฝนสาดกระจายเป็นวงแสงจากศรสว่างจ้า—แต่ทันใดนั้นร่างเธอก็สั่นแรงแผลลึกบนแขนซ้ายฉีกกว้างกว่าเดิม เลือดพุ่งร้อนวาบเต็มมือนีร่าหอบแรง สายตาพร่าเสียงในหูเธอกลายเป็นเสียงอื้ออึงภาพรอบตัวพร่ามัวเหมือนฝันหัวหน้าเงือกที่บาดเจ็บคอคำรามต่ำมันถอยไปช้า ๆ หยาดเลือดดำหยดตามพื้นสายตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด…และความเกลียดชังก่อนมันจะพุ่งหนีเข้าความมืดหลังบ้านเรือนพังยับอีธานจะวิ่งตาม—แต่เขาหันมาเห็นนีร่าทรุดลงบนเข่าตัวเองศรเซรีออนร่วงจากมือกระแทกพื้นหิน“นีร่า!”เขาพุ่งเข้าประคองร่างเธอไว้แขนเธออ่อนแรงจนแทบไม่ขยับสายตาคู่สวยค่อย
นีร่าเหวี่ยงศรลงสุดแรงปลายศรเซรีออนเปล่งแสงฟ้าแทงเข้าข้างคอหัวหน้าเงือกฉึก!เสียงเนื้อแตกดังชัดเลือดสีหมึกทะลักออกมาเป็นฝอยดำข้นมันคำรามลั่นทั้งลานบ้านแต่พลังมันยังไม่หมด—เงือกกลายพันธุ์ใช้ครีบหนาฟาดสวนใส่เธอเต็มแรงผัวะ!ร่างนีร่ากระเด็นไถลไปตามพื้นหินเธอรู้สึกเหมือนอากาศในปอดหายไปหมดโลกทั้งโลกหมุนเคว้งอยู่ชั่ววูบเสียงอีธานตะโกน“นีร่า!”เธอพยายามลุก แต่แขนซ้ายชาไปหมดพอเหลือบลงมอง…แผ่นหนังแขนเสื้อขาดเป็นทางยาว เลือดสีแดงสดไหลรินตลอดแนวแผลฝนโปรยแรงขึ้นจนทุกอย่างเย็นเฉียบแต่บาดแผลกลับร้อนจี๊ดราวไฟลวกเธอหอบหายใจ สายตาพร่าเสียงฝีเท้าเงือกกลายพันธุ์ก้าวมาช้า ๆมันก้มลง แยกเขี้ยวใส่เธอนีร่ากัดฟัน พยายามยันตัวขึ้นแม้แขนซ้ายจะสั่นจนแทบยกไม่ไหวศรเซรีออนสั่นแสงพร่าอยู่ในมือข้างขวาอีธานพุ่งมาคุกเข่าข้างเธอ“อย่าฝืน…! ถอยก่อน!”เธอสบตาเขาแม้เจ็บจนตัวสั่น แต่เสียงเธอยังนิ่ง“ไม่ได้…มันจะฆ่าพวกเขาทุกคน…”บีลาร์กับลุงโทบี้พุ่งเข้ามาขวางตรงหน้าหอกไม้ยกขึ้นพร้อมกัน แม้จะสู้ด้วยแรงที่สั่นระริกนีร่าหอบแรงหนึ่งทีแล้วกัดฟันจนเลือดซึมที่ริมฝีปากเสียงฝีเท้าเงือกกลายพันธุ์ที่กำลังจะก
เสียงกรีดร้องดังสะท้อนมาตามลมทะเลนีร่าชะงัก…มือยังถือถ้วยซุปที่อีธานเพิ่งตักให้เมื่อครู่แววตาเธอเปลี่ยนไปทันที — ความนิ่งสงบกลายเป็นความตื่นตัว“เสียงจากหมู่บ้าน…”เธอกระซิบ เบาแต่หนักแน่นอีธานวางชามลงแทบจะพร้อมกัน“ข้าจะไปด้วย”ไอล่าลุกพรวด“เดี๋ยว! มันอาจเป็นกับดัก—”“ไม่ไปตอนนี้จะไม่มีใครให้ช่วยแล้ว!” นีร่าตอบพลางคว้าศรเซรีออน ดวงตาสีฟ้าเรืองแสงจาง ๆศรในมือเธอร้อนจัด—เหมือนมัน “เตือน” ว่า ศัตรูอยู่ใกล้---กลางหมู่บ้าน — เปลวไฟลุกโชนร่างของเงือกกลายพันธุ์ 3-4 ตัว กำลังล้อมครอบครัวหนึ่งที่เหลือเพียงพ่อกับลูกสาว พ่อพยายามยื้อไว้ แต่เด็กหญิงร้องไห้เสียงแหบก่อนที่ครีบแหลมจะฟันลงมาที่ร่างพวกเขา—“ฟึ่บ!”เสียงบางอย่างพุ่งผ่านกลางอากาศแสงฟ้ารูปเกลียว ปรากฏขึ้นกลางฝูงเงือกศรเซรีออนแทงทะลุร่างของหนึ่งในพวกมัน ร่างมันกระตุกก่อนระเบิดเป็นเถ้าทะเล“ทางนี้!” เสียงนีร่าตะโกนเธอพุ่งเข้ามาท่ามกลางเปลวเพลิง ผมยาวสยายตามลม ใบหน้าเปื้อนฝุ่น แต่ดวงตาไม่สั่นไหวศรเวทในมือเปล่งแสงจ้า ราวกับรู้หน้าที่ของมันเองอีธานกระโจนตามมา สะบัดมีดคู่แทงเข้าลำตัวเงือกอีกตัวอย่างแม่นยำ เลือดสีดำทะลัก“หนีไปทา
แสงแดดสีทองอ่อนส่องลอดบานหน้าต่างเข้ามา นีร่ากับไอล่านั่งชิดกันบนพื้นไม้ ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันอีกนาน ต่างคนต่างเงียบราวกับต้องการให้หัวใจได้พักเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นที่บันไดอีธานกลับมาแล้วเขาเปิดประตูเข้ามาช้าๆ ในมือหิ้วตะกร้าที่มีก้อนขนมปังแห้ง ผลไม้ป่า และปลาเค็มสองตัว กลิ่นคาวผสมกลิ่นเค็มทะเลโชยอ่อนๆอีธานวางตะกร้าแล้วเดินเข้ามาหาทั้งสองคน เขาสบตานีร่า สายตาคู่นั้นอ่อนโยนจนหัวใจเธอสั่นอีธาน (เสียงทุ้มแผ่ว)“พอจะมีอะไรให้พวกเราอิ่มท้องไปถึงเย็น ข้าออกไปไกลหน่อย…คิดว่าไม่น่ามีใครตามรอยมาได้”ไอล่า (น้ำเสียงยังแหบ)“ขอบคุณ…เจ้าลำบากเพราะพวกเรามากแล้ว”อีธานส่ายหน้า เขาหันไปมองนีร่าแวบหนึ่งอีธาน“พวกเจ้าสองคนคือคนสำคัญ…ไม่มีอะไรเรียกว่า ‘ลำบาก’”นีร่าเม้มริมฝีปาก เธอรู้สึกเหมือนจะร้องไห้ แต่ก็ฝืนใจไว้นีร่า“เมื่อคืน…ข้าคิดว่าเราอาจไม่รอดแล้วจริงๆ”อีธานคุกเข่าลงข้างเธอ มือใหญ่สั่นน้อยๆ ขณะเอื้อมไปแตะแก้มนีร่าอีธาน“ตราบใดที่ข้ายังมีลมหายใจ…ข้าจะไม่ยอมให้มันพรากเจ้าหรือใครไปอีก”เขาหันไปสบตาไอล่าอีธาน“ข้าสาบาน…เราจะพามาริเบลกลับไปฝังอย่างสมเกียรติ และเราจะหาทางล้างแค้นมัน”