ซุปผักกาดขาวมันเทศร้อนๆ ไม่เพียงแต่อบอุ่นร่างกาย แต่ยังทำให้อาหารมื้อแรกของเหม่ยหลินในโลกใหม่นี้เต็มไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ความโล่งใจที่ลูกๆ ยอมรับรสชาติอาหารของเธอ ความตื้นตันที่ได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่เฟยหยาง และความมุ่งมั่นที่จะกอบกู้สถานการณ์ของครอบครัวนี้ให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
หลังจากอิ่มท้องแล้ว หลี่เฟยหยางก็เผลอหลับไปบนตักของชิวลี่ฮวาด้วยความเหนื่อยล้า ชิวลี่ฮวาลูบไล้เส้นผมของเขาเบาๆ ส่วนหลี่เฟยหานก็ก้มหน้าก้มตาเก็บถ้วยชามไปล้างอย่างเงียบๆ มีเพียงหลี่เฟยหลงเท่านั้นที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ตรงหน้าเหม่ยหลิน ดวงตาที่เคยแข็งกร้าวยามนี้คล้ายจะอ่อนลง แต่ก็ยังคงแฝงไว้ด้วยความระแวง "พวกเจ้า...มีอะไรที่ต้องเล่าให้ข้าฟังบ้างไหม?" เหม่ยหลินเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ น้ำเสียงของเธออบอุ่นและอ่อนโยนที่สุดเท่าที่จะทำได้ เธอรู้ว่าการจะเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้ เธอต้องเข้าใจสถานการณ์ของร่างนี้อย่างถ่องแท้เสียก่อน หลี่เฟยหลงเงยหน้าขึ้นมองเธอ ดวงตาของเขาสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ "ท่านแม่...ท่านแม่หมายถึงเรื่องอะไรหรือขอรับ?" "ทุกเรื่อง" เหม่ยหลินตอบ พลางจ้องมองเข้าไปในดวงตาของเขา "ข้าอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวเรา" หลี่เฟยหลงชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะก้มหน้าลง "ท่านแม่...ไม่สบายไปหลายวันขอรับ" "แล้วสามีของข้าล่ะ? พ่อของพวกเจ้าหายไปไหน?" เหม่ยหลินถามคำถามสำคัญที่คาใจเธอมาตลอด บรรยากาศในห้องครัวเงียบลงทันที หลี่เฟยหลงกำมือแน่น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความปวดร้าว ชิวลี่ฮวาที่กำลังอุ้มหลี่เฟยหยางหลับอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมองเธอด้วยแววตาเศร้าสร้อย "พ่อ...พ่อจากพวกเราไปเมื่อสองปีที่แล้วขอรับ" หลี่เฟยหลงตอบเสียงเบาหวิว ราวกับเสียงกระซิบ "ท่านพ่อไปทำงานที่เมืองอื่น และก็...ไม่ได้กลับมาอีกเลยขอรับ" หัวใจของเหม่ยหลินบีบรัดอย่างแรง เธอเข้าใจทันทีว่าทำไมครอบครัวนี้ถึงได้อยู่ในสภาพเช่นนี้ การไม่มีเสาหลักคอยค้ำจุนในยุคที่การทำมาหากินยากลำบากเช่นนี้ ย่อมเป็นเรื่องที่ยากเกินกว่าที่เด็กๆ จะแบกรับไหว "แล้ว...เกิดอะไรขึ้นกับแม่ของพวกเจ้าก่อนที่ข้าจะฟื้นขึ้นมา?" เหม่ยหลินตัดสินใจถามคำถามที่สำคัญที่สุด เพราะปฏิกิริยาของเด็กๆ ที่มีต่อร่างนี้บอกชัดเจนว่าเจ้าของร่างเดิมไม่ได้ดีงามอย่างที่ควรจะเป็น หลี่เฟยหลงเงียบไปนานกว่าเดิม เขากัดริมฝีปากแน่นราวกับกำลังต่อสู้กับความรู้สึกบางอย่าง ชิวลี่ฮวาขยับตัวเล็กน้อย ราวกับต้องการจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่กล้า "ท่านแม่...ท่านแม่มักจะ...โมโหง่ายขอรับ" หลี่เฟยหลงเริ่มต้นอย่างยากลำบาก "ท่านแม่มักจะทุบตีพวกเราบ่อยๆ หากพวกเราทำอะไรไม่ถูกใจ หรือหาอาหารมาให้ไม่พอ...ก่อนที่ท่านแม่จะไม่สบาย ท่านแม่ก็...ก็เพิ่งลงมือกับเฟยหยางหนักมากขอรับ เพราะเขาทำถ้วยข้าวหล่นแตก" น้ำเสียงของหลี่เฟยหลงสั่นเครือ และในที่สุดน้ำตาที่เขาพยายามกลั้นไว้ก็ไหลรินลงมาเงียบๆ เหม่ยหลินรู้สึกราวกับถูกมีดกรีดที่ใจ เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมเด็กๆ ถึงได้หวาดกลัวเธอมากขนาดนี้ "ข้า...ข้าขอโทษนะ" เหม่ยหลินเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา เธอรู้ดีว่าคำขอโทษนี้อาจจะดูไร้ความหมายสำหรับพวกเขา แต่มันคือสิ่งเดียวที่เธอพอจะทำได้ในตอนนี้ "ข้าจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว" หลี่เฟยหลงเงยหน้าขึ้นมองเธอ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ แต่แววตาของเหม่ยหลินที่เต็มไปด้วยความจริงใจ ทำให้เขาเริ่มลังเล "ท่านแม่...เปลี่ยนไปจริงๆ หรือขอรับ?" เขาถามด้วยเสียงที่ยังคงมีความหวาดระแวงปนอยู่ "ใช่" เหม่ยหลินตอบอย่างหนักแน่น "ข้าเปลี่ยนไปแล้ว...ข้าจะไม่ทุบตีพวกเจ้า จะไม่ด่าทอพวกเจ้าอีกแล้ว ข้าจะดูแลพวกเจ้าให้ดีที่สุด" เธอเอื้อมมือไปลูบศีรษะของหลี่เฟยหลงอย่างแผ่วเบา เขาสะดุ้งเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้หลบหนีสัมผัสของเธอ หลังจากที่พูดคุยกันได้สักพัก หลี่เฟยหลงก็เริ่มเล่าเรื่องราวของครอบครัวให้ฟังมากขึ้น ชีวิตของพวกเขาหลังจากที่พ่อจากไปนั้นยากลำบากอย่างแสนสาหัส แม่ (เจียงเหมยลี่) จากที่เคยเป็นคนอ่อนโยนก็เปลี่ยนไปเป็นคนใจร้าย ดื่มเหล้าทุกวัน และมักจะทุบตีลูกๆ หากไม่ได้ดั่งใจ พวกเขาต้องหาเลี้ยงตัวเองและแม่ด้วยการรับจ้างทำงานเล็กๆ น้อยๆ ในหมู่บ้าน หรือออกไปหาของป่ามาประทังชีวิต "ท่านแม่...ท่านแม่ยังจะด่าว่าพวกบ่าวไหมเจ้าคะ หากพรุ่งนี้พวกบ่าวหาอาหารมาได้ไม่มากพอ?" ชิวลี่ฮวาเอ่ยถามขึ้นมาบ้าง ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความหวังและความกลัวผสมปนเป เหม่ยหลินยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน "ไม่หรอกชิวลี่ฮวา จากนี้ไปเราจะไม่ต้องอดอยากอีกแล้ว ข้าจะทำอาหารให้พวกเจ้ากินเอง" คำพูดของเหม่ยหลินทำให้เด็กๆ เงียบไปชั่วขณะ หลี่เฟยหานที่กำลังเก็บถ้วยชามอยู่ถึงกับหยุดชะงัก หันมามองเธอด้วยแววตาประหลาดใจ "ท่านแม่...จะทำอาหารอย่างไรหรือขอรับ? เราไม่มีวัตถุดิบมากพอ" หลี่เฟยหานถามด้วยความกังวล "นั่นแหละคือสิ่งที่เราต้องคุยกัน" เหม่ยหลินตอบ พลางหันไปมองรอบๆ ครัวที่แสนว่างเปล่า "พรุ่งนี้เช้าพวกเราจะไปตลาดในเมืองกัน"หลายเดือนหลังจากการเอาชนะภัยแล้งและความร่วมมือกับเผ่าหินทมิฬ ความสงบสุขก็กลับมาสู่แคว้นอีกครั้ง เหม่ยหลินยังคงทำหน้าที่เชฟหลวงและครูสอนทำอาหารอย่างไม่ย่อท้อ แต่ในใจของเธอ เธอรู้ว่าความสงบสุขนี้เป็นเพียงช่วงเวลาที่ยืมมาจากโชคชะตาเท่านั้น พลังงานลึกลับ ที่คุณหมอชลธีกล่าวถึง เริ่มแสดงอาการที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆพลังงานที่ปั่นป่วนและอาการผิดปกติของธรรมชาติในคืนหนึ่งที่เงียบสงบ เหม่ยหลินกำลังนั่งสมาธิอยู่ในสวนหลวงเพื่อฝึกจิตให้สงบตามที่คุณหมอชลธีแนะนำ ทันใดนั้น เธอก็รู้สึกได้ถึงคลื่นพลังงานประหลาดที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย คลื่นพลังงานนั้นทำให้เธอรู้สึกวิงเวียนศีรษะ และได้ยินเสียงกระซิบที่เธอไม่เข้าใจ ความรู้สึกนี้คล้ายกับความรู้สึกในวันที่เธอเดินทางข้ามมิติมายังโลกนี้!เธอรีบไปยังที่พักของคุณหมอชลธีทันที และพบว่าเขากำลังยืนอยู่หน้าต่างด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด"คุณหมอชลธี! คุณรู้สึกไหมคะ!?" เหม่ยหลินถามด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก"ครับ...ผมรู้สึก" คุณหมอชลธีตอบ "มันไม่ใช่แค่ในร่างกายเราแล้วนะครับคุณเหม่ยหลิน...แต่ผมรู้สึกว่ามันกำลังปั่นป่วน มิติ นี้อยู่"อาการผิดปกติเริ่มปรากฏขึ้นทั่วแคว้น สัตว์เลี้ยง
การเผชิญหน้าระหว่างสองอารยธรรมที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ได้ถูกตัดสินด้วยเงื่อนไขที่แปลกประหลาดที่สุด นั่นคือ "อาหาร" เหม่ยหลินไม่รู้สึกหวาดหวั่นเลยแม้แต่น้อย เธอมองไปยังไป๋เฟิงและคุณหมอชลธีด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ ส่วนหัวหน้าหินทมิฬและพรรคพวกของเขาก็จ้องมองเธอด้วยความสงสัยระคนดูถูก"ท่านหัวหน้าหินทมิฬ" เหม่ยหลินกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สงบ "ก่อนที่ข้าจะเริ่มทำอาหาร ข้าอยากจะขอให้ท่านแสดงน้ำใจแก่พวกข้าเสียก่อน โปรดนำน้ำมาให้พวกข้าสักเล็กน้อยเพื่อใช้ในการปรุงอาหาร และถ้าท่านอนุญาต...ข้าอยากจะขอให้พวกท่านช่วยนำทางพวกเราไปหาวัตถุดิบบางอย่างในพื้นที่ของท่านเพคะ"หัวหน้าหินทมิฬหัวเราะในลำคอ "เจ้ากล้าขอของจากข้าอย่างนั้นรึ! ก็ได้! แต่ถ้าเจ้าปรุงอาหารให้ข้าไม่พอใจ...เจ้าจะต้องถูกโยนลงไปในทะเลทรายที่ร้อนระอุจนกลายเป็นอาหารของสัตว์ร้าย!"เขาสั่งลูกน้องให้นำน้ำมาให้เหม่ยหลินเพียงน้อยนิด และให้ชายหนุ่มคนหนึ่งนำทางเธอไปหาวัตถุดิบ เหม่ยหลินรับน้ำมาด้วยรอยยิ้ม แล้วเดินนำไป๋เฟิงและคุณหมอชลธีออกไปพร้อมกับผู้ช่วยจากเผ่าหินทมิฬการล่าวัตถุดิบในแดนทุรกันดารการเดินทางไปหาวัตถุดิบในดินแดนของเผ่าหินทมิ
บรรยากาศระหว่างคนทั้งสามตึงเครียดราวกับสายธนูที่ถูกน้าวสุดแรง ไป๋เฟิงมองเหม่ยหลินและคุณหมอชลธีสลับไปมาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม เหม่ยหลินรู้สึกเหมือนถูกบีบรัดด้วยความลับที่ปกปิดมานานหลายปี เธอรู้ว่าไม่อาจหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าในครั้งนี้ได้อีกต่อไป"ไป๋เฟิง" เหม่ยหลินเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเธอสั่นเครือแต่แฝงด้วยความเด็ดเดี่ยว "ข้าจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ท่านฟัง แต่ท่านต้องให้สัญญากับข้าว่า ท่านจะไม่ตัดสินข้า และจะเชื่อในสิ่งที่ข้าพูด"ไป๋เฟิงพยักหน้าอย่างช้าๆ "ข้าให้สัญญาขอรับ"เหม่ยหลินจึงเริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมด ตั้งแต่วันที่เธอเป็นเชฟในโรงพยาบาลในโลกที่เธอจากมา เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันที่ทำให้เธอหลุดข้ามมิติมายังโลกนี้ การได้พบกับครอบครัวของเจียงเหวิน และการใช้ความรู้จากโลกเดิมเพื่อเอาชีวิตรอดและสร้างชีวิตใหม่ เธอไม่ได้ละเว้นแม้แต่เรื่องราวที่เธอเคยบอกไปแล้วอย่างเรื่องการทำอาหารจากวัตถุดิบประหลาด หรือเรื่องราวของโลกที่เทคโนโลยีเจริญก้าวหน้าไปไกลกว่าโลกนี้มากไป๋เฟิงฟังอย่างเงียบสงบ สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนจากความสงสัยเป็นความเข้าใจและตกตะลึง ในขณะที่คุณหมอชลธีก็เสริมข้อมูลบางอย่างที่เหม่ยห
หลายปีผ่านไปนับตั้งแต่เหตุการณ์โจรสลัดหมาป่าทมิฬ ทุกมุมของแคว้นได้ฟื้นคืนชีวิตชีวาอย่างเต็มที่ภายใต้การนำอันชาญฉลาดของเหม่ยหลินและองค์จักรพรรดิ ตระกูลหลี่ได้กลายเป็นตระกูลที่มีเกียรติยศสูงสุดในแผ่นดิน หลี่เฟยหลงก้าวขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่ผู้แข็งแกร่งและซื่อสัตย์ ชิวลี่ฮวาเป็นที่รู้จักในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านพืชพรรณและศิลปะในวัง ส่วนหลี่เฟยหานก็เติบโตเป็นข้าราชการหนุ่มผู้ซื่อตรงและเปี่ยมด้วยความสามารถ หลี่เฟยหยาง น้องสุดท้องก็เป็นหนุ่มน้อยผู้ร่าเริง มีสติปัญญา และมักจะสร้างเสียงหัวเราะให้กับทุกคนในวังเสมอมิตรภาพระหว่างแคว้นของเหม่ยหลินกับแคว้นเยว่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเหล็กกล้า ไป๋เฟิงยังคงเป็นราชทูตผู้ทรงอิทธิพล และมักจะเดินทางมาเยี่ยมเยียนเหม่ยหลินและครอบครัวอยู่เสมอ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเหม่ยหลินนั้นลึกซึ้งเกินกว่าคำว่ามิตร และเป็นที่รับรู้กันในหมู่คนใกล้ชิดว่าไป๋เฟิงมีใจให้กับเชฟหลวงผู้นี้อย่างสุดซึ้ง แต่ความแตกต่างของสถานะและแคว้นทำให้เรื่องนี้ยังคงเป็นเพียงความรู้สึกที่งดงามในใจเท่านั้นแม้ทุกสิ่งจะดูสมบูรณ์แบบ แต่บางครั้ง เงาจากอดีต ก็มักจะคืบคลานกลับมาทักทาย โดยเฉพาะอดีตที่เ
ความรุ่งเรืองของแคว้นที่ฟื้นคืนชีพจากวิกฤตภัยธรรมชาติ เป็นดั่งแสงสว่างที่ดึงดูดสายตาจากทุกทิศทุกทาง ชื่อเสียงของ "ซุปแห่งชีวิตอมตะ" และความอุดมสมบูรณ์ที่กลับคืนมาอย่างรวดเร็วภายใต้การนำของ เชฟหลวงเหม่ยหลิน ไม่ได้สร้างความชื่นชมยินดีไปทั่วทุกสารทิศเสมอไป ในดินแดนที่ห่างไกลออกไป ความโลภ กำลังเริ่มคืบคลานเข้าปกคลุมจิตใจของผู้คนบางกลุ่ม เสียงกระซิบของความมั่งคั่งและแผนการร้ายจากแดนเถื่อน ทางทิศตะวันออกไกลโพ้นจากแคว้นที่กำลังฟื้นฟู มีกลุ่มโจรขนาดใหญ่ที่เรียกตัวเองว่า "หมาป่าทมิฬ" อาศัยอยู่ พวกมันเป็นที่หวาดกลัวของผู้คนในแถบนั้น ด้วยความโหดเหี้ยม ป่าเถื่อน และความสามารถในการปล้นสะดมอย่างรวดเร็วราวกับฝูงหมาป่าที่หิวโหย หัวหน้ากลุ่ม คือชายร่างยักษ์ผู้มีใบหน้าดุร้ายและรอยแผลเป็นพาดผ่านดวงตา "ไคเฟิง" เขาได้ยินข่าวลือเรื่องความมั่งคั่งของแคว้นที่ฟื้นคืนชีพ รวมถึงเรื่องอาหารวิเศษที่ทำให้ผู้คนมีพละกำลังและสุขภาพดี "พวกแกได้ยินข่าวลือเรื่องแคว้นทางตะวันตกนั่นรึไม่!" ไคเฟิงคำรามเสียงดังในค่ายโจรที่เต็มไปด้วยกองไฟและเสียงเอะอะโวยวาย "มันว่ากันว่าแคว้นนั้นมีอาหารวิเศษที่ทำให้คนไม่เจ็บไม่ป่วย!
เสียงโห่ร้องยินดีดังกึกก้องไปทั่วลานประลอง เมื่อขันทีหลงและผู้นำพรรคอัคคีทมิฬถูกคุมตัวออกไป ภาพของประชาชนที่ดื่มด่ำ "ซุปแห่งแสงตะวัน" และฟื้นคืนพลังขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ ได้สยบทุกความแคลงใจ ทุกเสียงกระซิบกระซาบของความไม่พอใจมลายหายไปสิ้น แทนที่ด้วยประกายแห่งความหวังและความเชื่อมั่นที่กลับคืนมาองค์จักรพรรดิทรงเดินลงจากบัลลังก์ มาประทับยืนข้างเหม่ยหลิน พระหัตถ์ของพระองค์วางลงบนบ่าของเธอด้วยความเมตตาและภาคภูมิใจ"ประชาชนของข้า!" องค์จักรพรรดิรับสั่งด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยพลัง "วันนี้! พวกเจ้าได้เห็นแล้วถึงความจริงใจของวังหลวง! พวกเจ้าได้ลิ้มรสแล้วถึงความเมตตาของสวรรค์! และพวกเจ้าได้ประจักษ์แล้วถึงพลังแห่งความสามัคคี! เราจะร่วมกันฟื้นฟูแคว้นของเราให้กลับมารุ่งเรืองยิ่งกว่าเดิม!"เสียงกู่ก้อง "ทรงพระเจริญ!" ดังกึกก้องไปทั่วทั้งลานประลอง ประชาชนต่างคุกเข่าลงด้วยความเคารพและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแผนฟื้นฟูแผ่นดิน: เมล็ดพันธุ์แห่งความหวังหลังเหตุการณ์จลาจล องค์จักรพรรดิได้เรียกประชุมเหล่าขุนนางและผู้เชี่ยวชาญทุกสาขา เพื่อวางแผนฟื้นฟูแคว้นครั้งใหญ่ เหม่ยหลิน ไป๋เฟิง