หลังจากตั้งปณิธานในใจ เหม่ยหลินก็สูดหายใจลึกๆ พยายามรวบรวมสติที่ยังคงสับสนอลหม่าน สายตาของลูกๆ และลูกสะใภ้ยังคงจับจ้องมาที่เธอด้วยความระแวง เธอรู้ว่าเธอต้องทำให้พวกเขาเชื่อใจให้ได้
"พวกเจ้า...กินข้าวกันหรือยัง?" เธอถามด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้เป็นปกติที่สุด แต่คำถามง่ายๆ กลับทำให้ใบหน้าของทุกคนแปรเปลี่ยนเป็นซีดเผือดลงไปอีก "ท่านแม่...พวกเรา...พวกเรายังไม่ได้กินเลยเจ้าค่ะ/ขอรับ" ชิวลี่ฮวาเอ่ยตอบเสียงสั่นๆ พลางก้มหน้าหลบสายตา เหม่ยหลินพยักหน้าช้าๆ ถึงว่าสิ ดูผอมโซกันขนาดนี้... เธอหันมองไปรอบห้องอีกครั้ง พยายามสำรวจหาห้องครัว "ครัวอยู่ทางไหน?" เธอถาม คราวนี้หลี่เฟยหลงเป็นฝ่ายตอบด้วยน้ำเสียงที่ห้วนกว่าน้องๆ "อยู่ด้านหลังขอรับท่านแม่" แววตาของเขายังคงเต็มไปด้วยความไม่ไว้วางใจ ราวกับกำลังรอคอยว่าเธอจะเล่นตลกอะไรอีก เหม่ยหลินไม่ได้สนใจสายตาของเขา เธอเดินตรงไปตามทิศทางที่หลี่เฟยหลงบอก เมื่อเดินผ่านประตูไม้เก่าๆ ออกไปด้านหลัง ก็พบกับลานเล็กๆ และห้องครัวที่แยกออกมาจากตัวบ้านหลัก มันเป็นห้องเล็กๆ ที่ทำจากไม้ ผนังบางส่วนมีรอยผุพัง หลังคามุงจากมีรอยรั่วประปราย ภายในครัวมีเพียงเตาฟืนก่อด้วยดินเหนียวขนาดใหญ่หนึ่งเตา มีเขม่าควันเกรอะกรังไปทั่วหม้อและกระทะเหล็กเก่าๆ ที่แขวนอยู่เหนือเตา มีถังไม้ใส่น้ำตั้งอยู่มุมหนึ่ง และตู้เก็บอาหารไม้เก่าๆ ที่ดูจะไร้ซึ่งอาหาร เหม่ยหลินเปิดดูตู้เก็บอาหารอย่างช้าๆ ภายในว่างเปล่า มีเพียงผักกาดขาวเหี่ยวๆ สองสามหัว กับขิงเก่าๆ และหัวหอมไม่กี่หัวเท่านั้น ไม่มีข้าวสาร ไม่มีเนื้อสัตว์แม้แต่น้อย ยากจนขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย? เหม่ยหลินรู้สึกใจหายวาบ เธอเป็นเชฟที่เติบโตมาในยุคที่วัตถุดิบหาได้ง่ายดาย มีเครื่องปรุงครบครัน การเห็นครัวที่ว่างเปล่าเช่นนี้ทำให้เธอรู้สึกแปลกประหลาดอย่างมาก เสียงฝีเท้าเบาๆ ดังขึ้นด้านหลัง เธอหันไปก็เห็นลูกๆ ทั้งสี่คนยืนเกาะกลุ่มกันอยู่ตรงประตูทางเข้าครัว ดวงตาของพวกเขายังคงจับจ้องมาที่เธออย่างระแวง โดยเฉพาะหลี่เฟยหลงที่ยืนกอดอก ใบหน้าเรียบตึง "มีอะไรกินบ้าง?" เหม่ยหลินพยายามถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนที่สุดเท่าที่จะทำได้ หลี่เฟยหานเป็นคนตอบคราวนี้ "เมื่อเช้าพวกเราเจอหน่อไม้เล็กๆ ในป่า เลยเอามาต้มแล้วขอแลกกับมันเทศจากลุงหวังมาได้หกหัวขอรับท่านแม่" เขาชี้ไปที่ตะกร้าหวายใบเล็กๆ ที่วางอยู่บนพื้น มีมันเทศสีม่วงหกหัววางอยู่ข้างใน เหม่ยหลินก้าวเข้าไปดู มันเทศดูไม่สดเท่าไหร่ แต่ก็ยังพอกินได้ เธอคิดในใจว่าแค่มันเทศต้มคงไม่อิ่มท้อง แถมสารอาหารก็ไม่พอสำหรับเด็กที่กำลังเจริญเติบโต โดยเฉพาะชิวลี่ฮวาที่กำลังตั้งครรภ์ "แค่นี้จะพออะไร" เธอพึมพำกับตัวเองเบาๆ แต่เสียงนั้นกลับดังก้องในความเงียบ ทำให้เด็กๆ สะดุ้งโหยง "ท่านแม่! พวกบ่าว...พวกบ่าวจะไปหามาเพิ่มให้เองขอรับ!" หลี่เฟยหยางเอ่ยขึ้นอย่างรีบร้อน น้ำตาคลอเบ้า เขาคิดว่าเธอไม่พอใจและกำลังจะลงโทษพวกเขา "ไม่เป็นไร" เหม่ยหลินรีบปฏิเสธ พลางถอนหายใจ ให้ตายเถอะ! นี่ขนาดน้ำเสียงปกติยังกลัวกันขนาดนี้เลยเหรอ? "ข้าจะทำเอง" เธอเดินไปที่เตาฟืน ก้มลงดู ก็เห็นว่ามีฟืนเหลืออยู่ไม่มากนัก เธอหันไปมองลูกๆ "มีฟืนอีกไหม?" หลี่เฟยหลงเดินไปหยิบฟืนที่มัดรวมกันไว้อย่างเป็นระเบียบจากมุมหนึ่งของลานมาให้ เธอยื่นมือไปรับ แต่เขากลับวางฟืนลงบนพื้นเบื้องหน้าเธอราวกับกลัวจะถูกเนื้อต้องตัว เหม่ยหลินไม่ถือสา เธอเริ่มก่อไฟในเตาฟืนด้วยทักษะที่ติดตัวมาจากชีวิตก่อนหน้าที่เคยเข้าค่ายลูกเสือและดูสารคดีบ่อยๆ ควันไฟโขมงออกมาจากเตาชั่วขณะ ก่อนที่เปลวไฟสีแดงจะเริ่มลุกโชนขึ้นมา เด็กๆ ทั้งสี่คนยังคงยืนมองเธออยู่ห่างๆ ด้วยแววตาหลากหลาย ทั้งความสงสัย ความหวาดระแวง และแววตาที่เต็มไปด้วยคำถาม เหม่ยหลินรู้ดีว่านี่คือโอกาสแรกที่เธอจะใช้ทักษะของเธอพิสูจน์ตัวเอง เธอหยิบมันเทศขึ้นมา พลางมองหาอุปกรณ์อื่นๆ ในครัว มีเพียงมีดเก่าๆ หนึ่งเล่ม และเขียงไม้ที่เต็มไปด้วยรอยบิ่น เหม่ยหลินวางมันเทศลงบนเขียง พลางใช้มีดเก่าๆ นั้นปอกเปลือกมันเทศอย่างช้าๆ "ท่านแม่...ท่านแม่ทำเป็นหรือขอรับ?" หลี่เฟยหยางเอ่ยถามขึ้นมาอย่างไม่มั่นใจ ด้วยเสียงที่ยังคงเจือแววหวาดกลัว เหม่ยหลินยิ้มบางๆ "แม่เป็นเชฟนะ" เธอตอบสั้นๆ โดยไม่หันไปมอง คำตอบของเธอทำให้เด็กๆ มองหน้ากันเลิ่กลั่ก ราวกับไม่เข้าใจความหมายของคำว่า 'เชฟ' แต่ก็ไม่ได้ถามต่อ เธอหันไปที่ถังน้ำ พบว่าน้ำในถังก็ดูขุ่นไม่ต่างจากน้ำเมื่อครู่ เธอจึงตักน้ำขึ้นมาใส่หม้อเหล็กเก่าๆ ที่มีรอยไหม้เกรอะกรัง ใช้ทัพพีไม้คนๆ เพื่อดูว่ามีสิ่งแปลกปลอมอะไรอีกไหม น้ำไม่สะอาดแบบนี้จะทำอาหารอร่อยได้ยังไง? เธอครุ่นคิด ต้องหาน้ำที่สะอาดกว่านี้... "มีน้ำสะอาดกว่านี้ไหม?" เธอหันไปถามลูกๆ อีกครั้ง หลี่เฟยหลงตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ "มีบ่อน้ำพุที่ท้ายหมู่บ้านขอรับ น้ำที่นั่นใสกว่า แต่ท่านแม่ไม่ชอบไปเพราะมันไกล" ชัดเลย! เจ้าของร่างเดิมคงเป็นคนขี้เกียจด้วยสินะ! เหม่ยหลินส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ "ไปตักมาให้หน่อยสิ...เยอะๆ หน่อยนะ" คราวนี้หลี่เฟยหลงไม่รีรอ เขารีบคว้าถังน้ำเก่าๆ สองใบแล้ววิ่งออกไปจากห้องครัวอย่างรวดเร็ว ตามด้วยหลี่เฟยหานและหลี่เฟยหยางที่วิ่งตามพี่ชายไปติดๆ ทิ้งไว้เพียงชิวลี่ฮวาที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ด้วยท่าทีประหม่า "เจ้าไม่ต้องไปหรอก ชิวลี่ฮวา" เหม่ยหลินบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนขึ้น "เจ้ากำลังท้อง พักผ่อนเถอะ" ชิวลี่ฮวาพยักหน้ารับช้าๆ ดวงตาเธอมองสำรวจเหม่ยหลินอย่างไม่วางตา ราวกับพยายามค้นหาว่า 'แม่สามี' คนนี้เปลี่ยนไปจริงหรือไม่ เธอสังเกตเห็นแววตาที่อ่อนโยนและรอยยิ้มบางๆ ที่เหม่ยหลินไม่เคยแสดงออกมาให้เห็นมาก่อน เหม่ยหลินเริ่มหั่นมันเทศเป็นชิ้นพอดีคำ ก่อนจะนำผักกาดขาวเหี่ยวๆ ที่เจอในตู้มาล้างอย่างพิถีพิถัน เธอหยิบขิงกับหัวหอมมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เตรียมไว้สำหรับปรุงแต่งรสชาติ ไม่นานนัก หลี่เฟยหลงและน้องชายทั้งสองก็กลับมาพร้อมกับน้ำสะอาดในถัง พวกเขากระหืดกระหอบเล็กน้อย แต่ในแววตากลับมีประกายของความประหลาดใจ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา 'แม่' ไม่เคยขอให้นำน้ำจากบ่อน้ำพุมาใช้ในการทำอาหารเลย เหม่ยหลินรับถังน้ำมา เธอตักน้ำใส่หม้อแล้ววางลงบนเตาที่ไฟกำลังลุกโชน รอจนน้ำเริ่มเดือด เธอหยิบผักกาดขาวหั่นชิ้นกับมันเทศที่เตรียมไว้ใส่ลงไป ก่อนจะใส่ขิงและหัวหอมลงไปเล็กน้อย "ไม่มีเครื่องปรุงอะไรเลยเหรอ?" เธอถามขึ้นมาอย่างกังวล หลี่เฟยหลงเดินไปหยิบขวดเล็กๆ ที่มีเกลืออยู่ก้นขวด และถ้วยเล็กๆ ที่มีน้ำมันงาเหลืออยู่เพียงไม่กี่หยดมาให้ เหม่ยหลินมองเครื่องปรุงที่แสนจะจำกัดอย่างถอนหายใจ นี่แหละคือความท้าทายที่แท้จริง! ในฐานะเชฟมืออาชีพ เธอต้องสร้างสรรค์เมนูที่อร่อยจากวัตถุดิบเท่าที่มี เธอเริ่มปรุงรสด้วยเกลือเล็กน้อย พลางชิมดูรสชาติซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้จะมีเพียงเกลือ แต่ด้วยความเข้าใจในรสชาติที่ลึกซึ้ง เธอพยายามดึงรสหวานตามธรรมชาติของมันเทศและผักกาดออกมาให้มากที่สุด "ท่านแม่...จะทำอะไรหรือขอรับ?" หลี่เฟยหานถามขึ้นด้วยความสงสัย เมื่อเห็นเหม่ยหลินกำลังใช้ช้อนคนหม้อซุปอย่างพิถีพิถัน "ซุปผักกาดขาวมันเทศไงล่ะ" เธอตอบ พลางยิ้มให้พวกเขา "มันจะช่วยให้ร่างกายอบอุ่นและมีแรง" เด็กๆ ทั้งสามมองหน้ากันอย่างประหลาดใจ ไม่เคยมีใครทำซุปให้พวกเขากินมาก่อน 'แม่' คนเดิมไม่เคยใส่ใจเรื่องอาหารการกินของพวกเขา มีแต่จะด่าทอเมื่อเห็นว่าพวกเขาหาอาหารได้ไม่พอ เมื่อซุปเริ่มเดือดพล่าน ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ของผักและขิงลอยฟุ้งไปทั่วห้องครัว เหม่ยหลินก็ตักซุปใส่ถ้วยไม้เก่าๆ สี่ถ้วย แล้วส่งให้ลูกๆ และชิวลี่ฮวา "กินได้แล้ว" เธอบอกด้วยน้ำเสียงอบอุ่น หลี่เฟยหลงรับถ้วยซุปไปอย่างไม่เต็มใจนัก ใบหน้าเขายังคงระแวง ส่วนหลี่เฟยหานกับหลี่เฟยหยางก็มองซุปในถ้วยด้วยความไม่แน่ใจ ชิวลี่ฮวาเป็นคนแรกที่รับไปอย่างอ่อนน้อม เธอยกถ้วยซุปขึ้นจิบช้าๆ ดวงตาของชิวลี่ฮวาเบิกกว้างเล็กน้อย เมื่อรสชาติหวานธรรมชาติของมันเทศที่เคี่ยวจนนิ่มละมุนลิ้น ผสานกับความสดชื่นของผักกาดขาว และความหอมของขิงที่ช่วยดับกลิ่นคาวและเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกาย มันเป็นรสชาติที่เรียบง่าย แต่กลับ อร่อยอย่างเหลือเชื่อ มันไม่เหมือนซุปผักธรรมดาๆ ที่เคยได้กิน มันมีมิติของรสชาติที่ทำให้รู้สึกอุ่นไปถึงหัวใจ "อร่อย...อร่อยมากเลยเจ้าค่ะท่านแม่" ชิวลี่ฮวาเอ่ยขึ้นอย่างจริงใจ ใบหน้าของเธอเผยรอยยิ้มบางๆ เป็นครั้งแรกที่เหม่ยหลินได้เห็น คำพูดของชิวลี่ฮวาทำให้หลี่เฟยหลงและน้องๆ หันมามอง พวกเขาค่อยๆ ยกถ้วยซุปขึ้นจิบอย่างระมัดระวัง วินาทีแรกที่ซุปสัมผัสลิ้น หลี่เฟยหลงถึงกับนิ่งไปชั่วขณะ ดวงตาที่เคยแข็งกระด้างค่อยๆ อ่อนลง ความอบอุ่นจากซุปแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายที่อ่อนล้าของเขา นี่คือรสชาติที่เขาไม่เคยได้สัมผัสจาก 'แม่' คนเดิมเลยแม้แต่น้อย "พี่ใหญ่! มันอร่อยจริงๆ ด้วย!" หลี่เฟยหยางเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น เขากินซุปไปอย่างรวดเร็วจนแทบหมดถ้วย ดวงตากลมโตเป็นประกายด้วยความสุข หลี่เฟยหานก็เช่นกัน ใบหน้าของเขาที่เคยเรียบเฉย บัดนี้กลับฉายแววประหลาดใจและพึงพอใจ เขากินซุปช้าๆ ราวกับพยายามซึมซับทุกรสชาติ เหม่ยหลินมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกตื้นตันใจในอก เธอรู้ดีว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น การเดินทางยังอีกยาวไกล แต่รอยยิ้มและความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นบนใบหน้าของลูกๆ เหล่านี้ คือกำลังใจสำคัญที่จะทำให้เธอเดินหน้าต่อไปในโลกใบใหม่นี้ เธอจะเปลี่ยนความหวาดระแวงให้เป็นความเชื่อใจ เธอจะเปลี่ยนความยากจนให้เป็นความมั่งคั่ง เธอจะใช้ทักษะทั้งหมดที่เธอมี เพื่อสร้างครอบครัวที่อบอุ่นและมีความสุขขึ้นมาในยุค 70 แห่งนี้รุ่งอรุณหลังคืนแห่งความวุ่นวาย แสงตะวันสาดส่องเข้ามาในเรือนพักของท่านราชครูจ้าว เหม่ยหลินรู้สึกปลอดภัยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา หลี่เฟยหลง ชิวลี่ฮวา หลี่เฟยหาน และหลี่เฟยหยาง ต่างกอดเธอแน่นด้วยความโล่งใจ การปรากฏตัวของหัวหน้าหมาและท่านราชครูจ้าวราวกับแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์แห่งความมืดมิดท่านราชครูจ้าวนั่งลงตรงข้ามกับเหม่ยหลิน ใบหน้าของท่านเต็มไปด้วยความเมตตาและแววตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม"ท่านแม่เจียง" ท่านราชครูจ้าวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "ข้าต้องขออภัยแทนเจ้าเมืองหลี่กวงหมิงด้วย ที่ทำให้ท่านต้องมาประสบเรื่องราวเลวร้ายเช่นนี้"เหม่ยหลินก้มศีรษะเล็กน้อย "ไม่เป็นไรเจ้าค่ะท่านราชครู ข้าเข้าใจดีว่าอำนาจมักจะทำให้คนตาบอด""ถูกต้อง" ท่านราชครูจ้าวพยักหน้า "เรื่องของเจ้าเมืองหลี่กวงหมิงนั้น ข้าได้ส่งคนไปสอบสวนแล้ว และข้าเชื่อว่าเขาจะต้องได้รับโทษทัณฑ์ตามความผิดที่เขากระทำ"ท่านราชครูจ้าวหันไปมองหัวหน้าหมาที่ยืนอยู่ข้างๆ "หัวหน้าหมา เจ้าทำความดีความชอบในครั้งนี้ ข้าจะรายงานเรื่องนี้ต่อองค์จักรพรรดิ ให้ท่านได้รับความดีความชอบอย่างที่ควรจะได้รับ"หัวหน้าหมาก้มศีรษะด้
ชัยชนะอันหอมหวานจากการประลองรสชาติสะท้านเมืองหลวง มิได้นำมาซึ่งความสงบสุขอย่างที่เหม่ยหลินและครอบครัวคาดหวัง ตรงกันข้าม มันกลับเป็นจุดเริ่มต้นของพายุลูกใหม่ที่โหมกระหน่ำรุนแรงกว่าเดิม แสงแห่งชื่อเสียงที่เจิดจ้าของ “เชฟเหม่ยหลิน” ส่องสว่างไปทั่วอาณาจักร ทว่าในเงามืดนั้น พลังอำนาจที่มองไม่เห็นกำลังเคลื่อนไหวอย่างลับๆความผันผวนในจวนเจ้าเมืองหลี่กวงหมิง เจ้าเมืองผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยพ่ายแพ้ต่อใคร บัดนี้กลับถูกแม่ครัวสามัญชนหักหน้าอย่างยับเยินกลางที่สาธารณะ ความอัปยศครั้งนี้กัดกินจิตใจของเขาอย่างรุนแรง ทำให้เขากลายเป็นคนเจ้าอารมณ์และหวาดระแวงยิ่งกว่าเดิม ทุกวันเขาจะสั่งให้คนนำอาหารของเหม่ยหลินมาให้เขากิน แต่เขาก็ไม่เคยบอกว่าอร่อยเลยแม้แต่คำเดียว และมักจะหาเรื่องตำหนิอย่างไม่เป็นเหตุผล“นี่มันอะไรกัน! ข้าวผัดนี่แข็งเกินไป! เจ้าคิดว่าข้าเป็นชาวนาที่กินแต่ข้าวแข็งๆ อย่างนั้นรึ!” หลี่กวงหมิงปาจานข้าวผัดลงพื้นเสียงดังลั่นในห้องอาหารของเขาพ่อครัวประจำจวนและบรรดาคนรับใช้ต่างพากันตัวสั่นงันงก พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามองขณะเดียวกัน ในมุมมืดของจวน เจ้าเมืองได้ส่งคนไปสืบเรื่องราวของเหม่ยหลินอย
เช้าตรู่วันประลอง ท้องฟ้าเหนือเมืองหลวงยังคงมืดสลัวด้วยไอหมอกจางๆ แต่ใจกลางเมืองกลับคึกคักไปด้วยผู้คนมหาศาลที่หลั่งไหลมาจากทั่วทุกสารทิศ เพื่อเป็นสักขีพยานในศึกประลองรสชาติครั้งประวัติศาสตร์นี้ ไม่ใช่เพียงแค่การแข่งขันทำอาหารธรรมดา แต่มันคือการปะทะกันระหว่าง อำนาจ และ ความสามารถ ระหว่าง ศักดิ์ศรี ของเจ้าเมืองผู้ยิ่งใหญ่ กับ ความกล้าหาญ ของแม่ครัวสามัญชนเหม่ยหลินและครอบครัวเดินทางมาถึงลานประลองที่ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ มีเวทีขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลาง รายล้อมด้วยที่นั่งสำหรับแขกผู้มีเกียรติและประชาชนทั่วไป กลิ่นหอมของเครื่องหอมปะปนกับกลิ่นไอของตลาดสดอบอวลไปทั่วบริเวณ"ท่านแม่! คนเยอะมากเลยขอรับ!" หลี่เฟยหยางเกาะแขนเหม่ยหลินแน่น ดวงตากลมโตสอดส่ายมองไปรอบๆ ด้วยความตื่นเต้นปนหวาดหวั่น"ไม่ต้องกลัวหรอกลูก" เหม่ยหลินยิ้มให้กำลังใจลูกชาย เธอเองก็รู้สึกตื่นเต้นไม่แพ้กัน แต่ความมุ่งมั่นในใจกลับแข็งแกร่งกว่าสิ่งใดเมื่อเดินไปถึงหลังเวที พวกเขาก็เห็นเจ้าเมืองหลี่กวงหมิงยืนอยู่พร้อมกับพ่อครัวประจำจวนของเขา และชายชุดดำสองคนที่คุ้นหน้าคุ้นตา ใบหน้าของหลี่กวงหมิงเรียบตึง แต่แววตาของเขากลับฉาย
แสงตะวันเริ่มลับขอบฟ้า ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีส้มแดงฉานเมื่อเหม่ยหลินกลับมาถึงบ้าน ตลอดทางกลับ เธอครุ่นคิดถึงสถานการณ์ที่ยากลำบากที่เธอและครอบครัวต้องเผชิญอยู่ตอนนี้ คำสั่งของเจ้าเมืองหลี่กวงหมิงเป็นดั่งดาบที่แขวนอยู่บนเส้นด้าย หากเธอปฏิเสธหรือทำผิดพลาดแม้แต่น้อย ชีวิตของเธอและลูกๆ อาจตกอยู่ในอันตรายเมื่อก้าวเข้าสู่ห้องโถงบ้าน ใบหน้าของหลี่เฟยหลง ชิวลี่ฮวา หลี่เฟยหาน และหลี่เฟยหยาง ก็ปรากฏแก่สายตา แววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความกังวลและคำถาม"ท่านแม่! เป็นอย่างไรบ้างขอรับ? ท่านเจ้าเมืองพูดอะไรกับท่าน?" หลี่เฟยหลงเอ่ยถามทันทีด้วยน้ำเสียงร้อนรนเหม่ยหลินถอนหายใจเฮือกใหญ่ เธอนั่งลงบนเก้าอี้ไม้เก่าๆ อย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในจวนเจ้าเมืองให้ทุกคนฟัง ตั้งแต่คำชมเชยของหลี่กวงหมิง ข้อเสนอให้เป็นพ่อครัวประจำจวน และคำสั่งให้ส่งอาหารทุกวัน รวมถึงการบีบบังคับให้บอกสูตรอาหารบรรยากาศในห้องเงียบสงัดลงทันที ใบหน้าของทุกคนซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะหลี่เฟยหลงที่กำมือแน่น ใบหน้าของเขาแดงก่ำด้วยความโกรธ"ท่านเจ้าเมืองช่างบีบบังคับกันเกินไปแล้วขอรับ!" หลี่เฟยหลงเอ่ยขึ้นอย
ชัยชนะจากการประลองปัญญาครั้งนั้นส่งให้ชื่อเสียงของ เหม่ยหลิน และ ตระกูลหลี่ ดังกระฉ่อนไปทั่วทั้งตลาด และลามไปถึงหมู่บ้านใกล้เคียงอย่างรวดเร็ว ผู้คนต่างพูดถึง "แม่เจียงคนใหม่" ที่ไม่เพียงแต่ทำอาหารอร่อยเลิศ แต่ยังเฉลียวฉลาดและกล้าหาญ กล้าเผชิญหน้ากับผู้มีอิทธิพลอย่างหัวหน้าหมาเช้าวันรุ่งขึ้น แผงขายของเหม่ยหลินไม่เพียงแค่คึกคัก แต่กลับแน่นขนัดไปด้วยผู้คนที่มาต่อคิวยาวเหยียด พวกเขาไม่เพียงมาซื้อ "บะหมี่เจผักรวม" และ "ซุปเห็ดหลินจือดำ" เท่านั้น แต่ยังมาเพื่อชมบารมีของเหม่ยหลินและลูก ๆ ของเธอด้วย"ท่านแม่เจียง! ข้ามาจากหมู่บ้านเจียงเป่ย! ได้ยินว่าอาหารของท่านอร่อยล้ำเลิศนัก ข้าจึงมาขอชิมด้วยตัวเอง!" ชายชราคนหนึ่งกล่าวด้วยความเลื่อมใส"ท่านแม่เจียง! ข้าซื้อบะหมี่เจของท่านไปให้ลูกเมียกินแล้ว! พวกเขาชอบมากเลย! ขอบพระคุณท่านแม่เจียงที่ทำอาหารดี ๆ แบบนี้มาให้พวกเราได้กิน!" ชาวนาอีกคนกล่าวพร้อมรอยยิ้มเหม่ยหลินยิ้มตอบรับคำชมเชยอย่างอ่อนน้อม เธอและลูก ๆ ทำงานกันอย่างขะมักเขม้น หลี่เฟยหลงกับหลี่เฟยหานทำหน้าที่ตักบะหมี่และซุป ส่วนชิวลี่ฮวากับหลี่เฟยหยางก็ช่วยรับเงินและห่ออาหารด้วยความสนุกสนาน"ท่า
คำพูดของเหม่ยหลินทำให้ทุกคนในตลาดถึงกับตกตะลึง รวมถึงหัวหน้าหมาและลูกน้องของเขาด้วย"ประลองฝีมืออย่างนั้นรึ! เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน!" หัวหน้าหมาหัวเราะเยาะ "เจ้าเป็นแค่แม่ครัวอ่อนแอคนหนึ่งเท่านั้น! จะเอาอะไรมาสู้กับพวกข้า!""ข้าไม่ได้ท้าเจ้าประลองกำลัง" เหม่ยหลินตอบ "ข้าขอท้าเจ้าประลอง...ปัญญา!"คำว่า 'ประลองปัญญา' ยิ่งทำให้ทุกคนงงไปกันใหญ่"ประลองปัญญาอย่างนั้นรึ! ตลกสิ้นดี!" หัวหน้าหมากล่าวอย่างเยาะเย้ย "เจ้าจะประลองปัญญาอะไรกับข้า!?""ข้าจะท้าเจ้าให้ตอบคำถามของข้าสามข้อ" เหม่ยหลินตอบอย่างมั่นใจ "หากเจ้าตอบได้ทั้งสามข้อ...ข้าจะยอมออกจากตลาดแห่งนี้ไปตลอดกาล และจะไม่กลับมาค้าขายอีก! แต่หากเจ้าตอบไม่ได้...เจ้าต้องเลิกยุ่งเกี่ยวกับครอบครัวของข้า และห้ามมารังแกพวกเราอีกตลอดไป!"ข้อเสนอของเหม่ยหลินทำให้ผู้คนในตลาดต่างมองหน้ากันด้วยความสงสัย พวกเขาไม่เคยเห็นการประลองแบบนี้มาก่อนหัวหน้าหมาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขามองไปที่เหม่ยหลินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความดูถูก เขาไม่คิดว่าแม่ครัวธรรมดา ๆ คนหนึ่งจะมีความรู้หรือปัญญาอะไรมากมายนัก"ได้! ข้ารับคำท้า!" หัวหน้าหมากล่าวอย่างลำพองใจ "เอาเลย! เจ