“เป็นไปได้ ที่ไม่ลงมือนอกเขตเมืองหลวง เพราะข้างนอกมีแต่คนของแม่ทัพกับท่านอ๋องเยียน ในขณะที่ในเมืองหลวง คนของหลงอี้แฝงตัวอยู่ในทุกพื้นที่ บริเวณที่เราอยู่กันตอนนี้ ถือเป็นเขตที่โจรชุกชุมที่สุด เพราะอยู่สุดเขตเมืองหลวงพอดี อยู่ห่างไกลจากการตรวจสอบของเมืองหลวง และกองทัพไม่อาจยื่นมือเข้ามาได้” จ้าวเหลียงอธิบาย
“เช่นนั้น มันมาตามล่าข้าสินะ” หลี่เฟิ่งเซียนพูด
“ท่านอ๋องจัดการทลายแหล่งรายได้ของขันทีหลงอี้ไปหลายแห่ง ไม่ใช่แค่เพียงในอำเภอเฟิง เก็บเรื่องท่านไว้เป็นความลับ แต่ชาวบ้านหลายคนก็เล่าลือออกไปว่าที่ท่านอ๋องปราบหอนางโลมเถื่อนและไขคดีหญิงสาวถูกลักพาตัวได้เป็นเพราะคุณหนูใหญ่ของจวนแม่ทัพหลี่ช่วยเหลือ ท่านแม่ทัพเคยสั่งให้ข้าหาทางหยุดข่าวลือพวกนี้ แต่ก็ยังมีเล็ดลอดออกไปได้ ขันทีหลงอี้อาจสืบจนรู้แล้ว
ยามนี้ท่านอ๋องพยายามรวบรวมหลักฐานส่งเป็นฎีการ้องเรียนขันทีหลงอี้หลายครั้ง แต่ก็มีเหตุให้ต้องเสียหลักฐานไป หรือพยานมักจะตายอย่างประหลาด การเดินทางครั้งนี้ ท่านแม่ทัพจึงสั่งกำชับข้าให้ดูแลท่านอย่างดี” จ้าวเหลียงบอกหลี่เฟิ่งเซียนตามจริง
“เช่นนั้น มันก็ตามล่าข้าแน่แล้ว โอ๊ย.. ข้าแย่แน่! ข้าจะทำอย่างไรดี” หลี่เฟิ่งเซียนกลัวจริงๆ แม้ปกตินางจะแสดงออกว่าแข็งแกร่งหรือร้ายกาจ แต่นางก็เป็นเพียงสตรีนางหนึ่ง นางเคยเกือบถูกฆ่ากลางป่ามาแล้ว อย่างไรความกลัวก็ไม่หายไปง่ายๆ ถึงนางจะเคยฆ่ามือสังหารของหลงอี้มาแล้ว แต่นั่นมันโชคช่วยชัดๆ คราวนี้หลงอี้คงส่งมือสังหารที่เชี่ยวชาญมาอีกเป็นโขยง นางจะทำเช่นไรดี
หลี่เฟิ่งเซียนเดินกลับไปกลับมาอย่างหวาดหวั่น
“ไม่ต้องกลัว ข้าพอจะมีหนทาง” ลู่มู่เฉินพูด ยื่นมือออกไปจับมือของหลี่เฟิ่งเซียนไว้ บีบเบาๆคล้ายต้องการปลอบขวัญนาง
ตั้งแต่นางแอบขโมยกินเต้าหู้เขาครั้งนั้น นางก็หลบหน้าเขา เขาเองก็หลบหน้านาง แต่พอเกิดเหตุร้ายขึ้นเช่นนี้ มู่เฉินก็ยังคงเป็นมู่เฉินของนาง ยังคงคอยปกป้องนางอย่างไม่มีเงื่อนไข หลี่เฟิ่งเซียนรู้สึกอบอุ่นหัวใจและรู้สึกผิดในเวลาเดียวกัน ต่อไปนางจะไม่ขโมยกินอีก หากนางอยากกิน นางจะขอเขาตรงๆ หลี่เฟิ่งเซียนแอบสัญญากับตัวเองในใจ
“เชิญท่านเขยกล่าวมาเลย” จ้าวเหลียงไร้หนทาง หากใครมีอะไรจะพูดยามนี้ เขารับฟังทั้งหมด
“ข้า มียาสลบ ..ชนิดร้ายแรง”
ทุกคนหันมองเขาเป็นตาเดียว แม้แต่หลี่เฟิ่งเซียนยังต้องกะพริบตาหลายครั้งเพื่อมองเขาให้ชัด แน่นอน ใครจะไม่สงสัย คนดีๆผู้ใดจะพกยาสลบชนิดร้ายแรงเดินทางไปมา นี่เขาคิดจะเอายาพวกนั้นไปทำอะไร
“อย่ามองข้าเช่นนั้น ข้าเพียงเตรียมการไว้ก่อนออกเดินทาง ไม่อยากให้เกิดเหตุเช่นครั้งก่อน ตอนนั้นข้าทำอะไรไม่ได้เลย แต่จะไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องเช่นนั้นอีก” ลู่มู่เฉินอธิบาย
ทุกคนต่างพยักหน้าร้องอ้อแบบเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่หลี่เฟิ่งเซียนรู้ดีว่าเขาหมายถึงเรื่องราวในคุกใต้ดินครั้งก่อน
“ยานี้มีฤทธิ์ร้ายแรงและขยายวงไปได้ไกล เพียงแต่ การจะทำให้มันกระจายออกไป จำเป็นต้องเผาในที่โล่งแจ้ง” ลู่มู่เฉินพูดถึงข้อจำกัด
“เอ่อ ท่านเขย ใช้นี่ได้หรือไม่ ข้ามีหั่วเย่าติดตัวเล็กน้อย” ทหารนายหนึ่งยื่นดินปืนในกระบอกไม้ไผ่ให้ลู่มู่เฉินดู
“เดิมที ข้าเพียงเตรียมไว้เผื่อต้องส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ” เขาอธิบาย
“ใช้ได้” ลู่มู่เฉินตอบ
“ดีมาก ข้าจัดการเอง” จ้าวเหลียงอาสา
“เช่นนั้นข้าต้องทำอะไร บอกมาเลยจ้าวเหลียง” หลี่เฟิ่งเซียนฮึกเหิม
“ท่านไม่ต้องทำอันใด นั่งรอเฉยๆสักครึ่งชั่วยาม จากนั้นท่านจะนอนกลับเมืองหลวง และสะสางบัญชี” ลู่มู่เฉินตอบนาง มีรอยยิ้มเอ็นดู และแววตาล้อเลียนเล็กน้อย
หลี่เฟิ่งเซียนรู้สึกว่างดงามจนละสายตาไม่ได้ เขาเพียงยิ้มเล็กน้อยรอยบุ๋มที่ข้างแก้มก็ปรากฏ ช่างดูแล้วเปล่งประกายนัก กว่านางจะหันหน้าไปทางอื่นได้ นางต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่ง เมื่อก่อนมองไม่เห็นเพราะเขาผอมมาก ยามมองหน้าเห็นเพียงหนังติดแก้ม ยามนี้นางเลี้ยงดูเขาจนอ้วนขึ้น นางกลับรู้สึกตกหลุมบางอย่าง
‘เหตุใดข้ามักรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม ในยามที่เขายิ้ม เขากำลังใช้กลโกงบางอย่างใช่หรือไม่’ นางแอบคิด
จ้าวเหลียงปีนขึ้นหลังคา คาดคะเนถึงตำแหน่งมือธนูจากระยะที่ลูกธนูถูกยิงมา เขาหยิบหั่วเย่าที่ห่อยาสลบเอาไว้ โยนออกไปสุดแรง ห่อนั้นตกลงบนพื้น ไกลออกไปจากหน้าร้านน้ำชาราว 3 จั้ง มันดัง ตุ๊บ! เบาๆ ไม่ระเบิด แต่เริ่มลุกไหม้ ฝ่ายมือสังหารอาจคิดเพียงว่าการตอบโต้ของจ้าวเหลียงล้มเหลว เพราะไม่มีควันลอยให้เห็น
จ้าวเหลียงรีบลงมาจากหลังคา
"แล้วจะทำอย่างไรต่อไป" เขาถาม
"รอ" ลู่มู่เฉินตอบ
"จากนั้นเล่า" เขาถามอีก
"ข้า มีผ้าฝ้ายบุใยไหมอบสมุนไพรเพียงสองผืน เมื่อผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม ท่านและทหารอีกนายหนึ่งต้องแบกพวกเขาและพวกข้าทุกคนขึ้นรถม้าเข้าสู่เมืองหลวง อ้อ อย่าลืมมัดพวกเขาเอาไว้ด้วย ไม่ต้องห่วงคนในร้านกับพวกข้า ยานี้ไม่ได้มีฤทธิ์ตกค้างใดๆ ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยามพวกข้าก็จะตื่นขึ้นมาได้เอง เช่นเดียวกับโจรพวกนั้น" ลู่มู่เฉินอธิบาย
"ข้าเข้าใจแล้ว คุณหนูใหญ่โปรดวางใจ ข้าจะไม่ทำผิดพลาด" จ้าวเหลียงหันไปพูดกับหลี่เฟิ่งเซียน
"เฮอะ อย่าให้ข้ารู้ว่าเจ้าแอบทำอะไรกับร่างกายของข้าเชียว" อาหงพูดออกมา
ทุกคนต่างทำสีหน้าไปคนละทาง คนที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ก้มหน้าหูแดง ส่วนคนที่ไม่รู้ก็ไม่รู้ว่าอาหงพูดอะไรจึงไม่ได้ใส่ใจ แต่จ้าวเหลียงไม่ได้สนใจเลย เขารับผ้าฝ้ายปิดจมูกมาจากลู่มู่เฉิน ยื่นอีกผืนให้นายทหารคนที่ตัวใหญ่ที่สุด เขาทำราวกับไม่ได้ยินที่อาหงพูด คล้ายนางไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้น
หลี่เฟิ่งเซียนแอบมอง จ้าวเหลียงเป็นทหารกล้าอายุยี่สิบต้นๆ ส่วนอาหงแม้จะยังสวยสดงดงาม แต่นางอายุเลยเลขสามไปแล้ว ใครจะกล้าคิดว่าเขาถึงกับกล้าทำเรื่องเช่นนั้นกับนาง แล้วยังเสแสร้งราวกับไม่ได้ทำสิ่งใด
“ข้าเป็นผู้ชายเหตุใดจะมองไม่ออกว่าเขาหวั่นไหวกับท่านแทบแย่ แต่พยายามเก็บอาการ ข้าไม่รู้ว่าท่านกับเขาผิดใจอันใดกัน แต่ลองพูดคุยกับเขาตรงๆ เขาย่อมต้องเข้าใจท่านอยู่แล้ว” จ้าวเหลียงให้คำแนะนำหลี่เฟิ่งเซียนหัวใจระส่ำไม่เป็นจังหวะ นางทำเรื่องเลวร้ายไปมากมายเช่นนั้น ยังจะมีเรื่องเข้าใจผิดอันใดอีก แต่หากเป็นดั่งที่จ้าวเหลียงพูดจริง นางควรทำเช่นไรดี อยากลองพูดคุยจริงจังกับเขาสักครั้ง แต่ก็กลัวว่าหากเขาตอบว่าชื่นชอบหญิงในชุดขาวผู้นั้น นางควรทำอย่างไร แต่หากเขาชอบนางอย่างที่จ้าวเหลียงพูดจริงๆ และนางปล่อยไปเช่นนี้ ดีแล้วแน่หรือ“ข้าต้องไปก่อนนะ” พูดแล้วหลี่เฟิ่งเซียนก็เดินออกจากห้องพักของจ้าวเหลียงทันที อยากรีบไปหาสามีของตัวเองเพื่อพูดคุยให้รู้เรื่องนางไปรอเขาที่หน้าประตูจวน เพียงไม่นานก็เห็นรถม้ากำลังใกล้เข้ามา นางรอจนกระทั่งรถม้าจอด เขาเปิดประตูออกมา นางคล้ายว่าไม่ได้เห็นเขามาหลายวันมาก คิดถึงเขาจนอยากวิ่งเข้าไปกอด แต่นางไม่กล้าหลี่เฟิ่งเซียนพบว่าเขากำลังมองมาที่นางเช่นกัน คล้ายว่าเขาจะขมวดคิ้วและทำหน้าโกรธ จู่ๆ นางก็กลัวที่จะเข้าไปหาเขา จึงเลือกที่จะหนีออกมาอย่างรวดเร็วลู่มู่เฉินรู้สึกเจ็
หลี่เฟิ่งเซียนเดินออกไปจากห้องนานแล้ว แต่เขายังคงนั่งมองมือซ้ายของเขา เขาเริ่มรู้สึกเสียใจที่วันนั้นตัดสินใจหักมือข้างนั้น คิดอีกที หากเขาไม่ทำเช่นนั้นคงไม่สามารถรอดมามีความสุขเช่นนี้ได้ แต่ความสุขเช่นนี้ดีแน่แล้วหรือ เขาคิดกลับไปกลับมาอยู่เช่นนั้นทั้งคืน บ่าวชายที่มาช่วยเขาเช็ดตัว เขาก็จำหน้าไม่ได้หลังจากเรื่องวันนั้น หลี่เฟิ่งเซียนก็หลบหน้าเขา แต่มีหยวนหยวนส่งน้ำแกงปลาและน้ำแกงไก่มาให้เขาทุกเช้า เขาเองแม้จะเริ่มคิดถึงนางมากแต่ไม่กล้าไปหานางที่ห้อง เพราะความอับอายที่ลูกผู้ชายคนหนึ่งต้องถูกจู่โจมอย่างสิ้นท่า ไร้การต่อต้านแม้นางจะพูดว่านางเป็นคนผิด แต่เขารู้ดีว่าไม่ใช่ หากวันนั้นเขาไม่ยินยอมจริงๆ นางตัวเล็กเพียงนั้นจะถึงขั้นขืนใจเขาได้หรือ เขาประเมินความต้องการของเขาผิดไป ไม่นึกว่าจะต้องการนางมากถึงขั้นขาดสติ ปล่อยให้เรื่องราวเช่นนั้นเกิดขึ้นต่อมาลู่มู่เฉินยังได้ยินพ่อบ้านพูดว่านายหญิงผู้เฒ่าร้อนใจจนทำอะไรไม่ถูก เพราะจู่ๆ หลี่เฟิ่งเซียนก็กลับไปเที่ยวหอเข่อซินอีกแล้ว ท่านพ่อบ้านขอให้เขาช่วยพูดกับคุณหนูใหญ่ว่าไม่ควรไปเที่ยวสถานที่เช่นนั้นอีกเพราะนางแต่งงานแล้วแต่เมื่อเขาเดินไปถึงหน้า
หลี่เฟิ่งเซียนหันไปมองแท่งหยกที่นางกำไม่มิดนั้น กลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น ตัดสินใจยกก้นขึ้นและจับท่อนหยกร้อนของเขาถูไปมา ยามนี้ผลท้อของนางเต็มไปด้วยน้ำแห่งความสุขแล้ว‘เพียงลูบคลำเจ้านี่ ข้าก็สามารถหลั่งน้ำแห่งความสุขได้แล้วหรือ’ นางสงสัย จำได้อาหงบอกว่าเช่นนี้นางจะเจ็บน้อยลงลู่มู่เฉินรู้ทันทีว่านางคิดจะทำอะไร ถึงเขาจะอยากให้นางทำ และต้องการมากเพียงใด แต่มโนสำนึกของเขาและความตั้งใจของเขายังคงทำให้เขามีแรงจะดึงสติกลับมาได้“อย่า อย่าทำเช่นนี้” เขาขอร้องอย่างร้อนรน“เจ้าไม่อยากเสียใจภายหลังหรอกนะ เชื่อข้าเถิด เฟิ่งเอ๋อร์” เขาอ้อนวอนนาง แต่หลี่เฟิ่งเซียนใช้มือข้างหนึ่งยันเขาไว้ บังคับไม่ให้เขาลุกขึ้นหนีไปไหน มืออีกข้างของนางก็จับแท่งหยกร้อนนั่นถูไปมาที่ร่องกลีบดอกไม้ของนาง ก่อนที่นางจะออกแรงดันตัวเองลงไป หลี่เฟิ่งเซียนรู้สึกได้ถึงความดุดันของท่อนหยางร้อนลวกของเขาที่กำลังดุนดันเข้าไปในร่องกลีบดอกท้อ“พอแล้ว ขอร้อง อย่าทำเช่นนี้ อย่า” เสียงต่ำแหบพร่าของเขาขอร้องให้นางหยุด ในขณะที่อีกใจหนึ่งของเขากำลังรอให้นางดันตัวลงมากอดรัดเอ็นอุ่นนั้นไว้ เพียงแค่นางถูไถโลมเล้าเคล้าคลึงไปมา ความนุ่มลื่
เขาพลิกตัวอยากจะกระโดดหนีลงไปด้านล่าง แต่เพียงแค่เขาเอียงตัวนางก็ใช้เท้าเล็กๆของนางเหยียบลงมาที่ไหล่ของเขา ดันให้เขาพลิกตัวประชันหน้ากับนางตรงๆ เขาอยากมีแรงมากกว่านี้เพื่อดันเท้านั้นให้หลุด น่าเสียดายที่วันนี้เขาอ่อนแอมากกว่าทุกที เขายังได้รับบาดเจ็บจากการทดลองยาอยู่ และภาพภรรยาตัวเปลือยเปล่า งดงามจนเขาตกตะลึง ลืมว่าต้องหนีสองมือถูกมัดไว้พ่ายหลัง ยิ่งดันให้ช่วงสะโพกแอ่นขึ้น ท่อนหยกร้อนของเขาชูชันแสดงตัวอย่างกับต้องการบอกให้นางรู้ว่าเขารู้สึกอย่างไร มันชูชันสูงใหญ่ดั่งเสาค้ำสวรรค์ก็ไม่ปาน หลี่เฟิ่งเซียนตาโต จ้องมองหัวใจสั่นไหว ลู่มู่เฉินงอขาและพยายามหนีบเจ้านั่นเอาไว้ แต่ยามนี้มันขยายใหญ่จนปิดไม่มิด ภาพที่นางอ้าขาเหยียบไหล่เขาเอาไว้ แม้งดงามจนเขาถอนสายตาไม่ได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาในฐานะบุรุษผู้หนึ่ง อย่างไรเขาก็ไม่อาจรับตัวเองได้ เขาอ้าปากเพื่อหายใจ หลับตาแน่นเพื่อลดทอนความอับอายในใจหลี่เฟิ่งเซียนมองดูเจ้าสิ่งนั้นแล้วตกใจไม่น้อย ในใจนางนึกถึงตอนเขาป่วยและนางเช็ดตัวให้เขา มันยังเล็กมากเท่านิ้วเท้าหัวแม่โป้ง แต่ยามนี้มันชูชันจนแทบจะใหญ่เท่าข้อมือของนาง! หลี่เฟิ่งเซียนเริ่มหายใจไม
แต่ครั้งเข้าไปในห้องของตัวเองและเห็นพวกรูปต่างๆ ที่อาหงวาดขึ้นเพื่อการเรียนรู้เหล่านั้น ในใจนางเกิดความรู้สึกหึงหวงอย่างบอกไม่ถูก ไม่ใช่ว่าเขาไม่ยอมเข้าหอกับนาง เพราะหญิงแพศยานั่น!!...พวกเขาไปถึงไหนกันแล้ว!! มิน่าเขาถึงได้เชี่ยวชาญมาก เพียงจูบก็ทำให้นางสามารถหลั่งน้ำแห่งความสุขได้ เขาอาจจะเคยทำกับผู้อื่นมาก่อน เขาถึงทำเช่นนั้นได้อย่างเชี่ยวชาญ นางยอมไม่ได้ นางต้องรีบรวบหัวรวบหางเขา!! ทนรอให้เขายินยอมด้วยตัวเองไม่ได้แล้ว!!หลี่เฟิ่งเซียนวิ่งไปถึงหน้าห้องของเขา เห็นว่าด้านในยังมีแสงไฟอยู่ นางผลักประตูเข้าไปไม่บอกกล่าวไม่เคาะประตู“เจ้า เจ้าเข้ามาได้อย่างไร” ลู่มู่เฉินเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เขากำลังใส่เสื้อผ้า นางก็ผลีผลามเข้ามา เขาตกใจ รีบร้อนใส่เสื้อให้เรียบร้อย แต่เชือกผูกเอวอยู่บนโต๊ะ เขายืนอยู่ใกล้เตียงนอน จึงทำได้เพียงใช้มือจับสาบเสื้อคลุมตัวยาวเอาไว้หลี่เฟิ่งเซียนเห็นว่าเขายังแต่งตัวไม่เรียบร้อย แผนในใจของนางผุดขึ้นมาเป็นร้อยแผน คำพูดของอาหงดังก้องอยู่ในหู‘หากเจ้าทำให้เขาภูมิใจมากพอ เขาจะเอ็นดูเจ้ามากขึ้น’นางหันไปปิดประตูลงกลอน ยังเดินไปปิดหน้าต่างที่เขาแง้มเอาไว้รับลมด้วย“เจ้า เจ้า
เรื่องราวในคืนนั้น ความหอมหวานที่เขากอดกกนาง รสจูบ ความนุ่มนิ่มนุ่มนวล ทุกอย่างทำให้เขาไม่กล้าเดินไปที่เตียงนั่น แม้บนเตียงนั้นจะเปลี่ยนผ้าปูผ้าห่มใหม่ทั้งหมดแล้วก็ตาม เขายังคงรู้สึกว่ากลิ่นหอมหวานจากตัวนางยังคงติดอยู่ที่จมูก'ตัวเจ้าหอมมาก' คำพูดของหลี่เฟิ่งเซียนลอยมา นางเคยพูดชมเขาเช่นนั้นหลายครั้งแล้ว เขาไม่แน่ใจว่านางได้กลิ่นอันใดทั้งที่บนตัวเขามีแต่กลิ่นยา เขาเองก็อยากจะบอกกับนางว่า 'ตัวเจ้าหอมน่ากินมาก' เพราะบนตัวของนางมีกลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายดอกไม้ผสมกลิ่นบางอย่างคล้ายหนิวหน่าย[1] ต้มผสมน้ำผึ้ง เป็นอาหารของชาวอิ่นตู้ที่เขาเคยได้ลิ้มลองเมื่อครั้งยังท่องเที่ยวไปทั่ว มันอร่อยและหอมติดจมูก ดังนั้นเมื่อเขาได้กลิ่นนี้จากตัวนาง เขาจึงรู้สึกน้ำลายสอ อยากจะกลืนกินครั้งแล้วครั้งเล่า เสียดายก็แต่เขาพูดออกไปเช่นนั้นไม่ได้ ในที่สุดลู่มู่เฉินก็ดึงผ้าห่มจากเตียงและลงไปนอนบนพื้นแทน เขาไม่รังเกียจที่จะนอนบนพื้นเพราะเขาเคยนอนในที่ที่ลำบากมากกว่านี้ พื้นแข็งๆที่ทำจากไม้ขัดมันอย่างดี ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการนอนหลับของเขาลู่มู่เฉินนอนหลับด้วยความยากเย็นเพราะมัวแต่คิดถึงนาง ในขณะที่หลี่เฟิ่งเซียนแทบ