หลี่เฟิ่งเซียนเริ่มนับถือพวกเขาทั้งสองคน เหตุใดพวกเขายังมองหน้ากันได้อย่างสบายใจ
เมื่อนางย้อนมองมาที่ตัวเอง นางเพียงทำเรื่องชั่วเล็กน้อยอย่างการแอบกินเต้าหู้ เฉียดๆแก้มของมู่เฉินไปไม่กี่อึดใจ เหตุใดนางถึงรู้สึกว่านางเป็นคนสารเลวแสนชั่วร้าย นางรู้สึกผิดอยู่ทุกวัน จะมองหน้าเขายังไม่กล้า ให้ขอโทษนางก็ยิ่งกลัว กลัวว่าเขาจะยื่นใบหย่าให้นาง!
จากนั้นทุกคนก็นั่งรอ รอให้เป็นไปตามที่ลู่มู่เฉินพูด
ผ่านไปสองชั่วยาม เมื่อหลี่เฟิ่งเซียนลืมตาตื่น ทุกคนก็อยู่หน้าศาลไคฟง จ้าวเหลียงพึ่งจะนำตัวโจรพวกนั้นไปฝากขังในคุก เดินมาถึงรถม้าก็เห็นว่าหลี่เฟิ่งเซียนฟื้นแล้ว
"คุณหนูใหญ่" เขาประสานมือคำนับ
"จับพวกมันได้ทั้งหมดหรือไม่"
"ขอรับ"
"ดี ข้าจะเข้าวัง" หลี่เฟิ่งเซียนบอก
"แล้วท่านเขยและทุกคน จะให้ทำอย่างไรขอรับ" จ้าวเหลียงถาม
"พาไปที่จวน ข้าหารือกับฮ่องเต้เสร็จแล้วค่อยกลับ ฝากเจ้าดูแลพวกเขาด้วย"
"ขอรับ" จ้าวเหลียงตอบ
หลี่เฟิ่งเซียนลงจากรถม้า นางเดินไปขึ้นม้าของจ้าวเหลียง แล้วควบขี่แยกทางจากไป จ้าวเหลียงรับหน้าที่พาทุกคนกลับจวนแม่ทัพหลี่
หลี่เฟิ่งเซียนเข้าไปในวังขอเข้าพบฮ่องเต้ทั้งที่เป็นเวลาเย็นมากแล้ว ทั้งขันทีน้อยและทหารยามเฝ้าประตูต่างไม่ยอมให้นางเข้าไป หลี่เฟิ่งเซียนพูดอย่างไรก็แล้ว แต่ไม่มีใครยอมให้นางเข้าไป ในเมื่อเหตุการณ์ยังเป็นเช่นนี้ นางพยายามเป็นคนดีพูดจารู้เรื่องแล้วไม่เป็นผล นางจึงอาละวาด สวมบทบาทคุณหนูใหญ่ที่นางเคยเป็น
ขันทีน้อยจึงรีบวิ่งกลับเข้าไปรายงาน ทว่าคนที่ออกมาต้อนรับนางกลับกลายเป็นขันทีหลงอี้
"คุณหนูใหญ่ ฮ่องเต้ให้ข้าน้อยมารับท่าน" ขันทีเจ้าเล่ห์พูด
หลี่เฟิ่งเซียนไม่ตอบและไม่คิดจะทักทาย นางมองเขาอย่างเคียดแค้น ขันทีเฒ่ากลับไม่ใส่ใจ ผายมือให้นางเดินตามเขาไป หลี่เฟิ่งเซียนอดทนเดินตามไปได้สักพัก ในที่สุดนางก็ทนเก็บความคับข้องใจไม่ไหว
"เสแสร้งได้ดีนี่ ข้าขอนับถือ" หลี่เฟิ่งเซียนพูด
"คุณหนูใหญ่พูดเรื่องอะไร ข้าน้อยไม่เข้าใจขอรับ" เขาตอบ
"ขอโทษด้วยข้าเสแสร้งไม่เก่ง แต่ข้าสาบาน ใครที่มุ่งร้ายกับข้า ข้าไม่คิดจะปล่อยมันเอาไว้" นางข่มขู่ทั้งที่ตัวเองก็กลัวมาก
"คุณหนูใหญ่คิดมากไปแล้ว ไม่มีใครทำอะไรคุณหนูใหญ่ได้หรอกขอรับ คุณหนูใหญ่เป็นคุณหนูใหญ่ของจวนแม่ทัพหลี่ ผู้ใดมันจะกล้า นอกเสียจาก..คุณหนูใหญ่จะเผลอไปเหยียบสิ่งที่ไม่ควรเหยียบ ด้วยความเป็นห่วง คนแก่เช่นข้าขอบังอาจสั่งสอนคุณหนูใหญ่ว่า หากจะเดินก็ควรมองเท้าให้ดีๆ" ขันทีหลงอี้ข่มขู่ทั้งที่มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า
“ดินอยู่บนพื้น ข้าเดินอยู่ดีๆ เหยียบพื้นก็เป็นความผิดของข้าหรือ” นางตอบ
“หึ” หลี่เฟิ่งเซียนได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอเบาๆ นางหวาดกลัว แต่ยังพยายามอดทนไว้ กำกระโปรงของตัวเองไว้แน่น เดินต่อไปไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมองขันทีเฒ่า
‘สารเลวนัก เมื่อบ่ายยังส่งคนไปฆ่าปิดปากข้า ยามนี้กลับทำเหมือนไม่เคยเกิดอะไรขึ้น ข้านับถือเจ้าจริงๆ คอยดูเถิดว่าข้าจะเปิดโปงเจ้าอย่างไร’ หลี่เฟิ่งเซียนคิด
เมื่อนางเข้าไปถึง ฮ่องเต้กำลังบอกให้นำอาหารขึ้นโต๊ะ เมื่อนางทำความเคารพเขาแล้ว เขาจึงชวนนางให้อยู่ทานอาหารเย็นด้วยกันเสียเลย
หลี่เฟิ่งเซียนตั้งแต่เล็กนางก็ได้รับความรักความเอ็นดูจากฮ่องเต้มาก บางครั้งเขาก็ยังแอบหนีออกไปหานางที่จวนแม่ทัพหลี่ มีอะไรที่เป็นของดี ไม่กระทบต่องานราชการ ฮ่องเต้ก็จะส่งมอบให้นาง อาหารที่นางชอบเขาจะส่งให้นางทุกเดือน ราวกับนางเป็นลูกอีกคนของเขาก็ไม่ปาน
คนในวังหลังหลายคนจึงไม่ค่อยชอบใจนางเท่าไหร่นัก วันนี้เพิ่งกลับมาถึงเมืองหลวง นางก็ได้นั่งโต๊ะร่วมอาหารกับฮ่องเต้แล้ว หลายคนอยู่ในวังหลังมานานยังไม่เคยได้ร่วมโต๊ะกับฮ่องเต้สักครั้ง
"เซียนเซียนเดินทางมาเหนื่อยๆ ไปอยู่ชายแดนมาตั้งหลายเดือน ดูสิเจ้าผอมไปหมดแล้ว มาๆ ต้องรีบกินเยอะๆ จะได้กลับมาสวยเช่นเดิม" ฮ่องเต้ว่า
แต่หลี่เฟิ่งเซียนมองดูอาหารหลายร้อยจานบนโต๊ะแล้วนางกลับรู้สึกหนักหน่วงในอก
"เป็นอะไรรีบมานั่งสิ" ฮ่องเต้พูด
"ฝ่าบาทหม่อมฉันมีเรื่องขอร้อง ขอพระองค์ได้โปรดรับฟัง" หลี่เฟิ่งเซียนคุกเข่าลงไปหัวโขกพื้น
"เด็กคนนี้นี่ รีบลุกขึ้นมา มีอะไรก็ค่อยๆพูด"
"ฝ่าบาทที่หม่อมฉันเร่งรีบมาที่นี่ เพราะมีเรื่องสำคัญไม่พูดไม่ได้เพคะ" หลี่เฟิ่งเซียนยืนยัน
"เฮ้อ เอาเถิด เจ้าลุกขึ้นมาแล้วค่อยพูด" ฮ่องเต้ถอนหายใจ
หลี่เฟิ่งเซียนลุกขึ้นมานั่งที่โต๊ะไม่ห่างจากฮ่องเต้
"เซียนเซียนโตแล้วสินะ เจ้าถึงกับมีเรื่องเดือดร้อนที่อยากจะให้ข้าช่วยแล้ว คงเป็นเรื่องที่แม้แต่คุณหนูใหญ่ก็ทำสิ่งใดไม่ได้ ใช่หรือไม่" เขาพูดพร้อมกับหยิบตะเกียบขึ้นมา ยื่นไปคีบอาหารจานละเล็กละน้อยใส่ในถ้วยส่วนตัว
"ใช่แล้วเพคะ ต่อให้มีหม่อมฉันอีกสิบคน ก็ยังทำสิ่งใดไม่ได้ เรื่องนี้ต้องเป็นพระองค์เท่านั้นเพคะ"
หลี่เฟิ่งเซียนก้มหน้ามองอาหารเหล่านั้น ในหัวก็นึกย้อนภาพเหตุการณ์ต่างๆที่นางเจอ ตั้งแต่โดนจับไปจนถึงได้พบกับอาหง ฮ่องเต้ยื่นถ้วยของเขามาตรงหน้าของหลี่เฟิ่งเซียน ในนั้นมีอาหารอร่อยอยู่เต็มไปหมด
"ไหนลองว่ามาสิ" ฮ่องเต้พูดพร้อมกับโบกมือเรียกให้ขันทีเอาถ้วยใบใหม่มาให้เขา
จากนั้นหลี่เฟิ่งเซียนก็หยิบตะเกียบคีบอาหารในถ้วยที่ฮ่องเต้เพิ่งจะยื่นให้ นางกินไปด้วยเล่าเรื่องราวที่ตัวเองพบเจอไปด้วย ไม่สนใจมารยาทในวังที่ควรกระทำทำใดๆทั้งสิ้น เหล่าขันทีที่รับใช้ก็ไม่กล้าพูดสิ่งใด ในเมื่อฮ่องเต้ยังนั่งอยู่ตรงนี้และเขาก็ทำเพียงพยักหน้าชื่นชมนางไม่พูดสิ่งใด
เมื่อหลี่เฟิ่งเซียนพูดจบ อาหารในถ้วยของนางก็หมดแล้วเช่นกัน หลังจากออกจากคุกใต้ดินครั้งนั้น ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด นางไม่เคยกินอาหารทิ้งๆขว้างๆอีกเลย มีเท่าไหร่นางก็อยากกินให้หมด มีสิ่งใดนางก็กินสิ่งนั้น
“ข้าเป็นผู้ชายเหตุใดจะมองไม่ออกว่าเขาหวั่นไหวกับท่านแทบแย่ แต่พยายามเก็บอาการ ข้าไม่รู้ว่าท่านกับเขาผิดใจอันใดกัน แต่ลองพูดคุยกับเขาตรงๆ เขาย่อมต้องเข้าใจท่านอยู่แล้ว” จ้าวเหลียงให้คำแนะนำหลี่เฟิ่งเซียนหัวใจระส่ำไม่เป็นจังหวะ นางทำเรื่องเลวร้ายไปมากมายเช่นนั้น ยังจะมีเรื่องเข้าใจผิดอันใดอีก แต่หากเป็นดั่งที่จ้าวเหลียงพูดจริง นางควรทำเช่นไรดี อยากลองพูดคุยจริงจังกับเขาสักครั้ง แต่ก็กลัวว่าหากเขาตอบว่าชื่นชอบหญิงในชุดขาวผู้นั้น นางควรทำอย่างไร แต่หากเขาชอบนางอย่างที่จ้าวเหลียงพูดจริงๆ และนางปล่อยไปเช่นนี้ ดีแล้วแน่หรือ“ข้าต้องไปก่อนนะ” พูดแล้วหลี่เฟิ่งเซียนก็เดินออกจากห้องพักของจ้าวเหลียงทันที อยากรีบไปหาสามีของตัวเองเพื่อพูดคุยให้รู้เรื่องนางไปรอเขาที่หน้าประตูจวน เพียงไม่นานก็เห็นรถม้ากำลังใกล้เข้ามา นางรอจนกระทั่งรถม้าจอด เขาเปิดประตูออกมา นางคล้ายว่าไม่ได้เห็นเขามาหลายวันมาก คิดถึงเขาจนอยากวิ่งเข้าไปกอด แต่นางไม่กล้าหลี่เฟิ่งเซียนพบว่าเขากำลังมองมาที่นางเช่นกัน คล้ายว่าเขาจะขมวดคิ้วและทำหน้าโกรธ จู่ๆ นางก็กลัวที่จะเข้าไปหาเขา จึงเลือกที่จะหนีออกมาอย่างรวดเร็วลู่มู่เฉินรู้สึกเจ็
หลี่เฟิ่งเซียนเดินออกไปจากห้องนานแล้ว แต่เขายังคงนั่งมองมือซ้ายของเขา เขาเริ่มรู้สึกเสียใจที่วันนั้นตัดสินใจหักมือข้างนั้น คิดอีกที หากเขาไม่ทำเช่นนั้นคงไม่สามารถรอดมามีความสุขเช่นนี้ได้ แต่ความสุขเช่นนี้ดีแน่แล้วหรือ เขาคิดกลับไปกลับมาอยู่เช่นนั้นทั้งคืน บ่าวชายที่มาช่วยเขาเช็ดตัว เขาก็จำหน้าไม่ได้หลังจากเรื่องวันนั้น หลี่เฟิ่งเซียนก็หลบหน้าเขา แต่มีหยวนหยวนส่งน้ำแกงปลาและน้ำแกงไก่มาให้เขาทุกเช้า เขาเองแม้จะเริ่มคิดถึงนางมากแต่ไม่กล้าไปหานางที่ห้อง เพราะความอับอายที่ลูกผู้ชายคนหนึ่งต้องถูกจู่โจมอย่างสิ้นท่า ไร้การต่อต้านแม้นางจะพูดว่านางเป็นคนผิด แต่เขารู้ดีว่าไม่ใช่ หากวันนั้นเขาไม่ยินยอมจริงๆ นางตัวเล็กเพียงนั้นจะถึงขั้นขืนใจเขาได้หรือ เขาประเมินความต้องการของเขาผิดไป ไม่นึกว่าจะต้องการนางมากถึงขั้นขาดสติ ปล่อยให้เรื่องราวเช่นนั้นเกิดขึ้นต่อมาลู่มู่เฉินยังได้ยินพ่อบ้านพูดว่านายหญิงผู้เฒ่าร้อนใจจนทำอะไรไม่ถูก เพราะจู่ๆ หลี่เฟิ่งเซียนก็กลับไปเที่ยวหอเข่อซินอีกแล้ว ท่านพ่อบ้านขอให้เขาช่วยพูดกับคุณหนูใหญ่ว่าไม่ควรไปเที่ยวสถานที่เช่นนั้นอีกเพราะนางแต่งงานแล้วแต่เมื่อเขาเดินไปถึงหน้า
หลี่เฟิ่งเซียนหันไปมองแท่งหยกที่นางกำไม่มิดนั้น กลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น ตัดสินใจยกก้นขึ้นและจับท่อนหยกร้อนของเขาถูไปมา ยามนี้ผลท้อของนางเต็มไปด้วยน้ำแห่งความสุขแล้ว‘เพียงลูบคลำเจ้านี่ ข้าก็สามารถหลั่งน้ำแห่งความสุขได้แล้วหรือ’ นางสงสัย จำได้อาหงบอกว่าเช่นนี้นางจะเจ็บน้อยลงลู่มู่เฉินรู้ทันทีว่านางคิดจะทำอะไร ถึงเขาจะอยากให้นางทำ และต้องการมากเพียงใด แต่มโนสำนึกของเขาและความตั้งใจของเขายังคงทำให้เขามีแรงจะดึงสติกลับมาได้“อย่า อย่าทำเช่นนี้” เขาขอร้องอย่างร้อนรน“เจ้าไม่อยากเสียใจภายหลังหรอกนะ เชื่อข้าเถิด เฟิ่งเอ๋อร์” เขาอ้อนวอนนาง แต่หลี่เฟิ่งเซียนใช้มือข้างหนึ่งยันเขาไว้ บังคับไม่ให้เขาลุกขึ้นหนีไปไหน มืออีกข้างของนางก็จับแท่งหยกร้อนนั่นถูไปมาที่ร่องกลีบดอกไม้ของนาง ก่อนที่นางจะออกแรงดันตัวเองลงไป หลี่เฟิ่งเซียนรู้สึกได้ถึงความดุดันของท่อนหยางร้อนลวกของเขาที่กำลังดุนดันเข้าไปในร่องกลีบดอกท้อ“พอแล้ว ขอร้อง อย่าทำเช่นนี้ อย่า” เสียงต่ำแหบพร่าของเขาขอร้องให้นางหยุด ในขณะที่อีกใจหนึ่งของเขากำลังรอให้นางดันตัวลงมากอดรัดเอ็นอุ่นนั้นไว้ เพียงแค่นางถูไถโลมเล้าเคล้าคลึงไปมา ความนุ่มลื่
เขาพลิกตัวอยากจะกระโดดหนีลงไปด้านล่าง แต่เพียงแค่เขาเอียงตัวนางก็ใช้เท้าเล็กๆของนางเหยียบลงมาที่ไหล่ของเขา ดันให้เขาพลิกตัวประชันหน้ากับนางตรงๆ เขาอยากมีแรงมากกว่านี้เพื่อดันเท้านั้นให้หลุด น่าเสียดายที่วันนี้เขาอ่อนแอมากกว่าทุกที เขายังได้รับบาดเจ็บจากการทดลองยาอยู่ และภาพภรรยาตัวเปลือยเปล่า งดงามจนเขาตกตะลึง ลืมว่าต้องหนีสองมือถูกมัดไว้พ่ายหลัง ยิ่งดันให้ช่วงสะโพกแอ่นขึ้น ท่อนหยกร้อนของเขาชูชันแสดงตัวอย่างกับต้องการบอกให้นางรู้ว่าเขารู้สึกอย่างไร มันชูชันสูงใหญ่ดั่งเสาค้ำสวรรค์ก็ไม่ปาน หลี่เฟิ่งเซียนตาโต จ้องมองหัวใจสั่นไหว ลู่มู่เฉินงอขาและพยายามหนีบเจ้านั่นเอาไว้ แต่ยามนี้มันขยายใหญ่จนปิดไม่มิด ภาพที่นางอ้าขาเหยียบไหล่เขาเอาไว้ แม้งดงามจนเขาถอนสายตาไม่ได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาในฐานะบุรุษผู้หนึ่ง อย่างไรเขาก็ไม่อาจรับตัวเองได้ เขาอ้าปากเพื่อหายใจ หลับตาแน่นเพื่อลดทอนความอับอายในใจหลี่เฟิ่งเซียนมองดูเจ้าสิ่งนั้นแล้วตกใจไม่น้อย ในใจนางนึกถึงตอนเขาป่วยและนางเช็ดตัวให้เขา มันยังเล็กมากเท่านิ้วเท้าหัวแม่โป้ง แต่ยามนี้มันชูชันจนแทบจะใหญ่เท่าข้อมือของนาง! หลี่เฟิ่งเซียนเริ่มหายใจไม
แต่ครั้งเข้าไปในห้องของตัวเองและเห็นพวกรูปต่างๆ ที่อาหงวาดขึ้นเพื่อการเรียนรู้เหล่านั้น ในใจนางเกิดความรู้สึกหึงหวงอย่างบอกไม่ถูก ไม่ใช่ว่าเขาไม่ยอมเข้าหอกับนาง เพราะหญิงแพศยานั่น!!...พวกเขาไปถึงไหนกันแล้ว!! มิน่าเขาถึงได้เชี่ยวชาญมาก เพียงจูบก็ทำให้นางสามารถหลั่งน้ำแห่งความสุขได้ เขาอาจจะเคยทำกับผู้อื่นมาก่อน เขาถึงทำเช่นนั้นได้อย่างเชี่ยวชาญ นางยอมไม่ได้ นางต้องรีบรวบหัวรวบหางเขา!! ทนรอให้เขายินยอมด้วยตัวเองไม่ได้แล้ว!!หลี่เฟิ่งเซียนวิ่งไปถึงหน้าห้องของเขา เห็นว่าด้านในยังมีแสงไฟอยู่ นางผลักประตูเข้าไปไม่บอกกล่าวไม่เคาะประตู“เจ้า เจ้าเข้ามาได้อย่างไร” ลู่มู่เฉินเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เขากำลังใส่เสื้อผ้า นางก็ผลีผลามเข้ามา เขาตกใจ รีบร้อนใส่เสื้อให้เรียบร้อย แต่เชือกผูกเอวอยู่บนโต๊ะ เขายืนอยู่ใกล้เตียงนอน จึงทำได้เพียงใช้มือจับสาบเสื้อคลุมตัวยาวเอาไว้หลี่เฟิ่งเซียนเห็นว่าเขายังแต่งตัวไม่เรียบร้อย แผนในใจของนางผุดขึ้นมาเป็นร้อยแผน คำพูดของอาหงดังก้องอยู่ในหู‘หากเจ้าทำให้เขาภูมิใจมากพอ เขาจะเอ็นดูเจ้ามากขึ้น’นางหันไปปิดประตูลงกลอน ยังเดินไปปิดหน้าต่างที่เขาแง้มเอาไว้รับลมด้วย“เจ้า เจ้า
เรื่องราวในคืนนั้น ความหอมหวานที่เขากอดกกนาง รสจูบ ความนุ่มนิ่มนุ่มนวล ทุกอย่างทำให้เขาไม่กล้าเดินไปที่เตียงนั่น แม้บนเตียงนั้นจะเปลี่ยนผ้าปูผ้าห่มใหม่ทั้งหมดแล้วก็ตาม เขายังคงรู้สึกว่ากลิ่นหอมหวานจากตัวนางยังคงติดอยู่ที่จมูก'ตัวเจ้าหอมมาก' คำพูดของหลี่เฟิ่งเซียนลอยมา นางเคยพูดชมเขาเช่นนั้นหลายครั้งแล้ว เขาไม่แน่ใจว่านางได้กลิ่นอันใดทั้งที่บนตัวเขามีแต่กลิ่นยา เขาเองก็อยากจะบอกกับนางว่า 'ตัวเจ้าหอมน่ากินมาก' เพราะบนตัวของนางมีกลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายดอกไม้ผสมกลิ่นบางอย่างคล้ายหนิวหน่าย[1] ต้มผสมน้ำผึ้ง เป็นอาหารของชาวอิ่นตู้ที่เขาเคยได้ลิ้มลองเมื่อครั้งยังท่องเที่ยวไปทั่ว มันอร่อยและหอมติดจมูก ดังนั้นเมื่อเขาได้กลิ่นนี้จากตัวนาง เขาจึงรู้สึกน้ำลายสอ อยากจะกลืนกินครั้งแล้วครั้งเล่า เสียดายก็แต่เขาพูดออกไปเช่นนั้นไม่ได้ ในที่สุดลู่มู่เฉินก็ดึงผ้าห่มจากเตียงและลงไปนอนบนพื้นแทน เขาไม่รังเกียจที่จะนอนบนพื้นเพราะเขาเคยนอนในที่ที่ลำบากมากกว่านี้ พื้นแข็งๆที่ทำจากไม้ขัดมันอย่างดี ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการนอนหลับของเขาลู่มู่เฉินนอนหลับด้วยความยากเย็นเพราะมัวแต่คิดถึงนาง ในขณะที่หลี่เฟิ่งเซียนแทบ