"เจ้าโตขึ้นมาก.." ฮ่องเต้มองหน้านางและยิ้มอย่างภูมิใจ
"หึ ข้าชักจะอยากเห็นหน้าลู่มู่เฉินผู้นั้นสักครั้งแล้วสิ" ฮ่องเต้เอ่ยขึ้น
"ท่านพ่อยอมรับเขาแล้ว ท่านห้ามทำอะไรเขาเด็ดขาด" หลี่เฟิ่งเซียนขมวดคิ้วไม่ไว้วางใจผู้ยิ่งใหญ่ตรงหน้า แม้เขาจะเป็นโอรสมังกรของแผ่นดิน เขารักและเอ็นดูนาง แต่หลายครั้งเขาก็มักจะกลั่นแกล้งนาง
"ฮ่าๆๆ ไม่ทันไรเจ้าก็ปกป้องเขาแล้วหรือ ไม่ต้องห่วงหรอก ท่านอาของเจ้าเพียงอยากเห็นหน้าเท่านั้น ฮ่าๆๆๆ"
จะไม่ห่วงได้อย่างไรดูเขาทำหน้าเข้า
"เอาเถิด ข้ารับปากเจ้า อะไรที่ควรตรวจสอบข้าก็จะตรวจ คนของเจ้าข้าก็จะให้หมอหลวงมือหนึ่งของข้าไปรักษาให้ และแผนรับนางสนมของเจ้า วังหลังของข้ายังพอมีที่ว่างให้นางอยู่ ส่วนเรื่องเครื่องประดับที่เจ้าทำหายข้าจะคิดอีกทีว่าควรลงโทษเช่นไรดี" ฮ่องเต้พูดไปยิ้มไป
หลี่เฟิ่งเซียนคุกเข่าลงไปโขกหัวขอบคุณอีกครั้ง
ก่อนกลับนางยังขอรถม้าจากฮ่องเต้ ให้ช่วยไปส่งนางที่หน้าจวนด้วยเพราะนางไม่ไว้ใจว่าตัวเองอาจจะถูกฆ่าอีกได้
กลับถึงจวนแม่ทัพหลี่ก็มืดแล้ว หลี่เฟิ่งเซียนรีบเข้าไปหาท่านย่า
"ท่านย่า ข้ากลับมาแล้ว" นางตะโกนตั้งแต่ยังไม่เข้าประตูเรือนของท่านย่า
เมื่อเข้าไปด้านในนางเห็นท่านย่ากำลังนั่งดื่มชาอยู่ ฮูหยินรองเซี่ย ผู้เป็นอนุเพียงคนเดียวของแม่ทัพหลี่ยืนอยู่ข้างๆท่านย่า ทำหน้าตาประหลาดยักคิ้วหลิ่วตา เพื่อบอกให้นางรู้ว่าท่านย่าโกรธมาก
"ท่านย่า ข้ากลับมาแล้ว" หลี่เฟิ่งเซียนรีบเข้าไปประจบออดอ้อน นั่งลงข้างเก้าอี้ของท่านย่า แต่ท่านย่ากลับยกเท้าหนีไม่ให้นางแตะ
"ท่านย่าาา ท่านอย่าโกรธเลย ข้าผิดไปแล้ว พรุ่งนี้จะนั่งคุกเข่าที่ศาลบรรพชน หนึ่งวัน ท่านเห็นว่าอย่างไร"
ท่านย่ายังคงไม่สนใจ ทำเพียงเทชาดื่ม หลี่เฟิ่งเซียนมองนางเทชาแล้วดื่ม ดื่มเสร็จก็เทอีก ราวกับชานั่นรสอร่อยจนหาอื่นใดเปรียบ
"ก็ได้ ข้าให้ท่านโบย ห้าสิบไม้ ..แปดสิบ..เก้าสิบ..หนึ่งร้อยไม้เลยก็ได้" นางต่อรองไปสังเกตสีหน้าของท่านย่าไปด้วย แต่ท่านย่าก็ยังคงไม่หันมามอง
"โถ่ หนึ่งร้อยยังไม่พออีกหรือท่านย่า มากกว่านี้ข้ารับไม่ไหวแล้วนะ"
หลี่เฟิ่งเซียนตัดพ้อ
จู่ๆท่านย่าก็หันมามอง
"เรื่องลงโทษ ท่านย่าอย่างข้าจะไปลงโทษคุณหนูใหญ่เช่นเจ้าได้อย่างไรกัน" ท่านย่าเอ่ยอย่างน้อยใจ
"ท่านย่า ท่านลงโทษข้ามาเถิด ไม่ว่าอะไรข้าก็จะทำ" หลี่เฟิ่งเซียนอ้อน
"แม้แต่ลงโทษ ห้ามไปที่หอเข่อซิน ก็ไม่เป็นไรหรือ?" ท่านย่าเอียงหน้าถาม
เมื่อก่อนตอนที่นางยังไม่หนีตามอ๋องเยียนไปชายแดน วันไหนที่นางไม่ได้ไปเกี้ยวชายงาม หรือไล่ตามอ๋องเยียน นางก็จะไปที่หอเข่อซิน ท่านย่าทั้งสั่งห้ามทั้งลงโทษก็ไม่เป็นผล
วันนี้หลี่เฟิ่งเซียนกับพยักหน้าอย่างง่ายดาย ท่านย่าตกใจไม่น้อย นี่ถือว่าเป็นเรื่องดี ในที่สุดหลานสาวคนเดียวก็เติบโตแล้ว ท่านย่าน้ำตาคลอดีใจ
"ดีแล้ว ดีมาก ดีจริงๆ" ท่านย่ารีบเข้าไปประคองหลี่เฟิ่งเซียนให้ลุกขึ้น
"ลุกขึ้นมาเร็ว ให้ท่านย่าดูเจ้าหน่อยซิ ไปอยู่ชายแดนหลายเดือน ประสบเคราะห์กรรมมากมาย เจ้าผอมไปมากต้องรีบหาอาหารดีๆมาบำรุงแล้ว"
หลี่เฟิ่งเซียนยิ้มอย่างมีความสุข นางยังกอดท่านย่าอย่างออดอ้อนราวกับเด็กน้อยด้วย
ฮูหยินรองก็น้ำตาซึม ยกผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตา
"แล้ว..มู่เฉินของข้า ท่านย่าเห็นเขาหรือยังเจ้าคะ หรือเขายังไม่ฟื้น" หลี่เฟิ่งเซียนถามขึ้น
"อ้อ ย่าเห็นแล้ว ย่าให้เขาไปรับโทษแทนเจ้า ต้องคุกเข่าสำนึกผิดในศาลบรรพชนสองวัน เช่นนี้หลานย่าก็ไม่ต้องรับโทษแล้ว" ท่านย่าโอบแขนหลี่เฟิ่งเซียนและพูดเหมือนเป็นเรื่องปกติ
"อะไรนะ!!!" หลี่เฟิ่งเซียนตกใจ รีบวิ่งออกไปจากห้องโถงไม่สนใจท่านย่าหรือใครทั้งสิ้น
"เหลวไหล กลับมานี่เดี๋ยวนี้นะ!" ท่านย่าโกรธ
หลี่เฟิ่งเซียนหยุดฝีเท้า นางอยากรีบไปดูเขา แต่ก็ไม่อยากขัดใจท่านย่า นางค่อยๆ หันมา เห็นว่าท่านย่าโกรธมาก
“ท่านย่า วันหน้าท่านจะลงโทษข้าเช่นไรก็ได้ แต่มู่เฉินป่วย ถูกความเย็นไม่ได้ ข้าขออภัยเจ้าค่ะ อย่าทำเช่นนี้กับเขาเลย ทำโทษข้าแทนเถิด” นางคุกเข่าลงไป โขกศีรษะขอร้องท่านย่า
“นี่ ๆ ๆๆๆ นี่เจ้าหลงมันมากเพียงนี้เชียวหรือ ถึงกับยอมคุกเข่าขอร้องแทนมัน! เหลวไหลสิ้นดี! หลานของข้าที่ชอบคนงามมาตลอด แต่ยามนี้เจ้ากลับแต่งให้คนอัปลักษณ์ผู้หนึ่ง เจ้าคิดจะทำให้ท่านย่าของเจ้าตายเร็วขึ้นหรือ!!” ท่านย่าชี้นิ้วสั่นๆมาทางหลี่เฟิ่งเซียน นางไม่อยากเชื่อว่าหลานของนางที่เคยหวงแหนหัวเข่าไม่ต่างจากพ่อของนาง ยามนี้กลับคุกเข่าเพื่อชายอัปลักษณ์ผู้หนึ่ง
หัวเข่าของนางที่เคยรักษาไว้อย่างดี ไม่เคยต้องเสียให้ผู้ใดแม้สักชั่ง หลี่เฟิ่งเซียนกลับรู้สึกว่าตั้งแต่ได้พบกับลู่มู่เฉิน นางใช้ไปแล้วหลายร้อยตำลึงทอง ช่างเป็นเรื่องที่สิ้นเปลืองยิ่ง แต่ในเมื่อนางตัดสินใจรับเขาเป็นสามีแล้ว ถึงจะต้องเสียอีกหลายพันตำลึง นางก็คงต้องยอมแลก พันชั่งหมื่นชั่งแล้วอย่างไร เขาถึงขั้นยอมคลานเป็นสุนัขเพื่อให้นางอิ่มท้อง อะไรก็ไม่สำคัญแล้ว
“ท่านย่า ให้อภัยเขาด้วย ข้าเป็นคนผิดเอง” หลี่เฟิ่งเซียนว่า
“เจ้า! เจ้ามันหลานชั่ว อยากจะไปไหนก็ไป” ท่านย่าไล่ แทนที่หลี่เฟิ่งเซียนจะรีบมาออดอ้อน แต่นางกลับรีบลุกขึ้นและวิ่งไปทางศาลบรรพชน ปล่อยให้ท่านย่าโมโห ท่านย่าตั้งใจว่าหากนางพาสามีหนีการทำโทษคืนนี้ พรุ่งนี้ท่านย่าจะสั่งให้หลี่เฟิ่งเซียนมอบใบหย่า!!
หลี่เฟิ่งเซียนวิ่งมาถึงหน้าศาล นางเห็นเขานั่งอยู่หน้าศาลบรรพชน ท่ามกลางแสงเทียนมากมายหลายร้อยเล่ม เขากำลังใช้มือขวานวดคลึงมือซ้าย หัวใจของหลี่เฟิ่งเซียนรู้สึกเจ็บปวดแทนเขา นางเข้าไปรีบดึงเขาให้ลุกขึ้น
“กลับห้อง เจ้ามาอยู่ที่นี่ไม่ได้” นางบอก
“เหลวไหล ทำเช่นนั้นได้อย่างไร เดี๋ยวท่านย่าก็ยิ่งโกรธกว่าเดิม เช่นนั้นไม่ดี” เขาตอบ เงยหน้ามองนาง
“เจ้าป่วยนะ” นางทำเสียงดุเขา
“ข้าไม่เป็นไรมาก ข้าอยู่ข้างนอกเจอเรื่องลำบากตั้งเท่าไหร่ คุกเข่าไม่กี่ชั่วยาม ข้าไม่เป็นไร ที่นี่ออกจะสะดวกสบาย มีเบาะรองนุ่มๆด้วย” เขาพูดอย่างอ่อนโยน ยังยิ้มน้อยๆให้นางเพื่อเป็นการยืนยันว่าเขาไม่เป็นไร
หลี่เฟิ่งเซียนนั่งลงที่เบาะข้างซ้ายของเขา นางเห็นด้วยว่าการนั่งเฉยๆในศาลบรรพชนไม่ใช่เรื่องหนักหนาใดเลย เมื่อเทียบกับคุกใต้ดินหรือนอนตากน้ำค้างนอกด่านตรวจทหาร
นางจึงจับมือเขามานวดเสียเอง เขามองนางด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย ในใจของลู่มู่เฉินรู้สึกว่ามีกองไฟอบอุ่นกองหนึ่ง จากเริ่มแรกมันเพียงทำให้ใจของเขาอุ่นขึ้น แต่เมื่อนางสัมผัสเขานานขึ้น กองไฟกองนั้นก็ค่อยๆร้อนรุ่มขึ้น ลู่มู่เฉินเริ่มรู้สึกว่าคอแห้งผาก
เรื่องราวในคืนนั้น ความหอมหวานที่เขากอดกกนาง รสจูบ ความนุ่มนิ่มนุ่มนวล ทุกอย่างทำให้เขาไม่กล้าเดินไปที่เตียงนั่น แม้บนเตียงนั้นจะเปลี่ยนผ้าปูผ้าห่มใหม่ทั้งหมดแล้วก็ตาม เขายังคงรู้สึกว่ากลิ่นหอมหวานจากตัวนางยังคงติดอยู่ที่จมูก'ตัวเจ้าหอมมาก' คำพูดของหลี่เฟิ่งเซียนลอยมา นางเคยพูดชมเขาเช่นนั้นหลายครั้งแล้ว เขาไม่แน่ใจว่านางได้กลิ่นอันใดทั้งที่บนตัวเขามีแต่กลิ่นยา เขาเองก็อยากจะบอกกับนางว่า 'ตัวเจ้าหอมน่ากินมาก' เพราะบนตัวของนางมีกลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายดอกไม้ผสมกลิ่นบางอย่างคล้ายหนิวหน่าย[1] ต้มผสมน้ำผึ้ง เป็นอาหารของชาวอิ่นตู้ที่เขาเคยได้ลิ้มลองเมื่อครั้งยังท่องเที่ยวไปทั่ว มันอร่อยและหอมติดจมูก ดังนั้นเมื่อเขาได้กลิ่นนี้จากตัวนาง เขาจึงรู้สึกน้ำลายสอ อยากจะกลืนกินครั้งแล้วครั้งเล่า เสียดายก็แต่เขาพูดออกไปเช่นนั้นไม่ได้ ในที่สุดลู่มู่เฉินก็ดึงผ้าห่มจากเตียงและลงไปนอนบนพื้นแทน เขาไม่รังเกียจที่จะนอนบนพื้นเพราะเขาเคยนอนในที่ที่ลำบากมากกว่านี้ พื้นแข็งๆที่ทำจากไม้ขัดมันอย่างดี ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการนอนหลับของเขาลู่มู่เฉินนอนหลับด้วยความยากเย็นเพราะมัวแต่คิดถึงนาง ในขณะที่หลี่เฟิ่งเซียนแทบ
“มันก็ไม่ใช่ฉี่เช่นนั้น มันออกมานิดเดียว ไม่ได้เปื้อนผ้าห่ม แต่ก็เปื้อนตามขาด้านใน จับต้องได้ เพราะมันเหนียวๆ ใสๆ” หลี่เฟิ่งเซียนหน้าทั้งร้อนทั้งแดง เรื่องน่าอายเช่นนี้นางไม่เคยพูดกับใคร แต่หากเป็นเช่นคืนนั้นอีก ตอนเขากำลังเข้าหอกับนาง นางไม่รู้ว่าจะรับมือเช่นไร สู้อับอายกับอาหงยังดีเสียกว่า อย่างน้อยนางข่มขู่อาหงได้“หรือว่า..ที่จริงแล้วข้ากำลังป่วยอยู่” หลี่เฟิ่งเซียนพูดออกไปเมื่อคิดได้บางอย่าง นางเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมา“ห๊ะ! เอ่อ ไม่สิ ไม่ใช่ ให้ข้าถามก่อนเจ้าอย่าเพิ่งโวยวาย....ฉี่ที่เจ้าพูดนั้น มันใสๆ เหนียวเล็กน้อย และออกมาจากผลท้อของเจ้า เจ้า..เจ้าเคย..กับท่านเขยแล้วหรือ” อาหงพยายามสรรหาคำพูดที่ฟังแล้วไม่น่าเกลียดเกินไปมาถาม“เคยอะไร ข้าไม่เคยสักครั้ง เราสองคนยังไม่เคยเข้าหอ หากเคยไปแล้วข้าจะมานั่งกลุ้มใจเช่นนี้หรือ” หลี่เฟิ่งเซียนตัดพ้อ“เจ้าไม่เคยแล้วน้ำใสๆ นั่นจะออกมาได้อย่างไรกัน” อาหงขมวดคิ้วแน่น“ก็นั่นสินะ ข้า ข้ากำลังป่วยใช่หรือไม่” หลี่เฟิ่งเซียนสลดยิ่งนัก“แล้วน้ำนั่น ไหลมาตอนไหนหรือ” อาหงซักอย่างละเอียด“ห๋า เอ่อ ก็ ..ก็หลังจากที่เขา ..เขา..เขากัด” หลี่เฟิ่งเซียนอธิบาย
เป็นครั้งแรกที่นางได้ยินเขาพูดครั้งเดียวยาวๆเช่นนี้ หลี่เฟิ่งเซียนพูดไม่ออกได้แต่นิ่งฟัง“ที่ท่านย่าไม่ชอบข้า นั่นก็เพราะนางรักเจ้ามาก อยากให้เจ้าได้แต่งงานกับผู้ที่จะดูแลเจ้าได้ ผู้ที่จะสามารถแบกตระกูลหลี่ไว้บนบ่า แต่เจ้ากลับคว้าเอาใครไม่รู้เช่นข้ามาแต่งงาน ทั้งอัปลักษณ์ ทั้งพิการ นางเพียงกลัวว่าภายภาคหน้าเจ้าจะลำบาก หากว่าท่านแม่ทัพไม่อยู่แล้ว” ลู่มู่เฉินเข้าใจความคิดของท่านย่าเป็นอย่างดี และไม่โทษผู้ใดที่เขามีชีวิตเช่นนี้ “แต่ว่า..เจ้าจะเจ็บมือหากอยู่ในที่เย็นๆ” นางยังคงเป็นห่วงเขา แม้จะเริ่มเข้าใจสิ่งที่เขาพูด“ไม่ต้องห่วง ข้ามีกล่องเข็มของเจ้าช่วยชีวิตแล้ว เวลาที่รู้สึกเจ็บ ข้าสามารถฝังเข็มที่มือบรรเทาความเจ็บได้” เขาตอบอย่างอ่อนโยน“เจ้า พูดจริงหรือ เจ้าย้ายไปอยู่ในห้องดีๆก็ได้ จวนของข้าสามารถดูแลเจ้าได้ ไม่จำเป็นต้องประหยัดเพียงนั้น เจ้า ..ข้าไม่ได้รังเกียจเจ้า” หลี่เฟิ่งเซียนยังดื้อดึง คำพูดท้ายๆนางไม่กล้าสบตาเขาเพราะความเขินอาย จึงก้มหน้าลงบิดมือไปมา“อย่าเหลวไหล ถึงจวนของเจ้าจะมีเงินมากมาย แต่ก็ต้องรู้จักรักษา และหามาเพิ่ม พรุ่งนี้เจ้าควรไปขอโทษท่านย่าด้วย เข้าใจหรือไม่” เข
“รีบลุกขึ้นมา เจ้าไม่สบายอยู่ เดี๋ยวจะอาการหนักกว่าเก่า” หลี่เฟิ่งเซียนเป็นห่วงสามี“อย่าเหลวไหล ท่านย่าทำโทษเจ้าอยู่ อย่างไรข้าย่อมต้องรับโทษแทนเจ้า เจ้าอย่าทำให้ท่านโกรธอีก” ลู่มู่เฉินดุนาง หลี่เฟิ่งเซียนก็เงียบตามเขาพูด นั่งลงข้างๆเขา“เจ้าไม่ต้องทำเช่นนี้ มีข้ารับโทษแทนเจ้าแล้ว เมื่อวานเจ้าเหนื่อยทั้งคืน หากยังต้องมานั่งคุกเข่าตากอากาศเย็นตอนกลางคืน เจ้าจะไม่สบายได้” เขาพูดอย่างอ่อนโยนกับนางลู่มู่เฉินพูดถึงเรื่องที่นางชกต่อยจนชายชาตินักรบผู้หนึ่งอย่างจ้าวเหลียงต้องนอนรักษาตัวลุกไม่ขึ้น แต่หลี่เฟิ่งเซียนกลับนึกไปถึงเรื่องที่เขาทำให้นางอ่อนระทวยจนไม่มีแม้แต่แรงขยับตัว นางรู้สึกแก้มสองข้างร้อนๆ กลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก เพราะมืดแล้ว สาวใช้ที่ยืนรอบๆต่างไม่สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของคุณหนูใหญ่ แต่ไม่ใช่ลู่มู่เฉิน เขารับรู้ถึงความเขินอายของนางได้ คราแรกเขาไม่แน่ใจว่าเหตุใดจู่ๆนางจึงเขินอาย แต่เมื่อนึกย้อนทบทวนคำพูดของตัวเองแล้ว เขารู้สึกกระอักกระอ่วนไม่น้อยในความชวนให้เข้าใจผิดของคำพูดนั้น สองสามีภรรยาโง่งมต่างเขินอายโดยไม่มีผู้ใดรับรู้เพล้ง!! เสียงถ้วยกระเบื้องแตกดังออกมาจากเรือนของ
หลี่เฟิ่งเซียนรีบร้อนไปรับยู่ยี่กลับมา แต่พอไปถึงที่พักของคนใช้นอกจวน นางก็ได้รับรู้ว่ายู่ยี่ไม่ได้อยู่ในที่พักนี้ ยู่ยี่ถูกบังคับให้ไปเช่าบ้านอยู่ และวันนี้นางก็ต้องไปซักผ้าที่แม่น้ำ หลี่เฟิ่งเซียนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นางยิ่งรู้สึกผิดต่อยู่ยี่ที่พามาลำบากอยู่ในเมืองหลวง หลี่เฟิ่งเซียนสัญญากับตัวเองว่าหากพานางมาได้แล้วจะดูแลนางให้ดีขึ้นเรื่องนี้ หรือเรื่องสามี ทั้งสองเรื่องผิดที่ตัวนาง นางเป็นคนพาพวกเขามาแต่ไม่ดูแลพวกเขา คิดว่าท่านย่ารักนางอย่างไรก็จะดูแลคนของนางให้ดี ที่ไหนได้ท่านย่ากลับเห็นคนไม่เท่ากัน บ่าวก็ยังเป็นบ่าว บ่าวก็ยังแบ่งกันเป็นหลายชั้น สูงต่ำกันไปตามมารยาทที่ได้รับฝึกสอนอีก ส่วนเขยของจวนแม่ทัพอย่างลู่มู่เฉิน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าท่านย่ารังเกียจเขาเพียงใด บังคับให้เขาอยู่ในห้องมืดๆ ผนังไม่ดี ลมเย็นพัดเข้ามาได้ตลอดคืน ผ้าห่มฟู่ปูนอนก็เป็นของเก่า ทั้งที่นางก็บอกไปแล้วว่าเขาป่วยอยู่ในห้องที่มีอากาศเย็นนานๆไม่ได้ นางไม่อาจไม่รับความผิดนี้ นางจะชดเชยให้พวกเขาหลี่เฟิ่งเซียนควบขี่ม้าไปรับยู่ยี่ที่แม่น้ำ ทันทีที่นางเห็นคุณหนูใหญ่ ยู่ยี่ก็ร้องไห้ออกมายกใหญ่ ทั้งด่าทั้งบ่นคุณหนูใหญ่
มือเย็นยะเยือกที่ไร้เนื้อหนัง บนหลังมือยังเต็มไปด้วยตุ่มใส เล็บยาวสีแดงน่ากลัว คืบคลานเข้าหาตัวนางทีละเล็กทีละน้อย มือข้างนั้นดึงเสื้อผ้าของนางขาดจนไม่เหลือชิ้นดี หลี่เฟิ่งเซียนตัวแข็งทื่อคล้ายโดนพิษขยับไม่ได้มือที่มีเพียงกระดูกนั้นผลักนางด้วยความแรงชนิดที่นางคิดไม่ถึง ตัวนางล้มลงไปบนกองฟางเปียกชื้น มันทั้งเหม็นทั้งคัน นอกจากกองฟางนั้นแล้วรอบๆ มีแต่สิ่งปฏิกูล นางร้องขอความช่วยเหลือแต่อ้าปากไม่ได้ ทั้งห้องอับชื้นมีเพียงแสงสว่างสายหนึ่งส่องเข้ามาจากด้านบนนางรู้สึกได้ถึงริมฝีปากที่งับเบาๆ แถวปลายคาง ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปตามผิวเนื้อวิ่งตรงไปที่ท้องน้อยของนาง ก่อนจะทำให้ผลท้อชมพูของนางสั่นระริกราวกับโดนไฟลวก สองมือที่มีแต่กระดูกตระกองกอดนาง บีบบังคับให้นางต้องแอ่นอกไปชิดโครงร่างผอมแห้ง ลิ้นชื้นแฉะเลียไปตามคอระหง วกกลับไปดูดริมฝีปากล่างของนางเบาๆ แต่นางยังรู้สึกเจ็บมากหลี่เฟิ่งเซียนกลัวจับใจ แต่ร่างนั้นยังคงกอดกัดนางต่อไป มันกัดริมฝีปากของนางจนเปื่อยก่อนจะผลักนางล้ม ฉีกกระชากตู้โตวของนาง ก่อนจะทาบทับลงไปบนหน้าอก นางรู้สึกถึงยอดถันชมพูที่กำลังเสียดสีกับโครงกระดูก ก่อนที่โครงกระดูกจะโน้มตัว