“รีบลุกขึ้นมา เจ้าไม่สบายอยู่ เดี๋ยวจะอาการหนักกว่าเก่า” หลี่เฟิ่งเซียนเป็นห่วงสามี
“อย่าเหลวไหล ท่านย่าทำโทษเจ้าอยู่ อย่างไรข้าย่อมต้องรับโทษแทนเจ้า เจ้าอย่าทำให้ท่านโกรธอีก” ลู่มู่เฉินดุนาง หลี่เฟิ่งเซียนก็เงียบตามเขาพูด นั่งลงข้างๆเขา
“เจ้าไม่ต้องทำเช่นนี้ มีข้ารับโทษแทนเจ้าแล้ว เมื่อวานเจ้าเหนื่อยทั้งคืน หากยังต้องมานั่งคุกเข่าตากอากาศเย็นตอนกลางคืน เจ้าจะไม่สบายได้” เขาพูดอย่างอ่อนโยนกับนาง
ลู่มู่เฉินพูดถึงเรื่องที่นางชกต่อยจนชายชาตินักรบผู้หนึ่งอย่างจ้าวเหลียงต้องนอนรักษาตัวลุกไม่ขึ้น แต่หลี่เฟิ่งเซียนกลับนึกไปถึงเรื่องที่เขาทำให้นางอ่อนระทวยจนไม่มีแม้แต่แรงขยับตัว นางรู้สึกแก้มสองข้างร้อนๆ กลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก
เพราะมืดแล้ว สาวใช้ที่ยืนรอบๆต่างไม่สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของคุณหนูใหญ่ แต่ไม่ใช่ลู่มู่เฉิน เขารับรู้ถึงความเขินอายของนางได้ คราแรกเขาไม่แน่ใจว่าเหตุใดจู่ๆนางจึงเขินอาย แต่เมื่อนึกย้อนทบทวนคำพูดของตัวเองแล้ว เขารู้สึกกระอักกระอ่วนไม่น้อยในความชวนให้เข้าใจผิดของคำพูดนั้น สองสามีภรรยาโง่งมต่างเขินอายโดยไม่มีผู้ใดรับรู้
เพล้ง!! เสียงถ้วยกระเบื้องแตกดังออกมาจากเรือนของท่านย่า ทุกคนต่างตกใจมองไปทางประตู และประตูเรือนของท่านย่าก็เปิดออก ตามมาด้วยท่านย่าที่โมโหสุดขีด
“หน็อยๆ พวกเจ้าจะเล่นฉากงิ้วอันใดกัน ข้าไม่ได้บังคับให้เจ้าแยกห้องนอน ภรรยาตัวแสบของเจ้าก็เอาหม้อดำนี้โยนมาให้ข้ารับ วันนี้ก็ย้ายข้าวของของเจ้าเองพลการ เจ้ากลับมาก็ทำเป็นบีบน้ำตาราวกับถูกยายเฒ่าคนนี้กลั่นแกล้งจนน่าเวทนา ข้ายังไม่ได้ทำสิ่งใดให้พวกเจ้าสองสามีภรรยาสักนิด ตั้งแต่วันนี้ไม่ต้องเรียกข้าว่าท่านย่าแล้ว!!” ท่านย่าเดือดดาลจนมือไม้สั่น
“เจ้า ย้ายของของข้าไปที่ใด” ลู่มู่เฉินกลับตกใจที่นางย้ายสัมภาระของเขา
“ห้องของข้า” หลี่เฟิ่งเซียนตอบเรียบๆ คล้ายว่าสิ่งที่นางทำคือสิ่งที่ถูกต้องแล้ว
“เหลวไหล ข้าบอกเจ้าไปแล้วว่าข้าต้องแยกห้องเพื่อรักษาตัว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอันใดกับฮูหยินผู้เฒ่าเลย” เขาดุนาง
“เหลวไหลอันใดกัน ห้องที่เจ้าอยู่ ทั้งมืดทั้งเย็น กลางคืนลมพัดเข้าออกตลอด ผ้าห่มผ้าปู ของใช้ในห้องนั้นล้วนเป็นของเก่า เจ้า..ตั้งแต่ตอนนั้น ..มือของเจ้ามันเจ็บทุกครั้งที่ถูกอากาศเย็นไม่ใช่หรือ ข้าเพียงอยากให้เจ้าได้นอนในที่อุ่นๆ ข้าเป็นห่วงเจ้า ข้าผิดด้วยหรือ” หลี่เฟิ่งเซียนลุกขึ้นต่อว่าเขา
“ข้าไม่อยากสนใจเจ้าแล้ว อยากจะไปขึ้นรถม้าของผู้ใดก็ตามใจเจ้า” หลี่เฟิ่งเซียนร้องไห้วิ่งหนีออกไปจากตรงนั้น
“คุณหนูใหญ่! เฮ้อ เหตุใดต้องเป็นข้าทุกทีที่คอยวิ่งตามเอาใจนาง” บ่นเช่นนั้น แต่หยวนหยวนก็วิ่งตามหลี่เฟิ่งเซียนไป
ทั้งท่านย่าและลู่มู่เฉินต่างตกใจไปคนละทาง ท่านย่าลงโทษนางทั้งบ่ายนางยังยินดีนั่งคุกเข่าอยู่หลายชั่วยาม ไม่ยอมแม้แต่จะลุกไปไหน เขามาพูดไม่กี่คำ นางกลับโกรธละทิ้งความพยายามไม่สนใจโทษของท่านย่าแล้ว
‘นาง..เห็นข้าขึ้นรถม้ากับคนอื่นหรือ ..นางกำลังกินน้ำส้ม?’ ลู่มู่เฉินหัวใจเต้นแรง เขาควรทำอย่างไรดี ทั้งดีใจและเสียใจในเวลาเดียวกัน
“นางเพียงเข้าใจผิดไป ขอฮูหยินผู้เฒ่าอย่าโกรธเคือง เดี๋ยวจะเสียสุขภาพ เรื่องนี้ข้าจะอธิบายกับนางเองขอรับ” ลู่มู่เฉินยังมีสติพูดจามารยาทกับท่านย่า
“ฮึ่ม ..” ท่านย่าส่งเสียงไม่พอใจออกมาคำหนึ่ง และเดินเข้าไปในเรือน
“ต่อไปไม่ต้องเรียกข้าว่าฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว เจ้าแต่งเข้ามาแล้วก็ควรเรียกข้าว่าท่านย่าตามนางเถิด” ท่านย่าหันมาพูดกับลู่มู่เฉินก่อนจะเดินเข้าเรือนและปิดประตูตามหลัง
ท่านย่าได้เห็นแล้วว่าเขากำราบหลานสาวตัวแสบได้อยู่หมัด ท่านย่าอย่างนางเคยเห็นเมื่อไหร่กัน คนผู้หนึ่งพูดเพียงไม่กี่คำ หลานตัวแสบก็ร้อนรนทำอะไรไม่ถูก หากพรุ่งนี้นางยอมแยกห้องตามที่ลู่มู่เฉินต้องการ ท่านย่าอย่างนางจะขอถือศีลกินเจสามปี!!
ลู่มู่เฉินยืนอยู่หน้าห้องของหลี่เฟิ่งเซียน ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเข้าไปดีหรือไม่ เขารู้ว่าเรื่องเข้าใจผิดนี้ไม่อาจปล่อยไว้นาน แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ยกมือขึ้นมาเคาะประตูไม่ได้
กระทั่งหยวนหยวนเปิดประตูออกมา
“ท่านเขย” หยวนหยวนเรียก
“นางหลับหรือยัง” ลู่มู่ฉินถาม
“เอ่อ ..หลับแล้วเจ้าค่ะ” หยวนหยวนทำตามที่ถูกกำชับ ลู่มู่เฉินทำเพียงพยักหน้า และกำลังจะหันหลังกลับ
“ข้ายังไม่หลับ” หลี่เฟิ่งเซียนกลับตะโกนออกไปเช่นนั้น หักหน้าหยวนหยวนทันที ทั้งที่นางเป็นคนสั่งกำชับให้หยวนหยวนโกหกเองแท้ๆ
“เฮ้อ ข้าไม่อยากสนใจพวกท่านแล้ว เหตุใดข้าต้องมาปวดหัวเรื่องของผู้อื่นที่ไม่ใช่เรื่องของข้าด้วย” หยวนหยวนบ่นออกมาตรงๆ ทำคิ้วขมวด ปากยู่และเดินหนีไป
ลู่มู่เฉินถอนหายใจ เปิดประตูเข้าไปในห้องที่เต็มไปด้วยกลิ่นของภรรยา ใครจะลืมเรื่องเมื่อคืนได้ง่ายดายปานนั้นกัน ความหอมหวานยังติดอยู่ที่ปลายลิ้นเขาอยู่เลย เขาหายใจลึกๆเพื่อปรับอารมณ์
เห็นว่านางนอนหันหลังให้เขาอยู่บนเตียงหลังใหญ่ เขาไม่รู้จะทำตัวอย่างไร จะนั่งปลายเตียงก็กลัวควบคุมสติตัวเองไม่ได้ เรื่องที่นางหึงหวงเขายังคงหวานซ่านอยู่ในใจ แต่เขาจะนั่งที่โต๊ะก็กลัวว่าต้องตะโกนคุยกัน สุดท้ายจึงยืนคุยกับนางไม่ห่างจากเตียงมาก
“ข้าไม่ได้ถูกกลั่นแกล้งอันใด แน่นอนว่าฮูหยินผู้เฒ่า..เอ่อ ท่านย่าไม่ได้ชื่นชอบข้านัก คราแรกที่พบก็บังคับให้ข้าเรียกนางว่าฮูหยินผู้เฒ่า แต่ยามนี้นางก็ยอมให้ข้าเรียกว่าท่านย่าตามเจ้าแล้ว” เขาเริ่มพูดก่อน
หลี่เฟิ่งเซียนลุกขึ้นมานั่งทันที หันหน้ามาประจันกับเขา
“แล้วเหตุใดถึงบังคับให้เจ้านอนในห้องเก่าแคบๆนั่น ทั้งมืดทั้งหนาวอีก” นางพูดสิ่งที่คิด ลู่มู่เฉินกลับถอนหายใจออกมา
“สำหรับเจ้า ห้องนั้นอาจดูเก่าและเล็ก แต่สำหรับคนเช่นข้า ห้องนั้นทั้งใหญ่และถูกดูแลรักษาอย่างดี ยังมีส่วนแยกสำหรับอาบน้ำ และมีถังไม้ใบใหญ่ให้ข้าได้แช่น้ำยาเพื่อรักษาตัว ห้องนั้นจึงเหมาะสมมาก ข้าแยกห้องนอนเพราะต้องรักษาตัวจริงๆ ไม่ใช่เพราะท่านย่าบังคับ
เรื่องผ้าห่มผ้าปูเก่าๆ ก็เพราะข้าเป็นคนขอร้องฮูหยินรองให้จัดเช่นนั้นให้ ตามตัวของข้ามีแต่แผล ข้าไม่ต้องการให้เครื่องนอนชุดใหม่เสียไปเปล่าๆ ท่านย่ากลัวว่าข้าจะนอนที่นอนสกปรกยังสั่งให้สาวใช้มาเปลี่ยนให้ข้าทุกวัน แต่ถึงนางจะหาเครื่องนอนที่เก่ามากแล้วให้ข้า มันก็ยังดีกว่าผ้าห่มที่ข้าเคยมีมากนัก เจ้าเข้าใจหรือไม่” เขาร่ายยาว
“ข้าเป็นผู้ชายเหตุใดจะมองไม่ออกว่าเขาหวั่นไหวกับท่านแทบแย่ แต่พยายามเก็บอาการ ข้าไม่รู้ว่าท่านกับเขาผิดใจอันใดกัน แต่ลองพูดคุยกับเขาตรงๆ เขาย่อมต้องเข้าใจท่านอยู่แล้ว” จ้าวเหลียงให้คำแนะนำหลี่เฟิ่งเซียนหัวใจระส่ำไม่เป็นจังหวะ นางทำเรื่องเลวร้ายไปมากมายเช่นนั้น ยังจะมีเรื่องเข้าใจผิดอันใดอีก แต่หากเป็นดั่งที่จ้าวเหลียงพูดจริง นางควรทำเช่นไรดี อยากลองพูดคุยจริงจังกับเขาสักครั้ง แต่ก็กลัวว่าหากเขาตอบว่าชื่นชอบหญิงในชุดขาวผู้นั้น นางควรทำอย่างไร แต่หากเขาชอบนางอย่างที่จ้าวเหลียงพูดจริงๆ และนางปล่อยไปเช่นนี้ ดีแล้วแน่หรือ“ข้าต้องไปก่อนนะ” พูดแล้วหลี่เฟิ่งเซียนก็เดินออกจากห้องพักของจ้าวเหลียงทันที อยากรีบไปหาสามีของตัวเองเพื่อพูดคุยให้รู้เรื่องนางไปรอเขาที่หน้าประตูจวน เพียงไม่นานก็เห็นรถม้ากำลังใกล้เข้ามา นางรอจนกระทั่งรถม้าจอด เขาเปิดประตูออกมา นางคล้ายว่าไม่ได้เห็นเขามาหลายวันมาก คิดถึงเขาจนอยากวิ่งเข้าไปกอด แต่นางไม่กล้าหลี่เฟิ่งเซียนพบว่าเขากำลังมองมาที่นางเช่นกัน คล้ายว่าเขาจะขมวดคิ้วและทำหน้าโกรธ จู่ๆ นางก็กลัวที่จะเข้าไปหาเขา จึงเลือกที่จะหนีออกมาอย่างรวดเร็วลู่มู่เฉินรู้สึกเจ็
หลี่เฟิ่งเซียนเดินออกไปจากห้องนานแล้ว แต่เขายังคงนั่งมองมือซ้ายของเขา เขาเริ่มรู้สึกเสียใจที่วันนั้นตัดสินใจหักมือข้างนั้น คิดอีกที หากเขาไม่ทำเช่นนั้นคงไม่สามารถรอดมามีความสุขเช่นนี้ได้ แต่ความสุขเช่นนี้ดีแน่แล้วหรือ เขาคิดกลับไปกลับมาอยู่เช่นนั้นทั้งคืน บ่าวชายที่มาช่วยเขาเช็ดตัว เขาก็จำหน้าไม่ได้หลังจากเรื่องวันนั้น หลี่เฟิ่งเซียนก็หลบหน้าเขา แต่มีหยวนหยวนส่งน้ำแกงปลาและน้ำแกงไก่มาให้เขาทุกเช้า เขาเองแม้จะเริ่มคิดถึงนางมากแต่ไม่กล้าไปหานางที่ห้อง เพราะความอับอายที่ลูกผู้ชายคนหนึ่งต้องถูกจู่โจมอย่างสิ้นท่า ไร้การต่อต้านแม้นางจะพูดว่านางเป็นคนผิด แต่เขารู้ดีว่าไม่ใช่ หากวันนั้นเขาไม่ยินยอมจริงๆ นางตัวเล็กเพียงนั้นจะถึงขั้นขืนใจเขาได้หรือ เขาประเมินความต้องการของเขาผิดไป ไม่นึกว่าจะต้องการนางมากถึงขั้นขาดสติ ปล่อยให้เรื่องราวเช่นนั้นเกิดขึ้นต่อมาลู่มู่เฉินยังได้ยินพ่อบ้านพูดว่านายหญิงผู้เฒ่าร้อนใจจนทำอะไรไม่ถูก เพราะจู่ๆ หลี่เฟิ่งเซียนก็กลับไปเที่ยวหอเข่อซินอีกแล้ว ท่านพ่อบ้านขอให้เขาช่วยพูดกับคุณหนูใหญ่ว่าไม่ควรไปเที่ยวสถานที่เช่นนั้นอีกเพราะนางแต่งงานแล้วแต่เมื่อเขาเดินไปถึงหน้า
หลี่เฟิ่งเซียนหันไปมองแท่งหยกที่นางกำไม่มิดนั้น กลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น ตัดสินใจยกก้นขึ้นและจับท่อนหยกร้อนของเขาถูไปมา ยามนี้ผลท้อของนางเต็มไปด้วยน้ำแห่งความสุขแล้ว‘เพียงลูบคลำเจ้านี่ ข้าก็สามารถหลั่งน้ำแห่งความสุขได้แล้วหรือ’ นางสงสัย จำได้อาหงบอกว่าเช่นนี้นางจะเจ็บน้อยลงลู่มู่เฉินรู้ทันทีว่านางคิดจะทำอะไร ถึงเขาจะอยากให้นางทำ และต้องการมากเพียงใด แต่มโนสำนึกของเขาและความตั้งใจของเขายังคงทำให้เขามีแรงจะดึงสติกลับมาได้“อย่า อย่าทำเช่นนี้” เขาขอร้องอย่างร้อนรน“เจ้าไม่อยากเสียใจภายหลังหรอกนะ เชื่อข้าเถิด เฟิ่งเอ๋อร์” เขาอ้อนวอนนาง แต่หลี่เฟิ่งเซียนใช้มือข้างหนึ่งยันเขาไว้ บังคับไม่ให้เขาลุกขึ้นหนีไปไหน มืออีกข้างของนางก็จับแท่งหยกร้อนนั่นถูไปมาที่ร่องกลีบดอกไม้ของนาง ก่อนที่นางจะออกแรงดันตัวเองลงไป หลี่เฟิ่งเซียนรู้สึกได้ถึงความดุดันของท่อนหยางร้อนลวกของเขาที่กำลังดุนดันเข้าไปในร่องกลีบดอกท้อ“พอแล้ว ขอร้อง อย่าทำเช่นนี้ อย่า” เสียงต่ำแหบพร่าของเขาขอร้องให้นางหยุด ในขณะที่อีกใจหนึ่งของเขากำลังรอให้นางดันตัวลงมากอดรัดเอ็นอุ่นนั้นไว้ เพียงแค่นางถูไถโลมเล้าเคล้าคลึงไปมา ความนุ่มลื่
เขาพลิกตัวอยากจะกระโดดหนีลงไปด้านล่าง แต่เพียงแค่เขาเอียงตัวนางก็ใช้เท้าเล็กๆของนางเหยียบลงมาที่ไหล่ของเขา ดันให้เขาพลิกตัวประชันหน้ากับนางตรงๆ เขาอยากมีแรงมากกว่านี้เพื่อดันเท้านั้นให้หลุด น่าเสียดายที่วันนี้เขาอ่อนแอมากกว่าทุกที เขายังได้รับบาดเจ็บจากการทดลองยาอยู่ และภาพภรรยาตัวเปลือยเปล่า งดงามจนเขาตกตะลึง ลืมว่าต้องหนีสองมือถูกมัดไว้พ่ายหลัง ยิ่งดันให้ช่วงสะโพกแอ่นขึ้น ท่อนหยกร้อนของเขาชูชันแสดงตัวอย่างกับต้องการบอกให้นางรู้ว่าเขารู้สึกอย่างไร มันชูชันสูงใหญ่ดั่งเสาค้ำสวรรค์ก็ไม่ปาน หลี่เฟิ่งเซียนตาโต จ้องมองหัวใจสั่นไหว ลู่มู่เฉินงอขาและพยายามหนีบเจ้านั่นเอาไว้ แต่ยามนี้มันขยายใหญ่จนปิดไม่มิด ภาพที่นางอ้าขาเหยียบไหล่เขาเอาไว้ แม้งดงามจนเขาถอนสายตาไม่ได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาในฐานะบุรุษผู้หนึ่ง อย่างไรเขาก็ไม่อาจรับตัวเองได้ เขาอ้าปากเพื่อหายใจ หลับตาแน่นเพื่อลดทอนความอับอายในใจหลี่เฟิ่งเซียนมองดูเจ้าสิ่งนั้นแล้วตกใจไม่น้อย ในใจนางนึกถึงตอนเขาป่วยและนางเช็ดตัวให้เขา มันยังเล็กมากเท่านิ้วเท้าหัวแม่โป้ง แต่ยามนี้มันชูชันจนแทบจะใหญ่เท่าข้อมือของนาง! หลี่เฟิ่งเซียนเริ่มหายใจไม
แต่ครั้งเข้าไปในห้องของตัวเองและเห็นพวกรูปต่างๆ ที่อาหงวาดขึ้นเพื่อการเรียนรู้เหล่านั้น ในใจนางเกิดความรู้สึกหึงหวงอย่างบอกไม่ถูก ไม่ใช่ว่าเขาไม่ยอมเข้าหอกับนาง เพราะหญิงแพศยานั่น!!...พวกเขาไปถึงไหนกันแล้ว!! มิน่าเขาถึงได้เชี่ยวชาญมาก เพียงจูบก็ทำให้นางสามารถหลั่งน้ำแห่งความสุขได้ เขาอาจจะเคยทำกับผู้อื่นมาก่อน เขาถึงทำเช่นนั้นได้อย่างเชี่ยวชาญ นางยอมไม่ได้ นางต้องรีบรวบหัวรวบหางเขา!! ทนรอให้เขายินยอมด้วยตัวเองไม่ได้แล้ว!!หลี่เฟิ่งเซียนวิ่งไปถึงหน้าห้องของเขา เห็นว่าด้านในยังมีแสงไฟอยู่ นางผลักประตูเข้าไปไม่บอกกล่าวไม่เคาะประตู“เจ้า เจ้าเข้ามาได้อย่างไร” ลู่มู่เฉินเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เขากำลังใส่เสื้อผ้า นางก็ผลีผลามเข้ามา เขาตกใจ รีบร้อนใส่เสื้อให้เรียบร้อย แต่เชือกผูกเอวอยู่บนโต๊ะ เขายืนอยู่ใกล้เตียงนอน จึงทำได้เพียงใช้มือจับสาบเสื้อคลุมตัวยาวเอาไว้หลี่เฟิ่งเซียนเห็นว่าเขายังแต่งตัวไม่เรียบร้อย แผนในใจของนางผุดขึ้นมาเป็นร้อยแผน คำพูดของอาหงดังก้องอยู่ในหู‘หากเจ้าทำให้เขาภูมิใจมากพอ เขาจะเอ็นดูเจ้ามากขึ้น’นางหันไปปิดประตูลงกลอน ยังเดินไปปิดหน้าต่างที่เขาแง้มเอาไว้รับลมด้วย“เจ้า เจ้า
เรื่องราวในคืนนั้น ความหอมหวานที่เขากอดกกนาง รสจูบ ความนุ่มนิ่มนุ่มนวล ทุกอย่างทำให้เขาไม่กล้าเดินไปที่เตียงนั่น แม้บนเตียงนั้นจะเปลี่ยนผ้าปูผ้าห่มใหม่ทั้งหมดแล้วก็ตาม เขายังคงรู้สึกว่ากลิ่นหอมหวานจากตัวนางยังคงติดอยู่ที่จมูก'ตัวเจ้าหอมมาก' คำพูดของหลี่เฟิ่งเซียนลอยมา นางเคยพูดชมเขาเช่นนั้นหลายครั้งแล้ว เขาไม่แน่ใจว่านางได้กลิ่นอันใดทั้งที่บนตัวเขามีแต่กลิ่นยา เขาเองก็อยากจะบอกกับนางว่า 'ตัวเจ้าหอมน่ากินมาก' เพราะบนตัวของนางมีกลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายดอกไม้ผสมกลิ่นบางอย่างคล้ายหนิวหน่าย[1] ต้มผสมน้ำผึ้ง เป็นอาหารของชาวอิ่นตู้ที่เขาเคยได้ลิ้มลองเมื่อครั้งยังท่องเที่ยวไปทั่ว มันอร่อยและหอมติดจมูก ดังนั้นเมื่อเขาได้กลิ่นนี้จากตัวนาง เขาจึงรู้สึกน้ำลายสอ อยากจะกลืนกินครั้งแล้วครั้งเล่า เสียดายก็แต่เขาพูดออกไปเช่นนั้นไม่ได้ ในที่สุดลู่มู่เฉินก็ดึงผ้าห่มจากเตียงและลงไปนอนบนพื้นแทน เขาไม่รังเกียจที่จะนอนบนพื้นเพราะเขาเคยนอนในที่ที่ลำบากมากกว่านี้ พื้นแข็งๆที่ทำจากไม้ขัดมันอย่างดี ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการนอนหลับของเขาลู่มู่เฉินนอนหลับด้วยความยากเย็นเพราะมัวแต่คิดถึงนาง ในขณะที่หลี่เฟิ่งเซียนแทบ