หลี่เฟิ่งเซียนรีบร้อนไปรับยู่ยี่กลับมา แต่พอไปถึงที่พักของคนใช้นอกจวน นางก็ได้รับรู้ว่ายู่ยี่ไม่ได้อยู่ในที่พักนี้ ยู่ยี่ถูกบังคับให้ไปเช่าบ้านอยู่ และวันนี้นางก็ต้องไปซักผ้าที่แม่น้ำ หลี่เฟิ่งเซียนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นางยิ่งรู้สึกผิดต่อยู่ยี่ที่พามาลำบากอยู่ในเมืองหลวง หลี่เฟิ่งเซียนสัญญากับตัวเองว่าหากพานางมาได้แล้วจะดูแลนางให้ดีขึ้น
เรื่องนี้ หรือเรื่องสามี ทั้งสองเรื่องผิดที่ตัวนาง นางเป็นคนพาพวกเขามาแต่ไม่ดูแลพวกเขา คิดว่าท่านย่ารักนางอย่างไรก็จะดูแลคนของนางให้ดี ที่ไหนได้ท่านย่ากลับเห็นคนไม่เท่ากัน บ่าวก็ยังเป็นบ่าว บ่าวก็ยังแบ่งกันเป็นหลายชั้น สูงต่ำกันไปตามมารยาทที่ได้รับฝึกสอนอีก
ส่วนเขยของจวนแม่ทัพอย่างลู่มู่เฉิน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าท่านย่ารังเกียจเขาเพียงใด บังคับให้เขาอยู่ในห้องมืดๆ ผนังไม่ดี ลมเย็นพัดเข้ามาได้ตลอดคืน ผ้าห่มฟู่ปูนอนก็เป็นของเก่า ทั้งที่นางก็บอกไปแล้วว่าเขาป่วยอยู่ในห้องที่มีอากาศเย็นนานๆไม่ได้ นางไม่อาจไม่รับความผิดนี้ นางจะชดเชยให้พวกเขา
หลี่เฟิ่งเซียนควบขี่ม้าไปรับยู่ยี่ที่แม่น้ำ ทันทีที่นางเห็นคุณหนูใหญ่ ยู่ยี่ก็ร้องไห้ออกมายกใหญ่ ทั้งด่าทั้งบ่นคุณหนูใหญ่จนนางไม่มีเวลาตอบคำถาม แต่หลี่เฟิ่งเซียนก็ปล่อยให้ยู่ยี่ได้บ่นจนพอใจ ถือว่าเรื่องนี้นางเป็นคนผิดนางยินดีรับฟังคำบ่นของสาวใช้ ค่าเช่าบ้านที่ยู่ยี่ใช้จ่ายไปทั้งหมดคุณหนูใหญ่เช่นนางก็ลงบัญชีให้ไปเก็บที่จวนแม่ทัพหลี่ภายหลัง
หลี่เฟิ่งเซียนจัดการหาที่พักให้ยู่ยี่ใกล้ๆกับเรือนนอนของตัวเอง บังคับให้ฮูหยินรองย้ายข้าวของของลู่มู่เฉินมาไว้ที่ห้องของตัวเอง แม้สัมภาระของเขาจะมีเพียงน้อยนิด ย้ายเพียงรอบเดียวก็เสร็จแล้ว แต่สิ่งที่ยากคือบรรดาถุงหอมและเครื่องบดยารวมถึงสมุนไพรในห้องของท่านเขยนั้น
หลี่เฟิ่งเซียนบังคับให้พวกบ่าวไพร่ย้ายอย่างระมัดระวังที่สุดและของสิ่งใดวางอยู่ที่ไหนเมื่อย้ายมาที่ห้องของนางก็ต้องวางตามตำแหน่งเดิม แม้ในห้องของนางจะใหญ่กว่าห้องของเขามากก็ตาม นางยังสั่งให้ฮูหยินรองหยิบเครื่องนอนชุดใหม่ออกมาเปลี่ยนให้ลู่มู่เฉินได้นอนด้วย ฟูกที่นอนหนาอย่างดี ผ้าห่มผืนใหม่ และผ้าปูผ้าไหมชั้นยอด
ฮูหยินรองบอกหลี่เฟิ่งเซียนว่าทำไปโดยพลการเช่นนี้อย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องดี ควรไปบอกกล่าวท่านย่าเสียก่อน แต่หลี่เฟิ่งเซียนกลับพูดออกมาว่านางไม่อยากเคารพคนแก่ร้อยเล่ห์ แอบทำอะไรลับหลังนาง
ท่านย่ารู้ข่าวเข้าก็ด่านางยกใหญ่ว่าเป็นหลานไม่รักดี มีสามีเข้าหน่อยก็ลืมหัวหงอกของย่าไปเสียแล้ว ยังลงโทษให้นางไปคุกเข่าอยู่หน้าเรือนของท่านย่าด้วย หลี่เฟิ่งเซียนก็นั่งคุกเข่าไม่บ่นสักคำ แต่เมื่อผ่านมื้ออาหารกลางวันไปได้ครึ่งชั่วยาม ในใจท่านย่าเริ่มหายโกรธและนึกถึงสิ่งที่ลู่มู่เฉินทำเมื่อคืน
เขาดูแลและเข้าอกเข้าใจหลี่เฟิ่งเซียนเป็นอย่างดี คล้ายว่าท่านย่าก็เริ่มจะเข้าใจแม่ทัพหลี่ขึ้นมาบ้างแล้ว แม้เขาจะอัปลักษณ์ รูปร่างผอมแห้ง ดูไม่มีสง่าราศีไม่เหมาะสมจะเป็นเขยของจวนแม่ทัพ แต่สิ่งที่เขาทำนั้นล้วนคิดถึงความรู้สึกของหลี่เฟิ่งเซียน
แต่อย่างไรท่านย่าก็ไม่อาจรักและเอ็นดูลูกเขยจนๆคนนี้ได้ ทั้งยังเป็นพวกคนไม่มีการศึกษาจากชายแดนไกล ถึงจะรักและเอ็นดูหลานสาวคนนี้มากแต่ท่านย่าก็ไม่อยากให้นางต้องทนทุกข์เพราะสามีดูแลนางไม่ได้
ชายอ่อนแอเช่นลู่มู่เฉินจะดูแลหลานสาวของนางได้อย่างไร ที่นี่คือจวนแม่ทัพ ต้องการคนที่แข็งแกร่ง เป็นชายชาตรีที่สามารถแบกความหวังของทั้งตระกูลไว้ได้ เสียดายก็เพียงแต่
ตลอดเวลาที่ผ่านมาหลี่เฟิ่งเซียนไม่เคยชมชอบชายชาตรี นางวิ่งไล่ตามเกี้ยวแต่บุรุษรูปงามเอวอ้อนแอ้น ท่านย่าทำใจอยู่นานกว่าจะยอมรับได้ว่าจวนแม่ทัพหลี่อาจจะต้องรับเขยเป็นบุรุษงดงาม
แต่สุดท้ายหลานสาวตัวดีกลับพาคนอัปลักษณ์ผู้หนึ่งเข้าจวน ทั้งยังมือพิการใช้การไม่ได้ แม่ทัพหลี่ลูกชายของนางก็ไม่คัดค้าน ยังเห็นดีเห็นงามให้หลี่เฟิ่งเซียนแต่ง
ดูรูปร่างลู่มู่เฉินคนอัปลักษณ์นั่นสิ ทั้งผอมทั้งไร้เรี่ยวแรง ยามนี้มีแต่หลี่เฟิ่งเซียนที่จะเป็นฝ่ายดูแลเขา ต่อไปนางยังต้องแบกตระกูลหลี่เอาไว้บนบ่าคนเดียวอีก ดูอย่างไรลู่มู่เฉินก็ไม่เหมาะเป็นเขยตระกูลแม่ทัพสักนิด
วันนี้ก็ทำให้หลานสาวคนเดียวของนางโทษนางว่าเป็นคนแก่ร้อยเล่ห์อีก นี่มันจงใจทำให้หลานย่าแตกคอกันเพื่อแย่งตำแหน่งชัดๆ สุดท้ายท่านย่าจึงปล่อยให้หลานรักคุกเข่าอยู่หน้าจวนไปสองชั่วยาม
เมื่อลู่มู่เฉินกลับมาถึงจวน เขารับรู้ข่าวจากสาวใช้คนใหม่อย่างหยวนหยวนว่าหลี่เฟิ่งเซียนยังคงคุกเข่าอยู่ เขารีบเดินตรงไปทางเรือนพักของท่านย่า เห็นหลี่เฟิ่งเซียนยังคงคุกเข่าอยู่จริง ลู่มู่เฉินเป็นห่วงนางมาก เหตุใดนางถึงก่อเรื่องได้ไม่เว้นวัน เมื่อวานก็ทำคนเกือบตายสองคน วันนี้ก็ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าโมโห ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ ภรรยาของเขาจะก่อเรื่องใดอีก
เขาสาวเท้าเร็วๆไปดึงนางให้ลุกขึ้นมา นางเห็นเขาก็รู้สึกขอบตาร้อนผ่าว ถึงนางจะโกรธเขามากที่ขึ้นรถม้าไปกับสาวน้อยชุดขาว แต่เมื่อนางเห็นหน้าของเขา นางอยากบีบน้ำตาอ้อนเขาสักครั้ง
ยังดีที่หลี่เฟิ่งเซียนยังนึกได้ว่า หากนางร้องไห้ไปอีกคนผู้ใดจะเป็นคนแบกความโกรธเคืองของท่านย่าเอาไว้ สามีของนางไม่มีทางทำให้ท่านย่ายอมโอนอ่อน นางรู้จักท่านย่าของนางดี หลี่เฟิ่งเซียนจึงกลั้นหยดน้ำตาเอาไว้
ลู่มู่เฉินคุกเข่าลงไปแทนภรรยา
"นายหญิงผู้เฒ่า ข้าน้อยลู่มู่เฉินขอคารวะ ได้โปรดลงโทษข้าแทนเถิดไม่ว่านางจะทำผิดอันใดก็ตาม คุณหนูใหญ่เป็นสตรีบอบบางไม่อาจทนรับการทำโทษที่ทารุณเช่นนี้ได้ ขอให้ฮูหยินผู้เฒ่าโปรดพิจารณา" ลู่มู่เฉินกล่าวขอร้องแทนหลี่เฟิ่งเซียนที่ยืนมองตาเขาปริบๆ
ท่านย่ารู้สึกหงุดหงิด
“เฮอะ ข้าแก่อายุปูนนี้ ยังไม่เคยถูกผู้ใดบีบบังคับ พวกเจ้าสองสามีภรรยาอยากให้ข้าให้อภัย ข้าก็ต้องให้หรือ!” ท่านย่าด่าออกมาจากในเรือน
เรื่องราวในคืนนั้น ความหอมหวานที่เขากอดกกนาง รสจูบ ความนุ่มนิ่มนุ่มนวล ทุกอย่างทำให้เขาไม่กล้าเดินไปที่เตียงนั่น แม้บนเตียงนั้นจะเปลี่ยนผ้าปูผ้าห่มใหม่ทั้งหมดแล้วก็ตาม เขายังคงรู้สึกว่ากลิ่นหอมหวานจากตัวนางยังคงติดอยู่ที่จมูก'ตัวเจ้าหอมมาก' คำพูดของหลี่เฟิ่งเซียนลอยมา นางเคยพูดชมเขาเช่นนั้นหลายครั้งแล้ว เขาไม่แน่ใจว่านางได้กลิ่นอันใดทั้งที่บนตัวเขามีแต่กลิ่นยา เขาเองก็อยากจะบอกกับนางว่า 'ตัวเจ้าหอมน่ากินมาก' เพราะบนตัวของนางมีกลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายดอกไม้ผสมกลิ่นบางอย่างคล้ายหนิวหน่าย[1] ต้มผสมน้ำผึ้ง เป็นอาหารของชาวอิ่นตู้ที่เขาเคยได้ลิ้มลองเมื่อครั้งยังท่องเที่ยวไปทั่ว มันอร่อยและหอมติดจมูก ดังนั้นเมื่อเขาได้กลิ่นนี้จากตัวนาง เขาจึงรู้สึกน้ำลายสอ อยากจะกลืนกินครั้งแล้วครั้งเล่า เสียดายก็แต่เขาพูดออกไปเช่นนั้นไม่ได้ ในที่สุดลู่มู่เฉินก็ดึงผ้าห่มจากเตียงและลงไปนอนบนพื้นแทน เขาไม่รังเกียจที่จะนอนบนพื้นเพราะเขาเคยนอนในที่ที่ลำบากมากกว่านี้ พื้นแข็งๆที่ทำจากไม้ขัดมันอย่างดี ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการนอนหลับของเขาลู่มู่เฉินนอนหลับด้วยความยากเย็นเพราะมัวแต่คิดถึงนาง ในขณะที่หลี่เฟิ่งเซียนแทบ
“มันก็ไม่ใช่ฉี่เช่นนั้น มันออกมานิดเดียว ไม่ได้เปื้อนผ้าห่ม แต่ก็เปื้อนตามขาด้านใน จับต้องได้ เพราะมันเหนียวๆ ใสๆ” หลี่เฟิ่งเซียนหน้าทั้งร้อนทั้งแดง เรื่องน่าอายเช่นนี้นางไม่เคยพูดกับใคร แต่หากเป็นเช่นคืนนั้นอีก ตอนเขากำลังเข้าหอกับนาง นางไม่รู้ว่าจะรับมือเช่นไร สู้อับอายกับอาหงยังดีเสียกว่า อย่างน้อยนางข่มขู่อาหงได้“หรือว่า..ที่จริงแล้วข้ากำลังป่วยอยู่” หลี่เฟิ่งเซียนพูดออกไปเมื่อคิดได้บางอย่าง นางเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมา“ห๊ะ! เอ่อ ไม่สิ ไม่ใช่ ให้ข้าถามก่อนเจ้าอย่าเพิ่งโวยวาย....ฉี่ที่เจ้าพูดนั้น มันใสๆ เหนียวเล็กน้อย และออกมาจากผลท้อของเจ้า เจ้า..เจ้าเคย..กับท่านเขยแล้วหรือ” อาหงพยายามสรรหาคำพูดที่ฟังแล้วไม่น่าเกลียดเกินไปมาถาม“เคยอะไร ข้าไม่เคยสักครั้ง เราสองคนยังไม่เคยเข้าหอ หากเคยไปแล้วข้าจะมานั่งกลุ้มใจเช่นนี้หรือ” หลี่เฟิ่งเซียนตัดพ้อ“เจ้าไม่เคยแล้วน้ำใสๆ นั่นจะออกมาได้อย่างไรกัน” อาหงขมวดคิ้วแน่น“ก็นั่นสินะ ข้า ข้ากำลังป่วยใช่หรือไม่” หลี่เฟิ่งเซียนสลดยิ่งนัก“แล้วน้ำนั่น ไหลมาตอนไหนหรือ” อาหงซักอย่างละเอียด“ห๋า เอ่อ ก็ ..ก็หลังจากที่เขา ..เขา..เขากัด” หลี่เฟิ่งเซียนอธิบาย
เป็นครั้งแรกที่นางได้ยินเขาพูดครั้งเดียวยาวๆเช่นนี้ หลี่เฟิ่งเซียนพูดไม่ออกได้แต่นิ่งฟัง“ที่ท่านย่าไม่ชอบข้า นั่นก็เพราะนางรักเจ้ามาก อยากให้เจ้าได้แต่งงานกับผู้ที่จะดูแลเจ้าได้ ผู้ที่จะสามารถแบกตระกูลหลี่ไว้บนบ่า แต่เจ้ากลับคว้าเอาใครไม่รู้เช่นข้ามาแต่งงาน ทั้งอัปลักษณ์ ทั้งพิการ นางเพียงกลัวว่าภายภาคหน้าเจ้าจะลำบาก หากว่าท่านแม่ทัพไม่อยู่แล้ว” ลู่มู่เฉินเข้าใจความคิดของท่านย่าเป็นอย่างดี และไม่โทษผู้ใดที่เขามีชีวิตเช่นนี้ “แต่ว่า..เจ้าจะเจ็บมือหากอยู่ในที่เย็นๆ” นางยังคงเป็นห่วงเขา แม้จะเริ่มเข้าใจสิ่งที่เขาพูด“ไม่ต้องห่วง ข้ามีกล่องเข็มของเจ้าช่วยชีวิตแล้ว เวลาที่รู้สึกเจ็บ ข้าสามารถฝังเข็มที่มือบรรเทาความเจ็บได้” เขาตอบอย่างอ่อนโยน“เจ้า พูดจริงหรือ เจ้าย้ายไปอยู่ในห้องดีๆก็ได้ จวนของข้าสามารถดูแลเจ้าได้ ไม่จำเป็นต้องประหยัดเพียงนั้น เจ้า ..ข้าไม่ได้รังเกียจเจ้า” หลี่เฟิ่งเซียนยังดื้อดึง คำพูดท้ายๆนางไม่กล้าสบตาเขาเพราะความเขินอาย จึงก้มหน้าลงบิดมือไปมา“อย่าเหลวไหล ถึงจวนของเจ้าจะมีเงินมากมาย แต่ก็ต้องรู้จักรักษา และหามาเพิ่ม พรุ่งนี้เจ้าควรไปขอโทษท่านย่าด้วย เข้าใจหรือไม่” เข
“รีบลุกขึ้นมา เจ้าไม่สบายอยู่ เดี๋ยวจะอาการหนักกว่าเก่า” หลี่เฟิ่งเซียนเป็นห่วงสามี“อย่าเหลวไหล ท่านย่าทำโทษเจ้าอยู่ อย่างไรข้าย่อมต้องรับโทษแทนเจ้า เจ้าอย่าทำให้ท่านโกรธอีก” ลู่มู่เฉินดุนาง หลี่เฟิ่งเซียนก็เงียบตามเขาพูด นั่งลงข้างๆเขา“เจ้าไม่ต้องทำเช่นนี้ มีข้ารับโทษแทนเจ้าแล้ว เมื่อวานเจ้าเหนื่อยทั้งคืน หากยังต้องมานั่งคุกเข่าตากอากาศเย็นตอนกลางคืน เจ้าจะไม่สบายได้” เขาพูดอย่างอ่อนโยนกับนางลู่มู่เฉินพูดถึงเรื่องที่นางชกต่อยจนชายชาตินักรบผู้หนึ่งอย่างจ้าวเหลียงต้องนอนรักษาตัวลุกไม่ขึ้น แต่หลี่เฟิ่งเซียนกลับนึกไปถึงเรื่องที่เขาทำให้นางอ่อนระทวยจนไม่มีแม้แต่แรงขยับตัว นางรู้สึกแก้มสองข้างร้อนๆ กลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก เพราะมืดแล้ว สาวใช้ที่ยืนรอบๆต่างไม่สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของคุณหนูใหญ่ แต่ไม่ใช่ลู่มู่เฉิน เขารับรู้ถึงความเขินอายของนางได้ คราแรกเขาไม่แน่ใจว่าเหตุใดจู่ๆนางจึงเขินอาย แต่เมื่อนึกย้อนทบทวนคำพูดของตัวเองแล้ว เขารู้สึกกระอักกระอ่วนไม่น้อยในความชวนให้เข้าใจผิดของคำพูดนั้น สองสามีภรรยาโง่งมต่างเขินอายโดยไม่มีผู้ใดรับรู้เพล้ง!! เสียงถ้วยกระเบื้องแตกดังออกมาจากเรือนของ
หลี่เฟิ่งเซียนรีบร้อนไปรับยู่ยี่กลับมา แต่พอไปถึงที่พักของคนใช้นอกจวน นางก็ได้รับรู้ว่ายู่ยี่ไม่ได้อยู่ในที่พักนี้ ยู่ยี่ถูกบังคับให้ไปเช่าบ้านอยู่ และวันนี้นางก็ต้องไปซักผ้าที่แม่น้ำ หลี่เฟิ่งเซียนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นางยิ่งรู้สึกผิดต่อยู่ยี่ที่พามาลำบากอยู่ในเมืองหลวง หลี่เฟิ่งเซียนสัญญากับตัวเองว่าหากพานางมาได้แล้วจะดูแลนางให้ดีขึ้นเรื่องนี้ หรือเรื่องสามี ทั้งสองเรื่องผิดที่ตัวนาง นางเป็นคนพาพวกเขามาแต่ไม่ดูแลพวกเขา คิดว่าท่านย่ารักนางอย่างไรก็จะดูแลคนของนางให้ดี ที่ไหนได้ท่านย่ากลับเห็นคนไม่เท่ากัน บ่าวก็ยังเป็นบ่าว บ่าวก็ยังแบ่งกันเป็นหลายชั้น สูงต่ำกันไปตามมารยาทที่ได้รับฝึกสอนอีก ส่วนเขยของจวนแม่ทัพอย่างลู่มู่เฉิน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าท่านย่ารังเกียจเขาเพียงใด บังคับให้เขาอยู่ในห้องมืดๆ ผนังไม่ดี ลมเย็นพัดเข้ามาได้ตลอดคืน ผ้าห่มฟู่ปูนอนก็เป็นของเก่า ทั้งที่นางก็บอกไปแล้วว่าเขาป่วยอยู่ในห้องที่มีอากาศเย็นนานๆไม่ได้ นางไม่อาจไม่รับความผิดนี้ นางจะชดเชยให้พวกเขาหลี่เฟิ่งเซียนควบขี่ม้าไปรับยู่ยี่ที่แม่น้ำ ทันทีที่นางเห็นคุณหนูใหญ่ ยู่ยี่ก็ร้องไห้ออกมายกใหญ่ ทั้งด่าทั้งบ่นคุณหนูใหญ่
มือเย็นยะเยือกที่ไร้เนื้อหนัง บนหลังมือยังเต็มไปด้วยตุ่มใส เล็บยาวสีแดงน่ากลัว คืบคลานเข้าหาตัวนางทีละเล็กทีละน้อย มือข้างนั้นดึงเสื้อผ้าของนางขาดจนไม่เหลือชิ้นดี หลี่เฟิ่งเซียนตัวแข็งทื่อคล้ายโดนพิษขยับไม่ได้มือที่มีเพียงกระดูกนั้นผลักนางด้วยความแรงชนิดที่นางคิดไม่ถึง ตัวนางล้มลงไปบนกองฟางเปียกชื้น มันทั้งเหม็นทั้งคัน นอกจากกองฟางนั้นแล้วรอบๆ มีแต่สิ่งปฏิกูล นางร้องขอความช่วยเหลือแต่อ้าปากไม่ได้ ทั้งห้องอับชื้นมีเพียงแสงสว่างสายหนึ่งส่องเข้ามาจากด้านบนนางรู้สึกได้ถึงริมฝีปากที่งับเบาๆ แถวปลายคาง ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปตามผิวเนื้อวิ่งตรงไปที่ท้องน้อยของนาง ก่อนจะทำให้ผลท้อชมพูของนางสั่นระริกราวกับโดนไฟลวก สองมือที่มีแต่กระดูกตระกองกอดนาง บีบบังคับให้นางต้องแอ่นอกไปชิดโครงร่างผอมแห้ง ลิ้นชื้นแฉะเลียไปตามคอระหง วกกลับไปดูดริมฝีปากล่างของนางเบาๆ แต่นางยังรู้สึกเจ็บมากหลี่เฟิ่งเซียนกลัวจับใจ แต่ร่างนั้นยังคงกอดกัดนางต่อไป มันกัดริมฝีปากของนางจนเปื่อยก่อนจะผลักนางล้ม ฉีกกระชากตู้โตวของนาง ก่อนจะทาบทับลงไปบนหน้าอก นางรู้สึกถึงยอดถันชมพูที่กำลังเสียดสีกับโครงกระดูก ก่อนที่โครงกระดูกจะโน้มตัว