“ขาเจ้าเป็นอย่างนั้นจะยกได้อย่างไร แม่ยกเอง!”
ไป่จวิ้นนั่งอึ้งอยู่กับพื้น นี่ไม่ใช่ว่าพวกเขาแม่ลูกกำลังตื่นเต้นเกินไปหรอกหรือ…
“นางบอกว่ากลับจากหาของป่าจะมา แต่นี่จะเที่ยงวันแล้วยังไม่เห็นแววเลยท่านแม่”
หงเสวียนซู่เหลือบมองบุตรชายที่มานั่งอาบแดดรอจนตัวไหม้ ไม่รู้จะรู้สึกอย่างไรกับภาพที่เห็นนี้ดี
“ไม่เข้าไปรอในบ้านล่ะ”
ไป่จวิ้นเหล่มองมารดา
ทีตัวเองยังเอาเปลนอนมากางนั่งรอ มีสิทธิ์อะไรมาเหน็บข้าล่ะนั่น ตื่นเต้นละสิ ตื่นเต้นใช่ไหม จะได้ลูกสะใภ้แล้วนี่
ไม่รู้ความน้อยเนื้อต่ำใจก่อนหน้านี้ที่ฟุ้งซ่านอยู่คนเดียวหายไปไหนหมด พอได้ยินว่านางจะมาเขาก็ไม่ได้คิดเรื่องอื่นอีกเลย
เป็นเอามาก
ชายหนุ่มอดยิ้มแห้งให้กับสภาพตัวเองไม่ได้
หากนางบอกว่าไปหาของป่าก็คงอาศัยอยู่แถวหมู่บ้านนายพรานกระมัง ที่นั่นอยู่ใกล้ป่าที่สุด ขึ้นลงเขาสะดวก แต่ก็เสี่ยงถูกสัตว์ป่าโจมตีง่ายเช่นกัน อีกไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็จะเที่ยงวันแล้วแต่นางยังไม่มา เช่นนี้ไม่ใช่ว่าเกิดอะไรขึ้นหรอกหรือ
บุรุษอาภัพรักอย่างเขายังไม่ทันแต่งงานก็จะเป็นหม้ายเสียแล้ว แบบนี้ไม่ได้สิ ถ้าสุดท้ายจะลงเอยแบบนี้สู้เขาตายไปในสนามรบเลยคงดีกว่า
ระหว่างกำลังตัดพ้อต่อโชคชะตา เสียงพาหนะล้อลากบางอย่างก็เคลื่อนเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ
จางอวี๋จิงหอบแฮก คนข้างบ้านให้ยืมเกวียนลากมาก็จริงอยู่ แต่นางต้องเข็นมาถึงนี่เอง ทำเอาเหนื่อยแทบสลบ นางมาถึงหน้าบ้านก็หน้าคว่ำทรุดลงกับพื้นเอามือค้ำยันไว้ทั้งที่อ่อนเปลี้ยไปทั้งตัว
“ตายแล้ว!” สองแม่ลูกสกุลไป่อุทานเสียงหลงรีบวิ่งเข้ามาดูนาง หงเสวียนซู่มองดูสิ่งที่นางนำมาก็พบว่าเป็นผักป่าล้นเข่งที่อัดแน่นกันมาเต็มเกวียน
“ขออภัยที่มาช้าเจ้าค่ะ” นางยิ้มแหยรู้สึกขายหน้าตัวเองยิ่งนัก
“ใครสนเรื่องนั้นกันเล่า ของมากมายขนาดนี้ทำไมขนมาคนเดียว ผู้ชายในบ้านไม่มีเลยหรือ!?” หงเสวียนซู่จะดุด่าก็ทำไม่ลง ไป่จวิ้นยิ่งพูดไม่ออก ได้แต่ยื่นกระบอกน้ำให้ว่าที่ภรรยาดื่มแก้กระหาย
“กะทันหันไปหน่อย แต่ไม่มีใครพอจะมาได้เลยเจ้าค่ะฮูหยิน น้องชายข้าต้องเฝ้าท่านยาย ข้าจึงห้ามไม่ให้มา จริง ๆ เขาก็รั้นจะมาส่ง พ่อกับแม่ข้าก็ไปรับจ้างยังไม่กลับ แต่ไม่เป็นไรนะเจ้าคะ ข้าแข็งแรงมาก!” จางอวี๋จิงยิ้มกว้างทั้งที่เหงื่อท่วมหน้า
“เอาละ ๆ เรื่องแล้วไปแล้วก็ช่างมันเถอะ แต่อย่าทำแบบนี้อีกเชียว”
ไป่จวิ้นประคองนางยืนแล้วพาไปนั่งพักข้างใน หาน้ำหาท่าให้นางดื่มแล้วออกมาช่วยมารดาขนเข่งผักและผลไม้ป่าลงจากเกวียน
“ไม่ไปอยู่กับนางล่ะ”
“ปล่อยให้ท่านแม่ยกคนเดียวข้าก็อกตัญญูแล้ว”
“แต่ขาเจ้า…”
“แค่เดินกะเผลกนิดหน่อยไม่ใช่ว่าเดินไม่ได้นะ
อีกอย่างแขนข้าก็ยังแข็งแรงดี นางลากเกวียนมาคนเดียวตอนนี้ยังหอบไม่หายเลย หากข้าอยู่เฉยก็ละอายใจแล้ว”ถึงแม้จะเป็นเกวียนลากขนาดเล็กที่ดัดแปลงมาจากเกวียนนั่ง แต่จางอวี๋จิงก็ลากของหนักมาไกลมาก ไม่รู้ทำไมสตรีผู้นี้ชอบทำอะไรเกินตัวอยู่เรื่อย ไป่จวิ้นก็พึ่งได้ยินวันนี้ว่า การแต่งงานระหว่างพวกเขาสองคน นางตัดสินใจเองด้วยตัวคนเดียว และไม่ยอมให้ที่บ้านคัดค้าน
ฝืนตัวเองบ่อยเลยใช่ไหม แบบนี้จะไม่เป็นไรแน่หรือ
สองแม่ลูกช่วยกันขนของลงจนหมดก็เข้ามาในบ้าน นอกจากจางอวี๋จิงจะไม่ยอมนั่งอยู่เฉย ๆ ยังกวาดพื้นอยู่อีก ฝุ่นผงพวกนั้นเป็นของจากห้องนอนที่กวาดออกมากองไว้อีกที คิดว่าจะโกยไปทิ้งหลังมื้อเย็นทีเดียว แต่นางก็ทำความสะอาดไปหมดแล้ว
เห็นพวกเขาเข้ามานางก็แย้มยิ้มหาน้ำให้กิน
หงเสวียนซู่ที่เตรียมการทดสอบว่าที่สะใภ้ไว้หลายบทเรียนถึงกับทำอะไรไม่ถูก ไป่จวิ้นเห็นสีหน้ามารดาแล้วก็นึกขัน อยู่กับนางมาตั้งแต่เล็กจนโต ทำไมเขาจะไม่รู้จักมารดาตนเอง“ก่อนกลับฮูหยินจะให้ข้าทำอาหารเย็นไว้ให้เลยไหมเจ้าคะ”
“ไม่ต้องหรอก ไปดูวิธีทำกายภาพเอาไว้เถอะ” ถึงขาของบุตรชายนางจะหมดหวังแล้ว สามารถใช้ชีวิตปกติได้ก็จริง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะละเลยเรื่องนี้ได้
จางอวี๋จิงรีบร้อนทั้งไปและกลับตั้งแต่เมื่อวาน นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้มีเวลาเพ่งพินิจว่าที่สามีตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างละเอียด
นางเคยเห็นบุตรเจ้าเมืองใกล้ ๆ ครั้งหนึ่ง ทั้งหน้าตาผิวพรรณบ่งบอกว่าไม่ใช่คนทั่วไปชัดเจน ได้ยินว่าคุณชายบุตรเจ้าเมืองคนนั้นหน้าตางดงามเทียบเคียงเหล่าองค์ชายได้เลย หากคนผู้นั้นถือว่างดงามมากแล้วละก็ สามีของนางก็ถือว่าเป็นคนธรรมดา
คนธรรมดาที่หน้าตาดี…คนธรรมดาที่รูปงาม
จางอวี๋จิงไม่เข้าใจว่า ทำไมถึงมีคนตั้งแง่กับความพิการของเขา นางไม่เห็นว่ามันจะมีปัญหาที่ตรงไหน การใช้ชีวิตประจำวันติดขัดแค่บางอย่างเท่านั้น ส่วนการใช้แรงงานในฐานะบุรุษก็ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้เลย
ที่มีปัญหาน่าจะเป็นความคิดของคนเมืองอวี้มากกว่า
“ถ้าราบรื่นเช่นนี้ข้าก็วางใจ เด็ก ๆ จะชอบพอกันหรือไม่ก็ไม่เสียหายทั้งสองฝ่าย ยังรักษาหน้ากันบ้าง”“เรากับสกุลปันก็สนิทสนมกันมาพอสมควร มิตรภาพก็หลายปีตั้งแต่เราย้ายมาอยู่ ถึงเด็ก ๆ จะไม่ชอบใจกันก็ไม่สะเทือนถึงความสัมพันธ์ยาวนานหรอก”“ข้าก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ ใจคนนั้นยากแท้หยั่งถึง จะตัดสินตั้งแต่ตอนนี้ทั้งที่ช่วงเวลานั้นยังไม่มาอยู่ตรงหน้าก็จะไม่ได้”ภรรยาเขายังขี้กังวลเหมือนเดิม“อืม ๆ เอาตามที่เจ้าว่า เราดูกันไปก่อนเถอะ”บ่ายวันนั้นก็มีจดหมายส่งมาจากสกุลปัน แจ้งเวลานัดหมายที่ร้านน้ำชาแห่งหนึ่ง นี่ไม่ใช่การดูตัวอย่างเป็นทางการจึงมีแต่เด็ก ๆ เท่านั้นที่ไป หลังจากนำเรื่องนี้ไปบอกบุตรชายเขาก็รับทราบและตกลงจางอวี๋จิงเดินออกมาทั้งหน้ามุ่ย“เป็นอะไรไปอีกล่ะ ลูกไม่ยอมไปหรือ”“ไปแบบขอไปทีน่ะสิ ข้าล่ะกลัวว่าเขาจะทำให้ฝ่ายหญิงไม่พอใจ”ไป่จวิ้นตบที่ว่างข้างตัวให้นางไปนั่ง“เสี่ยวหลินเติบโตมาเป็นบุรุษที่ดี มีพ่อเจ้ากับข้าช่วย
จางอวี๋จิงมองบุตรในวัยปักปิ่นของตัวเองสวมเสื้อผ้าทะมัดทะแมงพร้อมมีกระบี่พกติดตัว นางจำได้ว่าเมื่อหลายปีก่อนน้องชายของนางชวนให้บุตรชายคนโตไปร่วมงานที่สำนักคุ้มภัยด้วยกันหากเขาต้องการ หลายปีต่อมานางจึงไม่ได้คาดคิดว่า พอได้ลองไปทำงานที่นั่นดูแล้วจะเป็นบุตรสาวของตนเสียเองที่ติดใจ“เสี่ยวลู่ลู่ ลูกคิดดีแล้วใช่หรือไม่”“ข้าตัดสินใจแล้วเจ้าค่ะท่านแม่”พูดไม่ออกเลยจริง ๆ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าเตรียมใจไว้เลยนะ“ท่านแม่เจ้าคะ ข้าสัญญาจะดูแลตัวเองดี ๆ และกลับมาเยี่ยมท่านบ่อย ๆ ““รู้แล้ว ๆ ทำอย่างกับแม่จะห้ามเจ้าได้”ตอนนางอยู่ในวัยแรกรุ่นก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน ตัดสินใจแต่งงานเข้าสกุลไป่ตามใจตัวเองโดยไม่ปรึกษาที่บ้าน ถึงไปปรึกษาก็ยังยืนยันคำตอบเดิม หัวรั้นเหมือนนางไม่มีผิดเป็นความผิดข้าสินะ เป็นความผิดข้าใช่ไหมนี่ นางเหมือนข้ามากเกินไปจางอวี๋จิงอยากจะเอามือก่ายหน้าผากไป่ลู่จื่อได้ความงดงามของมารดาไปเต็ม ๆ จนบิดาห่วงเช้าห่วงเย็น ด้ว
“ข้าก็ชอบ”เด็กทั้งสองพูดเจื้อยแจ้วแข่งกัน จางอวี๋จิงแบ่งงานให้พวกเขาทั้งคู่ นางใช้พวกเขาช่วยล้างผักและหมักเนื้อ จะไม่ให้แตะต้องของมีคมอย่างเด็ดขาด ลูก ๆ จะมีบิดาคอยคุมอยู่ห่าง ๆ อีกที ไม่ให้พวกเขาเผลอหยิบจับอะไรจนเจ็บตัวทั้งฟืนไฟและของหนักของร้อนขนมและน้ำชาที่จะกินกันในวันนี้หงเสวียนซู่และเหออิงเป็นคนรับผิดชอบ ตอนนี้ของหวานพวกนั้นกำลังอยู่ในหม้อนึ่ง ส่วนนางก็รับหน้าที่จัดการของคาว พวกสาวใช้ทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่ให้เสร็จตั้งแต่เมื่อวันก่อน ตอนนี้กลับไปใช้เวลากับครอบครัวของตัวเอง พ่อบ้านก็เช่นกันจางอวี๋จิงทำอาหารจานโปรดของทุกคนอย่างละหนึ่ง แล้วทำของที่กินคู่กันอีกเล็กน้อย อาหารสำหรับฉลองวันนี้ก็พร้อมขึ้นโต๊ะจางชิงผิงเดินทางมาจากบ้านที่อยู่ซอยข้าง ๆ พร้อมกับน้องชายของนาง ตอนนี้จางฟงเป็นหนุ่มน้อยรูปงามที่สตรีหลายคนในเมืองนี้หมายตา ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สนใจใครเป็นพิเศษ ท่านพ่อไม่ได้รีบบังคับบุตรชายให้ออกเรือน ท่านแม่ก็ไม่พูดเรื่องนี้ให้เขาอึดอัด ตั้งใจจะปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติบรรยากาศการกินเลี้ยงเป็นไปอย่างรา
มารดาของนางบอกว่า มันเป็นขนมไหว้พระจันทร์แสนพิเศษ พลังแสงจันทร์เจ็ดวันเจ็ดคืนบนยอดเขาน้ำค้าง ศักดิ์สิทธิ์มาก และต้องเก็บไว้เปิดอีกครั้งในวันไหว้พระจันทร์เท่านั้นเรื่องความศักดิ์สิทธิ์แสนวิเศษนั่นนางไม่ได้สนใจเลยสักนิด กลับกลัวว่าขนมนี่ยังกินได้อยู่หรือเปล่ามากกว่า เผลอ ๆ อาจมีราขึ้นแล้วด้วยซ้ำ แต่เพื่อความสบายใจของมารดานางจึงรับไว้ก่อน หากวันไหว้พระจันทร์เปิดมาแล้วมันกินไม่ได้นางจะแอบเอาไปทิ้งทีหลังเทศกาลไหว้พระจันทร์มักจัดขึ้นช่วงกลางฤดูใบไม้ร่วง เป็นเทศกาลใหญ่เหมือนที่เฉลิมฉลองร่วมกันทั่วทวีปที่ตั้งอยู่บนแผ่นดินเดียวกันกับแคว้นหนานเป็นวันที่จะได้ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวอีกวันหนึ่ง มีอาหารกินเลี้ยงหลากหลาย มีการจุดดอกไม้ไฟและร่ำสุรา มีการแสดงระบำมังกรของในแต่ละท้องที่ เป็นอีกหนึ่งเทศกาลที่จางอวี๋จิงชอบมากรองจากเทศกาลชีซี แต่อย่างหลังนางไม่เคยได้มีโอกาสได้เข้า เป็นได้เพียงผู้ชมอยู่ห่าง ๆระหว่างนางกำลังตกแต่งโต๊ะอาหารสามีก็กลับมาจากข้างนอก ในมือของเขามีถุงวัตถุดิบมากมายสำหรับทำอาหารและของหวานวันนี้ไป่จวิ้นยิ้มทัก
“มาทางนี้สิ” ไป่จวิ้นเรียกนางไปหาข้างหน้าต่าง ถึงจะมีแสงมาก แต่ค่ำคืนนี้ก็ยังมองเห็นดาวไป่ลู่จื่อมานอนเล่นตุ๊กตาจำลองกับพี่ชายบนเตียง นางในวัยสามเดือนไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่ายอมอยู่เฉย ๆ ให้พี่ชายจับแต่งตัวเป็นนักรบน้อย ดวงตาเหลียวมองท่านพ่อท่านแม่ ภาพที่นางเห็นสุขสันต์พอ ๆ กับนิทานก่อนนอนคืนนั้นเด็กน้อยหลับฝันหวาน พ่อแม่ของนางนั่งดูดาวที่หน้าต่างจนดึกดื่นโดยไม่มีบทสนทนาใดเกิดขึ้น ท้ายที่สุดจางอวี๋จิงก็ผล็อยหลับไปทั้งแบบนั้นเนื่องจากไป่จวิ้นไม่สามารถอุ้มนางไปที่เตียงได้จึงต้องปลุกภรรยาให้ตื่นอย่างน่าเสียดาย“อาอวี๋” เขาเอ่ยเรียกนางเบา ๆ เพราะลูก ๆ ก็หลับกันหมดแล้วจางอวี๋จิงรู้สึกครั้งแรกขยับตัวเล็กน้อย นางเปิดเปลือกตาขึ้นมาเพียงครึ่งเดียวแล้วเงยมองสามีด้วยสายตาขอคำตอบ“เด็ก ๆ หลับไปแล้ว พวกเราก็นอนกันเถอะ”นางพยักหน้าท่าทางงัวเงียแทบหลับตาเดิน คืนนั้นครอบครัวหลับฝันหวาน และตื่นมารับชมงานเทศกาลในตอนเช้าวันนี้เป็นเนื้อหาหลักของการจัดงานเทศกาลนี้ขึ้นมา นอกจากเอาผลผลิตมาอวดโฉมแล้วยังม
จางอวี๋จิงมองดูด้วยสายตาคิดว่ารางวัลชนะเลิศคงไม่ใช่ของนางแล้ว มีของคนอื่นที่ดูแลผลออกมาได้สวยกว่านางมาก แต่สิ่งที่นางนำมาก็รูปทรงสวยพอจะไปวางบนแท่นจัดแสดงได้อย่างไม่อายใครแน่นอนหลังจากนี้แค่ปล่อยตัวเองสนุกไปกับบรรยากาศก็พอแล้ว“อาอวี๋ ตรงนั้นเหมือนจะมีร้านขายผ้ามาเปิดใหม่ ลองไปดูหน่อยไหม”พอมีเวลาเป็นของตัวเองมากขึ้น และไม่ต้องห่วงเรื่องเงินทอง จางอวี๋จิงพบว่าตนเองก็ชอบที่จะแต่งตัวสวย ๆ เหมือนกัน นางก็มีส่วนที่หลงใหลไปกับความงดงามเหมือนเช่นสตรีหลาย ๆ คน เพียงแต่ที่ผ่านมาไม่มีโอกาสได้ทำเพราะสามีรู้แบบนั้น เขาก็พยายามเติมเต็มให้นางเท่าที่ทำได้ เวลาแรกผลิบานของนางหมดไปกับการดิ้นรน หากหลังจากเป็นแม่คนแล้วยังต้องมาสำรวมตามขนบทุกอย่าง อิสระของนางจะอยู่ที่ไหนนั่นไม่ใช่สามีแบบที่ไป่จวิ้นอยากเป็นจางอวี๋จิงมองไปตามทางที่สามีบอกก็เห็นร้านผ้าอยู่จริง ๆ มีคนออกมาเรียกลูกค้าและประกาศตัวว่าเป็นร้านเปิดใหม่ ที่ร้านของครอบครัวนางขายผ้าไหมเป็นหลักแต่ร้านนั้นมีผ้าที่หลากหลายมากกว่า ทว่าเป็นผ้าราคาถูกที่คนทั่วไปจับต้องได้&l