กำลังเดินไปตามทาง เด็กชายก็นึกภาพน้ำตาลปั้นสีสวยที่กำลังรออยู่ วันนี้จะกินสีอะไรดีนะ พลันร่างเล็กก็เซวูบไปด้านข้างและชนเข้ากับหญิงสาวคนหนึ่งตามแรงที่เบียดมาของพี่สาว
"ว้ายยยย..." เสียงคนเป็นพี่สาวร้องเมื่อเสียหลัก
"ตายแล้ว แม่นางเป็นอันใดหรือไม่" หญิงสาวชาวบ้านนางนั้นเอ่ยถามทั้งยังรีบเข้ามาช่วยพยุงอย่างไร้ความโกรธเคืองเมื่อถูกชน หญิงสาวนางนี้คือเสวี่ยหมิงนั่นเอง
"ไม่ ไม่เป็นไร" เมื่อตั้งตัวได้ก็ยืดกายหันมาตอบ "วันนี้คนเยอะไปหน่อยข้าเลยถูกเบียดเอา ขอโทษแม่นางด้วยที่ข้ากับน้องชายต้องชนท่านเช่นนี้ ไม่ทราบแม่นางบาดเจ็บเพราะพวกเราหรือไม่"
"ไม่บาดเจ็บอะไร ห่วงก็แต่น้องชายของเจ้า" หมิงเสวี่ยก้มตัวลงมองเด็กชาย เมื่อเห็นว่าปลอดภัยดีก็ยิ้มให้แต่ไม่กล้ายื่นมือไปลูบหัวเพราะทราบแก่ใจดีว่าชนชั้นสูงเหล่านี้มีความถือตัวมากเพียงใด
"เสี่ยวซู ขอบคุณพี่สาวท่านนี้สิ หากไม่ได้นางช่วยพยุง เราต้องล้มลงไปนอนกับพื้นแล้วเป็นแน่"
เด็กชายมองหน้าคนแปลกหน้า แต่ก็รักษาท่วงท่าสุภาพเอาไว้และรีบเอ่ยขอบคุณตามที่พี่สาวกำชับ
หมิงเสวี่ยยังคงยิ้ม แต่จากนั้นกลับมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น "พักนี้มีโจรขโมยออกอาละวาดฉกชิงวิ่งราว ได้ยินว่าผู้ถูกลักทรัพย์มักโดนเบียดจนล้มเหมือนกับพวกท่าน ไม่ทราบว่าทรัพย์สินของพวกท่านยังอยู่ดีหรือไม่ "
คุณหนูเบิกตากว้าง รีบก้มสำรวจตามเนื้อตัวของตนก่อนจะหยุดอยู่ที่ข้อมือบาง "กำไล กำไลหยกของข้าหายไป"
หมิงเสวี่ยมีสีหน้าตื่นตระหนกและเสียใจแทน ราวกับว่าของที่หายเป็นของตนเอง "ข้าว่าท่านรีบไปแจ้งความที่ที่ว่าการเถอะ หากจับคนร้ายได้ ก็จะได้ของคืน"
อีกฝ่ายกลับทำหน้าเหนื่อยหน่ายราวกับไม่อยากทำ
"ช่างเถอะ กำไลอันเดียวหายแล้วก็หายไป คิดเสียว่าทำบุญก็แล้วกันไป กำไลพวกนั้นไม่มีราคาค่างวดอะไรมาก ที่บ้านข้าก็ยังมีอีกหลายวง หากไปแจ้งความ คาดว่าวันนี้ทั้งวันข้าคงไม่ต้องไปทำอันใดต่อแล้ว"
อา...หากจะโทษ คงต้องโทษ ระบบราชการช่างแสนเชื่องช้าและยุ่งยากจนน่าเบื่อหน่ายสินะ
หมิงเสวี่ยพยักหน้าอย่างเข้าใจความคิดของอีกฝ่ายจึงไม่คะยั้นคะยอ "เช่นนั้นก็แล้วแต่พวกท่านเถอะ"
"ขอบคุณแม่นางมากที่หวังดีกับข้า" คุณหนูยิ้มรับ "ถ้าเช่นนั้นพวกเราคงต้องขอตัวแล้ว"
ทั้งสองฝ่ายก้มหัวคำนับให้กันและเดินแยกไปคนละทาง
หมิงเสวี่ยเดินเอามือไพล่หลังอย่างอารมณ์ดีจนกระทั่งเลี้ยวเข้าตามซอยเล็กๆ ที่คนน้อยลง เมื่อเลี้ยวไปเรื่อยๆ ก็เหลือผู้คนเพียงบางตา
นางเดินไปเรื่อยๆก็เห็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ รูปร่างคุ้นตายืนกอดอกท่าทางรอคอยบางอย่างอยู่ที่ปลายกำแพง หลางหงเช่อที่นัดกับนางเอาไว้หันมองนางพลางส่งยิ้มให้ นางจึงรีบเร่งฝีเท้าเข้าไปหา เมื่อหยุดยืนต่อหน้าเขาก็ยิ้มกว้างพร้อมกับล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้อหยิบกำไลหยกขึ้นมาทำท่าอวด
"ได้มาแล้ว!!" นางแกว่งกำไลหยกสีอ่อนที่หน้าเขา เมื่อเขายื่นมือมารับ นางก็ปล่อยมันใส่มือเขาอย่างว่าง่าย "ของกล้วยๆ!"
"เออ เจ้าเก่ง" เขาแสร้งทำเป็นแค่นเสียงแต่ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มภูมิใจ หากแต่เทียบไม่ได้กับแววตาเป็นประกายของหญิงสาวคนรักตรงหน้า
หญิงสาวที่ได้รับคำชมจนหน้าบานเป็นจานเชิงปราดเข้าคว้าแขนชายหนุ่มมาเกี่ยวไว้และออกเดินไปด้วยกัน
"คืนนี้ข้าจะต้องไปช่วยร้านเทียนหมินจัดงานเลี้ยงที่จวนท่านนายอำเภอ เจ้าห้ามทำตัวเหลวไหลนอกใจข้าเป็นอันขาดนะหงเช่อ" นางปั้นเสียงเข้มสายตาดุจัด ถึงกระนั้นพวกเขาก็ทราบว่านางกำลังล้อเล่น
นางรู้จักกับหงเช่อตั้งแต่ครั้งยังเล็ก ต่างฝ่ายต่างกำพร้าพ่อแม่ เป็นเด็กขอทานที่บังเอิญมาพบกัน และความผูกพันก็กล่อมเกลาคนกลายเป็นความรัก
เมื่ออายุราวสิบขวบ หลางหงเช่อกับหมิงเสวี่ยก็ถูกเถ้าแก่หม่า เจ้าของโรงเตี๊ยมเล็กๆ รับไปเลี้ยงดู ทำงานเป็นคนรับใช้ทั่วไป ทำงานทุกอย่างตามแต่จะสั่ง แต่ไม่ใช่แค่เลี้ยงดูธรรมดา เบื้องหลังของเถ้าแก่หม่า คือจอมโจรผู้ถนัดงานย่องเบา เด็กน้อยสองคนจึงได้รับการถ่ายทอดวิชาก้นหีบ ออกลักเล็กขโมยน้อยยามค่ำคืน เน้นขโมยบ้านผู้ดีมีอันจะกินทั้งหลาย โดยนิยมลักแค่นิดๆ หน่อยๆ เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกต และเพราะไม่ให้เป็นเรื่องราวใหญ่โตจนถึงทางการ เนื่องจากคนเหล่านี้ทราบดีกว่าการแจ้งความนั้นยุ่งยากเพียงใด แค่แหวนไม่กี่วงหรือสร้อยสองสามเส้นหายไป ไม่นานก็หาใหม่ได้ แต่การแจ้งความนั้น เสียเวลาทำมาหากินยิ่งนัก หรือบางครั้งก็อย่างที่เห็น ฉกชิงเอากลางถนนโดยอาศัยช่วงคนเยอะๆ เดินเบียดกันจนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร และแน่นอน เหตุการณ์เมื่อครู่คือหงเช่อเป็นคนเดินชนพี่น้องคู่นั้นเพื่อสร้างสถานการณ์ จากนั้นหมิงเสวี่ยก็รับช่วงต่อ อาศัยจังหวะที่คุณหนูนางนั้นเซเข้ามาชน นางก็ใช้วิชามือไวรูดกำไลออกจากมือมาเก็บไว้ที่ตนเอง เหตุการณ์ยังคงเป็นอย่างที่พวกเขาคาดไว้ กำไลวงเดียว หายไปก็ไม่รู้สึกรู้สากระไรนัก
ส่วนตงเทียนก็หันไปคุยหยอกล้อกับสาวน้อยในแปลต่อ "ซือเซียน เจ้ารู้หรือไม่ อาจารย์ปู่ของตงเกอเคยบอกว่า คนเราได้มาพบพานกันก็เพราะมีวาสนาต่อกัน ตงเกอว่า ที่เราได้พบกันก็คงเพราะมีวาสนาต่อกันเช่นที่อาจารย์ปู่บอกแน่ๆ"อ้อแอ้...อ้อแอ้...เสี่ยวเซียนตัวน้อยร้องตอบตงเกอเกอ..."อ้อ...เราอาจจะมีด้ายแดงผูกกับนิ้วแบบที่ศิษย์พี่เจี๋ยบอกก็ได้"หมิงเสวี่ยอดอมยิ้มกับภาพที่เห็นไม่ได้ ใจหนึ่งก็น่ารักน่าเอ็นดู แต่ใจหนึ่งก็อดหวาดหวั่นมิได้ว่าว่าที่พ่อตาของเขาช่างน่ากลัวเหลือเกิน...เอาน่า...เรื่องในอนาคต อย่าเพิ่งคิดมากไปดีกว่า อีกอย่าง ตงเอ๋อร์ก็ยังเด็กนัก ยังคงไม่รู้ความเท่าใด เอาไว้โตกว่านี้ อาจจะเปลี่ยนใจก็เป็นได้ตงเทียนยังคงหยอกล้อกับซือเซียน จนกระทั่ง...เจ้าของบ้านผู้หวงบุตรสาวยิ่งกว่าจงอางหวงไข่เดินเข้ามา"ตงเทียน...""ขอรับ!""ได้เวลาออกเดินทางแล้ว""ข้าคิดว่ายังเหลืออีกครึ่งชั่วยามนะขอรับ" ตงเทียนเงยหน้าขึ้นเถียง อีกตั้งครึ่งชั่วยาม เขาคุยกับซือเซียนได้อีกหลายเรื่องเลยนะ ทั้งเรื่องนกยวนยาง หนุ่มเลี้ยงวัวกับสาวทอผ้า แล้วก็อะไรต่อมิอะไรตั้งมาก"ได้เวลาซือเซียนกินนมแล้ว" ไป๋จิ้งเหอก้าวเข้ามาใกล้อีกเพื
"อันที่จริงบาดแผลข้าก็เกือบหายขาดแล้ว เพียงกินยาตามเวลาต่อไปก็จะหายดีเอง" ผู้เฒ่าเอ่ย "ที่รั้งอยู่นานก็เพราะเป็นห่วงฮูหยินของเจ้ากับแม่นางจิงที่ตั้งครรภ์ทั้งคู่แต่ไร้คนคุ้มกัน เวลานี้เจ้ากับเฉี่ยวเหมยก็กลับมาแล้ว สมควรที่ข้าจะกลับสำนักเสียที""ศิษย์ขอบคุณอาจารย์ บุญคุณในครั้งนี้ศิษย์จะไม่มีวันลืม" ไป๋จิ้งเหอคุกเข่าให้ผู้เป็นอาจารย์อา"ฮูหยินของเจ้าก็มีบุญคุณต่อข้า เช่นนี้แล้วก็แล้วกันไปเถอะ" ผู้เฒ่าซานยื่นมือไปรั้งให้จิ้งเหอลุกขึ้น "ดูแลภรรยากับลูกๆของเจ้าให้ดี พวกเขานับเป็นสมบัติล้ำค่าที่เจ้าไม่อาจหาจากที่ใดได้" ผู้เฒ่าซานวางมือบนไหล่กว้าง "รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีๆ หวังว่าพวกเราจะได้พบกันอีก""ขอรับ" ไป๋จิ้งเหอยิ้มบาง แต่ในใจนั้นรวดร้าว เพราะรู้ดีว่าเขาไม่อาจรักษาหนึ่งในสมบัติล้ำค่านั้นได้เสวี่ยเอ๋อร์...ข้ามิอาจฉุดรั้งเจ้า...และเจ้าก็ไร้ซึ่งใจจะอยู่กับข้า...สองวันถัดมา อาจารย์และศิษย์หลานก็พร้อมจะออกเดินทางกลับ แต่ตงเทียนกลับวิ่งไปหาซือเซียนน้อยตั้งแต่รุ่งสาง แม้จะทำได้แค่นั่งมองสาวน้อยที่กำลังหลับอยู่ก็ตามเขากำลังรอ...รอว่าเมื่อนางตื่นขึ้น เขาจะเอ่ยคำลากับนาง"ซือเซียน ไว้เจ้าโตข
"อ๊ะ ศิษย์พี่" ตงเทียนสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นไป๋จิ้งเหอเข้ามา "มีธุระอันใดหรือเปล่าขอรับ?""เจ้ากำลังจุมพิตบุตรสาวข้ารึ?..." ไป๋จิ้งเหอเพ่งสายตามองไปยังมือของตงเทียนที่มีมือซือเซียนโอบจับอยู่แน่นด้วยความขุ่นเคือง"ขอรับ" เขาตอบซื่อๆ "ข้าเพิ่งรู้ว่าเด็กทารกตัวหอมขนาดนี้" ทั้งนุ่มนิ่ม ทั้งหอม มิน่าใครได้สัมผัสเด็กทารกถึงหลงรัก"อ่อ เช่นนั้นรึ?" เขาสืบเท้าเข้ามาใกล้ "จริงสิ ได้ยินว่าอาจารย์เรียกหาเจ้าอยู่น่ะ"หมิงเสวี่ยที่ยืนอยู่ข้างๆ หุบยิ้มแทบไม่ทัน เจ้าจิ้งจอกนี่โกหกมดเท็จชัดๆ!!"ท่านอาจารย์เพิ่งนอนพักไปนี่ขอรับ" เด็กน้อยเลิกคิ้ว "ท่านตื่นเร็วยิ่ง ทั้งๆ ที่ยาที่ท่านหมอให้ จะทำให้ท่านอาจารย์หลับไปถึงหนึ่งชั่วยาม""อาจจะมีธุระด่วนกระมัง เจ้ารีบไปเถอะ" เขาเอ่ยทั้งยื่นแขนไป "ส่งนางให้ข้าอุ้มแทนก็แล้วกัน""ไม่เป็นไรมิได้ขอรับ ข้าอุ้มเป็นแล้ว เดี๋ยวจะพานางไปที่เปลเอง" ตงเทียนยิ้มตอบ เขาชักชอบสัมผัสนุ่มนิ่มของซือเซียนเสียแล้วสิ"เจ้ายังอุ้มไม่คล่องนัก ส่งมาเถอะ" เสียงเขายะเยือกขึ้นทุกที"ท่านเองก็เพิ่งเป็นพ่อคนได้ไม่กี่วัน ก็อุ้มไม่คล่องเช่นกัน" ทำไมเขาทำท่าเหมือนถูกแย่งคนรักแบบนี้นะหมิงเสว
"หลับแล้ว" เด็กสาวกระซิบ แล้วส่งซือเสียนให้กับจื่อหนี่ "เอาล่ะ เซียนเซียนน้อยของแม่ มานี่นะ"นางฟ้าน้อยของนางราวกับรู้ว่าจะได้กินนมมารดา นางโบกมือและอ้าปากรอจนตัวสั่น "เป็นสาวเป็นนาง ระวังกิริยาบ้างสิ นางฟ้าของแม่"นางดุไปเช่นนั้น แต่พอพิจารณาปากคอคิ้วคางของลูกสาวนางเหมือนมารดาราวพิมพ์เดียวกัน...แล้วจะให้เรียบร้อยได้อย่างไร"ขอให้เจ้าเติบโตอย่างดี..." หมิงเสวี่ยพูดเสียงเบาราวกระซิบ "...งดงามและมีความสุขดังที่บิดาตั้งชื่อให้ ส่วนท่านแม่ของเจ้าดีแต่ทำเขาเสียใจ เจ้าอย่าได้ดำเนินรอยตามแม่นะ เข้าใจหรือไม่?"ร่างเล็กส่งเสียงอ้อแอ้คล้ายรับคำ เมื่อใบหน้าเล็กผละจากอกแม่ นางก็ก้มลงจูบแก้มนวลอย่างอาลัยอาวรณ์...แม่รักเจ้าทั้งสองเหลือเกิน...หมิงเสวี่ยร้องเพลงกล่อมเบาๆ และอุ้มนางหมายจะเดินไปริมหน้าต่าง หางตาก็พลันเห็นแขกตัวน้อยที่ยืนด้อมๆ มองๆ อยู่ข้างประตู"อ้าว ตงเอ๋อร์ มาดูน้องหรือ?" หมิงเสวี่ยร้องทัก"...จะรบกวนพวกเขาหรือไม่?" ใบหน้าเล็กแดงเรื่อเล็กน้อยอย่างประหม่า"ไม่หรอก เข้ามาก่อนสิ"ตงเทียนเดินเข้ามาอย่างเก้ๆ กังๆ เขาไม่เคยเห็นทารกน้อยแรกคลอดมาก่อน จึงมองซือเสียนในแปลอย่างสนใจและอยากรู้ย
หลังจากทานอาหารเสร็จ ระหว่างที่จื่อหนี่กำลังอธิบายวิธีการดูแลเด็กแฝด ก็มีสาวใช้มารายงานว่าเจ้าตัวน้อยทั้งสองร้องโยเยอีกครา"เพิ่งจะกินนมหลับไปมิใช่หรือ?" หมิงเสวี่ยถาม แต่ก็รีบรุดออกไปทันที"คงจะถ่ายเบาหรือไม่ก็หนัก" จื่อหนี่บอกขณะช่วยประคองหมิงเสวี่ย "เด็กทารกก็แบบนี้เจ้าค่ะ ขับถ่ายแต่ละครั้งยังไม่เป็นเวลา""อ้อ..." หญิงสาวพยักหน้ารับรู้ ก่อนรีบรุดไปยังห้องเด็กที่ต้นเสียงยังร้องโยเยอยู่"ที่แท้ก็ซือเซียนคนสวยนี่เอง" หมิงเสวี่ยมองเด็กน้อยที่ถูกวางบนเตียงและกำลังแก้ปมผ้าอ้อม "กินเยอะก็ฉี่เยอะน่ะสิ"ราวกับนางรู้ว่ามารดาไม่ชอบเด็กงอแง ซือเซียนน้อยก็ค่อยๆ หยุดร้องไห้ เพียงแต่ส่งเสียงอ้อแอ้ออกมาเท่านั้น ผู้เป็นแม่ยิ้มหวาน ยิ่งเทใจรักลูกคนนี้มากขึ้นไปอีก นางช่วยแม่นมเช็ดทำความสะอาดแล้วจึงมองวิธีการผูกผ้าอ้อมอย่างถูกวิธี"คราวหน้าขอข้าเปลี่ยนผ้าอ้อมให้นางบ้างนะ" หมิงเสวี่ยลูบศีรษะน้อยที่มีผมนุ่มลื่นมือ"ได้เจ้าค่ะ" แม่นมพยักหน้า ก่อนหันเห็นจื่อหนี่อุ้มซือเสียนมาทางหมิงเสวี่ยสาวน้อยของนางตื่นแล้ว มือน้อยๆ โบกทักมารดาไปมาราวกับจะอ้อนขอให้หมิงเสวี่ยอุ้มนางหน่อย"คุณชายก็ฉี่เหมือนกันเจ้าค่ะ""ซ
เขาชะงักเมื่อเห็นหมิงเสวี่ยเข้ามาในห้อง "เสวี่ยเอ๋อร์ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่"จื่อหนี่กลับเป็นฝ่ายเดินไปหาเขา "นายท่าน ออกไปสักครู่ก่อนนะเจ้าคะ" นางว่าพลางทำมือคล้ายขอเด็กน้อยไปอุ้มไว้เอง ดวงตาใสนั้นกระพริบปริบๆ ใส่เขาระรัวคล้ายจะบอกความนัยบางอย่าง"เข้าใจแล้ว" เขาส่งซือเซียนให้กับจื่อหนี่ จากนั้นจึงเดินออกไปจากห้อง"คนนี้คือคุณหนูซือเซียนเจ้าค่ะ" จื่อหนี่ยิ้มบอก ก่อนจัดท่าทางให้หมิงเสวี่ยอุ้มให้ถูกต้องหนูน้อยได้กลิ่นนมก็แทบไม่รอให้หมิงเสวี่ยเปิดหน้าอก มือเล็กจิ๋วตะกายเสื้อจนหมิงเสวี่ยหลุดหัวเราะออกมา "หิวมากเลยเหรอสาวน้อย ดูทำเข้าสิ" หมิงเสวี่ยยิ้มกว้างออกมาพลางเปิดเสื้อออกซือเซียนน้อยที่ตอนนี้มองเห็นเพียงภาพขาวดำ นางเห็นลานนมอยู่ตรงหน้าก็พยายามไล่งับยอดอกมารดา"โอ๊ย!"จื่อหนี่รีบเข้ามาดู "ไม่ได้นะ อย่าให้ดูดแบบนี้นะ" นางว่าพลางเอานิ้วก้อยสอดเข้ามุมปาก บังคับให้สาวน้อยคายยอดอกออกมา"ทำไมหรือจื่อหนี่?""ไม่อย่างนั้นจะเจ็บมากเจ้าค่ะ"หมิงเสวี่ยฟังแล้วสะดุ้ง "แล้วต้องทำอย่างไรเล่า""ต้องทำแบบนี้..." จื่อหนี่ใช้ฝ่ามือประคองศีรษะน้อยของคุณหนูซือเซียนที่อดกินนมกำลังร้องไห้จ้า แล้วอยู่ๆ นางก็ก