แชร์

บทที่​19 ลอบสังหาร

last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-02-07 16:31:32

ตระกูลหวังเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำซึ่งถือได้ว่าเป็นอีกแคว้นใหญ่ที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากเนื่องจากตั้งอยู่บริเวณใจกลางของมหาทวีปบูรพา จึงทำให้รอบด้านทั้งสี่ทิศของแคว้นมีอาณาเขตติดกับอีกสามแคว้นใหญ่ที่เหลือ แคว้นเต่าดำมีรูปแบบการปกครองที่ชัดเจนโดยเเบ่งออกเป็นสิบมณฑลใหญ่มีเมืองสาขาหรือเมืองในการปกครองในเเต่ละมณฑลมากกว่าสิบเมืองในการดูเเล ทั้งสิบมณฑลใหญ่อยู่ในการปกครองส่วนกลางของแคว้นเรียกว่ามหานครแคว้นเต่าดำ

หากกล่าวให้เข้าใจด้วยง่ายคือแคว้นเต่าดำประกอบไปด้วยเมืองน้อยใหญ่นับร้อยเมือง มีหมู่บ้านอย่างมากมายกระจายกันไปทั่วทั้งแคว้น ต้องบอกว่าเเต่ละเมืองหาได้มีความเจริญเทียบเท่ากันไม่ เพราะบางเมืองมีอาณาเขตติดกับแคว้นอื่นมักจะเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเป็นจุดเเลกเปลี่ยนสินค้า หรือบางเมืองยังคงรักษาขนบธรรมเนียมปฏิบัติกันมาอย่างช้านานนับว่าเป็นเสน่ห์ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เเต่กับสิบมณฑลใหญ่ที่มีการปกครองดูเเลเมืองในรับผิดชอบของตนมักจะมีความเจริญและมีพื้นที่กว้างขวางเป็นอย่างมาก ด้วยเพราะผู้ปกครองมณฑลดังกล่าวมักจะเป็นเหล่าบรรดาผู้มีศักดิ์เป็นอ๋องเป็นเชื้อพระวงศ์นั่นเอง

คณะเดินทางของหนิงอ้ายใช้เวลาเกือบสามชั่วยามแล้วในการเดินทาง ช่วงบ่ายนี้พวกเขาได้เดินทางมาถึงเมืองหนึ่งที่อยู่ในการปกครองของมหานครแคว้นเต่าดำ หวังฮุ่ยได้บอกให้รับรู้ว่าเมืองนี้เป็นจุดที่มีการเเลกเปลี่ยนสินค้าเป็นประจำ เนื่องจากเป็นเมืองที่มีรอยต่อกับแคว้นหงส์เเดง สำหรับการผ่านเข้าออกเมืองไม่ได้ยุ่งยากเพราะสามารถเเสดงตัวตนด้วยหนังสือเดินทางหรือหยกประจำตัวพร้อมกับค่าผ่านทางเข้าเมืองอีกเล็กน้อยเท่านั้น กฎปฏิบัติเช่นนี้ไม่ได้เป็นปัญหากับคณะเดินทางครั้งนี้ ด้วยเพราะทรัพย์สมบัติที่เป็นสินสมรสเดิมอีกทั้งเงินทองต่าง ๆ ที่มีอยู่ตอนนี้นับว่าสามารถใช้ได้อย่างไม่ขัดสน

''พวกเราพักที่เมืองนี้กันก่อนนะขอรับ หากข้ามพ้นเมืองนี้ไปแล้วจะได้มุ่งตรงไปยังตระกูลหวังเลยทีเดียว…'' หวังฮุ่ยเอ่ยขึ้นหลังจากที่เข้าผ่านประตูเมืองเข้ามาแล้ว สองข้างทางต่างมีร้านค้าแผงลอยมากมายมีสินค้าให้เลือกซื้อหลากหลายสมกับที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองหน้าด่านที่เเท้จริง

เนตรแห่งสวรรค์ที่ในตอนนี้มีขอบเขตระยะการรับรู้อยู่ที่สองลี้ จึงทำให้หนิงอ้ายรับรู้ได้ว่ามีผู้ลอบติดตามพวกเขามาตั้งเเต่เริ่มออกเดินทางจากแคว้นหงส์แดง หากคาดเดาไม่ผิดอีกฝ่ายคงหาโอกาสลอบฆ่าเขาอีกครั้งเป็นแน่ หนิงอ้ายจึงได้เเต่กระซิบบอกทุกคนให้ให้ระวังไว้อย่าได้ประมาท ขณะที่ขบวนรถม้าเดินทางออกจากเมืองวิ่งตรงไปตามเส้นทางสัญจรสายหลักที่เป็นทางดินมีรอยรถม้าให้เห็นตลอดทาง โดยยิ่งออกห่างจากเมืองเท่าใดเส้นทางดังกล่าวก็ยิ่งเปลี่ยวเท่านั้น

พรึบ!  พรึบ!  พรึบ!   พรึบ!

กลุ่มนักฆ่าเห็นว่าได้จังหวะควรลงมือได้แล้วจึงไม่รั้งรอที่จะปรากฏตัวขึ้น เพราะว่าหากไม่ชิงลงมือในตอนนี้หากพวกมันเดินทางเข้าใกล้มหานครแคว้นเต่าดำเท่าไหร่ภารกิจที่ได้รับมาคงยากที่จะสำเร็จ

''พวกเจ้าจะยกเลิกภารกิจนี้เเต่โดยดีหรือจะฝากชีวิตไว้ที่ใต้เท้าของข้ากัน?'' เสียงของเด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นดังจากด้านในของรถม้า หากเดาไม่ผิดเสียงที่พวกตนได้ยินเมื่อครู่คงเป็นเสียงของอดีตคุณชายใหญ่ตระกูลจางหนิงอ้ายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสวะของตระกูล

''สวะของตระกูลเช่นเจ้ามีสิทธิ์เอ่ยคำนี้ออกมาด้วยรึ? เห็นแก่ว่ามารดาของเจ้าขึ้นชื่อว่าเป็นยอดพธูของแคว้นเต่าดำหากนางตายตกไปคงน่าเสียดายไม่น้อย ข้าจะสงเคราะห์ให้โดยการเป็นสามีให้แก่นางก่อนที่จะฆ่าพวกเจ้าทั้งหมดดีหรือไม่?'' เสียงของนักฆ่าคนหนึ่งดังขึ้นในขณะที่คนที่เหลือต่างหัวเราะเสียงดังสนับสนุนความคิดนี้

''หากพวกเจ้าคิดชั่วทำร้ายเพียงข้าย่อมไม่ถือสาเอาความ เเต่นี่พวกเจ้ากล้ากล่าวล่วงเกินมารดาของข้าเชียวรึ? เอาความกล้าจากไหนกัน บิดาคนนี้จะสั่งสอนเจ้าเอง!''

''เพ้ย!!! ไอ้สวะของตระกูลนี่กล้ายกตัวเป็นบิดาข้าเช่นนั้นรึ? ข้าจะสั่งสอนให้เองว่าเด็กน้อยอย่างเจ้ากำลังท้าทายผู้ใด...''

''เตรียมตัวตายได้แล้ว!!'' นักฆ่าคนเดิมเอ่ยขึ้นพร้อมกับส่งเวทย์โจมตีรถม้าในทันที

วูบ!

ตู้ม!

'นั่นมันพลังอันใดกัน?' เวทย์ป้องกันเมื่อครู่เต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ด้วยการโจมตีเมื่อครู่เป็นฝีมือของผู้ฝึกตนระดับเทวะขั้นสามัญ เวทย์โจมตีที่ใช้ไปเมื่อครู่หากไม่พร้อมถึงพลังวิญญาณที่เทียบเท่าหรือมากกว่าย่อมไม่สามารถโต้กลับเช่นนี้ได้

ร่างบอบบางได้ก้าวลงจากรถม้าด้วยท่าทางที่งดงามยิ่ง ดวงตากลมโตรับกับใบหน้าที่หากมองว่าเป็นบุรุษก็ช่างงดงามราวกับหยกล้ำค่า หากมองว่าเป็นสตรีแล้วคงได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของแคว้นเสียด้วยซ้ำ แม้อาจคาดเดาได้ว่าคงพึ่งพ้นวัยปักปิ่นสวมกวานมาไม่นาน หากโตไปยิ่งกว่านี้คำว่างามล่มเมืองคงไม่เกินจริง เส้นผมสีขาวเงินบริสุทธิ์ยาวสลายจรดกลางหลัง ยิ่งส่งเสริมให้ตัวคนคล้ายกับนางเซียนในเรื่องเล่าราวกับว่าไม่มีอยู่จริงในโลกใบนี้

''กลิ่นอายของผู้ฝึกตนปราณธาตุน้ำ!!'' แม้ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าจะงดงามมากเพียงใด แต่อย่างไรชายชุดดำต่างพากันถอยห่างอย่างเฝ้าระวัง จากกลิ่นอายที่สัมผัสได้ บ่งบอกได้ว่าเป็นผู้ฝึกตนสังกัดปราณาตุใด

''เจ้าคือผู้ใดกัน? ในภารกิจนี้ไม่มีชื่อและภาพวาดของเจ้าขอจงอย่านำตัวมาขัดขวางไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือน!''

''เวรกรรมเสียจริง จักสังหารผู้ใดถึงไม่มีข้อมูลในมือเล่า?'' หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับยิ้มเยาะอยู่ในที

''หุบปากของเจ้าเสีย หรือว่าเจ้า ไม่จริง...เป็นไปไม่ได้!!'' ชายหัวหน้าชุดดำเอ่ยขึ้นว่าราวกับว่าไม่แน่ใจ

''ข้านี่เเหละหวังหนิงอ้ายบุตรชายของท่านเเม่หวังเยว่ซินเเห่งแคว้นเต่าดำ จะทำอะไรก็รีบลงมือเถิดข้าอยากพบท่านตากับท่านยายเเล้วเเค่นี้ก็ทำข้าเสียเวลายิ่ง!!'' หนิงอ้ายเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าที่เชิดขึ้นอย่างถือดี

''ข้าว่าอยู่เเล้วเหตุใดศิษย์น้องของข้าจึงไม่กลับสำนักหลังจากที่ได้รับภารกิจลอบสังหารที่เรือนตระกูลจาง!! คงเป็นฝีมือพวกเจ้าใช่หรือไม่ช่างเก็บงำประกายได้ล้ำลึกยิ่งนัก เอาละ!! คุณชายหวังหนิงอ้ายหากท่านยอมให้สังหารแต่โดยดี พวกข้าจะละเว้นมารดารวมไปถึงทุกคนที่อยู่ในรถม้านั่นดีหรือไม่?'' ชายคนเดิมเอ่ยอีกครั้งเรียกเสียงหัวเราะจากคนที่เหลือทันที

''หากคิดว่าทำได้ก็ลองดู!!'' ด้านหลังของหนิงอ้ายปรากฏเป็นวงเเหวนวิญญาณเปล่งประกายรัศมีสีเหลืองเข้มหนึ่งวงแหวนอันเป็นสัญลักษณ์ราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณขั้นสามัญ

''ราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณขั้นสามัญอย่างนั้นรึ!!''

''เช่นนั้นข้าจะไม่ออมมือเเล้ว!''

วาโยมรณะพิฆาต!

ตู้ม!

คลื่นพายุขนาดใหญ่ได้ก่อตัวขึ้นด้วยความรวดเร็วที่น่าตกใจ เพียงแค่บัญชาการในใจเท่านั้นพายุสังหารดังกล่าวได้เคลื่อนตัวเข้าจู่โจมขบวนรถม้าในทันที

ปราการวารีอหังการ!

ตู้ม!

ทันใดนั้นโดยรอบขบวนรถม้าปรากฏเป็นม่านพลังที่คล้ายกับคลื่นน้ำพลิ้วไหว คล้ายกับการระบำของสายน้ำหากมีสิ่งเเปลกปลอมทะลุม่านน้ำเข้าไปก็จะพบกับแรงตัดของมวลน้ำมหาศาล แม้เวทย์โจมตีของอีกฝ่ายจะเป็นบทเวทย์ระดับสูงที่ถูกเรียกใช้โดยผู้ฝึกตนระดับเทวะวิญญาณก็จริง เเต่สำหรับบทเวทย์ป้องกันนี้หนิงอ้ายได้ยกระดับบทเวทย์นี้เป็นระดับเทวะแล้ว จึงสามารถตั้งรับได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

ชายชุดดำอีกคนที่เห็นว่าหนิงอ้ายกำลังบัญชาการบทเวทย์ป้องกันดังกล่าวจึงไม่ลังเลที่จะโจมตีเด็กหนุ่มในทันที

อัคนีสวรรค์สังหาร!

ตู้ม!

เเทนที่ผลลัพธ์จะออกมาตามคาดการณ์ เเต่กลายเป็นว่าหนิงอ้ายที่กำลังร่ายบทเวทย์ป้องกันอยู่สามารถร่ายบทเวทย์ต่อสู้อีกบทโต้กลับได้โดยทันที สิ่งที่น่าตกใจคือโดยปกติเเล้วผู้ฝึกตนต่างสามารถใช้บทเวทย์ได้ครั้งละหนึ่งเวทย์เท่านั้น+

มหาบุปผชาติเหมันต์จำแลงลักษณ์!

ตู้ม!

สิ้นเสียงของหนิงอ้ายได้ปรากฏเป็นบุปผาเหมันต์ดอกใหญ่เบ่งบานขึ้นในขอบเขตรัศมีหนึ่งลี้เกิดความหนาวเหน็บไปชั่วขณะ เกล็ดหิมะสีขาวโปรยปรายตกลงจากด้านบน เมื่อกระทบสิ่งใดต่างแช่แข็งสิ่งเหล่านี้ในทันที ชายชุดดำที่เหลือต่างรีบเร่งร่ายบทเวทย์ป้องกันของตนออกมาตั้งรับโดยทันที พร้อมกับส่งสัญญาณให้เข้าโจมตีเด็กหนุ่มพร้อมกันในคราเดียว

''ใครสามารถตัดหัวคุณชายหนิงอ้ายได้ข้าจะมอบเงินรางวัลครึ่งหนึ่งในส่วนของข้าจากภารกิจครั้งนี้ให้เป็นการตอบเเทน!!'' ชายชุดดำหัวหน้ากล่าวขึ้นอย่างมาดร้าย

''รนหาที่ตายเสียจริง!!'' หนิงอ้ายไม่ปล่อยผู้ที่หมายจะเอาชีวิตของเขาไปแน่ ในโลกของผู้ฝึกตนผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะอยู่รอด หากผู้ใดหมายจะเป็นศัตรูต่อกันแล้วจงสังหารให้สิ้นจะเป็นการดีที่สุด

หนิงอ้ายพร้อมไปด้วยพลังวิญญาณระดับจักรพรรดิวิญญาณแล้ว วิญญาณยุทธ์ที่สามอันเกิดจากการดูดซับกระดูกวิญญาณอายุล้านปีของอสรพิษเหมันต์บัญชาการ ในตอนนี้วิญญาณยุทธ์ดังกล่าวได้ถูกปลุกขึ้นและสามารถเรียกใช้ได้แล้ว หนิงอ้ายจึงไม่ลังเลที่จะทดสอบความสามารถของวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุพิษนี้ในทันที

“ทักษะวิญญาณยุทธ์จักรพรรดิหมื่นพิษปลิดวิญญาณ ทักษะวิญญาณที่หนึ่งเขตแดนจักรพรรดิหมื่นพิษสังหาร!!!”

'ช่วยด้วยย ช่วยข้าด้วย!!!'

'นี่มันคืออันใด พิษเช่นนั้นรึ อ๊าก!!!'

'เหตุใดร่างกายข้าถึงเดินพลังลมปราณไม่ได้กัน!!'

''พวกเจ้าต้องพิษของข้าเข้าเเล้ว ดีใจหรือไม่?'' หนิงอ้ายบัญชาการให้เขตแดนนี้มีความเข้มข้นของพิษที่เพิ่มขึ้น กลิ่นคาวเลี่ยนพร้อมกับหมอกควันสีม่วงดำลอยฟุ้งไปทั่วทั้งบริเวณ

'ข้าไม่ไหวเเล้ว!'

'พิษอันใดกันช่างรุนแรงเช่นนี้ อ้าก!'

เหล่าบรรดาชายชุดดำนักฆ่าทั้งหมดต่างดิ้นทุรนทุรายบนพื้นด้วยท่าทางทรมาน พิษไร้ลักษณ์นี้ไร้สีไร้กลิ่นสามารถเเทรกซึมเข้าไปตามบาดแผล ของร่างกาย รวมไปถึงลมหายใจเข้าออกกัดกินไปทั่วทั้งร่างกาย เพียงไม่กี่อึดใจชายชุดดำทั้งหมดต่างกลายเป็นสีม่วงคล้ำและตกตายลงไปในที่สุด

พิษของอสรพิษเหมันต์บรรพกาลนับว่าเป็นสุดยอดแห่งราชันย์แห่งพิษทั้งปวง ยิ่งกับหนิงอ้ายที่ดูดซับกระดูกวิญญาณของอสูรแมงป่องแปดขามัจจุราชไปจึงทำให้ทักษะวิญญาณนี้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง ครั้งนี้หนิงอ้ายใช้ปราณพิษไปเพียงหนึ่งส่วนเท่านั้น เพราะหากตนใช้เต็มสิบส่วนจริงๆ รับรองได้ว่าร่างกายของนักฆ่าเหล่านี้จะถูกกัดกร่อนไปทั้งสิ้นรวมไปถึงเสื้อผ้าเครื่องประดับเช่นกันย่อมไม่เหลือเศษซากทั้งสิ้น

''พวกเจ้าต่างคิดร้ายต้องการสังหารข้าก่อน ที่ผ่านมาล้วนเข่นฆ่าก่อกรรมมาไม่น้อยถือเสียว่าตายชดใช้กรรมเสียเเล้วกัน...'' หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ หลังจากจัดการเก็บพวกอาวุธต่าง ๆ รวมไปถึงแหวนมิติเเล้ว จึงทำการดูดกลืนพิษไร้ลักษณ์กลับคืนมาและเก็บร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าเหล่านี้เอาไว้ให้กับเจียวซิ่นได้ดูดซับในภายหลัง

หากถามว่าในใจของหนิงอ้ายรู้สึกผิดอันใดหรือไม่? ต้องบอกว่าไม่ว่าจะเป็นโลกเก่าที่เคยอยู่หรือแม้เเต่โลกนี้ทุกคนที่เขาลงมือฆ่านับได้ว่าเป็นคนที่ไม่ดีทั้งสิ้น เนตรแห่งสวรรค์นอกจากที่จะสามารถควบคุมสิ่งของรวมไปถึงสิ่งมีชีวิตแล้วยังสามารถสัมผัสได้ถึงจิตใจที่ซ่อนเร้นของตัวคนที่มีอยู่อยู่ว่ามีความดำมืดเพียงใด

''หนิงเอ๋อร์ เจ้าบาดเจ็บตรงที่ใดหรือไม่?'' เยว่ซินถามขึ้นเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มจัดการทุกอย่างเรียบร้อยและกลับขึ้นรถม้าเเล้ว

''ต้องขออภัยที่ทำให้ท่านเเม่และทุกคนต้องเป็นห่วง ข้าอยากทดสอบใช้วิญญาณบุทธ์ปราณธาตุพิษของข้าที่พึ่งตื่นขึ้นข้าพึ่งเคยใช้ครั้งเเรกจึงไม่อยากให้พวกท่านไปเสี่ยงโดนพิษเหล่านี้ขอรับ...'' หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงออดอ้อนพร้อมกับมองไปด้วยรอบและกล่าวย้ำซ้ำ ๆ ว่าตนไม่เป็นไรตอนนี้สามารถเดินทางได้เลย

ทุกคนในรถม้าแม้ไม่ได้ออกไปก็จริงเเต่ย่อมได้ยินเสียงสนทนาและการต่อสู้ที่เกิดขึ้น ครั้งนี้มีนักฆ่าที่มีระดับพลังวิญญาณสูงทั้งสิ้น โดยเฉพาะชายผู้เป็นหัวหน้าคาดว่าเป็นถึงราชทินนามเทวะวิญญาณขั้นสามัญช่วงปลายเสียด้วยซ้ำ ยังไม่นับรวมถึงประสบการณ์ลอบฆ่าในการทำภารกิจหลายจึงมีฝีมือค่อนข้างมาก

หลังจากความวุ่นวายได้จบลง ทุกสิ่งคืนสู่สภาพตามเดิมปกติราวกับไม่เคยเกิดอะไรขึ้นทั้งสิ้น ถึงเวลาคณะเดินทางของหนิงอ้ายจะต้องเดินทางต่อไปเสียที เส้นทางของรถม้าเป็นเส้นทางสายหลักที่มีผู้คนใช้กันอย่างเป็นประจำ สังเกตได้จากรอยรถม้าที่ถูกลากไปกลับซ้ำ ๆ จนปรากฏเป็นเส้นทางดินหินละเอียดปะปนอยู่ดูปลอดภัยและมีความกว้างมากเพียงพอที่จะให้รถม้าสองคันวิ่งสวนกันได้นับได้ว่าเป็นเส้นทางที่ค่อนข้างจะสะดวกรวดเร็วยิ่ง

ตามเส้นทางนี้ที่มุ่งสู่ใจกลางมหานครแคว้นเต่าดำ แม้จะไม่มีแผนที่หรือเข็มทิศชี้นำทางเเต่หนิงอ้ายไม่ได้กังวลใจเลยสักนิดด้วย ด้วยเพราะมีหวังฮุ่ยที่คุ้นเคยเส้นทางนี้เป็นอย่างดี อีกทั้งก่อนหน้านี้มารดาของเขาเล่าให้ฟังว่าแม้นางจะไม่ได้กลับมายังแคว้นเต่าดำหลายปีก็จริง เเต่เกือบทุกเส้นทางเข้าออกของแคว้นนางขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในผู้ที่คุ้นชินเชี่ยวชาญในเรื่องของเส้นทางไม่น้อยเลยเช่นกัน

ด้วยเพราะบิดาหวังจิ่งหลงหรือท่านตาของหนิงอ้ายได้พาเหมยฮวาผู้เป็นฮูหยินเพียงคนเดียว พร้อมกับเยว่ซินออกเดินทางไปยังเมืองน้อยใหญ่ที่ตั้งอยู่ในแคว้นต่าง ๆ ที่มีอาณาเขตติดกับแคว้นเต่าดำอยู่เสมอเพื่อเดินทางไปพบปะคู่ค้าของกิจการ ตลอดไปจนถึงการเสาะหาสมุนไพรล้ำค่าต่าง ๆ ตั้งเเต่เยว่ซินจำความได้

ทั้งสองคนทุ่มเทสั่งสอนความรู้ทุกอย่าง ในทุกด้านให้มากที่สุดเท่าที่จะสามารถถ่ายทอดให้แก่บุตรสาวคนเดียวของตน ด้วยเพราะรู้ดีว่าในวันหนึ่งเยว่ซินจะต้องมีเส้นทางชีวิตที่เป็นของนางเอง ตัวเขาและภรรยาไม่สามารถจะดูเเลนางได้ตลอดชีวิต หน้าที่ของบิดาหรือมารดาคือการมอบความรู้ติดตัวที่จะสามารถทำให้นางเอาตัวรอดได้ในสถานการณ์ต่าง ๆ สิ่งที่บิดาและมารดาสั่งสอนตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมาได้หล่อหลอมให้เยว่ซินเพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติที่น่าชื่นชมและขึ้นชื่อเป็นอย่างมาก

หวังเยว่ซินได้ขึ้นชื่อว่าเป็นยอดพธูของแคว้นเต่าดำที่ครั้งหนึ่งถึงกับมีคำกล่าวว่าหากนางเป็นที่สองคงไม่มีผู้ใดกล้ายกตนขึ้นเทียบเท่าหรือขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง เส้นทางของผู้ฝึกตนหวังเยว่ซินก็ถือว่าเป็นสตรีที่มีฝีมือเก่งกาจกล้าหาญมากไปด้วยฝีมือที่แท้จริงจนได้รับการยอมรับจากผู้คนในยุทธภพด้วยฐานะตำแหน่งหนึ่งในห้าของสุดยอดรุ่นเยาว์แห่งยุทธภพในงานประลองระหว่างแคว้นครั้งนั้น แม้ว่าในตอนนี้นางจะถอนตัวออกจากทำเนียบรายชื่อสุดยอดรุ่นเยาว์แล้ว ทว่าชื่อเสียงของหวังเยว่ซินยังเป็นที่รู้จักและเป็นแบบอย่างแก่ผู้ฝึกตนสตรีรุ่นเยาว์ไม่น้อยเลยทีเดียว...

ในขณะที่เหตุการณ์ในรถม้าคันดังกล่าวดูปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นและหนิงอ้ายหาสัมผัสได้ว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ได้ตกอยู่ในสายตาของคนสองคนที่แอบดูอยู่โดยใช้พลังปกปิดขั้นสูงของตนอำพลางตัวอยู่

''ไปตามสืบมาว่าเป็นผู้ใดอยู่เบื้องหลังภารกิจครั้งนี้!!'' ชายผู้สวมหน้ากากสีดำลายพยัคฆ์เอ่ยขึ้นกับคนข้าง ๆ ตน

''ขอรับนายท่าน! ข้าจะจัดการให้เร็วที่สุดขอรับ...'' ชายอีกคนตกคำรับปากตามที่นายของตนสั่ง

''สักวันคงได้เจอกันนะเสี่ยวไป๋ทู่ตัวน้อย'' ชายผู้สวมหน้ากากสีดำลายพยัคฆ์เอ่ยขึ้นอีกครั้งก่อนที่ทั้งสองจะหายไปในทันทีราวกับบริเวณนี้ไม่เคยมีผู้ใดอยู่ทั้งสิ้น…

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   ( -จบเล่ม ปฐมบท 3.2- ) บทที่ 174 ความวุ่นวายที่สิ้นสุดลง

    ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 173 สมบัติเทพมารจุติ

    ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 172 การปรากฎตัวของผู้ขายวิญญาณ

    คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 171 ผู้ท้าทายที่กล้าหาญ

    การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 170 กฎเกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

    หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 169 ผู้ผ่านการทดสอบ

    ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status