อันเมี่ยนวิ่งเพียงสามก้าวก็จับสตรีผู้หนึ่งเอาไว้ได้พร้อมกับบิดแขนเสียงดังเพื่อให้นางหนีไม่ได้ เมื่อพบว่าคนที่ปล่อยข่าวถูกจับแต่ละคนก็เริ่มใจเสีย เหรินซินหันมามองด้วยสายตาดุดันไม่ลดละอีกครั้งเมื่อเดินเข้ามาหานาง
“เจ้าสินะที่เป็นผู้ปล่อยข่าว”
“ข้าไม่รู้เรื่อง อย่ามาใส่ร้ายข้านะ!”
“ไม่รู้เรื่องงั้นหรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าจวนแม่ทัพของข้ามีวิธีสอบสวนคนร้ายให้ยอมรับผิดแบบไม่เหมือนผู้ใด อยากจะลองสักครั้งหรือไม่เล่า”
“เจ้าขู่ข้างั้นหรือ ว่าร้ายคนไม่มีหลักฐานนี่หรือคุณหนูสกุลใหญ่ กลั่นแกล้งชาวบ้าน!”
“ใช่ ๆ กลั่นแกล้งชาวบ้าน”
เสียงก่นด่าเริ่มดังมากขึ้น อันเมี่ยนเริ่มชักกระบี่ออกมาพาดที่คอของแม่ค้าที่จับเอาไว้โดยไม่พูดอะไร ท่าทางที่นิ่งและสายตาของพวกนางทำเอาคนที่รายรอบเงียบลงทันที
“ข้าถือว่าให้โอกาสเจ้าพูดแล้วนะ หากว่าเจ้ายังไม่พูดครั้งนี้ข้าจะปล่อยให้องครักษ์สาวของข้า…”
“คุณหนู! ข้าพูดแล้วเจ้าค่ะได้โปรดปล่อยข้าเถอะเจ้ค่ะ ข้าพูดแล้ว ข้ากลัวแล้ว”
ผู้คนเริ่มหันมามองหน้าแม่ค้าผู้นั้นอีกครั้ง อาเมี่ยนยังไม่ยอมลดกระบี่ในมือลง แค่เห็นเพียงแสงกระบี่ในมือนางก็แทบจะเป็นลมอยู่แล้ว
“อันเมี่ยน ให้นางพูดเถอะถ้ายังกล้าโกหกแม้แต่คำเดียวค่อยตัดลิ้นของนางเอาไปให้เป็ดกิน”
“ข้าพูดเจ้าค่ะ พูดแล้ว!!”
“ว่ามาสิ ทุกคนที่นี่จะได้ฟังไปพร้อมกัน”
แม่ค้าผู้นั้นหมดเรี่ยวแรงเพราะกลัวตาย นางทรุดเข่าลงกับพื้นพร้อมกับพูดตะกุกตะกักออกมา
“ขะ ข้ารับเงินสกุลจางมาเพื่อที่จะให้กระจายข่าวใส่ร้ายท่านเจ้าค่ะ”
“หา!!”
“อะไรนะ”
“นี่นาง… ใส่ร้ายคุณหนูกงจริงหรือนี่”
กงเหรินซินจับกระบี่ในมืออันเมี่ยนมาพาดที่คอของแม่ค้าผู้นั้นอีกครั้ง
“เจ้าอย่าได้คิดใส่ร้ายผู้อื่น หากยังไม่พูดความจริงข้าจะไม่่ให้โอกาสเจ้าแล้ว!!”
“คะ คุณหนู!! ข้าไม่กล้าโกหก ข้าพูดความจริงเจ้าค่ะคุณหนูจางว่าจ้างข้ามาสามสิบตำลึงเพื่อให้ร้ายท่านว่าพยายามฆ่าคุณหนูซ่งในวัง และสั่งลงโทษนางที่ทำร้ายท่านเจ้าค่ะ ข้าพูดเรื่องจริง นี่คือตั๋วเงินที่นางจ่ายข้ามาเป็นหลักฐานได้เจ้าค่ะ”
อันเมี่ยนจับตั๋วเงินมาให้กงเหรินซิน ผู้คนเริ่มหันมาตกใจเมื่อสิ่งที่เข้าใจมาโดยตลอดว่ากงเหรินซินคือคนเลว บัดนี้ความจริงเริ่มกระจ่างแล้ว
“เอาคืนให้นางไป”
อันเมี่ยนทำตามคำสั่ง เมื่อตั๋วเงินถูกคืนไปให้แม่ค้าผู้นั้นถึงได้สำนึกได้
“คุณหนูกง ทะ ท่านไม่จับข้าไปส่งทางการหรือเจ้าคะ”
“จับเจ้างั้นหรือ จับไปทำไมกัน”
“ขะ ข้าใส่ร้ายท่านตามคำสั่งของคุณหนูสกุลจาง อีกทั้งยังทำท่านเสียชื่อท่านไม่เพียงไม่จับข้าส่งทางการยัง… คืนเงินให้ข้าอีกด้วย”
“ข้าแค่อยากรู้ความจริงจากเจ้าเท่านั้น ตอนนี้เจ้าก็พูดออกมาแล้วข้าก็ไม่ได้อยากเอาความอะไร อีกอย่างเงินนั่นก็เป็นของเจ้า นับว่าครั้งนี้เจ้าทำตามที่ถูกจ้างมาสำเร็จแล้ว ข้าไม่ได้ต้องการมัน เรื่องสุดท้ายต่อให้ข้าจับเจ้าส่งทางการก็เสียเวลาเหตุใดข้าต้องทำด้วย นี่ก็แค่เรื่องไร้สาระทั้งนั้น แต่ว่า…”
“คุณหนูกงเจ้าคะขอเพียงไม่จับข้าส่งทางการ ข้ายินดีที่จะทำคุณไถ่โทษ บอกมาเถิดเจ้าค่ะ”
“ข้าหวังว่าจากนี้เจ้าจะพูดแต่ความจริง ไม่เห็นแก่เงินพวกนี้แล้วเที่ยวปล่อยข่าวเท็จให้คนเข้าใจผิด ส่วนพวกเจ้า!!….”
กงเหรินซินชี้กระบี่ไปที่เหล่าบรรดาพวกขี้นินทาทั้งตลาด ที่เริ่มไม่กล้าสู้หน้านางอีกทั้งยังกลัวกระบี่ในมือ
“ในเมื่อพวกเจ้ากล้าที่จะพูดข่าวเท็จ ตอนนี้ก็รู้แล้วว่าเรื่องจริงเป็นอย่างไรข้าหวังว่าเรื่องนี้… จะถูกพูดถึงไปทั่วเช่นกัน”
“ได้ ๆ ข้ารับปากว่าจะพูดเรื่องจริงขอรับ คุณหนูกงอย่าได้ห่วง”
“ใช่แล้ว ยังดีที่คุณหนูมีคุณธรรมไม่เอาเรื่องป้าเจา อีกอย่างสกุลกงก็มีบุญคุณกับพวกเรา แม่ทัพกงยิ่งใหญ่ข้าน้อยผิดไปแล้วที่หลงเชื่อข่าวลวง”
“ใช่แล้ว ๆ จากนี้พวกข้าจะออกหน้าแทนคุณหนูเอง”
“เช่นนั้นข้าขอบคุณทุกท่านที่เข้าใจ เรื่องใดที่ข้าทำข้าจะยอมรับผิด แต่เรื่องใดที่ข้าไม่ได้ทำต่อให้ตายก็ไม่มีทางยอมรับ หากข้าล่วงเกินผู้ใดก่อนหน้านี้ต้องขออภัยทุกท่านด้วย”
กงเหรินซินหันมาคำนับให้กับเหล่าบรรดาพ่อค้าแม่ค้าในตลาด ทุกคนรู้สึกแปลกใจกับท่าทางของนางที่ไม่เคยให้เกียรติใครมาก่อน แต่นี่นางถึงกับยอมก้มหัวขอโทษคนธรรมดาอย่างแม่ค้าและผู้คนในตลาด เรื่องนี้คงเป็นเรื่องเล่าลือกันไปอีกนาน
“คุณหนู ขอบคุณที่ไม่เอาเรื่องพวกเรา”
“หากไม่มีอะไรแล้วข้าคงต้องขอตัวก่อน เรื่อง “ต่อจากนี้” ก็ขอฝากพวกท่านด้วย”
ทุกคนรับปากมั่นเหมาะเพราะท่าทางที่นอบน้อมของกงเหรินซินที่ถูกเวลาและจังหวะ ข่าวเรื่องจางลี่เหมยใช้เงินปล่อยข่าวลือให้ร้ายคุณหนูกงเริ่มแพร่กระจายดุจไฟไหม้ป่าที่มิอาจหยุดยั้ง บรรดาจวนขุนนางใหญ่รวมถึงจวนอ๋องก็ทราบเรื่องในเวลาไม่นานเช่นกัน
จวนท่านอ๋อง
“อะไรนะ เจ้าบอกว่ากงเหรินซินน่ะหรือยอมก้มหัวให้กับแม่ค้าในตลาดเพราะเรื่องนี้”
“ท่านอ๋อง คือที่กระหม่อมจะรายงานคือเรื่องที่คุณหนูจางใช้เงิน…”
“นั่นข้ารู้แล้ว ข้ามิได้แปลกใจเพราะเรื่องต่ำช้าเช่นนี้มีเกิดขึ้นบ่อย ๆ อยู่แล้ว แต่ข่าวลือที่แพร่กระจายกลับเปลี่ยนจากดำเป็นขาวภายในพริบตาอย่างที่กงเหรินซินทำในวันนี้เป็นเรื่องที่ข้าคิดไม่ถึง”
“เรื่องนี้กระหม่อมคิดว่านางรับมือได้ดีมากจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”
“พี่เว่ยเซียว”
ท่านอ๋องส่งรายงานกลับไปให้ตันฉินอย่างรวดเร็ว สตรีร่างบางใบหน้างดงามราวกับภาพวาด ที่เพียงแค่เดินก็เหมือนจะล้มเสียให้ได้เดินเข้ามายังห้องอักษรที่เขาและองครักษ์คุยกันอยู่ ท่านอ๋องหันไปตำหนิตันฉินเล็กน้อยที่ลืมปิดประตู
“จินหรูเจ้ายังไม่ค่อยแข็งแรง เหตุใดจึงต้องมาทำเรื่องเหล่านี้อีก”
“ข้านอนพักมาร่วมเดือนแล้ว บัดนี้อาการทุกอย่างหายเกือบจะปกติแล้วจึงอยากชงชาต้นฤดูวสันต์มาให้ท่านได้ชิมเพคะ”
“อ่อ ได้สิ”
“ซ่งจินหรู” เดินมานั่งข้าง ๆ เพื่อจะได้รินน้ำชาให้กับท่านอ๋อง เมื่อรับจอกชามาก็เริ่มจิบทันที
“อืม รสชาติดีมากจริง ๆ ขอบใจเจ้ามาก”
“มิได้เพคะ การได้ดูแลท่านเป็นหน้าที่ของจินหรูอยู่แล้วเพคะ”
ท่านอ๋องหันไปมองนางพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ ให้กับความน่าเอ็นดูนี้ แต่เมื่อซ่งจินหรูกำลังจะตักขนมและนำมาป้อนเขาเองกับมือ หมิงเว่ยเซียวจึงได้รีบรับจานนั้นมา
“ข้ากินเองได้ไม่ต้องลำบากหรอก”
ผู้ที่พึ่งถูกปฏิเสธหน้าหงอยลงไปเล็กน้อย แต่ก็ยังยินดีที่จะรินน้ำชาให้ท่านอ๋องอีกครั้ง
“หม่อมฉันได้ยินสาวใช้พูดถึงเรื่องที่ในตลาดเล่าลือกัน เป็นเรื่องจริงหรือเพคะที่คนก่นด่าคุณหนูกงไปทั่ว หรือว่าผู้คนจะรู้แล้วว่านาง…”
ท่านอ๋องหันมามองหน้าของซ่งจินหรูนางจึงหยุดพูดในทันที เมื่อมองไปที่องครักษ์ จึงได้ทราบว่าซ่งจินหรูยังไม่ทราบเรื่องที่กงเหรินซินจับตัวคนร้ายที่สร้างข่าวลือเสียหายได้แล้วในวันนี้
“เจ้าคิดเช่นไรกับเรื่องนี้งัั้นหรือจินหรู”
“ข้าคิดว่า… เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นนางน่าสงสัยจริง ๆ เพคะเพียงแต่ว่านางก็ตกน้ำไปด้วยเช่นกัน ท่านคิดว่านางจะแสร้งทำเป็นตกน้ำไปพร้อมกับข้า เพียงเพื่อจะกลบเกลื่อนความผิดในเรื่องนี้หรือไม่เพคะ”
“เจ้าคิดเช่นนั้นหรือ วันที่เกิดเรื่องขึ้นเจ้าไปที่นั่นได้อย่างไรกันแน่ แล้วเหตุใดจึงได้ตกน้ำ เจ้าจำได้แล้วหรือยัง”
ซ่งจินหรูหันมามองพักตร์ท่านอ๋อง และเริ่มทำท่าเวียนศีรษะอีกครั้งเมื่อถูกถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ตัวนางเริ่มสั่นนิด ๆ
“หม่อมฉัน…จำไม่ได้เลยเพคะว่าวันนั้นเกิดอะไรขึ้น รู้แต่เพียงว่าไปพบคุณหนูกงที่นั่น จากนั้นก็จำอะไรไม่ได้เลยเพคะ”
สามวันถัดมา“เสด็จแม่ ยังอีกไกลหรือไม่เพคะ”“ไหนว่าเจ้าจะไม่บ่นอย่างไรเล่าเซียนเอ๋อร์ นี่แค่ทางขึ้นเขาเองเจ้าก็บ่นเสียแล้ว”“ข้าแค่รู้สึกเวียนหัวเพราะรถม้ามันโยกนี่เพคะ”“มานั่งตักพ่อเถอะจะได้นิ่มหน่อย มาสิ”หมิงชิงเซียนขยับไปนั่งตักบิดาซึ่งทั้งกว้างและนิ่มเมื่อท่านอ๋องวางตำราลงและหันมามองหน้าพระชายาที่แง้มหน้าต่างและเริ่มมองออกไปข้างนอก“เจ้าคงไม่คิดที่จะอยู่ที่สำนักไป๋ซานนานนักหรอกนะ ถึงอย่างไรตอนนี้เจ้าก็เป็นพระชายาหมิงชินอ๋อง หาใช่สตรีอันดับหนึ่งในยุทธภพไม่”“ท่านกังวลเกินไปแล้ว ข้าแค่อยากจะมองดูรอบ ๆ เท่านั้นว่าต่างไปจากเดิมหรือไม่”“เสด็จพ่อ ลูกจะต้องมาฝึกที่นี่จริง ๆ หรือเพคะ”“เจ้าอยากจะมาหรือไม่เล่าเซียนเอ๋อร์”“ลูกเองก็ไม่รู้ แต่ลูกอยากจะเก่งเหมือนเสด็จแม่เพคะ”“เจ้าเป็นลูกของแม่ก็ต้องเก่งและยอดเยี่ยมเหมือนแม่เจ้าอยู่แล้ว ยอดหญิงอันดับหนึ่งในใต้หล้ามีเพียงเสด็จแม่ของเจ้าเท่านั้น”“แต่เหตุใดบางคืนข้าถึงได้ยินเสียงท่านแม่ร้องแปลก ๆ เล่าเพคะ”เหรินซินหันมามองพักตร์ท่านอ๋องในทันทีเมื่อได้ยินเสียงบุตรสาวกล่าวขึ้นมา ท่านอ๋องนึกขำเมื่อเห็นใบหน้าของพระชายาที่เริ่มแดงจัดจนถึงใบหู“เซ
แปดปีต่อมา“ชิงเซียน ได้เวลาอาบน้ำแล้ว”“เพคะเสด็จแม่ แต่ว่าข้ายังอยากฝึกดาบอยู่”“วันนี้พอแค่นี้ก่อนเถอะ น้าอันเมี่ยนของเจ้าเหนื่อยแล้วอีกเดี๋ยวเสด็จพ่อเจ้าก็จะกลับมาจากในวัง จะถูกตำหนิเอาได้นะ”“ก็ได้เพคะ”“ข้าพานางไปเองเพคะ”“ฝากเจ้าด้วยนะอาเจิง”“เพคะพระชายา”อาเจิงพา “หมิงชิงเซียน” บุตรสาวของท่านอ๋องในวัยสี่ขวบครึ่งไปอาบน้ำตามคำสั่งของพระชายากงเหรินซิน ไม่นานเมื่อทั้งคู่เดินไปท่านอ๋องก็กลับเข้ามาในตำหนัก พระองค์เดินตรงมาหานางที่นั่งรออยู่ศาลาริมสวนซึ่งชิงเซียนใช้ฝึกดาบกับอันเมี่ยน“ท่านพี่”“เหตุใดเจ้าถึงได้มานั่งที่นี่คนเดียว เซียนเอ๋อร์เล่าไปไหนแล้ว”“ข้าให้อาเจิงพานางไปอาบน้ำแล้วเพคะ เหตุใดวันนี้ท่านพี่จึงกลับเร็วนักเล่าเพคะ”“รีบกลับมาหาเจ้าน่ะสิ เตรียมของทุกอย่างแล้วหรือ”“เสร็จเรียบร้อยแล้วเพคะ อากาศเริ่มเย็นลงอีกแล้วคิดว่าครั้งนี้คงไม่หนาวเท่าปีก่อน หยางเอ๋อร์จะได้ไม่ลำบากมาก”“เจ้าก็เอาแต่เป็นห่วงบุตรชายของเจ้า เขาไปฝึกที่สำนักไป๋ซานร่วมปีแล้วน่าจะชินกับอากาศแล้วกระมัง อีกอย่างยังมีอาจารย์อย่างเฉินกวนคอยส่งข่าวมาให้ไม่ขาด ยังเป็นห่วงอีกหรือ”“แต่หยางเอ๋อร์ยังเด็กนะเพคะ เส
“อ๊าา…. อ๊าา ไม่ไหวแล้ว มันจุกมาก อื้อ….”เหรินซินทั้งกัดฟัน ทั้งอ้าปากระบายความเสียวออกมาเมื่อท่านอ๋องจับบั้นท้ายนางกระแทกลงมาถี่ ๆ เพื่อรับมังกรยักษ์ที่สอดอยู่ด้านใน ไม่นานร่างเล็กก็ถูกเขาจับพลิกให้นอนตะแคง ขาข้างหนึ่งถูกยกขึ้นมา อ้อมกอดของพระสวามีกระชับเข้ามาจนชิดและถูกเขากระแทกอีกครั้ง พร้อมกับหน้าอกที่ถูกนิ้วสากหนานั้นบดขยี้ที่ยอดจนแตะทางสวรรค์ไปอีกครั้ง“อ๊าา….”ครึ่งชั่วยามถัดมา“ท่านพี่เพคะ พอแล้วได้หรือไม่ข้าขอพัก อ๊าา!!”หน้าต่างทุกบาน รวมถึงประตูถูกลงกลอนจนหมดสิ้น บัดนี้เหรินซินได้หลงกลท่านอ๋องเพราะคำพูดหวาน ๆ นั่นเสียแล้ว ใครจะคิดว่าหลังจากที่เปิดประตูให้พระสวามีเข้ามา นางจะไม่ได้พักและแทบจะหายใจไม่ทันอยู่แล้วกับศึกรักที่โหมกระหน่ำ จนเผาไหม้ทุกอย่างที่ขวางหน้าเช่นนี้“อ๊าา ท่านพี่ อย่าเลียนะ! เราพึ่งจะ อ๊าา….”แต่ท่านอ๋องมิได้ใส่ใจ ลิ้นของเขายังคงซอกซอนเข้าไปยังร่องรักที่เปียกชื้นทั้งน้ำของเขาและนาง เหรินซินเหงื่อไหลท่วมและแทบจะสิ้นเรี่ยวแรงแต่ก็มิอาจทัดทานความปรารถนาของท่านอ๋องที่มีต่อนางได้“อ๊าา….”เป็นอีกครั้งที่นางถึงฝั่งสวรรค์ แต่ท่านอ๋องก็มิได้เว้นช่วงให้นางพักเลยจร
ท่านอ๋องเดินไปยังเรือนหลังที่ตอนนี้เริ่มเงียบลงแล้วหลังจากที่รอสาวใช้ของเหรินซินเดินออกมา เว่ยเซียวที่หลบอยู่ด้านหลังก็ค่อย ๆ ไปที่ประตูแต่ปรากฏว่าประตูถูกลงกลอนเอาไว้“อะไรเนี่ย ปิดประตูงั้นหรือ”“ท่านคิดว่าจะเข้ามาในห้องข้าได้ง่าย ๆ งั้นหรือ”“เจ้า! ร้ายนักนะอาซิน”เสียงของเหรินซินดังออกมาจากด้านในเขาจึงรู้ว่าติดกับเข้าแล้ว พระชายาของเขามิใช่คนโง่ที่จะไม่รู้แผนการตื้นเขินเช่นนี้ แต่ในเมื่อพ่อตาสอนมาแล้วทุกอย่าง เช่นนั้นคืนนี้เขาจะไม่มีทางยอมแพ้เป็นอันขาด“อาซิน… เปิดประตูให้ข้าเข้าไปหน่อยสิ ข้าอยากจะคุยกับเจ้าจริง ๆ นะ อีกอย่าง…”“ท่านกลับไปดื่มสุรากับพี่ใหญ่และท่านพ่อจะดีกว่า มายืนอยู่ตรงนี้ก็ไม่มีความหมาย หม่อมฉันไม่มีทางเปิดประตูให้พระองค์”“เจ้ากลายเป็นคนใจร้ายเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน เจ้าจะยอมให้สามีของตัวเองถูกยุงกัดตายอยู่ตรงนี้งั้นหรือ หากเจ้าไม่เปิดข้าก็จะยืนเฝ้าอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหนทั้งนั้น คอยดูสิว่าข้าจะตายก่อนหรือว่าเจ้าจะใจอ่อนก่อน”“เช่นนั้นก็เชิญท่านอ๋องยืนเฝ้ายามหน้าประตูต่อไปนะเพคะ จะได้รู้ว่าเหล่าองครักษ์ต้องลำบากเพียงใด”“เดี๋ยวสิ! นี่กงเหรินซินมันจะเกินไปแล้ว อย่าใ
สองเดือนถัดมา“ยอดไปเลย ข้าพึ่งจะเคยเห็นกระบวนท่าของ “กระบี่วารีพิสุทธิ์” เต็มตาก็วันนี้เอง เว่ยเซียวท่านเริ่มสงสัยตั้งแต่เมื่อใดว่านางมิใช่ซินเอ๋อร์แต่เป็นเยว่ชิงชิง"“ครั้งแรกที่ข้าเห็นนางแอบฝึกที่โรงฝึกของพวกเจ้าข้าก็เริ่มสงสัยว่านางมิใช่กงเหรินซิน ยอดไปเลยใช่ไหมเล่า”“เรื่องอัศจรรย์เช่นนี้ ไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะเกิดขึ้นจริง ๆ”“นั่นสิ ว่าแต่เจ้าเถอะตอนที่ไปสำนักไป๋ซาน ไม่เห็นเคยบอกข้าเลยว่านางคือใคร”“ตอนนั้นข้ารับปากท่านพ่อแล้วว่าจะไม่เปิดเผยฐานะของนาง และจะไม่บอกว่าตัวเองเป็นใคร ได้แต่เฝ้ามองนางห่าง ๆ และคอยช่วยเหลือในสิ่งที่ข้าพอจะช่วยได้ ทั้งกระบี่ที่ท่านพ่อสั่งทำแล้วมอบให้และเงินที่ฝากเอาไว้กับอาจารย์โดยไม่บอกให้นางรู้”“ข้านับถือเจ้านะที่ปกปิดความลับมาได้นานขนาดนี้ หากเป็นข้าก็คงอยากจะเผยตัวตนตั้งแต่แรก”“ใช่ว่าข้าไม่อยาก เพียงแต่ว่า…”“เพราะกงเหรินซินสินะ ปากเจ้าพร่ำบ่นนางและด่านางเป็นประจำแต่ก็รักนางมากไม่ต่างกังกงอวี้หาน”“นั่นเป็นสิ่งที่ข้าเสียใจมากที่สุดในฐานะพี่ชาย ข้าควรจะดีกับนางเหมือนที่อวี้หานทำ”ท่านอ๋องตบไหล่ของจ้าวหนาน สหายและเพื่อนร่วมสำนักของเขา ท่านอ๋องพอจะรู้
สามวันถัดมา / สุสานสกุลกง “ซินเอ๋อร์ เนี่ยเอ๋อร์ พวกเจ้าคงจะได้พบกันแล้วสินะ ฝากดูแลนางด้วยนะ”“ซินเอ๋อร์ พี่ใหญ่ไม่เคยอยากจะทะเลาะกับเจ้าเลยสักครั้ง พี่ทำผิดต่อเจ้าที่คอยเปรียบเทียบเจ้ากับคนอื่น ชาติหน้าหากมีจริงขอให้พี่ได้มีโอกาสเป็นพี่ชายที่ดีของเจ้าอีกสักครั้งเถอะนะ”ตุ๊กตาไม้ที่แกะด้วยมือของกงจ้าวหนานวางลงที่หน้าป้ายวิญญาณน้องสาวผู้ล่วงลับ เขาทำมันขึ้นมาระหว่างออกศึกและเก็บเอาไว้นานกว่าสิบปีแต่ไม่มีโอกาสได้ให้กงเหรินซิน เพียงเพราะนางเอาแต่โวยวายและโมโหทุกคนที่ไม่เข้าข้างนาง เขาจึงเก็บตุ๊กตาไม้นี้เอาไว้ตลอด กงอวี้หานเดินมาตบไหล่ของพี่ใหญ่ที่ยืนอยู่หน้าป้ายวิญญาณของน้องสาวที่ทำขึ้นมาในสุสานของสกุลกง“พี่ใหญ่ท่านอย่าคิดมากเลย ซินเอ๋อร์เองก็มิได้โกรธท่านจริง ๆ หรอก ที่นางเอาแต่ใจก็แค่อยากให้ท่านหันไปสนใจนางเท่านั้นเอง”“ข้าไม่เคยได้มีโอกาสขอโทษ หรือทำดีกับซินเอ๋อร์เลยสักครั้ง จนกระทั่ง…”“พี่ใหญ่ ตอนนี้คนร้ายก็ได้ชดใช้ให้กับน้องเล็กแล้ว ท่านอย่าได้โทษตัวเองอีกเลยนะเจ้าคะ”“เจ้าพูดถูก แม้ว่านางจะไม่อยู่แล้วแต่ตอนนี้เจ้าเองก็อยู่ในร่างของนาง ทำดีกับเจ้าก็ไม่ต่างกับทำดีกับนาง”“ใช่แล้ว