โรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นในเช้าวันต่อมา เริ่มต้นด้วยกลิ่นหอมของข้าวสวยร้อน ๆ และเสียงน้ำที่ถูกตักจากบ่อใส เสียงจานชามกระทบกันเบา ๆ ดังแทรกกับเสียงไก่ขันและเสียงฝีเท้าของบ่าวหญิงชายที่เริ่มขยับเขยื้อนหลังวันใหม่มาถึง แต่ท่ามกลางความคึกคักนั้น มีเงาร่างหนึ่งซึ่งเคลื่อนไหวอย่างเงียบงันและเป็นระเบียบไม่แพ้ใคร นั่นคือ “เสี่ยวซุ่ย”
เด็กสาวในชุดผ้าฝ้ายเก่า ๆ สีฟ้าหม่น ไม่ได้โดดเด่นด้วยท่าทีหรือคำพูด ทว่านางกลับอยู่ในทุกตำแหน่งที่ควรอยู่เสมอ เช็ดโต๊ะก่อนใคร ล้างหม้อที่ใหญ่ที่สุดก่อนใคร ขนถังน้ำ ขัดพื้น เดินเสิร์ฟชาด้วยมือที่มั่นคงและสีหน้าสงบนิ่งอย่างไม่น่าเชื่อว่านี่คือเพียงเด็กหญิงอายุสิบหก
แม้ยังอยู่ในช่วงฝึกงาน แต่เสี่ยวซุ่ยกลับไม่มีบ่าวคนใดในโรงเตี๊ยมมองว่านางอ่อนด้อยกว่าพวกตน แม้ไม่พูดมาก แต่กลับมีบางสิ่งในแววตา และในท่าทางของนางที่ทำให้พี่หลิน บ่าวหญิงรุ่นพี่ที่เคยเข้มงวดกับเด็กใหม่ทุกรุ่น ถึงกับกล่าวกับคนอื่นอย่างประหลาดใจว่า
“นางช่างเป็นเด็กที่ประหลาดนัก ข้าไม่ต้องว่าอะไรนางสักคำ นางก็ทำได้ทุกอย่าง”
ระหว่างที่เหล่าบ่าวกำลังทำงานขะมักเขม้น นายหญิงอย่างซูหรงก็ยืนอยู่หน้าหน้าต่างชั้นบนของโรงเตี๊ยม แสงเช้าสาดกระทบใบหน้าจนเห็นเงาระบายบาง ๆ บนแก้ม นางถือถ้วยชาร้อนในมือ มองลงมายังลานเบื้องล่างที่เหล่าบ่าวกำลังง่วนกับงานประจำวัน
สายตาของนาง ไม่ได้ไล่ตามใครอื่นนอกจากเงาร่างของเด็กสาวผมที่ไว้หน้าม้า ซึ่งกำลังยกถังน้ำด้วยท่าทางนิ่งเรียบ ซึ่งคนที่นางจับตา ก็คือเสี่ยวซุ่ยนั่นเอง
แม้ผ่านมาเพียงวันเดียว แต่เด็กคนนี้กลับไม่มีทีท่าว่าจะเหน็ดเหนื่อย หรืออิดออดเลยแม้แต่น้อย นางทำงานทุกอย่างอย่างราบรื่น ไม่เคยส่งเสียงโวยวาย ไม่เคยทำจานตก ไม่เคยหันหลังให้เวลามีผู้เรียกใช้… และไม่เคยพลาดตำแหน่งที่ควรจะยืน
ซูหรงยกถ้วยชาขึ้นจิบ ขณะสายตายังไม่ละจากภาพเบื้องล่าง ขมวดคิ้วเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว บ่นพึมพำกับตนเอง
“หากเป็นเพียงสาวใช้ธรรมดา จะมีท่วงท่าก้าวเดินมั่นคงถึงเพียงนี้หรือ?”
นางคิดพลางก็ออกจากห้อง ไปเดินตรวจสอบการจัดเตรียมอาหารสำหรับแขกสำคัญที่กำลังจะเข้าพักคืนนี้ และเมื่อแวะไปที่ห้องครัว นางก็เห็นเสี่ยวซุ่ยกำลังจัดถ้วยชามลงไปในถาดไม้ใหญ่
มือเล็ก ๆ นั้นจับชามอย่างมั่นคง นิ้วเรียวแต่มีแรงพอจะถาดไม้ใส่ชามหลายใบที่หนักไปเก็บเข้าที่หลังเรียงเสร็จโดยไม่แสดงความออกว่าลำบากมาทางสีหน้า ที่ผิดสังเกตคืออีกประการคือการวางตำแหน่งชามเรียงตรงแนวพอดิบพอดี ราวกับใช้สายวัด
ซูหรงเดินเข้าไปใกล้โดยไม่ได้ส่งเสียง ทว่าเด็กสาวรู้ตัวว่ามีผู้มาเยือน ก่อนจะหันมาเงียบ ๆ และโค้งศีรษะเล็กน้อยอย่างนอบน้อม
“จัดชามพวกนั้นเสร็จแล้วหรือ?” ซูหรงถามเรียบ ๆ
“เจ้าค่ะ” เสี่ยวซุ่ยตอบเบา ๆ “ข้าวสวยก็กำลังจะยกลงแล้วเช่นกัน”
“เจ้าเคยทำงานในโรงเตี๊ยมมาก่อนหรือ?” ซูหรงเอ่ยถาม
“ไม่เคยเจ้าค่ะ” เสี่ยวซุ่ยตอบโดยไม่ลังเล โดยที่แววตายังคงนิ่งสงบ
ซูหรงเดินไปดูถ้วยชามที่วางเรียง สัมผัสถึงความเย็นเล็กน้อยจากขอบชามก่อนจะเอ่ยถามต่อโดยไม่หันหลัง
“แล้วใครเป็นคนสอนเจ้าวางของแบบนี้?”
“ไม่มีเจ้าค่ะ” เสี่ยวซุ่ยตอบ
ซูหรงไม่พูดอะไรไปครู่หนึ่ง นางเพียงยืนเงียบ ราวกับกำลังพยายามจับอารมณ์ของอีกฝ่าย
“เจ้าจับจังหวะของงานได้เร็วเกินไป เร็วมากจนผิดวิสัยคนทั่วไป ข้าเคยฝึกบ่าวมาหลายคน ต่อให้เป็นคนหัวไวก็ยังต้องใช้เวลาร่วมเจ็ดวันจึงจะเข้าใจลำดับงานในครัว และเรียนรู้จังหวะของห้องโถง”
ซูหรงกล่าวขึ้นมา ส่วนเสี่ยวซุ่ยยังคงยืนเงียบสนิท ก้มหน้า มือเล็กวางแนบกับตะเข็บชายเสื้อ
“เจ้าเรียนรู้เพียงครึ่งวัน แต่กลับรู้ว่าเวลานี้ต้องเตรียมอะไร วางตรงไหน ท่าทางวางถาดไม่ใช่ของชาวบ้านทั่วไป แต่เป็นท่าที่ถูกฝึกมาจากที่ที่มีระเบียบแบบแผน… ไม่เช่นนั้นเจ้าก็คงเป็นอัจฉริยะแล้วล่ะ...” เสียงซูหรงต่ำลงอีกเล็กน้อย “มองหน้าข้าแล้วตอบมาเถิด ว่าเจ้าเป็นใครกันแน่ เสี่ยวซุ่ย?”
เด็กสาวยังไม่ตอบ เพียงแต่เงยขึ้น สบตาอีกฝ่ายด้วยดวงตากลมโตเป็นครั้งแรกในการสนทนาวันนี้ และวูบหนึ่งในแววตานั้น ซูหรงสัมผัสได้ถึงประกายบางอย่าง มันราวกับผู้ที่เคยเฝ้ามองนางมาก่อนจากที่ไกลโพ้น นั่นทำให้ซูหรงรู้สึกเย็นวาบถึงต้นคอ โดยไร้สาเหตุ
“ข้าชื่อเสี่ยวซุ่ย เป็นคนที่จะพยายามเป็นบ่าวที่ดีของโรงเตี๊ยมนี้เจ้าค่ะ”
คำตอบของนางทำเอาซูหรงไม่อยากจะสนทนาอย่างอื่นอีก จึงได้แต่บอกให้นางไปทำหน้าที่ต่อไป ทว่าหลังจากเสี่ยวซุ่ยเดินจากไปทำงานอื่น ๆ ต่อ ซูหรงที่อยู่เพียงลำพังในครัว กับกลิ่นกลีบบัวขาวที่ทิ้งไว้ นางกลับรู้สึกว่าในอกนั้นคล้ายมีบางอย่างค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นมา… ระลึกถึงผู้หนึ่งที่ไม่ควรหวนคิดถึงอีก
“อาจารย์…? ท่านจำแลงมาเป็นนางไม่ผิดแน่ แต่ข้าไม่มีหลักฐานนี่สิ”
นางคิดอยู่ในใจครู่หนึ่ง ก่อนจะชำเลืองมองในส่วนของวัตถุดิบในครัว แล้วพบว่า ขิงแห้ง ดอกเก๊กฮวย และวัตถุดิบสมุนไพรต่าง ๆ ถูกจัดวางแยกชั้นอย่างเป็นระเบียบ สลับตำแหน่งจากเดิมที่ปนกันอยู่หลังจากวัตถุดิบที่เพิ่งสั่งมาเมื่อวาน นางกำลังกังวลว่าต้องจัดเรียงอยู่หลายวัน แม้ว่าจะให้ใบสั่งพี่หลินหัวหน้าบ่าวไปแล้ว ทว่าเช้านี้กลับถูกต้องทุกตำแหน่ง เหมือนตำราสำนักเซียนใช้เรียงวัตถุดิบยาที่นางสั่งไว้ทุกประการ
“นี่มัน... ระบบแบบในห้องปรุงโอสถของตำหนักเซียน… ไม่มีทางที่คนสามัญจะทำได้แน่”
ซูหรงครุ่นคิดในใจ มือของนางเย็นวาบ ราวกับร่างของนางเพิ่งสะดุดข้ามเส้นแบ่งระหว่างความบังเอิญกับความจริง
“ช้าก่อนเสี่ยวชุ่ย!” ซูหรงร้องเรียก เมื่อเริ่มตั้งสติได้ บ่าวหญิงคนใหม่หันขวับกลับมาทันควัน “ข้าขอถามเจ้าตรง ๆ อีกครั้ง... เจ้าเรียนรู้วิธีจัดสมุนไพรจากที่ไหน?”
“จากที่พี่หลินบอกว่านายหญิงเขียนไว้ในใบสั่งเจ้าค่ะ” เสี่ยวซุ่ยตอบเสียงเรียบ
“เด็กสาวธรรมดาเรียนรู้ลำดับโอสถอย่างนั้นไม่ได้หรอก แม้แต่ศิษย์ของอาจารย์ลั่วชิงก็ต้องฝึกอย่างต่ำสามปีถึงจะจำได้”
“หากท่านสงสัย ข้าพร้อมถูกลงโทษเจ้าค่ะ แต่สิ่งที่ข้าทำ ล้วนเพื่อให้โรงเตี๊ยมนี้ไม่ติดขัด” เสี่ยงซุ่ยตอบพลางก้มหน้า ขณะที่ ซูหรงเดินมาหยุดตรงหน้านาง
“เจ้าคือท่านใช่หรือไม่ ถ้าเสียงหัวใจของข้าบอกไม่ผิด” เสียงของซูหรงแผ่วเบาลง “อาจารย์ลั่วชิง”
เสี่ยวซุ่ยเงยหน้าขึ้นสบตาอีกครั้ง คราวนี้ไม่มีการปฏิเสธ ไม่มีคำโกหก เพียงแต่เงียบงัน เหมือนเป็นการยอมรับ...ด้วยความสงบ ส่วนซูหรงนั้นเบือนหน้าหนีไปทางหน้าต่าง หัวใจเต้นแรงราวจะหลุดจากอก ในหัวครุ่นคิดอะไรต่อมิอะไรมากมาย
“เหตุใด... นางจึงต้องลงมาถึงเพียงนี้... เพื่ออะไร?”
“หรือว่าคำพูดของข้าในวันนั้น... มันแทงลึกถึงหัวใจนางมากกว่าที่ข้าคิด...?”
ซูหรงหายใจเข้าลึก ๆ พยายามทำตัวให้นิ่งสงบ แม้ว่าน้ำเสียงของนางจะยังสั่นเล็กน้อย ยามที่กล่าวคำถัดมา
“ข้ายังไม่รู้ว่าเหตุใดท่านต้องปลอมตัวลงมา... แต่หากท่านหวังจะสั่งสอนข้า... ข้าขอเตือนว่า… เส้นทางของข้าเดินมาไกลเกินจะถอยหลังกลับแล้ว…”
เสี่ยวซุ่ยยืนนิ่ง สีหน้าไม่เปลี่ยน แต่นัยน์ตาที่เงียบสงบกลับฉายวาบแห่งความเศร้าลึกซึ้ง นางทอดมองซูหรงซึ่งยืนเบือนหน้าหนีไปทางหน้าต่าง ถึงเช่นนั้นนายหญิงแห่งโรงเตี๊ยมก็สั่นไหวเล็กน้อย หากไม่ใช่เพราะอารมณ์ปั่นป่วน ก็คงเพราะหัวใจที่หวั่นไหวเกินจะเอ่ยออกมาเป็นถ้อยคำ
“…ใช่ ข้าคืออาจารย์ของเจ้า”
เสียงของเสี่ยวซุ่ยไม่ดัง แต่กังวานในอกซูหรงจนรู้สึกว่าห้องครัวทั้งห้องเงียบลงทันใด
“ข้าลงเขามา เพราะเจ้า”
ซูหรงหันกลับมาช้า ๆ ดวงตาเบิกโพลง “…เพื่อข้า?”
“เจ้าอาจคิดว่าข้ามาด้วยความดื้อรั้น หรือเพราะข้าทนไม่ไหวที่เจ้าทิ้งวิถีเซียนเพื่อความรัก แต่ไม่ใช่เลย ข้ารู้ว่าความรักคือสิ่งที่แม้แต่เซียนยังหลีกเลี่ยงไม่ได้ ข้ามาเพราะข้าเป็นห่วงเจ้า นั่นก็เป็นความรักแบบหนี่งมิใช่รึ?” ลั่วชิงเอ่ยต่ออย่างเนิบช้า ทำให้ซูหรงนิ่งไปชั่วอึดใจ ริมฝีปากเม้มแน่น
“เจ้าคือศิษย์ที่ข้าเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็ก ข้ารู้จักเจ้าดียิ่งกว่าใครในใต้หล้า เจ้าไม่ใช่คนอ่อนแอ แต่เจ้าเชื่อใจเร็ว และเมื่อรักสิ่งใดก็จะทุ่มเททั้งชีวิตโดยไม่หันกลับมามองตนเอง เจ้าอาจไม่เห็นว่า สิ่งที่เจ้าคิดว่าคือความสุข... อาจแฝงบางสิ่งที่เจ้าไม่คาดฝันอยู่ ตอนนี้ข้าไม่อาจบอกเจ้าได้ว่าคืออะไร แต่ว่า...” ลั่วชิงหยุดพักคำ
“ข้าไม่อาจอยู่บนเขาต่อไปได้อีก เมื่อรู้ว่าเจ้าอาจกำลังฝากทั้งชีวิตไว้กับผู้ที่ข้าไม่อาจวางใจ ข้าจึงต้องมาที่นี่เพื่อปกป้องเจ้า ยามที่เรื่องไม่คาดฝันจะมาเยือน”
“เพราะท่านไม่เชื่อในความรักของข้า ท่านจึงคิดว่ามันจะพังเสมอน่ะสิ ข้าโตแล้วนะ อะไรข้าก็รับมือได้!” ซูหรงหัวเราะในลำคอเบา ๆ เสียงหัวเราะนั้นเจือแววขื่นขม
“มิใช่” ลั่วชิงตอบทันที
“ท่านจะว่าอะไรก็ช่าง แต่ข้าไม่เหมือนท่าน” ซูหรงเม้มปากแน่น นางก้าวเข้าไปใกล้ทีละก้าวจนยืนประจันหน้าเด็กสาวตรงหน้าอีกครั้ง “เพราะข้ารู้ว่า ความรักของข้าคือการอยู่เคียงข้างเขา ไม่ใช่เพียงเฝ้ามอง ข้าไม่อาจปล่อยเขาให้เดินลำพังได้ เพราะถ้าเจ็บ ข้าจะเจ็บด้วย ถ้าเหนื่อย ข้าจะร่วมรับ ข้ายอมทิ้งทุกสิ่ง แม้แต่เส้นทางแห่งเซียน เพื่ออยู่กับเขาได้ในทุกวันธรรมดา นั่นคือความรักของข้า ข้าโตแล้ว ข้าเลือกได้ ท่านเข้าใจหรือไม่?”
ลั่วชิงนิ่งไป อารมณ์ซัดสาดอยู่ภายในนัยน์ตาคู่นั้น ทว่ามิได้โต้แย้ง นางเพียงเงยหน้าขึ้นสบตาซูหรงตรง ๆ ราวกับจะยอมรับถ้อยคำทั้งหมดของศิษย์ผู้นี้ แล้วกล่าวเสียงเบา
“เจ้าพูดได้งดงาม... ข้าเข้าใจดี และข้าหวังว่าเขาจะคู่ควรกับสิ่งที่เจ้ามอบให้จริง ๆ”
“ท่านไม่ได้เข้าใจ!” ซูหรงหรี่ตา แววตาราวกับแปรเปลี่ยนเป็นผู้ตัดสินมากกว่าผู้ถูกสั่งสอน “หากท่านเข้าใจ ท่านจะไม่ต้องมาบอกว่ามาที่นี่เพื่อปกป้องข้า ข้าเคยอยากให้ท่านอยู่กับข้าในวันแต่งงาน ในวันสำคัญอะไรก็จริง แต่เพื่อให้ท่านมองดูความสำเร็จของข้า ไม่ใช่เพื่อมองว่าข้าจะล้มเหลวในสักวันให้ท่านคอยช่วย!”
ลั่วชิงเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยล้า นางรู้ว่าเด็กคนนี้พยายามจะพิสูจน์ว่าตัวเองเติบโตจนไม่ต้องการความรักความห่วงใยของผู้เป็นดังมารดา เช่นนั้นนางก็ไม่ควรจะอยู่ที่นี่
“เช่นนั้นข้าคงต้องขอลา...” ลั่วชิงในร่างเสี่ยวซุ่ยทำท่าว่าจะเดินจากไป ทว่าซูหรงกับขยับตัวมาขวางนางไม่ให้ออกไปทางประตูครัวได้
“ข้าไม่ได้บอกว่าข้าไม่ต้องการท่าน ข้าบอกว่าอยากให้ท่านมองดูความสำเร็จของข้าในเส้นทางที่ข้าเลือก!” ซูหรงพูดขึ้นมาเสียงแข็ง ถึงเช่นนั้นก็มีน้ำตาคลอดในดวงตา “เช่นนั้นคืนนี้สองยาม ข้าขอให้ท่านโปรดตามขึ้นไปข้าที่ห้องของข้าก่อน แล้วเราค่อยว่ากันว่าท่านจะอยู่หรือจะไป”
“เช่นนั้นก็ได้” ลั่วชิงตกลงรับคำ โดยหารู้ไม่ว่านั่นจะเปลี่ยนชีวิตนางไปตลอดกาลนาน
แสงแดดยามสายของวันต่อมาสาดทาบลงบนพื้นไม้ของโรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋น กลิ่นหอมของใบชาอ่อน ๆ ลอยคลุ้งอยู่ในเรือนครัว เสี่ยวซุ่ยยืนอยู่ตรงโต๊ะไม้ เตรียมน้ำชาสำหรับแขกในโรงเตี๊ยมอย่างขะมักเขม้น ใบหน้านวลผ่องของนางมีรอยยิ้มจาง ๆ ดวงตาแจ่มใส ท่าทางขยันขันแข็งดุจบ่าวหญิงสามัญทั่วไปทว่าทันใดนั้น เศษความทรงจำบางอย่างแล่นผ่านหัว เกี่ยวกับการชงชา ปรุงโอสถสมุนไพร ทว่าไม่กี่อึดใจมันก็หายไปราวหมอกที่จางหาย นางจึงไม่สนใจอะไรก็ตามที่แวบเข้ามาในหัว แล้วทำงานต่อไปในฐานะบ่าว“เสี่ยวซุ่ย ไปเก็บผ้าที่ลานด้วยนะ แดดกำลังดีแบบนี้ คงแห้งหมดแล้วล่ะ” เสียงพี่หลินดังมาจากหน้าประตู“เจ้าค่ะ พี่หลิน” เสี่ยวซุ่ยรับคำอย่างว่าง่าย เช็ดมือลวก ๆ แล้วรีบก้าวออกจากครัว “ข้าจะไปเก็บผ้าเดี๋ยวนี้ล่ะเจ้าค่ะ”ในขณะเดียวกัน ณ ห้องลับด้านบนสุดของโรงเตี๊ยม ประตูบานหนักค่อย ๆ เปิดออกพร้อมเสียงฝีเท้าเบา ๆ ของหญิงสาวในชุดสีแดงเข้มขลิบทอง นางคือซูหรง ที่เพิ่งออกมาหลังจากทำพิธีสร้างยันต์ ใบหน้าซีดลงเล็กน้อยจากการใช้พลังปราณอย่างต่อเนื่อง แต่ดวงตาแสดงความมั่นใจและเฉียบขาดเหมือนเดิม“ท่านออกมาแล้ว!” เฉินอี้ที่รออยู่หน้าห้องเอ่ยขึ้นทันทีที่เห็
ล่วงเข้าสู่ยามเย็น แสงแดดอ่อนคล้อยทาบลงบนแนวหลังคาโรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋น เงาไม้ทอดยาวอยู่บนพื้นไม้เรียบ เสียงลมกระทบหน้าต่างเบา ๆ กล่อมให้บรรยากาศอบอุ่นขึ้นเล็กน้อยหลังความวุ่นวายในยามสายจางหายในห้องพักด้านใน ร่างของเสี่ยวซุ่ยนั่งพิงหมอนอิง ดวงตายังดูเหนื่อยล้าเล็กน้อยจากอาการที่เพิ่งฟื้น ทว่าริมฝีปากกลับคลี่ยิ้มบาง ๆ เมื่อบานประตูถูกเคาะเบา ๆ ก่อนที่เฉินอี้จะก้าวเข้ามาด้วยท่าทางระมัดระวัง เขามีผ้าห่มบางผืนหนึ่งพับอยู่ในมือ ใบหน้าแม้จะยังมีร่องรอยของความอ่อนล้า แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความอบอุ่นและโล่งใจ“เจ้าไม่แล้วหรือ? ท่านหมอว่าเจ้าควรพักดูอาการอีกคืน” เขาเอ่ยเสียงเบา เสี่ยวซุ่ยหันมามองเขา สบตาเพียงครู่ ก่อนจะพยักหน้าน้อย ๆ“ข้านอนมานานพอแล้วเจ้าค่ะ” นางตอบเบา ๆเฉินอี้เดินเข้ามาใกล้ วางผ้าห่มไว้บนเก้าอี้ตัวข้างฟูก ก่อนจะนั่งลงบนพื้นข้างร่างนาง ใบหน้าของเขาดูจริงจังขึ้นเล็กน้อย“เสี่ยวซุ่ย… ข้ามีเรื่องต้องบอกเจ้า” เขาเริ่ม นางก็เลิกคิ้วน้อย ๆ“เจ้าจำไม่ได้ใช่ไหม ว่าตอนที่ข้าจะถูกสังหารในลานนั่น... อยู่ ๆ ก็มีแสงพลังสีฟ้าสว่างวาบออกจากฝ่ามือของเจ้า แล้วพลังในร่างของข้า… มันระเบิดขึ้น เหม
ยามบ่าย โรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง หลังความโกลาหลวุ่นวายเมื่อยามสายสิ้นสุดลง ท้องฟ้าแจ่มใส ลมอ่อนพัดผ่านชายผ้าม่าน เสียงนกร้องจาง ๆ ลอยมากับแสงแดดอุ่นที่ลอดผ่านหน้าต่างไม้บานเล็กในห้องพักชั้นบนของอาคารหลัก หมอจากสำนักคุ้มภัยเทียนเฟิงที่มาด้วยกัน กำลังตรวจดูอาการบาดเจ็บของผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์เมื่อตอนสายอย่างละเอียดจ้าวหยางนอนอยู่บนเตียงไม้สาน ร่างของเขาถูกพันผ้าไว้หลายแห่ง ดามด้วยเฝือกไม้ โดยเฉพาะช่วงไหล่ และซี่โครง ที่โดนบีบขยี้ด้วยมือขนาดยักษ์“ซี่โครงด้านซ้ายร้าวห้าซี่ ขาวสองซี่ กระดูกไหล่ขวาเคลื่อน... ถ้าเป็นคนธรรมดาต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือนในการพักรักษาตัว กว่าจะเริ่มเคลื่อนไหวได้อีกครั้ง” หมอวัยกลางคนพยายามอธิบายอาการบาดเจ็บให้เหล่าสำนักคุ้มภัยที่เหลือ รวมถึงเฉินอี้ได้ฟัง “โชคดีที่พลังภายในของเขาสูงมากกว่าคนทั่วไป ร่างกายจึงยังพอเยียวยาตัวเองได้... อาจใช้เวลาน้อยกว่านั้น แต่ไม่ใช่วันสองวันนี้”จากนั้นหมอก็พาทุกคนไปยังในอีกห้องหนึ่ง อวี้ไป๋เฉินเพิ่งรู้สึกตัวขึ้นหลังหมดสติไประยะใหญ่ ข้างกายเขาคือเสี่ยวผิงหลานชายพี่หลินที่มาดูแล เขาขยับตัวช้า ๆ ใช้มือยันร่างขึ้น
กลุ่มควันสีเทาเริ่มจางลงหลังการต่อสู้ที่รุนแรงสิ้นสุดลง เฉินอี้ยืนอยู่กลางลาน ไอพลังสีขาวรอบกายยังคงแผ่ซ่าน ดวงตาของเขายังคงจับจ้องร่างอวี้เซี่ยหงที่ลุกขึ้นมายืนขึ้นอีกครั้งพร้อมบอกว่านี่เป็นเพียงแค่หุ่นเชิดมนุษย์ทว่ามันไม่เหมือนท่ายืนของคนปกติ แขนห้อยข้างลำตัวอย่างไร้พลัง สายตาเลื่อนลอย สีหน้าไร้อารมณ์ ร่างกายเคลื่อนไหวอย่างกระตุก ราวกับไม่ใช่คนธรรมดาอีกต่อไป ทันใดนั้นเขาก็มองเห็นอะไรบางอย่างที่เพิ่งได้สังเกต เส้นใยสีม่วงอ่อนบางเฉียบที่มองแทบไม่เห็นผูกอยู่ทั่วร่างของนาง มันเรียวเล็กเท่าเส้นผมยากต่อการสังเกต เส้นใยเหล่านั้นหลายเส้นเชื่อมต่อกับสักที่ที่ไกลออกไป คอยส่งต่อกระแสพลังมายังร่างของนาง ทว่าตอนนี้มันขาดสะบั้นไปหลายเส้น เช่นที่แขนสองข้าง อาจเพราะการต่อสู้กับเขาเมื่อครู่ จึงทำให้การเคลื่อนไหวของร่างกายนี้ผิดปกติไปมาก“เหมือนเจ้าจะเห็นเส้นใยพลังปราณแล้วสินะ…” เจ้าของเสียงนั้นกล่าวขึ้นมา “ใช้แล้ว ร่างที่เจ้าสู้ด้วย เป็นเพียงหุ่นเชิดมนุษย์ เป็นสมุนในพรรคที่ที่แต่งตัวเหมือนข้า กับได้รับการถ่ายลมปราณบางส่วนจากตัวข้ามาให้เท่านั้น แล้วข้าคอยควบคุมระยะไกลเท่านั้น เจ้าล้มมัน
อวี้เซี่ยหงยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางกลุ่มควันจาง ๆ ที่ยังลอยล่อง มือเทียมพลังปราณสีม่วงเข้มขนาดใหญ่ที่ยังเหลืออยู่สี่เส้น วางสองผู้กล้าลง ดวงตาของนางเบิกกว้างด้วยความแปลกใจปนไม่เชื่อสายตา เมื่อเห็นร่างของเฉินอี้ที่ควรจะอ่อนล้าและสิ้นหวังในก่อนหน้า บัดนี้กลับยืนตรงด้วยแววตาเด็ดเดี่ยว พลังลมปราณแผ่พุ่งออกจากกายสีขาวนวลราวหมอกยามเช้า กล้ามเนื้อทุกส่วนกระชับราวกับฝึกมานาน แผ่นหลังตั้งตรง นิ่งเหมือนยอดเขาใหญ่“กล้ามาก ที่เจ้าคิดว่าจะมาต่อกรกับข้าได้ด้วยตัวคนเดียว... เจ้าบ่าวกระจอก!”เสียงของนางเปล่งออกมา ก่อนที่แขนเทียมยาวแปดวาเส้นหนึ่งจะฟาดมาทางเขาด้วยพลังมหาศาล ทว่าเฉินอี้กลับก้าวเท้ากระชับตัว มือขวาหมุนวนปัดแรงพุ่งของแขนยักษ์ด้วยความแม่นยำ ส่งไปยังมือซ้ายที่แบรออยู่จากนั้นมือซ้ายของเขาก็จับแน่นตรงข้อมือเทียมของแขนพลังปราณนั้น ตามด้วยมือขวาที่ตามมาประกบเหมือนพนมมือ แล้วพลันพุ่งลอดผ่านใต้แขนอย่างรวดเร็ว จากนั้นก้าวพร้อมกับก็หมุนสะโพก หมุนเอว บิดลำตัวทั้งร่างด้วยจังหวะที่แม่นยำราวสายน้ำหมุนวน!แขนเทียมที่เชื่อมต่อกับร่างต้นถูกบิดจนผิดรูป เขาหมุนต่ออีกรอบ สองรอบ สามรอบ ด้วยท่าเท้าปทุมยาตรา ข้อมือ
เปลวเพลิงที่ลามเลียผนังโรงเตี๊ยมค่อย ๆ ถูกควบคุมลงจนดับไปในที่สุด ผู้คนของสำนักคุ้มภัยเทียนเฟิงต่างหอบเหนื่อย หลังระดมสาดน้ำดับไฟจนสำเร็จ เหลือเพียงกลุ่มควันลอยเอื่อย ๆ และกลิ่นไหม้ที่ตลบอบอวลในอากาศ และเมื่อควบคุมเปลวเพลิงได้สำเร็จ พวกเขาจึงได้มีโอกาสหันไปมอง การปะทะกันที่ดุเดือดซึ่งเกิดขึ้นที่ลานกว้าง ห่างจากตัวอาคารออกไปไกลพอสมควรอวี้เซี่ยหงยืนนิ่งแผ่นหลังของนางมีแขนพลังปราณสีม่วงเข้มขนาดใหญ่ยักษ์สี่เส้นงอกออกมา ราวกับแขนปีศาจแหวกมิติออกมาจากโลกปีศาต แขนเทียมสองในสี่กำลัง รวบคออวี้ไป๋เฉินและจ้าวหยางที่ไม่ได้สติเอาไว้แน่น ทั้งคู่สิ้นสติไปแล้ว จึง ไม่อาจขัดขืนได้อีก และกำลังจะกลายเป็นเหยื่อของนางโดยสมบูรณ์ตรงนั้นเอง เฉินอี้ยืนหอบหายใจอยู่ไม่ไกล เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง เลือดไหลอาบข้างแก้ม ใจเขาเต้นแรงจนเจ็บหน้าอกจากการพยายามฝืนร่างกายก่อนหน้านี้เขาพยายามทุกทางแล้วที่จะหยุดนาง เมื่อครู่ตอนนางสะบัดแขนยักษ์ยาวแปดวามาโจมตี เขาก็ใช้กระบวนท่าฝ่ามือเคลื่อนปทุม ปัดเบี่ยงแรง หลบ และผลักใส่แขนเทียมยักษ์ข้างนั้นอย่างแม่นยำ แต่การผลักของเขาก็ทำให้แขนขยับไปเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้ส่งผลต่อร่างต้นแต่อ