ทนายเจนรบ นอกเหนือจากบทบาททนายความขวัญใจคนยากจนแล้ว เขายังมีอีกหนึ่งบทบาทคือวิทยากรพิเศษ บรรยายในหัวข้อกฎหมายน่ารู้ให้กับนิสิตนักศึกษาตามสถาบันอุดมศึกษาทั่วกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มหาวิทยาลัยบัณฑิตทวีปัญญา ซึ่งเป็นสถาบันที่เขาเคยศึกษาเล่าเรียน ด้วยชื่อเสียงและผลงานที่เคยสร้างไว้ในฐานะทนายความคนจน ทำให้เจนรบได้รับการทาบทามให้เป็นวิทยากรพิเศษประจำของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ซึ่งตัวเขาเองก็ยินดี ที่อยากจะถ่ายทอดวิชาความรู้และประสบการณ์ให้กับนักศึกษารุ่นลูกทุกคนด้วยความเต็มใจ
“สวัสดีค่ะลุงจอม เจอกันอีกแล้วนะคะ” น้องปลา ปวีณาพนมมือไหว้เจนรบ เพื่อนสนิทของคุณพ่อภาคภูมิ ที่วันนี้สวมบทบาทเป็นวิทยากรพิเศษบรรยายในหัวข้อกฎหมายเบื้องต้นสำหรับนักศึกษาชั้นปีที่หนึ่ง
“เจอกันอีกแล้วนะคนเก่ง” เจนรบพนมมือรับไหว้เด็กสาวด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “เป็นไงบ้าง ชีวิตเด็กมหาลัย มีเพื่อนเยอะหรือยัง”
“ก็รู้จัก ก็มีเพื่อนหลายคนแล้วค่ะ” ปวีณายิ้มหวานจนเห็นฟันขาวเรียงสวย รอยยิ้มนั้นสั่นคลอนสมาธิของเจนรบไปชั่วขณะ เขาต้องรีบปรับสีหน้าให้เรียบเฉย พยายามจดจ่อกับเอกสารในมือแค่รอยยิ้มธรรมดา ทำไมใจเราต้องสั่นขนาดนี้ด้วยนะ... ตั้งสติไว้เจนรบ ตั้งสติไว้
ปวีณาในชุดนักศึกษาดูสดใสราวกับดอกไม้แรกแย้ม เธอไว้ผมยาวหยักศกเป็นลอนคลื่นสวยงาม ทำไฮไลท์สีน้ำตาลอ่อนขับให้ใบหน้าหวานยิ่งขึ้น ด้านหน้าตัดเป็นหน้าม้าบางๆ ปิดหน้าผากมน แก้มของเธอแดงระเรื่อราวกับผลชมพู่ ผิวขาวอมชมพูระเรื่อ ริมฝีปากบางอวบอิ่มอย่างเป็นธรรมชาติ กลิ่นกายหอมละมุนของเธอลอยมาแตะจมูก ทำให้สุภาพบุรุษวัยกลางคนอย่างเจนรบแทบจะควบคุมความรู้สึกของตนเองไม่อยู่
“โอเค งั้นเดี๋ยวเข้าไปในห้องเรียนกันได้เลยนะน้องปลา ใกล้ถึงเวลาที่ลุงต้องบรรยายแล้ว” เจนรบกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล พลางส่งยิ้มให้เด็กสาว
“ค่ะ” ปวีณาพนมมือไหว้เจนรบอีกครั้ง ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องเรียนพร้อมกับเพื่อนนักศึกษาที่เหลือ ส่วนเจนรบก็เดินถือแฟ้มเอกสารตามเข้าไปในห้องบรรยาย
“มีเคสที่ผมเคยรับผิดชอบอยู่คดีหนึ่ง คือคุณพ่อของลูกความเสียชีวิต ใช่ไหมครับ? แล้วทีนี้เขามีลูกนอกสมรสที่เกิดกับหญิงอื่นที่ไม่ใช่ภรรยาที่จดทะเบียนสมรสของตัวเอง แล้วลูกชายของเขาก็โทรมาปรึกษาผมว่าเขาจะขอเป็นผู้จัดการมรดกแต่เพียงผู้เดียว เพื่อป้องกันไม่ให้แม่เลี้ยงของเขาโกงมรดกของเขาได้ ผมก็แนะนำเขาว่าอย่าทำแบบนั้นเด็ดขาด”
ทนายความเจนรบเล่าประสบการณ์การทำงานจริงในฐานะทนายความให้กับนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยบัณฑิตทวีปัญญา เหล่านักศึกษาทั้งชายและหญิงต่างตั้งใจฟังทนายเจนรบอย่างใจจดใจจ่อ
“ความจริงแล้วก็ทำได้ไม่ใช่เหรอครับคุณเจนรบ?” นักศึกษาหนุ่มคนหนึ่งยกมือถามด้วยความสงสัย “เพราะตามกฎหมาย ทายาทที่เป็นลูกนอกสมรสที่ได้รับการรับรองโดยบิดาและมารดามีสิทธิ์ชอบธรรมในการเป็นผู้จัดการมรดก แล้วมันติดปัญหาตรงไหนครับ?”
“ถูกต้องครับ พ่อหนุ่มเข้าใจถูกแล้ว” เจนรบตอบด้วยรอยยิ้ม “ผมจะอธิบายอย่างนี้นะ คือครอบครัวนี้มีความซับซ้อนอยู่สักหน่อย คือลูกเลี้ยงกับแม่เลี้ยงไม่ถูกกัน นึกออกใช่ไหมครับ? เพราะแม่เลี้ยงไม่มีบุตรให้กับสามีผู้ตาย สามีก็เลยไปมีบุตรกับอนุภรรยา ที่เป็นภรรยานอกสมรส แล้วผู้ตายก็พาลูกชายที่เกิดกับภรรยานอกสมรสมาอยู่ด้วย แล้วทีนี้ก็เลยมีปัญหากระทบกระทั่งกันอยู่ตลอดเวลา โดยที่ผู้ตายไม่สามารถจัดการอะไรได้”
“แล้วคุณเจนรบแนะนำไปยังไงล่ะครับ?” นักศึกษาหนุ่มคนเดิมยกมือถามเพิ่มเติมด้วยความสนใจ “คือถ้าออกมาในรูปแบบนี้ ผมคิดว่าถ้าต่างฝ่ายต่างตั้งแง่กัน เวลาที่จะเซ็นต์ยินยอมให้อีกฝ่ายเป็นผู้จัดการมรดก ก็คงตกลงกันได้ยาก จริงไหมครับ?”
“ใช่ครับ” เจนรบพยักหน้าเห็นด้วย “คือผมแนะนำลูกชายนอกสมรสคนนี้ว่าอย่าดำเนินการแบบนั้นแต่เพียงผู้เดียว เพราะไม่เช่นนั้นมันอาจจะกลายเป็นปัญหาที่ซับซ้อนในอนาคต เนื่องจากสิทธิ์และสถานะทางกฎหมายของลูกนอกสมรสอาจจะไม่เท่าเทียมกับภรรยาที่จดทะเบียน แม้ตามกฎหมายแล้วจะถือว่าเป็นผู้สืบสันดานในลำดับชั้นเดียวกันก็ตาม ผมแนะนำเขาว่าให้รอดูท่าที แล้วรอให้แม่เลี้ยงของเขาเสนอตัวเป็นผู้จัดการมรดกแต่เพียงผู้เดียวก่อน แล้วค่อยเสนอตัวเป็นผู้จัดการร่วมภายหลังจะดีกว่า”
เหล่านักศึกษาต่างพยักหน้าเห็นด้วยกับแนวทางที่ทนายเจนรบแนะนำ ขณะเดียวกัน น้องปลาเองก็ตั้งใจฟังคุณลุงเจนรบเล่าประสบการณ์การทำงานอย่างใจจดใจจ่อเช่นเดียวกับเพื่อนร่วมชั้นของเธอ
“สุดท้ายไอ้หนุ่มคนนั้นก็ทำตามที่ผมแนะนำ แล้วรู้ไหมครับว่าทีนี้เกิดอะไรขึ้น?” ทนายเจนรบถามนักศึกษาในห้องเรียนด้วยน้ำเสียงที่ชวนติดตาม “คือพอถึงเวลาต้องแบ่งมรดก ปรากฏว่าฝ่ายแม่เลี้ยงกลับผิดสัญญา ไม่ยอมแบ่งมรดกตามที่ตกลงกันไว้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยกล่าวว่าจะยกมรดกส่วนกลางให้โดยเสน่หา แต่กลับมีพฤติกรรมพยายามหลีกเลี่ยงการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้จัดการมรดกร่วมอย่างชัดเจน ทีนี้ก็สนุกเลยครับ เพราะลูกชายนอกสมรสไม่ยอม ก็เลยแอบอัดคลิปเสียงการสนทนาไว้ ซึ่งโดยหลักการแล้วอาจจะผิดกฎหมาย แต่ในกรณีนี้ถือเป็นข้อยกเว้น เพราะฝ่ายลูกเลี้ยงอ้างว่าที่กระทำลงไปก็เพื่อรักษาสิทธิ์และปกป้องผลประโยชน์โดยรวมของตนเอง สุดท้ายฝ่ายแม่เลี้ยงก็ต้องยอมจำนน เพราะลูกเลี้ยงขู่ว่าถ้าไม่มาทำหน้าที่ผู้จัดการมรดกตามที่ตกลงกันไว้ จะดำเนินการฟ้องร้องขอเปลี่ยนผู้จัดการมรดกทันที”
ทันใดนั้น เสียงกริ่งสัญญาณหมดเวลาก็ดังขึ้น เหล่านักศึกษาทั้งชายและหญิงต่างแสดงสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย เพราะกำลังสนุกสนานกับการฟังเรื่องเล่าที่น่าติดตามของทนายความเจนรบ
“โอเค หมดเวลาสนุกแล้วครับทุกคน กำลังเพลินกันเลยใช่ไหมล่ะ?” ทนายเจนรบเหลือบมองนาฬิกาข้อมือของตัวเอง “ผมขอฝากไว้อีกนิดหน่อย ในฐานะที่พวกคุณเป็นนักศึกษา ผมอยากจะบอกว่ากฎหมายไม่ใช่เรื่องไกลตัวอย่างที่คิด มันเป็นเรื่องที่ใกล้ชิดกับชีวิตประจำวันของพวกคุณมากกว่าที่คิดเสียอีก ก็อยากให้พวกคุณลองอ่านและศึกษาดู นอกเหนือจากการนำไปใช้สอบกลางภาคและปลายภาค เพราะมันจะช่วยให้พวกคุณเข้าใจสิทธิและหน้าที่ของตัวเองได้มากในอนาคต ว่าแต่ข้อสอบในภาคเรียนนี้เป็นแบบไหนครับ? เป็นแบบปรนัยหรือแบบอัตนัย?”
“ข้อเขียนครับ/ค่ะ” นักศึกษารอบห้องตอบพร้อมกันด้วยความตั้งใจ
“โอเค งั้นก็เขียนให้สนุกนะครับ” ทนายความกล่าวติดตลกทิ้งท้าย “ขอบคุณนักศึกษาชายและหญิงที่น่ารักทุกคนมากครับ ถ้าใครสนใจเรื่องกฎหมายเพิ่มเติม อย่าลืมเข้าไปกดถูกใจและกดติดตามเพจกฎหมายของผมบนเฟซบุ๊กได้นะครับ ที่อยู่ก็ตามที่ผมได้แสดงไว้ในสไลด์ ถามได้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับข้อกฎหมาย ยกเว้นเรื่องส่วนตัว เรื่องการเมือง หรือเรื่องขอยืมเงิน ผมขออนุญาตไม่ตอบในทุกกรณีนะครับ เข้าใจตรงกันนะครับ?”
นักศึกษาชายหญิงต่างหัวเราะขบขันกับมุกตลกที่ทนายเจนรบหยอดมา เช่นเดียวกับน้องปลา ปวีณา ที่ยิ้มหวานอย่างประทับใจในความรู้ความสามารถและอารมณ์ขันของคุณลุงเจนรบ
“ฮัลโหล คือผมบอกคุณไปแล้วนะครับว่า คุณไม่สามารถใช้เส้นทางของผู้อื่นโดยพลการได้นะครับ เนื่องจากหน้าบ้านของคุณมีทางสาธารณะผ่านอยู่แล้วอย่างชัดเจน คุณจะมาบังคับให้เพื่อนบ้านเปิดทางให้ในลักษณะภาระจำยอมไม่ได้นะครับ” ทนายเจนรบนั่งคุยโทรศัพท์กับลูกความอย่างออกรสที่โรงอาหารของมหาวิทยาลัยในช่วงพักกลางวัน “คือฝ่ายจำเลยจะอ้างว่าที่ดินของตัวเองไม่มีทางออกไม่ได้นะครับ ไม่มีทาง ผมได้ตรวจสอบในโฉนดที่ดินแล้ว ยังไงข้ออ้างนี้ก็ฟังไม่ขึ้นครับ เรื่องนี้วางใจได้เลยนะครับ คุณไม่แพ้คดีนี้แน่นอน ผมรับประกันครับ”
หลังจากกดวางสายโทรศัพท์ เจนรบก็หยิบแก้วกาแฟขึ้นมาจิบในช่วงเวลาพักระหว่างรอการบรรยายในช่วงบ่าย
“อากาศวันนี้อบอ้าวจัง ทั้งที่แดดก็ไม่ออก สงสัยเดี๋ยวฝนคงจะตกหนักแน่” หนุ่มใหญ่เหลือบมองท้องฟ้าด้านนอกอาคารเรียน “จะว่าไปเด็กสาวสมัยนี้น่ารักน่ามองจริงๆ เลยนะ”
เจนรบละเลียดเอสเปรสโซ่รสเข้ม พลางชายตามองนักศึกษาสาวในชุดนักศึกษาสีขาวสะอาดตาด้วยสายตาของผู้ชายที่ชื่นชมความงาม พวกเธอเป็นเหมือนความหวานที่ตัดกับความขมของกาแฟ เป็นความสุขทางสายตาอันบริสุทธิ์สำหรับชายผู้ไม่มีพันธะ
ทนายเจนรบจิบกาแฟรสขมกลมกล่อม สลับกับการมองเหล่านักศึกษาสาวสวยราวกับเป็นของหวานที่ช่วยดับความเข้มข้นของรสกาแฟ ตามประสาชายโสดที่ไม่มีพันธะใดๆ ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องน่าแปลกใจอยู่ไม่น้อย ที่เจนรบยังคงไม่เปิดใจให้กับผู้หญิงคนใด อาจเป็นเพราะอายุอานามที่มากขึ้น หรือบางทีเขายังคงจดจำและเจ็บปวดกับความรักครั้งเก่ากับปิยะวรรณอยู่ก็เป็นได้
ด้วยความผิดหวังจากรักครั้งนั้น ทำให้เจนรบไม่ค่อยใส่ใจในเรื่องความรักอีก หนุ่มใหญ่มุ่งมั่นทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับการทำงานและช่วยเหลือผู้คนที่ตกทุกข์ได้ยากให้มากที่สุด จนกระทั่งเขาแทบจะไม่มีเวลาเปิดใจรับใครเข้ามาเป็นเจ้าของหัวใจได้เลย ทั้งที่โปรไฟล์ของเขาก็จัดว่าโดดเด่น มีความมั่นคงในชีวิต และเป็นที่หมายปองของผู้หญิงหลายคน
จนกระทั่งภาคภูมิ เพื่อนรัก ได้ออกมาเตือนเขาว่าถึงเวลาที่เขาควรจะคิดถึงเรื่องคู่ครองได้แล้ว ซึ่งมันก็เป็นความจริง ทำให้เจนรบเริ่มรู้สึกอยากจะเปิดใจให้กับใครสักคนบ้าง เพียงแต่ด้วยวัยที่มากขึ้น จะหันหาผู้หญิงในวัยเดียวกัน ก็ทำได้ แต่ถ้าเขาอยากมีทายาทในอนาคต เขาต้องมองหาหญิงสาวรุ่นราวคราวลูก
ขณะที่เจนรบกำลังเพลิดเพลินกับการชื่นชมความงามของเหล่านักศึกษาสาวรุ่นลูก ทันใดนั้นสายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นน้องปลาเดินสะพายกระเป๋าสีดำใบเก่ง เดินลงมาจากอาคารเรียนพร้อมกับกลุ่มเพื่อนสนิท เพื่อมาหาอาหารกลางวันรับประทาน เจนรบส่งยิ้มทักทายน้องปลา ส่วนน้องปลาก็ยิ้มตอบกลับมาอย่างเป็นมิตร รอยยิ้มแบบนี้มันทำให้ใจชายสูงวัยอย่างลุงจอมหวั่นไหวเสียเหลือเกิน กลุ่มเพื่อนของเธอทั้งชายและหญิง ที่ประทับใจกับการบรรยายที่สนุกสนานของทนายเจนรบ ก็เดินตรงเข้ามาด้วยท่าทีสนิทสนม เพื่อขอร่วมโต๊ะรับประทานอาหารกลางวันด้วยกัน
“ขอพวกเรานั่งด้วยคนนะครับ/คะ คุณเจนรบ” หนึ่งในกลุ่มเพื่อนของน้องปลาเอ่ยขอด้วยความเกรงใจ
“เชิญเลยครับ” ทนายเจนรบผายมือต้อนรับนักศึกษาทุกคนด้วยรอยยิ้ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อน้องปลามีจังหวะหันกลับมายิ้มหวานให้กับเขาอีกครั้ง ให้ตายสิ รอยยิ้มแบบนี้มันอันตรายต่อหัวใจคนแก่จริงๆ* เจนรบรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ แล่นผ่านใจ เขาต้องรีบเบือนหน้าหนี ทำทีเป็นสนใจแก้วกาแฟตรงหน้า
เอาแล้วไง! เจนรบคิดในใจ เพียงแค่ยิ้มหวานของน้องปลา ก็ทำเอาหัวใจของเขาสั่นไหวเสียแล้ว ทีนี้ กลุ่มนักศึกษากลุ่มเดียวกับน้องปลาก็แยกย้ายกันไปซื้ออาหารกลางวันมานั่งรับประทานกัน โดยมีทนายเจนรบนั่งจิบกาแฟเย็น แก้กระหายระหว่างรอเวลาเข้าบรรยายในช่วงบ่าย
“ไม่ทานอาหารกลางวันด้วยกันเหรอครับคุณเจนรบ?” นักศึกษาหนุ่มคนหนึ่งถามด้วยความเป็นห่วง
“ผมทานมาเรียบร้อยแล้วครับ” หนุ่มใหญ่ยิ้มตอบ พลางเหลือบมองน้องปลาที่กำลังรับประทานก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาอย่างเอร็ดอร่อย ภาพนั้นทำให้เจนรบรู้สึกหวั่นไหวอย่างประหลาด ลูกปลาตัวน้อยช่างดูน่ารักสดใสเหลือเกิน
น้องปลาไม่ได้พูดคุยอะไรกับลุงจอมมากนัก ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเธอไม่ต้องการให้เพื่อนฝูงรู้ว่าแท้จริงแล้วทั้งคู่รู้จักกัน หรืออาจจะเป็นเพราะความรู้สึกเขินอายที่เกิดขึ้นในใจกันแน่ ส่วนเจนรบเองก็ไม่ได้ถือวิสาสะทักทายน้องปลาเป็นการส่วนตัว เพราะเขาถือว่าตนเองเป็นผู้ใหญ่และเป็นอาจารย์ จึงต้องวางตัวให้เหมาะสมและเป็นที่เคารพนับถือของเด็กนักศึกษา หรืออาจจะเป็นเพราะความหวั่นไหวที่เกิดขึ้นในใจอย่างกะทันหัน เจนรบเองก็ไม่แน่ใจนัก
“โอ้!! เดี๋ยวผมต้องขอตัวไปก่อนแล้วนะครับ ทานอาหารให้อร่อยนะครับทุกคน” ทนายเจนรบเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ ซึ่งตอนนี้กำลังเตือนว่าใกล้ถึงเวลาสำหรับการบรรยายในช่วงบ่ายแล้ว เจนรบในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดตา สวมทับด้วยสูทสีดำสนิท และกางเกงสแล็คสีดำพร้อมรองเท้าหนังขัดเงาสีดำ เดินลุกขึ้นจากม้านั่งในโรงอาหาร มุ่งตรงไปยังอาคารเรียนเพื่อทำหน้าที่ของตนเองต่อไป
“ทนายเจนรบเขาเก่งเนอะ แบบว่าเล่าเรื่องยากให้เข้าใจง่าย แถมยังสนุกอีกต่างหาก เห็นด้วยไหม ยัยปลา?” เพื่อนสนิทของปวีณาเอ่ยชมด้วยความประทับใจ
“อะไรนะ?” ปวีณาที่กำลังเคี้ยวเส้นก๋วยเตี๋ยวจนแก้มป่องหันไปมองเพื่อน “อือ! ใช่ เห็นด้วย”
ปวีณาเหลือบมองแผ่นหลังกว้างของคุณลุงเจนรบที่เดินห่างออกไปด้วยความรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง บางทีอาจเป็นเพราะเธอไม่ได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณลุงเจนรบเป็นการส่วนตัวมากไปกว่านี้
“เอาแล้วไง? ว่าแล้วฝนต้องตก” หลังทำหน้าที่เป็นวิทยากรพิเศษเสร็จสิ้น ทนายเจนรบกำลังเตรียมตัวกลับบ้าน พลางเงยหน้ามองสายฝนที่เริ่มโปรยปรายลงมาอย่างหนัก ก่อนรีบยกกระเป๋าสะพายขึ้นมาบังศีรษะแล้วเดินฝ่าสายฝนไปยังลานจอดรถ เพื่อขับรถกลับบ้านพักแถวบางกะปิ
“อูยยยย…ตกหนักขนาดนี้ น้ำท่วม รถติดแน่นอน” ทนายเจนรบเปิดที่ปัดน้ำฝน ก่อนเหยียบคันเร่งแล้วเลี้ยวขวาเพื่อเตรียมตัวออกสู่ถนนใหญ่ ระหว่างที่ขับรถไปตามเส้นทาง ทนายความขวัญใจคนยากไร้ก็เหลือบไปเห็นแผ่นหลังของเด็กสาวที่คุ้นตา “นั่นมันน้องปลานี่หว่า?”
ฝนตกหนักขนาดนั้น จะปล่อยให้เดินตากฝนกลับหอคนเดียวได้ยังไง... แต่ถ้าเราชวนไปส่ง มันจะดูน่าเกลียดหรือเปล่า? คนอื่นจะมองยังไง? หรือจะเหมือนเราพยายามหาเรื่องใกล้ชิดเธอ?* ความคิดตีกันในหัว แต่ภาพเด็กสาวที่ยืนรอรถอยู่ท่ามกลางสายฝนก็ทำให้ความเป็นห่วงมีน้ำหนักเหนือความลังเล *เอาวะ! อย่างน้อยก็แค่ไปส่งที่สถานีรถไฟฟ้า คงไม่เป็นไรหรอก ถือว่าช่วยหลานสาวเพื่อน
“ปรี๊ด!!” เจนรบบีบแตรเรียกเด็กสาวที่กำลังเดินอยู่ริมทางเดินที่มีหลังคากันแดดกันฝนอยู่ด้านบน เมื่อเด็กสาวหันมา หนุ่มใหญ่ก็ลดกระจกข้างลงเพื่อเริ่มต้นบทสนทนาทันที
“น้องปลา จะกลับหอพักหรือเปล่า?” เจนรบถามด้วยความเป็นห่วง
“ค่ะ” ปวีณาตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“หอพักของหนูอยู่แถวไหน?” ลุงจอมถามเด็กสาว “ติดรถลุงไปด้วยกันไหม?”
“อารีย์ค่ะลุง” ปวีณาตอบ “นั่งรถไฟฟ้าบีทีเอสไปแค่แป๊บเดียวก็ถึงแล้วค่ะ”
“โอ้ งั้นไปคนละทางกันเลย” เจนรบตอบด้วยความเสียดาย แต่ด้วยความอยากจะช่วย ก็เลยต้องช่วย “เอางี้ ติดรถลุงไปลงที่สถานีรถไฟฟ้าไหม? หนูปลาจะได้ไม่ต้องตากฝน”
“ก็ไหนลุงว่าไปคนละทางไงคะ?”
“ไม่เป็นไร ขึ้นมาเถอะหนูปลา”
เจนรบยืนยันคำพูดเดิม จนปวีณาเริ่มลังเลใจ และคิดว่าผู้ชายคนนี้ไว้ใจได้ เพราะเป็นเพื่อนกับคุณพ่อภาคภูมิและคุณแม่ปิยะวรรณ
“ค่ะ ขอบคุณค่ะลุงจอม” สาวน้อยยิ้มหวาน ก่อบรีบเดินตัดหน้ารถของลุงจอมแล้วเปิดประตูเข้าไปนั่งที่เบาะข้างคนขับ “ขอบคุณอีกครั้งนะคะลุงจอม”
“ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ” ลุงจอมเคาะพวงมาลัยรถด้วยปลายนิ้วชี้เป็นจังหวะ ระหว่างรอแลกบัตรกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ป้อมยาม “ฝนตกหนักจริงๆ เลยนะวันนี้”
ดังที่กรมอุตุนิยมวิทยาได้พยากรณ์ไว้ว่าในช่วงนี้ประเทศไทยกำลังได้รับผลกระทบจากพายุ ทำให้เกิดฝนตกหนักในหลายพื้นที่ทั่วภาคกลางและภาคตะวันออก โดยเฉพาะกรุงเทพมหานครที่มีโอกาสเกิดฝนตกสูงถึง 80 เปอร์เซ็นต์
“รถติดอีกต่างหาก เฮ้อ!!!” เจนรบถอนหายใจยาวด้วยความเบื่อหน่าย เพราะการจราจรในตัวเมืองกรุงเทพฯ ในช่วงเวลาเร่งด่วนนั้นหนาแน่นไปด้วยรถยนต์นานาชนิด ประกอบกับสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนักจนทำให้ทัศนวิสัยในการขับขี่แย่ลง แต่จะเรียกว่าเป็นโชคดีก็คงไม่ผิดนัก เพราะรถติดแหงกอยู่แบบนี้ ทำให้ลุงจอมได้มีโอกาสใกล้ชิดกับนางฟ้าตัวน้อยอย่างปวีณามากขึ้นอีกหน่อย
เสียงฝนที่ตกหนักกระทบหลังคารถดังเป็นจังหวะ สลับกับเสียงปัดน้ำฝนที่ทำงานไม่หยุดหย่อน ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศผสมกับกลิ่นฝนและกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ของปวีณาลอยอบอวลอยู่ในรถที่เคลื่อนตัวไปอย่างเชื่องช้า บางขณะบทสนทนาก็ขาดช่วงไป เหลือเพียงความเงียบที่ชวนประหม่า แต่ก็มีความรู้สึกอบอุ่นบางอย่างก่อตัวขึ้นท่ามกลางความอึดอัดนั้น
“เป็นไงบ้าง ชีวิตที่กรุงเทพฯ?” เจนรบเริ่มเปิดประเด็นชวนเด็กสาวคุย ขณะที่รถยนต์ของเขากำลังเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ บนท้องถนนที่แสนจะติดขัดของกรุงเทพมหานคร “ชอบชีวิตที่นี่ไหม?”
“ก็สนุกดีค่ะลุงจอม” ปวีณาตอบด้วยรอยยิ้ม “ห้างสรรพสินค้าเยอะดีค่ะ เวลาว่าง ไม่มีอะไรทำ ปลาก็ไปเดินเล่นตากแอร์ในห้างได้ ของกินก็เยอะแยะไปหมด แต่ปลาไม่ค่อยชอบอยู่สองอย่างค่ะ คือรถติดกับอากาศเป็นพิษ สู้ที่เชียงใหม่ไม่ได้เลยค่ะ อากาศที่นั่นจะสดชื่นกว่าเยอะ”
“ก็แน่ล่ะ ที่นี่คือกรุงเทพฯ” เจนรบยิ้มขำ
“ลุงจอมเป็นคนกรุงเทพฯ เหรอคะ?” สาวน้อยถามคุณลุงใจดีบ้างด้วยความอยากรู้
“ใช่แล้วจ๊ะ เป็นคนกรุงเทพฯ มาตั้งแต่เกิดเลย” เจนรบตอบ “โตที่นี่ เรียนที่นี่ตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนถึงปริญญาโท ตอนเรียนปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยบัณฑิตทวีปัญญาลุงก็เป็นเพื่อนสนิทกับพ่อหนูด้วย คิดว่าไอ้ภาคคงจะเล่าเรื่องของลุงให้หนูฟังบ้างแล้วสินะ”
ไม่น่าเชื่อจริงๆ ว่าวันหนึ่งจะได้มานั่งคุยเรื่องเก่าๆ กับลูกสาวของเปิ้ลในรถส่วนตัวแบบนี้... โชคชะตาเล่นตลก หรือกำลังจะหยิบยื่นโอกาสให้เราแก้ไขอดีตกันแน่... เจนรบลอบถอนหายใจ พยายามปัดความคิดฟุ้งซ่าน
“ก็…ไม่ค่อยได้เล่าอะไรมากนะคะ” ปวีณาสารภาพตามตรง “คุณพ่อบอกแค่ว่าคุณลุงเป็นเพื่อนกับคุณพ่อและคุณแม่ แค่นั้นเองค่ะ”
“เหรอจ๊ะ….” เจนรบพยักหน้ายิ้มอ่อน ในใจก็อดคิดไม่ได้ว่า ‘ไอ้ภาค มึงก็นะ ปิดบังความจริงกับลูกสาวแบบนี้ไม่ดีเลยนะ ทำไมไม่บอกลูกไปวะว่ามึงแย่งเปิ้ลไปจากกู!’
นั่นไง เจนรบด้านมืดเผยโฉมแล้ว พอนึกขึ้นได้สีหน้าที่แผ่รังสีอำมหิตก็คลายลง จนเด็กสาวสังเกตเห็น
“มีอะไรหรือเปล่าคะลุงจอม?” ปวีณาเงยหน้ามองลุงจอมด้วยความสงสัยว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ ทำไมเมื่อครู่ถึงได้ทำหน้าตาเหมือนโกรธใครมาก็ไม่ทราบ
“เปล่าจ๊ะ…” เจนรบยิ้มตอบ ทำหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “สมัยเรียนลุงกับไอ้ภาคน่ะสนิทกันมาก ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด แล้วก็แข่งกันจีบสาวไปเรื่อย” ทนายความหัวเราะ เมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีต “ไอ้ภาคนี่โชคดีมากเลยนะ เพราะเปิ้ล แม่ของหนูน่ะ เป็นผู้หญิงที่ดีมากจริงๆ”
ปวีณามองเสี้ยวหน้าของเจนรบขณะที่เขาพูดถึงพ่อกับแม่ของเธอ ถึงจะดูยิ้ม แต่ในแววตาของลุงจอมทำไมดูเหงาแบบนี้นะ... ผู้ชายที่ยอมเสียสละให้คนอื่นได้ถึงขนาดนี้ ต้องผ่านความเจ็บปวดมามากแค่ไหนกัน* เธอรู้สึกสงสารและชื่นชมเขามากขึ้นไปอีก
“ค่ะ” ปวีณาดึงสติกลับมา “สำหรับปลาแล้ว คุณพ่อกับคุณแม่ดีที่สุดในโลกเลยค่ะ”
“ดีใจแทนไอ้ภาคและเปิ้ล ที่มีลูกสาวน่ารักอย่างหนูเนี่ย” เจนรบกล่าวด้วยความจริงใจ
“ว่าแต่…ลุงจอมคะ” ปวีณาเอ่ยถามด้วยความเกรงใจ
“จ๊ะ?” เจนรบขานรับ
“คือไม่รู้ว่ามันจะวุ่นวายกับเรื่องส่วนตัวของลุงเกินไปหรือเปล่านะคะ ถ้าหนูจะถามแบบนี้ว่า…” ปวีณารู้สึกประหม่าอย่างเห็นได้ชัด “ลุงอยู่คนเดียวแบบนี้ แล้วลุงจอมไม่อยากมีครอบครัวบ้างเหรอคะ?”
“อ้อ!!! เรื่องนั้นน่ะเหรอ?” หนุ่มใหญ่หัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดี ขณะที่กำลังเหยียบคันเร่งให้รถเคลื่อนตัวไปบนท้องถนนที่ยังคงติดขัด “ลุงเอาแต่ทำงานตั้งแต่หนุ่มจนแก่ ก็เลยไม่มีเวลาน่ะสิ”
“แล้วลุงไม่เหงาบ้างเหรอคะ?” น้องปลาถามเพิ่มเติมด้วยความเป็นห่วง “หนูว่าคุณลุงยังดูหนุ่มอยู่เลยนะ เทียบกับคุณพ่อหนูแล้ว คุณพ่อหนูเริ่มหัวเถิกเหมือนที่ลุงเคยแซวจริงๆ ด้วย”
พอได้ยินปวีณาแซวภาคภูมิผู้เป็นพ่อแบบนี้ เจนรบเลยหลุดขำออกมา ทำให้บรรยากาศการสนทนาระหว่างลุงกับหลานคู่นี้ภายในรถดูผ่อนคลายและเป็นกันเองมากขึ้น
“สงสัยผู้ชายที่มีครอบครัวแล้วก็คงจะเป็นแบบนี้มั้ง ปล่อยเนื้อปล่อยตัว ไม่ค่อยดูแลตัวเองแล้ว” เจนรบแซวภาคภูมิเพื่อนรักตัวแสบ “ลุงเองก็อยากจะมีนะ นี่สารภาพตามตรงเลย แต่อย่างที่ลุงบอกไปนั่นแหละ ลุงไม่มีเวลา เอาแต่ทำงาน เพราะลุงยังมีลูกน้องอีกหลายชีวิตที่สำนักงานทนายความที่ต้องรับผิดชอบ แย่เลย!!”
“หนูว่าอย่างคุณลุงหาแฟนได้สบายอยู่แล้วค่ะ” ปวีณาตอบด้วยความมั่นใจ “หนูพูดจริงนะ คุณลุงยังไม่แก่สักหน่อยค่ะ”
“จ้า สมพรปากนะ” เจนรบยิ้มอบอุ่น
แล้วทั้งคู่ก็พูดคุยกันด้วยเรื่องสัพเพเหระไปตลอดทางที่รถติด กว่ารถจะขยับเขยื้อนไปได้แต่ละเมตรนั้นกินเวลานาน แต่ในที่สุด เจนรบก็พาน้องปลามาส่งถึงหน้าสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสโดยสวัสดิภาพ
“ขอบคุณมากนะคะลุงจอม” น้องปลาพนมมือไหว้ด้วยความขอบคุณ ก่อนจะรีบเดินขึ้นบันไดไปยังสถานีรถไฟฟ้า ส่วนเจนรบก็ได้แต่มองตามหลังพร้อมกับยิ้มขำกับท่าวิ่งขึ้นบันไดของน้องปลา
“ยังเด็กอยู่เลยนะน้องปลาเนี่ย” เจนรบส่ายหน้า ก่อนจะเหยียบคันเร่งขับรถกลับบ้านพักเป็นเป้าหมายต่อไป
หลังจากนั้น ทนายเจนรบก็ได้รับการเชิญให้ไปบรรยายในคลาสเรียนกฎหมายของนักศึกษาชั้นปีที่หนึ่งเป็นระยะ ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้เจนรบได้พบเจอกับปวีณาบ่อยครั้งขึ้น และทั้งคู่ก็ได้มีโอกาสพูดคุยกันนอกเวลาเรียนมากขึ้น จนกระทั่งเพื่อนในกลุ่มของน้องปลาเริ่มเกิดความสงสัย
“ปลา ถามจริงๆ เถอะ” เพื่อนสนิทคนหนึ่งของน้องปลาเอ่ยถามด้วยความอยากรู้
“อือ…ใช่” ปวีณาตอบไปตามตรง
“อ้าว…แล้วทำไมไม่บอกพวกเราตั้งแต่แรก พวกเราสงสัยกันตั้งนาน นึกว่าทนายเจนรบกำลังจีบปลาเสียอีก” เพื่อนอีกคนเสริม
“บ้า…นั้นลุงของชั้นนะเว้ย” ปวีณาทำตาโตด้วยความตกใจ “ไม่มีทางหรอก พวกแกก็คิดกันไปเรื่อยเปื่อย บางทีก็เยอะเกินไปนะ”
น้องปลาปฏิเสธเสียงแข็งว่าเธอกับลุงจอมไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรไปมากกว่าคำว่าลุงกับหลาน แต่ความจริงแล้วน้องปลาเองก็แอบยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก เพราะในใจของสาวน้อยก็เริ่มมีใจให้กับลุงจอมไม่น้อยอยู่เหมือนกัน
เพราะครั้งหนึ่ง ระหว่างที่เธอกำลังอัพโหลดรูปลงบนเฟซบุ๊ก สักพักก็มีสัญญาณเตือนว่ามีคนมากดถูกใจ ตอนแรกเธอก็นึกว่าเป็นเพื่อนของเธอเอง จนกระทั่ง…
“ใครกันเนี่ย…” น้องปลาที่ตอนนั้นยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย อดสงสัยไม่ได้ จึงกดเข้าไปดู ปรากฏว่านั่นคือโปรไฟล์ของลุงจอม เพื่อนสนิทของคุณพ่อของเธอนั่นเอง “อ้าว ลุงจอมเหรอ?”
สาวปลาเลยลองเข้าไปส่องดูความเป็นไปบนหน้าเฟซบุ๊กของลุงจอม ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องราวและเกร็ดความรู้เกี่ยวกับกฎหมายเสียเป็นส่วนใหญ่ น้องปลาสังเกตว่าภาพส่วนใหญ่ในเฟซบุ๊กของลุงจอมมักจะเป็นภาพโต๊ะทำงานที่เต็มไปด้วยกองเอกสาร หรือไม่ก็เป็นภาพที่ลุงจอมเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ทั่วกรุงเทพฯ ปริมลฑลและต่างจังหวัด เพื่อช่วยเหลือและว่าความให้กับผู้ยากไร้ที่ถูกบรรดานายทุนเอารัดเอาเปรียบ
มันเป็นความประทับใจของเด็กสาวที่มีต่อหนุ่มใหญ่ ความรู้สึกชื่นชมนั้นเริ่มพัฒนามากขึ้น โดยที่เธอเองก็ไม่ทันได้รู้ตัว พอรู้สึกตัวอีกที น้องปลาก็เริ่มรู้สึกดีกับลุงเจนรบ สุภาพบุรุษทนายความขวัญใจคนยากจน ผู้ซึ่งลุกขึ้นมาต่อสู้กับความไม่ยุติธรรมในสังคม
ความจริงแล้ว ภาคภูมิและปิยะวรรณผู้เป็นแม่ ได้เล่าความจริงเกี่ยวกับลุงเจนรบให้สาวน้อยฟังไว้หมดแล้ว
“รู้ไหมว่าลุงจอมน่ะ เป็นคนดีมากเลยนะลูก” ภาคภูมิเอ่ยปากชมเพื่อนรักต่อหน้าลูกสาวด้วยความชื่นชม
“ยังไงเหรอคะคุณพ่อ?” สาวน้อยทำหน้างุนงงสงสัย
“จะบอกให้นะ แม่ของลูกน่ะเคยเป็นแฟนกับลุงจอมมาก่อน” ภาคภูมิสารภาพความจริงกับลูกสาว “แต่ลุงจอมเขายอมเสียสละความรักของตัวเอง เพื่อให้พ่อกับแม่ได้รักกัน พ่อกับแม่ก็เลยมีลูกที่น่ารักอย่างลูกปลาไงละจ๊ะ”
“เหรอคะ?” ปวีณาเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง พยายามทำความเข้าใจเรื่องราวในอดีตที่ไม่เคยรู้มาก่อน ภาพของคุณลุงใจดีที่เธอเพิ่งได้ใกล้ชิดซ้อนทับกับภาพชายหนุ่มผู้ยอมเสียสละรักแท้เพื่อเพื่อนและคนรัก ความรู้สึกทึ่ง ประทับใจ และสงสาร เกิดขึ้นในใจอย่างซับซ้อน
พอได้รู้เรื่องราวทั้งหมด ความรู้สึกชื่นชมที่เคยมีต่อ 'คุณลุงเพื่อนพ่อ' ก็ยิ่งทวีคูณขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกสงสารและเห็นใจเข้ามาปะปน ท่านเสียสละเพื่อพ่อกับแม่ขนาดนี้เลยเหรอ... ต้องเจ็บปวดแค่ไหนถึงเลือกที่จะอยู่คนเดียวมานานขนาดนี้... ความรู้สึกอยากดูแล อยากใกล้ชิดผู้ชายคนนี้เริ่มก่อตัวขึ้นในใจอย่างเงียบๆ โดยที่เธอเองก็ไม่รู้ตัว
“ลุงจอม...เป็นคนแบบนี้นี่เอง” เธอพึมพำกับตัวเอง
“น้อยๆ หน่อยเถอะยัยตัวดี!!” ภาคภูมิหัวเราะร่วน ในวัยหลักห้าเช่นเดียวกับเจนรบ ภาคภูมิที่เคยหล่อเหลาในวัยหนุ่มก็เริ่มมีร่องรอยของวัย ผมที่เคยดกดำก็เริ่มบางลงไปตามกาลเวลา
ขณะที่เจนรบยังคงดูแลรักษาสุขภาพและรูปร่างของตัวเองเป็นอย่างดี ทำให้ยังดูหนุ่มกว่าวัย
สามพ่อแม่ลูกหัวเราะกันอย่างมีความสุข โดยที่คู่สามีภรรยาไม่มีทางรู้เลยว่า ในใจของลูกสาวคนสวยเริ่มรู้สึกหวั่นไหวกับคุณลุงเจนรบเสียแล้ว
ยิ่งภาคภูมิเล่าให้ฟังเพิ่มเติมว่า เจนรบเลือกครองตนเป็นโสด และอุทิศชีวิตเพื่อช่วยเหลือคนยากจนและผู้ด้อยโอกาส ทำให้เขาได้รับโอกาสให้ไปเป็นแขกรับเชิญในรายการโทรทัศน์ตามช่องต่าง ๆ เพื่อให้คำแนะนำและไขข้อข้องใจเกี่ยวกับข้อกฎหมาย นอกเหนือจากการไปบรรยายตามสถาบันการศึกษาทั้งของรัฐบาลและเอกชนทั่วกรุงเทพมหานคร
ใช่แล้วล่ะ น้องปลาเองก็ประทับใจในความเป็นสุภาพบุรุษและความเด็ดเดี่ยวของลุงจอม เพียงแต่สาวน้อยไม่อาจแสดงความรู้สึกนี้ออกมาได้ ด้วยข้อจำกัดมากมาย ทั้งเรื่องของวัยวุฒิ สถานะทางสังคม และคำครหาจากคนรอบข้าง
สุดท้ายน้องปลาก็เลยทำได้เพียงแค่เก็บความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อลุงจอมเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจตลอดไป และตั้งใจว่าจะไม่มีวันเปิดเผยความรู้สึกนั้นออกมาให้ใครได้รับรู้เป็นอันขาด
“ปลา ไปดูหนังกับพวกเราไหม?” เพื่อนสนิทของปวีณาชวนด้วยความกระตือรือร้น
“วันเสาร์นี้เหรอ? เอ่อ….” ปวีณาแสดงท่าทางลังเลอย่างเห็นได้ชัด “พอดีว่าเราไม่ว่างน่ะอั๋น ขอโทษทีนะ”
เจ้าหนุ่มอั๋น หรือ อนุวัติ คือเพื่อนร่วมคณะของน้องปลา ที่แสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่าเขามีใจให้กับฝ่ายหญิง และเดินหน้าจีบปวีณาอย่างจริงจัง ความจริงแล้วหนุ่มอั๋นเองก็มีหน้าตาหล่อเหลาไม่น้อย ฐานะทางบ้านก็ร่ำรวย ขับรถสปอร์ตหรูนำเข้าจากต่างประเทศมาเรียน เพียงแต่สาวปลากลับไม่รู้สึกชอบหนุ่มอั๋นเลยแม้แต่น้อย
แน่นอนว่าหนุ่มอั๋นไม่ยอมแพ้ เขาพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อเอาชนะใจฝ่ายหญิง ทั้งการเซอร์ไพรส์ในโอกาสพิเศษต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวันวาเลนไทน์ หรือวันคล้ายวันเกิดของฝ่ายหญิง บางครั้งหนุ่มอั๋นก็ส่งจดหมายรักและดอกไม้มาให้เธออย่างสม่ำเสมอ จนกระทั่ง…
“อั๋น…คือเรามีเรื่องอยากจะคุยกับอั๋นแบบตรงไปตรงมาเลยน่ะ” ปวีณาเอ่ยปากกับชายหนุ่มตรงม้านั่งใต้ร่มไม้ใหญ่ในมหาวิทยาลัย
“ว่ามาสิปลา” อนุวัติยิ้มกว้าง ในใจของเด็กหนุ่มวาดฝันไปไกลว่าบางทีฝ่ายหญิงอาจจะเริ่มใจอ่อนให้กับเขาบ้างแล้วก็ได้
“คือเราอยากจะขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่อั๋นทำให้เราเสมอนะ” ปวีณาสารภาพด้วยความรู้สึกผิด “แต่เราจำเป็นต้องบอกอั๋นไปตามตรง ไม่ว่ายังไง เราก็คิดกับอั๋นในฐานะเพื่อนคนหนึ่งเท่านั้น ขอโทษนะอั๋น เราคิดกับอั๋นได้แค่เพื่อนเท่านั้น ให้คิดไปมากกว่านี้เราคงทำไม่ได้”
“ทำไมล่ะปลา? อั๋นไม่ดียังไง? บอกมาสิปลา? อั๋นจะได้ปรับปรุงตัวเองไง!!!” หนุ่มอั๋นที่พอจะคาดเดาคำตอบอันน่าเจ็บปวดได้อยู่แล้ว ได้แต่ตัดพ้อด้วยความเสียใจ เพราะความจริงแล้ว หนุ่มอั๋นมีปมด้อยเกี่ยวกับเรื่องครอบครัวที่แตกแยก ถึงแม้ว่าภายนอกจะดูร่ำรวยเพียบพร้อมเพียงใด แต่กลับไม่เคยได้รับความรักและความอบอุ่นที่แท้จริงจากคนในครอบครัว หนุ่มอั๋นผู้น่าสงสารจึงวาดฝันว่าเขาจะได้รับความรักจากปวีณาเพื่อเติมเต็มช่องว่างที่ขาดหายไปในหัวใจ
“อั๋น ฟังปลานะ อั๋นน่ะดีพร้อมทุกอย่าง แต่บางครั้ง ความรักมันก็ไม่ใช่ผลตอบแทนของความดีนะ เรื่องแบบนี้มันบังคับใจกันไม่ได้จริงๆ ขอโทษนะอั๋น” ปวีณาพยายามอธิบายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ไม่สิปลา!!! ทำไมล่ะ!!! ทำไมถึงรักอั๋นไม่ได้!!” หนุ่มอั๋นเริ่มแสดงท่าทีงี่เง่ามากขึ้น จนสาวปลาต้องรีบถอยห่างออกมา หลังจากวันนั้น ปวีณาพยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับหนุ่มอั๋นที่เริ่มสติแตก เพราะผิดหวังที่ถูกฝ่ายหญิงปฏิเสธความรัก
“ไอ้อั๋นโดดเรียนว่ะคาบนี้ สงสัยเฮิร์ตหนักมากเลย” เพื่อนสนิทคนหนึ่งของปวีณาเอ่ยแซว
“ปลาไม่น่าไปหักอกไอ้อั๋นเลย…สงสารมันว่ะ” เพื่อนอีกคนเสริม
“ก็คนมันไม่ได้รักอ่ะ…จะให้ทำยังไง” ปวีณาตัดพ้อด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจ
“เอาล่ะทุกคน ขอโทษด้วยนะครับ วันนี้ผมมาสายไปหน่อย” เจนรบเดินเข้ามาในห้องเรียนพร้อมกับแฟ้มเอกสารในมือ เพื่อเตรียมตัวสำหรับการบรรยายในคาบเรียนต่อไป
ทุกอย่างดำเนินไปตามปกติ จนกระทั่งหมดเวลาเรียน ในขณะที่ปวีณากำลังเดินออกจากห้องเรียน หนุ่มอั๋นในสภาพที่เมามายไม่ได้สติ เดินตรงเข้ามาหาปวีณาด้วยท่าทีที่น่าตกใจ
“ปลา! ทำไมปลาถึงทำกับเราแบบนี้!” หนุ่มอั๋นตะโกนด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“อะไรเนี่ย!” ปวีณาร้องด้วยความตกใจ “ปล่อยนะอั๋น เราบอกให้ปล่อย!”
“ไม่! เรารักปลา!” อนุวัติชี้หน้าด่ากราดนักศึกษาทุกคนที่ยืนมุงดูเหตุการณ์อยู่ “อย่าเข้ามานะโว้ย นี่มันเรื่องของคนที่เป็นแฟนกัน!”
“จะบ้าเหรอ! ปล่อย!” ปวีณาถึงกับตกใจสุดขีด เมื่อหนุ่มอั๋นก็มากล่าวอ้างสถานะว่าเป็นแฟนกันโดยไม่เคยมีการพูดคุยหรือตกลงกันมาก่อน “เราไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย!! ปล่อยมือเรานะ นี่อั๋นไปดื่มเหล้ามาเหรอ? กลิ่นแรงเชียว! ปล่อย!”
ทีนี้เมื่อสถานการณ์เริ่มวุ่นวายมากขึ้น ทนายเจนรบที่ยังอยู่ในห้องเรียนรีบวิ่งออกมาดูเหตุการณ์ เมื่อเห็นน้องปลากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง หนุ่มใหญ่จึงรีบแหวกฝูงชนเข้าไปเพื่อเจรจาต่อรองกับหนุ่มอั๋นที่อยู่ในอาการมึนเมาเพราะพิษรักเล่นงาน
“ไอ้หนุ่ม! จะทำอะไรน่ะ! ปล่อยมือน้องเขาเดี๋ยวนี้!” หัวใจของเจนรบกระตุกวูบเมื่อเห็นแววตาตื่นกลัวของปวีณาและท่าทางคุกคามของเด็กหนุ่มคนนั้น ความโกรธพุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนลืมสถานะอาจารย์พิเศษไปชั่วขณะ
ไอ้เด็กเวรนี่! กล้าดียังไงมาทำแบบนี้กับปลา! ทนายเจนรบชี้หน้าหนุ่มอั๋นที่อยู่ในอาการเมามายไม่ได้สติด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
“ลุงจอม! ช่วยหนูด้วยค่ะ!” วินาทีที่เห็นร่างสูงสง่าของเจนรบแหวกฝูงชนเข้ามา ความกลัวที่เกาะกุมหัวใจอยู่ก็คลายลงไปเปลาะหนึ่ง เหมือนเห็นที่พึ่งสุดท้าย ความรู้สึกปลอดภัยอย่างประหลาดเมื่ออยู่ใกล้เขากลับมาอีกครั้ง เธอเชื่อมั่นว่าลุงจอมจะปกป้องเธอได้
ปวีณาร้องเรียกชื่อทนายความด้วยความหวาดกลัว ทำให้บรรดานักศึกษาหนุ่มสาวที่ยืนมุงดูเหตุการณ์ต่างหันมามองหน้ากันด้วยความงุนงง
“สองคนนี้เขารู้จักกันด้วยเหรอเนี่ย?” นักศึกษาคนหนึ่งกระซิบถามเพื่อน
“ไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะเนี่ย…” อีกคนเสริม
“นี่ไม่ใช่ว่าทนายเจนรบกับยัยปลาจะเป็น….” นักศึกษาหญิงคนหนึ่งทำท่าทางล้อเลียน เหมือนคิดดีไม่ได้เลย เพราะแอบสังเกตเห็นสายตาของลูกปลาที่มองทนายเจนรบมันลึกซึ้งเกินไป
“อย่ามายุ่งเรื่องของพวกเรา!! คุณไม่เกี่ยว ไปให้พ้น!” หนุ่มอั๋นหน้าตาถมึงทึง ดวงตาแดงก่ำเพราะฤทธิ์สุราและพิษรักที่ไม่สมหวัง “ผมกับปลารักกัน ใครก็อย่าเข้ามายุ่ง!”
ว่าแล้วหนุ่มอั๋นก็ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าสะพาย นักศึกษาทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างร้องตกใจด้วยความหวาดกลัว เพราะสิ่งที่หนุ่มอั๋นหยิบขึ้นมาก็คือปืนพกขนาด 9 มม. ที่แอบหยิบมาจากบ้าน
“ตายแล้วไอ้หนุ่ม! นี่คิดว่ากำลังทำอะไรอยู่!” ทนายความเจนรบพยายามเกลี้ยกล่อมเด็กหนุ่มด้วยน้ำเสียงใจเย็น “ใจเย็นก่อนนะพ่อหนุ่ม คุยกันดีๆ ก็ได้ อย่าใช้ปืนเลยนะ”
“ไม่! ผมไม่คุยกับใครทั้งนั้น!” อนุวัติเล็งปืนชี้ไปที่ฝูงชนที่กำลังแตกตื่น “อย่ามายุ่งเรื่องของผมกับปลา ไปให้พ้น!”
“ช่วยด้วยค่ะลุงจอม! ช่วยปลาด้วย!” น้องปลาที่อยู่ในอ้อมกอดของหนุ่มที่กำลังคลุ้มคลั่งเริ่มหน้าซีดเผือด สาวน้อยร้องขอความช่วยเหลือจากเทพบุตรสูงวัยอย่างเจนรบด้วยความหวาดหวั่น
สถานการณ์บีบบังคับแบบนี้ จะหาวิธีช่วยลูกสาวเพื่อนอย่างน้องปลายังไงดีเนี่ย คุณทนายเจนรบ คิดสิคิด มันต้องมีทางออกบ้างสิ!
เวลาผ่านไปอีกราวสองปี น้องอุ้มบุญ กันยกร ในวัยสามขวบ กำลังอยู่ในช่วงวัยแห่งการเรียนรู้และพลังงานอันล้นเหลือ บ้านหลังใหญ่ของเจนรบและปวีณาที่เคยมีแต่ความสงบ (หรือความหวานชื่นของคู่รัก) บัดนี้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ เสียงร้องไห้ เสียงเรียก “พ่อจ๋า” “แม่จ๋า” และเสียงวิ่งตึงตังของเจ้าตัวเล็กที่พร้อมจะสำรวจโลกกว้างตลอดเวลาเช้าวันเสาร์ เจนรบในวัยใกล้จะเกษียณอายุราชการ ถ้าหากเขารับราชการ แต่ในความเป็นจริงคือทนายความอาวุโสชื่อดังวัย 56 ปี ตื่นขึ้นมาด้วยเสียงเล็กๆ ที่ดังอยู่ข้างเตียง“พ่อจ๋า...ตื่น...เล่น...” น้องอุ้มบุญในชุดนอนลายการ์ตูน กำลังใช้มือป้อมๆ เขย่าแขนพ่อปลุก ดวงตากลมใสแป๋วแหววไร้เดียงสา“อุ้มบุญเหรอลูก?” เจนรบลืมตาขึ้น ปากก็ยิ้มรับลูกสาว แต่ร่างกายกลับประท้วงเบาๆ ด้วยความปวดเมื่อยหลังจากโหมงานเอกสารและเตรียมตัวสำหรับรายการทีวีมาทั้งสัปดาห์ “จ๊ะลูก...พ่อตื่นแล้ว...แต่อุ้มบุญให้พ่อพักอีกแป๊บได้ไหมจ๊ะ?”“ม่ายอาววว...เล่นเยย...” เด็กน้อยไม่ยอมง่ายๆ เริ่มปีนขึ้นมาบนเตียง ทิ้งตัวลงบนอกพ่ออย่างแรง“โอ๊ย!! จุกนะลูก!!” เจนรบร้องเบาๆ แต่ก็อดหัวเราะไม่ได้ คว้าตัวลูกสาวมากอดฟัด จั๊กจี้จนเสียงห
เวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผ่านไปอย่างรวดเร็ว เผลอเพียงชั่วพริบตาเดียว นางฟ้าตัวน้อยของบ้านทนายเจนรบและปวีณา—เด็กหญิงกันยกร หรือน้องอุ้มบุญ—ก็อายุครบหนึ่งขวบพอดิบพอดี จากทารกน้อยที่นอนร้องไห้จ้าอยู่ในอ้อมแขน วันนี้กลายเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่เริ่มตั้งไข่ หัดเดินเตาะแตะ และส่งเสียงอ้อแอ้เรียก “ป้อ” “แม่” ได้เป็นคำๆ สร้างความสุขและความมีชีวิตชีวาให้กับบ้านหลังใหญ่ที่เคยเงียบเหงาได้อย่างน่าอัศจรรย์“ป้อ!! ป้อ!! แม่!!”“น่ารักน่าชังจริง ๆ ลูกพ่อ!!”“หนึ่งขวบแล้วน๊า น้องอุ้มบุญ!!”เช้าวันเกิดขวบปีแรกของน้องอุ้มบุญอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของแพนเค้กฟักทองเนื้อนุ่มที่ปวีณาตั้งใจทำให้ลูกสาวเป็นมื้อพิเศษ เจนรบนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร สายตาจับจ้องมองสองแม่ลูกด้วยแววตาที่เปี่ยมสุข หนึ่งปีที่ผ่านมา เขาแทบไม่เชื่อว่าชีวิตของตัวเองจะเปลี่ยนแปลงไปได้มากขนาดนี้ จากทนายความผู้เคยใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว มีแต่งานเป็นเพื่อน ตอนนี้เขากลายเป็น “พ่อ” เต็มตัว เป็นสามีของหญิงสาวที่เขารักสุดหัวใจ และเป็นโลกทั้งใบของเด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังใช้มือเล็กๆ พยายามหยิบแพนเค้กเข้าปากอย่างเงอะงะ“ค่อย ๆ ซิจ๊ะลูกแม่ เลอะหมดแล้วเห็นไหม” ปวี
พาดหัวข่าวตัวไม้บนหน้าหนังสือพิมพ์บันเทิงหลายฉบับ และฟีดข่าวที่ร้อนแรงในโลกโซเชียลมีเดีย ต่างประโคมข่าว ‘วิวาห์หวานชื่น…ทนายดังต่างวัยคว้าลูกสาวเพื่อนสนิทเข้าประตูวิวาห์’ ภาพของเจนรบ ทนายความชื่อดังขวัญใจคนยากจน วัย 54 ปี ในชุดสูทสีขาวสะอาดตา ยืนเคียงข้าง ปวีณา เจ้าสาวแสนสวยวัย 22 ปี ทายาทคนเล็กของนักธุรกิจรีสอร์ตหรูแห่งเชียงเหนือ ในชุดไทยล้านนาประยุกต์อันงดงาม กลายเป็นประเด็นทอล์คออฟเดอะทาวน์เพียงชั่วข้ามคืนคอมเมนต์หลั่งไหลเข้ามามากมายราวกับสายน้ำหลาก บ้างแสดงความยินดี บ้างตั้งคำถามถึงความเหมาะสม บ้างก็อดอิจฉาเจ้าบ่าวสูงวัยที่ได้ภรรยาสาวสวยราวกับนางฟ้ามาครองไม่ได้“อิจฉาคนแก่ว่ะ! มีดีอะไร สาวสวยถึงได้ยอมแต่งด้วย?”“สายเปย์รึเปล่า? แต่บ้านฝ่ายหญิงก็รวยนะ”“ไม่แน่...ฝ่ายชายอาจจะเกาะฝ่ายหญิงก็ได้ ใครจะรู้”“หรือว่าเขารักกันจริงๆ ความรักมันไม่เกี่ยวกับอายุหรอกน่า อย่าคิดอกุศลเลย”เจนรบและปวีณาเตรียมใจรับมือกับกระแสสังคมเหล่านี้ไว้แล้ว ทั้งคู่เลือกให้สัมภาษณ์กับสื่อเพียงไม่กี่แห่งเท่าที่จำเป็น โดยเน้นย้ำถึงความรักความเข้าใจที่ทั้งสองมีให้กัน และการยอมรับจากครอบครัวทั้งสองฝ่าย พวกเขาไม่ได
“ทำไมหนูไม่บอกพ่อกับแม่ล่ะว่าจะทำงานอยู่กรุงเทพ?” เจนรบเอ่ยปากถามปวีณา“หนูบอกแล้ว แต่พ่อกับแม่ไม่ยอม” ปวีณาตอบ “ลุงจะให้หนูทำยังไงละคะ?”ปวีณาบอกกับเจนรบว่าหลังจากเรียนจบปริญญาตรีแล้ว ภาคภูมิและปิยะวรรณเรียกเธอกลับไป ช่วยงานธุรกิจรีสอร์ตทางบ้านที่เชียงใหม่ระหว่างรอรับปริญญาตรีและไปเรียนต่อปริญญาโทที่ อเมริกา เจนรบเริ่มรู้สึกว่ามันคือแผนการที่เพื่อนรักทั้งสองคิดเอาไว้ คือไม่ปฏิเสธ การคบหากันของเจนรบและปวีณา แต่จะใช้วิธีแยกให้คนทั้งคู่ห่างกันไปเรื่อยๆ จนท้ายที่สุดเจนรบและปวีณาก็ห่างจนต่อกันไม่ติดในวันสุดท้ายก่อนออกเดินทาง ภาคภูมิส่งคนมาช่วยขนของกลับบ้านที่เชียงใหม่ และไม่เปิดโอกาสให้ปวีณาได้ร่ำลาเจนรบ ทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว ช่วงเวลาที่แสนหวานของเจนรบและปวีณากำลังจะจบลง แต่โชคยังดีที่มีสื่อโซเชียล เลยทำให้เจนรบและปวีณาได้พูดคุยกันผ่านทางไลน์ เด็กสาวบอกกับเจนรบว่าพ่อกับแม่ต้องการให้เธอไปช่วยงานธุรกิจที่บ้านระหว่างรอรับปริญญา“ลุงจอม…” ปวีณาไลน์คุยกับเจนรบ “หนูว่าพ่อกับแม่กำลังพยายามกีดกันหนูจากลุง”“ไม่ต้องกลัวนะปลา” เจนรบไลน์ตอบ “ลุงจะขึ้นไปเชียงใหม่อีกครั้ง ไปคุยกับไอ้ภาคและเปิ้ล ลุง
ตอนนี้ปวีณากำลังศึกษาอยู่ในคณะนิเทศศาสตร์ สาขาการประชาสัมพันธ์ในชั้นปีที่สี่ อีกแค่เพียงปีเดียวเท่านั้น สาวน้อยก็จะเรียนจบในระดับชั้นปริญญาตรี และเตรียมพร้อมสู่การเดินทางไปศึกษาต่อในระดับปริญญาโทที่สหรัฐอเมริกาภาคภูมิและปิยะวรรณตัดสินใจครั้งสำคัญด้วยการยอมเปิดทางให้เจนรบและปวีณาได้คบหากัน พอได้รับไฟเขียวจากเพื่อนรักและอดีตแฟนเก่าเช่นนั้น เจนรบก็รับปากว่าจะขอดูแลลูกปลาเป็นอย่างดี และจะรอคอยจนกว่าเธอจะเรียนจบปริญญาโท เมื่อถึงตอนนั้น คู่สามีภรรยาทั้งสองถึงจะยินยอมให้เจนรบและปวีณาได้ครองคู่กันฟังดูความรักระหว่างเจนรบและปวีณากำลังไปได้สวย แต่ว่าด้วยระยะทางและภาระหน้าที่ของแต่ละคน เจนรบวุ่นวายกับการเดินทางไปถ่ายทำรายการกฎหมายน่ารู้ทางโทรทัศน์ และล่าสุดเจนรบได้เปิดช่องยูทูบเพื่อทำเรื่องราวเกี่ยวกับกฎหมายเพื่อให้ความรู้ผู้คนทั่วไปเพื่อหารายได้เสริม ส่วนหนังสือกฎหมายที่เพิ่งตีพิมพ์ ก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากคนอ่าน ด้วยภาษาเขียนที่อ่านแล้วเข้าใจง่าย ก็เลยทำให้หนังสือกฎหมายของเจนรบได้รับการตีพิมพ์เป็นครั้งที่สองและสามตามลำดับฝ่ายเจนรบเอง ก็ครุ่นคิดว่าช่วงนี้แทบไม่ได้เจอปลาเลย งานของเขาก็ยุ่ง ส
หลังจากสอบเสร็จปลายภาคในช่วงชั้นปีที่สาม เจนรบตัดสินใจแล้วว่าเขาจะไม่รอให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์อีกต่อไป หนุ่มใหญ่ตัดสินใจเดินทางจากกรุงเทพมหานครมุ่งตรงสู่เชียงใหม่ เพื่อพูดคุยกับเพื่อนรักทั้งสองอย่างตรงไปตรงมาเสียที“ลุงจอม? ไหนลุงว่าจะรอให้หนูเรียนจบปริญญาตรีก่อนไง?” ปวีณาที่กลับเชียงใหม่ไปก่อนแล้วถึงกับตกใจ เมื่อทราบข่าวว่าลุงจอมตัดสินใจจะเดินทางตามมาด้วยเพื่อพูดคุยกับภาคภูมิและปิยะวรรณถึงเรื่องขอหมั้นหมายกับเธอก่อน “ถ้าพ่อกับแม่หนูรู้ หนูตายแน่!!”“ไม่ต้องกลัวหรอก ลุงคิดว่าไอ้ภาคกับเปิ้ลน่าจะมีเหตุผลพอ” เจนรบตอบ ขณะกำลังเตรียมขึ้นเครื่องบินที่สนามบินดอนเมือง “แค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวลุงต้องขึ้นเครื่องก่อน แล้วเจอกันที่เชียงใหม่นะคนดีของลุง”สุดท้ายปวีณาก็ไม่อาจทัดทานความต้องการของเจนรบได้ สาวน้อยเลยเอาเรื่องนี้ไปคุยกับปิยะวรรณผู้เป็นแม่ ที่รับรู้ทุกอย่างและมีเหตุผลมากพอที่จะรับฟังเธอ“มีอะไรเหรอจ๊ะปลา?” ปิยะวรรณที่กำลังง่วนอยู่กับการตรวจเอกสารในห้องทำงานของตัวเองเอ่ยปากถามลูกสาว“เอ่อ…หนูมีเรื่องสำคัญจะมาบอกแม่ค่ะ” ปวีณาเดินเข้ามาด้วยท่าทีอ้อยอิ่ง ก่อนทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะ