Home / โรแมนติก / ปวีญา...ฉันรักเธอ / ตอนที่ 3 : ห้ามใจไม่ไหว

Share

ตอนที่ 3 : ห้ามใจไม่ไหว

Author: NATO87
last update Last Updated: 2025-05-30 23:35:30

“ไอ้หนุ่ม ใจเย็นก่อน!” เจนรบพยายามเกลี้ยกล่อมอนุวัติที่กำลังคลุ้มคลั่งด้วยความเมตตา ไม่อยากให้เจ้าหนุ่มคนนี้ทำลายอนาคตตัวเองไปมากกว่านี้ “พกปืนในที่สาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร มันผิดกฎหมายนะ”

“ผมไม่สน! อย่าเข้ามา!” หนุ่มอั๋นเล็งปืนมาที่ทนายเจนรบด้วยดวงตาแดงก่ำ “ผมบอกว่าอย่าเข้ามา!”

“ช่วยด้วย ฮือๆ! ลุงจอม! ช่วยปลาด้วยค่ะ!” ปวีณาร้องไห้สะอื้นอยู่ในอ้อมกอดของอั๋นด้วยความหวาดกลัว

“ไอ้อั๋น ใจเย็น ก่อนซิวะ วางปืนลง มึงอย่าทำแบบนี้เลย!” เพื่อนฝูงของอนุวัติที่ยืนมุงดูเหตุการณ์ต่างพากันออกโรงเตือนสติเพื่อนด้วยความเป็นห่วง

“ไอ้หนุ่ม! วางปืนลงก่อน” ทนายเจนรบยังคงพยายามเกลี้ยกล่อมด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแต่แฝงไปด้วยความเมตตา “มีอะไรค่อยพูดค่อยจากันก็ได้นะ โอ้ย!”

“ไอ้อั๋น!” เพื่อนของอั๋นคนหนึ่งร้องเสียงหลงเมื่อเห็นเหตุการณ์ไม่คาดฝัน

ความจริงแล้วปืนที่หนุ่มอั๋นพกมาไม่ใช่ปืนจริง แต่เป็นเพียงปืนบีบีกันเท่านั้น พอเห็นว่าสถานการณ์เริ่มบานปลายจนเพื่อนๆ เข้ามาห้ามปราม อนุวัติก็ตัดสินใจยิงปืนบีบีกันใส่ทนายเจนรบก่อนจะรีบวิ่งหนีออกไปทางบันไดหนีไฟอย่างรวดเร็ว

“อูยยย! ไอ้เด็กบ้า!” เจนรบร้องออกมาด้วยความตกใจพร้อมกับกุมมือตรงแผงหน้าอกข้างซ้ายที่โดนลูกกระสุนพลาสติกจากปืนบีบีกันยิงใส่จนรู้สึกเจ็บแปลบและเริ่มมีรอยแดงช้ำ พลางนึกโล่งอกเพราะคิดว่าเป็นปืนจริง

“ลุงจอม! ไม่เป็นอะไรมากใช่ไหมคะ?” ปวีณารีบผละจากอ้อมกอดของอั๋นแล้วตรงเข้าไปถามไถ่อาการของเจนรบด้วยความเป็นห่วง

“ลุงไม่เป็นไร โชคดีที่แรงอัดของปืนไม่แรงเท่าไหร่” เจนรบฝืนยิ้มเพื่อให้น้องปลาคลายความกังวล “หนูปลาไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”

“ดูซิ…สองคนนี้ยังไงกันนะ” เสียงซุบซิบจากกลุ่มนักศึกษาที่ยังคงยืนมุงดูเหตุการณ์ดังขึ้นแว่วๆ

“แกคิดเหมือนที่ชั้นคิดหรือเปล่า?” เพื่อนคนหนึ่งกระซิบกับอีกคน

“ทนายเจนรบกับปลา ตกลงเป็นอะไรกันแน่เนี่ย?” อีกคนเสริมด้วยความสงสัย

“นี่!! พวกเธอคิดอะไรกันอยู่!” ปวีณารู้สึกร้อนรุ่มที่เพื่อนๆ กำลังจับกลุ่มนินทาเธอกับเจนรบ “เราไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเธอคิดสักหน่อย นี่ลุงเจนรบ เพื่อนสนิทของคุณพ่อเราเอง จำไว้ด้วย!” เธอเน้นเสียงหนักแน่นเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ใจ

“โอเค ไม่เป็นไรแล้วทุกคน แยกย้ายกันได้แล้ว” เจนรบรีบตัดบทเพื่อไม่ให้เรื่องราวบานปลายไปมากกว่านี้ มือของเขายังคงกุมอยู่ที่หน้าอกเพราะยังรู้สึกเจ็บอยู่ แต่ก็ไม่ได้มากอะไร “ลุงไม่เป็นไรแล้วน้องปลา ปลากลับไปเรียนต่อเถอะ”

นักศึกษาชายหญิงที่มุงดูอยู่ตรงนั้นเริ่มหันหลังเดินจากไป เหลือเพียงทนายเจนรบและปวีณา ที่เหมือนยังมีเรื่องต้องคุยกันต่อ

“มายืนมองลุงทำไมเหรอ?” หนุ่มใหญ่เอ่ยปากถามด้วยความสงสัย

“วันนี้หนูหมดคาบเรียนแล้วค่ะลุงจอม” สาวน้อยคลี่ยิ้มหวานให้เขาอย่างขอบคุณ

“งั้นเหรอ? อืม….” เจนรบยังคงกุมมือตรงหน้าอก “ถ้างั้นก็รีบกลับหอพักไปพักผ่อนเถอะ”

“แต่หนูว่าลุงไปห้องพยาบาลก่อนดีไหมคะ?” ปวีณาออกความเห็นด้วยความเป็นห่วงอย่างจริงจัง “นะคะลุงจอม ไปให้คุณหมอดูอาการสักหน่อยดีกว่า จะได้สบายใจนะคะ”

สุดท้ายเจนรบก็ทนต่อคำคะยั้นคะยอของปวีณาไม่ไหว จึงตัดสินใจเดินตามเด็กสาวไปยังห้องพยาบาลของมหาวิทยาลัยเพื่อตรวจดูอาการเสียหน่อย โชคดีที่ปืนบีบีกันของอนุวัติมีแรงอัดไม่มากนัก ทำให้เจนรบไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากไปกว่ารอยฟกช้ำเล็กน้อยบริเวณหน้าอก

หลังจากทำแผลและตรวจอาการที่ห้องพยาบาลเสร็จเรียบร้อย เจนรบสังเกตเห็นว่าปวีณายังคงมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก อาจจะยังตกใจกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น เขาเองก็รู้สึกว่าควรจะพูดคุยเพื่อปลอบขวัญและทำความเข้าใจสถานการณ์ให้มากขึ้น

“ปลา...ยังตกใจอยู่มากไหม?” เจนรบถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ลุงว่าเราไปหาที่นั่งคุยกันเงียบๆ สักหน่อยดีกว่าไหม อาจจะแค่ดื่มกาแฟหรือน้ำผลไม้เย็นๆ ให้ใจเย็นลง ลุงเป็นห่วงเรานะ”

ปวีณามองหน้าเจนรบ เห็นรอยช้ำเป็นจุดบนหน้าอกก็ยิ่งรู้สึกผิดและเป็นห่วง “หนูไม่เป็นไรค่ะ แต่หนูเป็นห่วงลุงมากกว่า”

“ลุงไม่เป็นไรแล้ว แค่นิดเดียวเอง” เจนรบพยายามยิ้มให้เธอมั่นใจ “แต่ลุงว่าเราทั้งคู่ต้องการเวลาตั้งสติสักหน่อย ไปเถอะ ไปหาที่คุยกันนะหนูปลา”

เจนรบพาปวีณาเดินออกจากมหาวิทยาลัยไปยังซุ้มร้านกาแฟ บรรยากาศเงียบสงบที่อยู่ไม่ไกลนัก ทั้งคู่นั่งลงที่โต๊ะมุมหนึ่ง เจนรบสั่งกาแฟเย็น ส่วนปวีณาสั่งช็อกโกแลตเย็น

“รู้สึกดีขึ้นหรือยังปลา?” เจนรบถามขึ้นหลังจากที่ต่างคนต่างจิบเครื่องดื่มไปได้ครู่หนึ่ง สายตายังคงมองสำรวจเด็กสาวด้วยความเป็นห่วง “เหตุการณ์เมื่อกี้ ลุงต้องขอโทษด้วยนะที่ทำให้เราต้องมาเจอเรื่องแบบนี้”

“ไม่ใช่ความผิดของลุงค่ะ” ปวีณาส่ายหน้า แม้แววตายังฉายความกังวล “หนูต่างหากที่ต้องขอโทษที่ทำให้ลุงเดือดร้อน...แล้วแผลที่อกลุง เจ็บมากไหมคะ?” เธอมองไปยังรอยช้ำ ที่เห็นผ่านคอเสื้อเชิ้ตของเขา

“นิดหน่อยเอง ไม่เป็นไรหรอก” เจนรบยิ้มละมุน ยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ “เรื่องของหมอนั่น...อั๋นใช่ไหม? เขาคงไม่กล้ามารบกวนปลาอีกแล้วล่ะ แต่ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากล ต้องรีบบอกลุงนะ เข้าใจไหม?”

“ค่ะ” ปวีณาพยักหน้ารับรู้ จิบช็อกโกแลตเย็นไปอีกอึกใหญ่ พอเริ่มรู้สึกผ่อนคลายจากการพูดคุย ความหิวจากความเครียดและความเหนื่อยล้าที่สะสมมาทั้งวันก็เริ่มเข้ามาแทนที่ “คุยกันแบบนี้แล้วค่อยสบายใจขึ้นหน่อยค่ะ...เอ่อ...ว่าแต่...ตอนนี้หนูเริ่มรู้สึกหิวขึ้นมาแล้วสิคะ” เธอพูดพลางลูบท้องตัวเองพลางยิ้มเขิน

เจนรบเห็นท่าทางนั้นก็อดเอ็นดูไม่ได้ ประกอบกับเขาเองก็ยังไม่ได้ทานอะไรจริงจังมาตั้งแต่เช้าเช่นกัน

“งั้นเหรอ? ลุงก็หิวเหมือนกันนะ บรรยายตั้งแต่เช้าจนถึงบ่ายยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย” เขานึกถึงร้านบาร์บีคิวบุฟเฟต์ที่เพิ่งเปิดใหม่บนห้างสรรพสินค้าดังย่านนี้ ที่เขาเคยเห็นผ่านตา “ไปหาอะไรอร่อยๆ กินแบบจริงจัง เอาให้อยู่ท้องเลยดีไหม? ถือว่าปลอบขวัญจากเรื่องเมื่อกี้ด้วย ไปกินบาร์บีคิวกัน ลุงเลี้ยงเอง”

พอได้ยินว่าจะได้ทานของอร่อย ปวีณาก็ตาโตขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังนึกถึงความเกรงใจ

“ลุงจอม ทานร้านธรรมดาก็ได้นะคะ หนูเกรงใจค่ะ” ปวีณารู้สึกเกรงใจที่เจนรบเลี้ยงดูเธออย่างดี

“ไม่เป็นไร!! ไม่ต้องคิดมากหรอกจ๊ะน้องปลา” เจนรบยิ้มอย่างอบอุ่น “พอดีลุงหิวมาก บรรยาย ตั้งแต่เช้าจนถึงบ่ายยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย มาเถอะ มากินให้อร่อย ไม่ต้องเกรงใจ”

สาวน้อยยังคงรู้สึกเกรงใจหนุ่มใหญ่อยู่บ้าง แต่ก็ไม่อาจทัดทานความใจดีของเขาได้ จึงปล่อยเลยตามเลย จากนั้นลุงกับหลานก็สั่งอาหารมานั่งปิ้งย่างบนเตาร้อนๆ อย่างเอร็ดอร่อย

เจนรบมองปวีณาที่กำลังเพลิดเพลินกับการทานหมูย่างบาร์บีคิวด้วยความเอ็นดู มือของเขาพลางคีบตะเกียบหมุนเล่นไปมาอย่างสบายอารมณ์ น้องปลาดูเป็นเด็กสาวร่างเล็กน่าทะนุถนอม แต่กลับทานอาหารได้มากกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก

เจนรบมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน ไม่ใช่แค่ความเอ็นดูแบบลุงมองหลาน แต่เป็นความรู้สึก...อยากครอบครอง อยากปกป้องดูแล อยากเห็นรอยยิ้มนี้ทุกวัน นี่เราเป็นบ้าอะไรไปแล้ววะเนี่ย...

“มีอะไรเหรอคะลุงจอม?” นักศึกษาสาวคณะนิเทศศาสตร์เงยหน้าถามพร้อมกับใช้มือป้องปากขณะกำลังเคี้ยวอาหารอย่างเอร็ดอร่อย

“หนูกินเก่งเหมือนแม่หนูเลยนะ” เจนรบอดแซวไม่ได้เมื่อเห็นท่าทางน่ารักของเธอ

“ลุงก็ แซวหนูซะเขินเลย!” น้องปลาทำแก้มป่องเล็กน้อยพร้อมกับค้อนขวับให้ลุงจอมอย่างน่าเอ็นดู

“ใจเย็น! ลุงแค่แซวเล่น กินไปเถอะ ไม่ต้องเกรงใจ” เจนรบโบกมือไปมากลางอากาศอย่างขำขัน “ถ้าไม่อิ่มจะสั่งอะไรมาทานเพิ่มอีกก็ได้นะ”

“ไม่ไหวแล้วค่ะลุงจอม” ปวีณารีบเอามือป้องปากขณะกำลังหัวเราะออกมา “แค่นี้ก็เต็มโต๊ะไปหมดแล้ว หนูกินไม่หมดหรอกค่ะลุง”

เจนรบส่งยิ้มหวานให้ปวีณาอย่างอ่อนโยน พลางหวนนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตสมัยที่เขายังเป็นนักศึกษาหนุ่ม ตอนนั้นเขาเพิ่งเริ่มต้นความสัมพันธ์กับปิยะวรรณ และพาเธอไปแนะนำให้เพื่อนและรุ่นพี่ในคณะนิติศาสตร์รู้จัก หนึ่งในนั้นก็คือภาคภูมิ เพื่อนสนิทของเขาที่ภายหลังได้เข้ามาในชีวิตรักของเขาและปิยะวรรณ

“ทุกคน นี่เปิ้ล แฟนเราเอง” หนุ่มจอมในวัยคะนองแนะนำแฟนสาวสวยดาวคณะอักษรศาสตร์อย่าง ปิยะวรรณ ให้เพื่อนทุกคนรู้จักในงานเลี้ยงส่งรุ่นพี่คณะนิติศาสตร์ที่กำลังจะเรียนจบ ท่ามกลางเสียงโห่แซวและปรบมือยินดีจากบรรดาเพื่อนพ้องน้องพี่นักศึกษา

“สวัสดีค่ะทุกคน หนูชื่อเปิ้ล ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ” ปิยะวรรณยิ้มหวานพร้อมกับพนมมือไหว้รุ่นพี่คณะนิติศาสตร์ตามมารยาท

“เชิญนั่งเลยครับน้องเปิ้ล ไม่ต้องเกรงใจพวกเราหรอกนะ พวกเราก็เฮฮาบ้าบอตามประสาผู้ชายนี่แหละ” รุ่นพี่คนหนึ่งกล่าวต้อนรับอย่างเป็นกันเอง

“ขอบคุณครับพี่” หนุ่มจอมยิ้มเขินเล็กน้อยพร้อมกับมองหน้าแฟนสาวด้วยความภาคภูมิใจ ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดเครื่องดื่มน้ำอัดลมให้คนรักที่นั่งอยู่เคียงข้าง ส่วนเพื่อนคนอื่น ต่างก็ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กันอย่างสนุกสนาน

“ไอ้ภาค มึงเล่นกีตาร์เป็น เล่นสักเพลงให้พวกพี่ฟังหน่อยเด๊ะ! เร็ว!” รุ่นพี่คนหนึ่งที่เริ่มมีอาการมึนเมาจากการดื่มสุราออกคำสั่ง

“เอาจริงเหรอพี่?” ภาคภูมิ หนุ่มนักกีฬาจากคณะนิติศาสตร์ เพื่อนสนิทของเจนรบที่นั่งร่วมโต๊ะกันหันมาถามเพื่อความแน่ใจ

“เออดิครับ รุ่นพี่มึงสั่งก็ต้องทำตามดิวะ!” รุ่นพี่คนเดิมหน้าแดงก่ำ “ขอโดนๆ ขอเพลงโดนๆ ด่วน!!”

ภาคภูมิ หนุ่มหล่อของคณะนิติศาสตร์ลุกขึ้นไปหยิบกีตาร์โปร่งที่วางอยู่บนโต๊ะมาเตรียมเล่นและร้อง ท่ามกลางเสียงโห่ฮาและเสียงเชียร์ของเพื่อนพ้องน้องพี่คณะนิติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยบัณฑิตทวีปัญญา

“เร็วดิวะไอ้ภาค!! อารมณ์กำลังมา!!” เพื่อนคนหนึ่งตะโกนเร่งเร้า

“…ไปตามทางที่เธอย่อมรู้ดี ใครคนที่ถูกใจเธอหลายอย่าง ใครจะเหมาะสมควรคู่พอ รวมเป็นชีวิตใหม่ ก็ขอให้เป็นตัวจริง เธอรู้ดี ใครคนที่ถูกใจเธอหลายอย่าง ใครจะเหมาะสมควรคู่พอ รวมเป็นชีวิตใหม่ ก็ขอให้เป็นตัวจริง”

หนุ่มภาคโชว์พลังเสียงและทักษะการเล่นกีตาร์ท่ามกลางวงเหล้าในงานเลี้ยง ท่ามกลางเสียงเคาะแก้วและโต๊ะของรุ่นพี่ที่เริ่มเมามาย

“มันโจ๊ะตรงไหนวะ?” รุ่นพี่คนหนึ่งถึงกับส่ายหน้า

“ไอ้ภาค มึงมันเจ๋งว่ะ!” เพื่อนอีกคนตะโกนชมด้วยความชื่นชอบ “กูชอบเพลงนี้!!”

“เล่นเพลงนี้ ถามจริง เหอะไอ้ภาค มึงอกหักมาเหรอวะ?” เพื่อนคนหนึ่งแซวขึ้นมา

“ฮ่าๆ กูว่าก็เหมือนกัน” อีกคนเห็นด้วย

“ร้องเพลงเพราะดีดกีตาร์เก่งว่ะมึงไอ้ภาค!” เจนรบยกแก้วเหล้าขึ้นเหนือโต๊ะ “กูขอดื่มคารวะให้มึงหนึ่งจอก!”

ปิยะวรรณยิ้มให้กับมิตรภาพอันดีระหว่างภาคภูมิและเจนรบ แต่สายตาของหญิงสาวกลับแอบมองไปยังภาคภูมิด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เจนรบคนรักไม่เคยรับรู้มาก่อน

ภาคภูมิยกยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก ในตอนนั้นเจนรบคิดว่านั่นคือรอยยิ้มแห่งมิตรภาพระหว่างเพื่อน แต่เปล่าเลย รอยยิ้มและสายตาคู่นั้นของภาคภูมิกำลังส่งให้กับปิยะวรรณแฟนสาวของเขาต่างหาก

ตัดกลับมาที่ปัจจุบัน หลังทานบุฟเฟต์บาร์บีคิวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ลุงจอมก็จัดการชำระเงินค่าอาหาร ก่อนจะชวนน้องปลาเดินเล่นชมบรรยากาศรอบห้างเพื่อเป็นการย่อยอาหาร

“ขอบคุณอีกครั้งนะคะสำหรับทุกอย่าง ที่ช่วยปลาไว้เมื่อตอนบ่าย” ปวีณาเอ่ยปากด้วยความซาบซึ้ง

“ไม่เป็นไรหรอก” เจนรบยิ้มอย่างอ่อนโยน “ไอ้หนุ่มคนนั้นใคร? แฟนหนู?”

“ไม่ใช่ค่ะ” น้องปลาตอบทันที “เขาชื่ออั๋น เป็นเพื่อนในกลุ่มเดียวกัน เขาพยายามจีบหนู แต่หนูไม่ได้ชอบเขา ก็เลยมาแสดงอาการแบบนั้นน่ะค่ะ”

“หนูต้องระมัดระวังตัวให้มากขึ้นแล้วนะ” เจนรบเอ่ยปากเตือนหลานสาวคนสวยด้วยความเป็นห่วง “แต่จะว่าไปน้องปลานี่ก็มีเสน่ห์ไม่เบาเลยนะเราเนี่ย”

คำชมนั้นทำให้แก้มร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ ไม่ใช่แค่คำชมธรรมดา แต่มันเหมือนมีนัยยะบางอย่างซ่อนอยู่... หรือว่าลุงจอมจะรู้สึก... เหมือนที่เรารู้สึก? ไม่หรอกน่า เราคงคิดไปเอง

“ไม่เลยค่ะลุงจอม!” ปวีณาปฏิเสธเสียงสูงพร้อมกับส่ายหน้า “หนูไม่ได้คิดว่าตัวเองสวยอะไรเลยสักนิด! หนูแค่ไม่ค่อยชอบให้ใครมายุ่งวุ่นวายกับหนูเท่าไหร่ คือหนูยังไม่คิดเรื่องแฟนตอนนี้ค่ะลุงจอม”

“อืม ดีแล้ว” เจนรบยิ้มอย่างพึงพอใจ “ตั้งใจเรียนไปก่อนดีกว่า เรื่องพวกนี้เดี๋ยวถึงเวลาก็มาเอง ลุงว่าเดี๋ยวเรากลับกันได้แล้วล่ะ”

เจนรบขับรถยนต์ส่วนตัวพาน้องปลาไปส่งที่หน้าสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสสยาม เช่นเดียวกับทุกครั้ง เด็กสาวพนมมือไหว้ขอบคุณคุณลุงเจนรบก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปยังชานชาลา

“อืม…นั่นลูกสาวเพื่อนนะมึงไอ้จอม” เจนรบพึมพำกับตัวเองอย่างข่มใจ ปฏิเสธไม่ได้ว่าความรู้สึกหวั่นไหวที่มีต่อเด็กสาวคนนี้เริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกที จนบางครั้งทนายความผู้ยึดมั่นในหลักการอย่างเขาก็เริ่มตั้งคำถามถึงความเหมาะสมด้านศีลธรรม แม้ว่าเขาจะเป็นชายโสดที่ไม่มีพันธะใดๆ แต่ฝ่ายหญิงก็คือลูกสาวของเพื่อนรักเพียงเท่านั้นเอง

ทุกครั้งที่เจนรบได้อยู่ใกล้ชิดกับปวีณา เขามักจะรู้สึกหวั่นไหวอย่างประหลาด คล้ายกับความรู้สึกที่เคยเกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อนกับปิยะวรรณ หัวใจของเขาเต้นแรง สูบฉีดโลหิตอย่างรวดเร็ว และรู้สึกประหม่าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ในตอนนั้นเจนรบยังเป็นหนุ่มน้อยที่อ่อนประสบการณ์ในเรื่องความรัก เขาต้องรวบรวมความกล้าอย่างมากเพื่อเดินเข้าไปทำความรู้จักกับปิยะวรรณทั้งที่ขาสั่นด้วยความเขินอาย

มันเป็นความรู้สึกเดียวกันกับที่เกิดขึ้นกับปวีณาในตอนนี้ เพียงแต่ในวันนี้เจนรบไม่ใช่หนุ่มน้อยไร้เดียงสาอีกต่อไป เขาเป็นหนุ่มใหญ่ที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมามากมาย มีภูมิคุ้มกันจากเรื่องราวทั้งดีและร้ายที่ผ่านเข้ามาในชีวิต จนสามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งใดคือเรื่องส่วนตัวและสิ่งใดคือเรื่องงาน แต่สำหรับน้องปลาแล้ว เจนรบพบว่าเขากำลังละเลยกฎเกณฑ์บางอย่างในชีวิตของตัวเอง เพื่อได้ใกล้ชิดกับเด็กสาวคนนี้มากขึ้น

ยิ่งได้ใกล้ชิด ยิ่งห้ามใจยากเหลือเกิน... ความรู้สึกที่มีต่อปวีณามันไม่ใช่แค่ความเอ็นดู ไม่ใช่แค่ภาพซ้อนของอดีต แต่มันคือความปรารถนาที่แท้จริง... แต่เธอคือลูกสาวเพื่อนนะเจนรบ! ถ้าเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ไม่ใช่แค่เขาที่จะเสียหาย แต่ปวีณาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน พ่อแม่เธอจะรู้สึกอย่างไร? ชื่อเสียงที่สั่งสมมาอาจพังทลายลงได้... แต่ทำไมหัวใจมันถึงไม่ยอมฟังเหตุผลเอาเสียเลยนะ

“ไม่ได้นะมึง ไม่ได้โดยเด็ดขาด!” เจนรบถอนหายใจยาวออกมาอย่างหนักหน่วง เขารู้ดีว่าการพาปวีณามาเดินเที่ยวห้างสรรพสินค้าและทานอาหารด้วยกันแบบนี้ มันสุ่มเสี่ยงต่อการถูกสังคมครหาว่าชายวัยกลางคนอย่างเขากำลังคิดไม่ซื่อกับลูกสาวของเพื่อน แต่ถึงกระนั้นเจนรบกลับไม่สามารถหักห้ามใจตัวเองได้ “กลับบ้านโว้ย กลับบ้าน!!” เขาพึมพำกับตัวเองอีกครั้งด้วยความสับสนในใจ

ขณะเดียวกัน ปวีณา นักศึกษาคณะนิเทศศาสตร์ชั้นปีที่หนึ่งแห่งมหาวิทยาลัยบัณฑิตทวีปัญญากำลังยืนมองตามรถยนต์สีดำของลุงจอมที่แล่นผ่านไปจนลับสายตาอยู่บนสถานีรถไฟฟ้า

“แกควรจะปฏิเสธนะยัยปลา ทำไมถึงทำแบบนี้!!” จิตใต้สำนึกของปวีณาเองก็กำลังย้ำเตือนว่าเธอกำลังก้าวเข้าไปในเขตแดนต้องห้ามอย่างไม่สมควร ทั้งที่รู้แก่ใจดีทุกอย่าง แต่เด็กสาวกลับไม่สามารถหักห้ามความรู้สึกของตัวเองได้

นั่นคือคุณลุงเจนรบ เพื่อนสนิทของคุณพ่อภาคภูมิและคุณแม่ปิยะวรรณ นี่คือข้อเท็จจริงที่เธอต้องตระหนัก แม้ว่าคุณลุงจะยังคงครองตนเป็นโสด แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เด็กสาวอย่างปวีณาจะไปสนิทสนมใกล้ชิดกับคุณลุงเจนรบถึงขนาดนี้ เธอควรจะปฏิเสธคำชวนของคุณลุงไปตั้งแต่แรก แต่เธอกลับเพิกเฉย เหตุผลเพียงเพราะเธอปรารถนาที่จะได้อยู่ใกล้ชิดกับลุงจอมให้มากขึ้นกว่าเดิมเท่านั้นเอง

ปวีณาไม่เคยรู้สึกกับใครแบบนี้มาก่อน จนกระทั่งได้มาพบกับลุงจอม ความจริงแล้วเธอรู้จักกับลุงจอมมาตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็กน้อย สิ่งที่เธอจำได้ก็คือลุงจอมเป็นผู้ชายที่ดูอบอุ่นและใจดีเสมอมา ด้วยคำบอกเล่าของภาคภูมิและปิยะวรรณ ทำให้เด็กสาวรู้สึกประทับใจในตัวลุงจอมโดยไม่รู้ตัว

“แม่คะ หนูถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ?” ย้อนกลับไปเมื่อสองปีก่อน ตอนนั้นปวีณายังเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย เธอเดินเข้ามาทักทายปิยะวรรณที่กำลังวุ่นอยู่กับการเตรียมอาหารเย็น เพื่อรอภาคภูมิกลับจากการประชุมที่ตัวเมืองเชียงใหม่

“มีอะไรจะถามแม่จ๊ะปลา?” ปิยะวรรณยิ้มให้ลูกสาวอย่างอ่อนโยน ขณะกำลังเคี่ยวซุปแกงจืดเต้าหู้หมูสับที่ส่งกลิ่นหอมน่ารับประทาน

“ระหว่างพ่อกับลุงจอม แม่รักใครมากกว่ากันคะ?” ด้วยความไร้เดียงสาตามวัยของปวีณา เด็กสาวจึงถามคำถามที่ตรงไปตรงมาจนทำให้ปิยะวรรณถึงกับชะงักไปเล็กน้อย

“ปลา!!! ทำไมถึงมาถามแม่แบบนี้เนี่ย!?” ผู้เป็นแม่แสดงอาการตกใจกับคำถามของลูกสาวอย่างเห็นได้ชัด แต่ด้วยความเป็นผู้ใหญ่กว่า ผู้เป็นแม่จึงพยายามควบคุมอารมณ์และตอบลูกสาวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ก็ต้องรักพ่อของหนูมากกว่าสิลูก ทำไมเหรอ?”

“หนูแค่สงสัยค่ะแม่ เห็นคุณพ่อเคยบอกว่าแม่กับลุงจอมเคยเป็นแฟนกัน หนูแค่อยากรู้ว่าตกลงแล้วแม่รักใครมากกว่ากันน่ะค่ะ?” สาวน้อยเอ่ยปากถามด้วยดวงตากลมโต

“โถ...เด็กโง่เอ้ย!” ปิยะวรรณหัวเราะขึ้นมา พร้อมกับปิดฝาหม้อแกงจืด “ฟังนะลูกปลา แม่ก็ต้องรักคุณพ่อของลูกมากกว่าอยู่แล้ว ถ้าพ่อกับแม่ไม่รักกัน หนูคงไม่ได้เกิดมา จริงไหม?”

“จริงค่ะ…” ลูกปลาพยักหน้าเห็นด้วย

“แล้วก็…แม่มีเรื่องอยากจะสอนลูกสักหน่อย” ปิยะวรรณกุมมือที่บ่าของลูกสาวอย่างเบามือ ใบหน้าสวยหวานเริ่มฉายแววจริงจังมากขึ้น “เรื่องนี้เป็นเรื่องภายในครอบครัวของเรา อย่าเอาไปพูดกับคนอื่นเด็ดขาด จำไว้นะลูก”

“ค่ะ…” ปวีณารับคำอย่างเชื่อฟัง

ตัดกลับมาที่ปัจจุบัน ปวีณาในชุดนักศึกษาเหลือบมองรถยนต์สีดำสนิทของลุงเจนรบที่แล่นผ่านไปจนลับตา เด็กสาวจึงหันหลังกลับเพื่อเตรียมตัวรูดบัตรขึ้นรถไฟฟ้ารอที่ชานชาลาด้านบน

ผู้คนมากมายจากหลากหลายอาชีพ ทั้งนักศึกษา พนักงานบริษัท คนทั่วไป และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ กำลังยืนรออยู่บริเวณชานชาลาสถานีรถไฟฟ้าเพื่อเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางของตนเอง เช่นเดียวกับน้องปลาที่กำลังยืนเล่นโทรศัพท์มือถือรอรถไฟขบวนใหม่ที่จะแล่นเข้ามา

“ปรี๊ด!” เสียงหวีดของพนักงานประจำสถานีดังขึ้นเป็นสัญญาณเตือนให้ผู้โดยสารยืนห่างจากเส้นสีเหลืองขณะที่รถไฟฟ้ากำลังเคลื่อนตัวเข้าจอดเทียบชานชาลา ปวีณารีบเก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋าสะพายก่อนจะเดินเข้าไปในตู้โดยสารเพื่อเดินทางกลับหอพัก

หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายในวันนั้นเพียงไม่กี่วัน อั๋น อนุวัติ ก็ถูกเชิญตัวมาสอบสวนที่มหาวิทยาลัยถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมและการแสดงเจตนาทำร้ายร่างกายทนายเจนรบ โดยเจนรบและปวีณาเองก็ถูกเชิญไปให้ข้อมูลและรายละเอียดทั้งหมดกับคณะกรรมการของมหาวิทยาลัย

อนุวัติยอมรับผิดทุกข้อกล่าวหาด้วยความสำนึกผิดและอับอายที่กระทำลงไป ท้ายที่สุดทนายเจนรบไม่ได้ติดใจเอาความดำเนินคดีให้เด็กหนุ่มเสียประวัติ เพียงแต่ตักเตือนสั่งสอนในฐานะผู้ใหญ่ด้วยความหวังดี

“ไอ้หนุ่ม คุณยังมีอนาคตอีกยาวไกลนะ ตอนนี้หน้าที่ของเราคือตั้งใจเรียนให้ดีที่สุด เรื่องความรักถ้าจะมีก็มีได้ แต่ถ้ามีแล้วชีวิตไม่ดีขึ้นก็อย่าไปยุ่งเกี่ยว เหมือนที่คุณกำลังเป็นอยู่นี่แหละ” ทนายเจนรบอบรมสั่งสอนหนุ่มอั๋นอย่างจริงจัง

“ขอโทษครับคุณทนาย ผมจะปรับปรุงตัวเองครับ” อนุวัติพนมมือไหว้ขอโทษเจนรบด้วยความสำนึกผิดที่ใช้อารมณ์ชั่ววูบจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

“ครั้งนี้ผมจะเห็นแก่อนาคตของคุณ จะไม่มีการฟ้องร้องดำเนินคดีตามกฎหมาย เก็บเอาไปคิดให้ดี คุณโตแล้ว เป็นนักศึกษา เป็นปัญญาชน เป็นอนาคตของชาติ คุณต้องคิดอะไรให้รอบคอบมากกว่านี้” เจนรบกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

เรียกได้ว่าเจนรบแสดงบทบาทผู้ใหญ่สั่งสอนเด็กหนุ่มอย่างเต็มที่ จนกระทั่งพ่อของอนุวัติรู้สึกอับอายกับพฤติกรรมของลูกชาย ส่วนน้องปลาก็นั่งเงียบอยู่ในห้องประชุมฟังลุงจอมอบรมหนุ่มอั๋นชุดใหญ่ไป

ตอนแรกอนุวัติถูกภาคทัณฑ์ไว้ก่อน แต่สุดท้ายผู้ปกครองคงเห็นว่าหากปล่อยให้อยู่ต่อไปก็คงมีแต่จะสร้างความอับอาย จึงตัดสินใจพาลูกชายมาลาออกจากมหาวิทยาลัยและเตรียมส่งไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศแทน เพื่อให้เรื่องราวทุกอย่างจบลงด้วยดี เป็นอันว่าจากนี้ไปน้องปลาจะได้ใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยอย่างปกติสุขเสียที

ทนายเจนรบยังคงรับงานพิเศษมาบรรยายที่มหาวิทยาลัยอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่ทั้งคู่ไม่ค่อยได้พบเจอกันมากนัก เนื่องจากภายหลังปวีณาได้เลื่อนชั้นขึ้นสู่ปีที่สองของคณะนิเทศศาสตร์ ตอนแรกเจนรบก็คิดว่าความห่างไกลนี้จะช่วยให้เขาถอยห่างจากเด็กสาวเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต แต่ราวกับโชคชะตาได้ลิขิตไว้ คาบบรรยายของลุงจอมกลับอยู่ติดกับห้องเรียนวิชาการเขียนเพื่อสื่อโฆษณาและการประชาสัมพันธ์ ทำให้ทั้งคู่ได้พบกันอีกครั้งหลังเลิกคลาสโดยบังเอิญ

“สวัสดีค่ะลุงจอม” ปวีณาทักทายด้วยรอยยิ้มสดใส

“สวัสดีจ๊าหนูปลา เรียนเสร็จแล้วเหรอ?” เจนรบถามกลับด้วยความเป็นกันเอง

“ค่ะ…” น้องปลายิ้มรับ

ราวกับโชคชะตาเล่นตลก ทั้งคู่ยังคงมีโอกาสได้พบเจอกันอีก ตอนแรกทั้งสองเพียงแค่ทักทายกันตามมารยาท ครั้งแรกผ่านไป ครั้งที่สองและสามก็ผ่านไป เจนรบพยายามรักษาระยะห่างระหว่างเขากับเด็กสาวเอาไว้ แต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่โชคชะตาได้กำหนดไว้แล้ว จากเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ทั้งคู่ต้องเข้ามาใกล้ชิดกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

วันนั้นเป็นวันที่ปวีณามีงานพรีเซนต์กลุ่มเพื่อส่งเข้าประกวด กว่าจะเลิกเรียนก็เกือบจะค่ำ ส่วนเจนรบเองก็มีคาบบรรยายในช่วงเย็น ทำให้เลิกช้าเช่นกัน และในวันนั้นเองฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก เจนรบไม่ได้นำรถยนต์ส่วนตัวมาเนื่องจากเบื่อหน่ายกับปัญหาการจราจรที่ติดขัด จึงตัดสินใจเดินทางด้วยรถไฟฟ้าและต่อเรือเพื่อกลับที่พักแทน เพื่อช่วยประหยัดเวลาในการเดินทางบนท้องถนน

“อ้าว…วันนี้เลิกเรียนเย็นจังเลยหนูปลา?” เจนรบที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องเรียนก็พบกับปวีณาที่เพิ่งพรีเซนต์งานเสร็จและกำลังเดินออกมาเช่นกัน จึงเอ่ยปากทักทายเด็กสาวไปตามมารยาท

“พอดีวันนี้มีพรีเซนต์งานกลุ่มค่ะลุงจอม” ปวีณายิ้มหวานให้เขา “วันนี้ลุงก็เลิกช้าเหมือนกันนะคะ”

“ก็นิดหน่อยน่ะ วันนี้มีเรื่องที่ต้องพูดคุยกันเยอะ” เจนรบยิ้มตอบ “ว่าแต่หนูจะกลับหอพักเลยใช่ไหม?”

“ใช่ค่ะลุง เหมือนเดิม ที่เดิม” ปวีณาตอบ “นั่งรถไฟฟ้ากลับหอพักค่ะ”

“วันนี้สงสัยเราคงต้องเป็นเพื่อนร่วมทางกันแล้วล่ะ” เจนรบเอ่ยขึ้นอย่างไม่คาดคิด

“ทำไมเหรอคะ?” ปวีณาร่นคิ้วถามด้วยความสงสัย

“ลุงไม่ได้เอารถมาน่ะ พอดีขี้เกียจขับรถ เบื่อปัญหารถติด” หนุ่มใหญ่ตอบด้วยรอยยิ้ม

“อ่อค่ะ…งั้น…” สาวน้อยเว้นจังหวะเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยคำพูดบางอย่างออกมา “ถ้าไม่รังเกียจ…ลุงจะไปกับหนูด้วยก็ได้นะคะ”

“เอาจริงเหรอ? ไม่กลัวใครเข้าใจผิดเหรอ? ว่าตาแก่ที่เดินมากับสาวสวยคนนี้เป็นใคร” เจนรบเผลอใจแซวถามแบบทีเล่นทีจริงออกไปโดยไม่รู้ตัว

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะลุงจอม” ปวีณายิ้มสดใส “นะคะลุง ไหนๆ ก็กลับทางเดียวกันแล้ว ก็เดินกลับไปด้วยกันนี่แหละค่ะ”

สุดท้ายทนายความเจนรบก็ทนต่อลูกอ้อนของสาวน้อยปวีณาไม่ไหว จึงตัดสินใจเดินกลับเป็นเพื่อนกัน ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบหนึ่งทุ่มแล้ว และฝนก็เริ่มเทกระหน่ำลงมาระหว่างทาง ทำให้ทั้งหนุ่มใหญ่และสาวน้อยต้องรีบเดินหาที่หลบฝนที่ใกล้ที่สุดทันที

“ฝนตกแบบนี้แย่จังเลยนะคะ…” เจนรบและปวีณายืนหลบฝนอยู่หน้าร้านขายแว่นแห่งหนึ่งที่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยนัก

“นี่แหละชีวิตของคนกรุงเทพฯ มันไม่ได้สุขสบายเหมือนที่ใครหลายคนคิดเลยนะ ทั้งปัญหารถติด ผู้คนแออัด แล้วก็ปัญหาจิปาถะมากมาย เฮ้อ….” เจนรบถอนหายใจออกมาเบาๆ

“แล้วทำไมลุงจอมถึงยังอยู่ที่กรุงเทพฯ ล่ะคะ?” สาวน้อยถามขึ้นระหว่างที่ยืนหลบฝน

“ก็ลุงเกิดที่นี่ ทำงานที่นี่ ชินกับชีวิตแบบนี้ไปแล้ว จะให้ลุงไปไหนได้ล่ะ” เจนรบตอบพร้อมกับยิ้มละเมียด

ปวีณายิ้มหวานโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา รอยยิ้มนั้นทำให้หัวใจของเจนรบพองโตด้วยความสุขอย่างท่วมท้น ราวกับว่าเขากลับไปเป็นหนุ่มน้อยที่ฮอร์โมนพลุ่งพล่านเหมือนในอดีต ตอนที่เขาได้พบรักกับปิยะวรรณ

ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะเริ่มรู้สึกถึงบางสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปในความสัมพันธ์ มันเป็นความรู้สึกที่อบอุ่นและอ่อนโยนที่เริ่มก่อตัวขึ้นภายในจิตใจของทั้งสอง

เมื่อฝนเริ่มซาลง เจนรบก็ชวนปวีณาเดินต่อไปยังสถานีรถไฟฟ้า จนกระทั่งถึงบริเวณที่ต้องแลกบัตรโดยสาร ก็ถึงเวลาที่ทั้งคู่ต้องแยกย้ายกันเดินทางไปคนละเส้นทาง

“สวัสดีค่ะลุงจอม” ปวีณาพนมมือไหว้เจนรบด้วยความเคารพก่อนเดินทางกลับหอพัก

“กลับบ้านดีๆ นะจ๊ะ” เจนรบโบกมือลาเด็กสาวที่พนมมือไหว้เขา ก่อนจะเดินขึ้นไปรอรถไฟฟ้าที่ชานชาลา

แม้จะเป็นช่วงเวลาเร่งด่วนที่รถไฟฟ้าอัดแน่นไปด้วยผู้คนที่ยืนเบียดเสียดกันในตู้โดยสาร แต่ปวีณากลับอมยิ้มด้วยความสุขที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับเจนรบ ขณะเดียวกันเจนรบก็รู้สึกไม่แตกต่างกัน เขารู้สึกใจหวิวทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้กับเด็กสาว

เขารู้ดีแก่ใจว่าหนทางข้างหน้าคงไม่ง่ายดาย และอาจนำพาคนทั้งสองไปสู่บทสรุปแห่งความเจ็บปวด แต่ในอีกด้านหนึ่งของความรู้สึก เขาก็รู้สึกท้าทาย และลุ่มหลงไปรสชาติความหอมหวาน แม้ว่ามันอาจจะนำพาคนทั้งสองมุ่งตรงไปสู่ขุมนรกเบื้องล่างก็ตาม

ความรักกำลังอบอวลอยู่ในหัวใจของเจนรบและปวีณาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เสียแล้ว ความรักย่อมสวยงามเสมอ เพียงแต่มันเกิดขึ้นกับคนที่ผิด และในเวลาที่ไม่เหมาะสมเท่านั้นเอง

หลังจากเหตุการณ์วันนั้น เจนรบและปวีณาก็เริ่มใกล้ชิดกันมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ต่างฝ่ายต่างเฝ้ารอที่จะได้พบเจออีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว วันไหนที่เจนรบนำรถยนต์ส่วนตัวมามหาวิทยาลัย เขามักจะอาสาพาน้องปลาไปส่งที่สถานีรถไฟฟ้าเสมอ และเมื่อทำเช่นนั้นบ่อยครั้งเข้า ในช่วงหลังเจนรบเลยขออาสาขับรถพาน้องปลาไปส่งถึงหอพัก หรือบางครั้งก็แวะไปนั่งรับประทานอาหารที่ห้างสรรพสินค้าในย่านอื่นๆ ที่ค่อนข้างไกลออกไป เพื่อหลีกเลี่ยงการตกเป็นที่ครหาของบรรดานักศึกษาและคณาจารย์ในมหาวิทยาลัย

แต่สุดท้ายความลับก็ไม่มีในโลก กลุ่มอาจารย์บางท่านเริ่มสังเกตเห็นพฤติกรรมที่สนิทสนมเกินควรระหว่างทนายความเจนรบ วิทยากรพิเศษของมหาวิทยาลัย และปวีณา นักศึกษาคณะนิเทศศาสตร์ สาขาการประชาสัมพันธ์ ชั้นปีที่สอง ทำให้เจนรบถูกเรียกตัวไปพูดคุยเป็นการส่วนตัวที่ห้องพักครูของอาจารย์ที่ปรึกษาของปวีณา

“สวัสดีครับคุณเจนรบ เชิญนั่งก่อนครับ” อาจารย์หนุ่มวัยกลางคนเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงสุภาพ

“ครับ ที่เรียกผมมา มีอะไรจะคุยกับผมหรือครับ?” เจนรบตอบกลับด้วยความสงสัยเล็กน้อย

“คือ…ผมไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดี” อาจารย์ที่ปรึกษาของปวีณาเกริ่นนำ พลางสังเกตสีหน้าของทนายความรุ่นพี่ “เอาล่ะ เพื่อความชัดเจน ผมคงต้องถามคุณอย่างตรงไปตรงมา คือมีผู้แจ้งว่าพบเห็นคุณเจนรบ ซึ่งเป็นวิทยากรพิเศษของมหาวิทยาลัยบัณฑิตทวีปัญญา และปวีณา นักศึกษาคณะนิเทศศาสตร์ สาขาการประชาสัมพันธ์ ชั้นปีที่สอง ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยครั้ง ก็เลยอยากจะสอบถามว่าตกลงแล้ว คุณทั้งสองรู้จักกันเป็นการส่วนตัวใช่หรือไม่ครับ เป็นญาติกันหรือเปล่า? ถ้าไม่ใช่ ผมอยากจะถามถึงสถานะความสัมพันธ์ระหว่างคุณเจนรบกับปวีณาในปัจจุบันครับ ว่าอยู่ในระดับใด?”

“เรารู้จักกันครับ ปวีณาเป็นลูกสาวของเพื่อนสนิทของผมครับ” เจนรบตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พยายามควบคุมความรู้สึกในใจ

“อาห๊ะ…” อาจารย์ที่ปรึกษาประสานมือวางบนโต๊ะทำงาน “สรุปคือคุณและปวีณารู้จักกันเป็นการส่วนตัว ถูกต้องไหมครับ?”

“ใช่ครับ” ด้วยประสบการณ์ชีวิตที่เจนรบสั่งสมมานาน เขารับรู้ได้ทันทีว่าเรื่องความสนิทสนมที่มากเกินไปของเขากับปวีณาเริ่มแพร่สะพัดไปทั่วรั้วมหาวิทยาลัยเสียแล้ว แต่เขายังคงรักษาความสงบนิ่งเพื่อคงไว้ซึ่งภาพลักษณ์ของทนายความที่น่าเชื่อถือ

“คุณเองก็เป็นทนายความที่มีความสามารถ เป็นที่ยอมรับของผู้คนในสังคม” อาจารย์ที่ปรึกษาเริ่มเข้าประเด็นอย่างตรงไปตรงมา “พูดกันแบบไม่อ้อมค้อมนะครับ อย่าถือโทษโกรธกัน เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย ผมไม่อยากให้คุณใกล้ชิดกับปวีณามากเกินไป เพราะมันจะดูไม่งามในสายตาของคนอื่น เนื่องจากมีผู้รายงานว่าพบเห็นคุณและปวีณาไปไหนมาไหนด้วยกันสองต่อสองในหลายสถานที่ และเรื่องนี้ก็เกิดขึ้นมาได้สักพักหนึ่งแล้ว ผมอยากจะเตือนคุณ คุณเจนรบ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้ ผมอยากให้คุณหยุดพฤติกรรมเหล่านี้เสีย”

“ครับ ผมเข้าใจดี” เจนรบพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ผมจะนำไปปฏิบัติอย่างเคร่งครัดครับ”

“ขอบคุณที่เข้าใจนะครับ ในฐานะอาจารย์ที่ปรึกษาของปวีณาและในฐานะบุคลากรคนหนึ่งของมหาวิทยาลัยบัณฑิตทวีปัญญา ผมไม่อยากให้เกิดเรื่องเสื่อมเสียขึ้นมาในสถาบันการศึกษาของเรา ต้องขอโทษด้วยหากผมอาจจะพูดตรงไปตรงมาหรือแรงไปบ้าง แต่ผมจำเป็นต้องพูดเพื่อความชัดเจน นับจากนี้ไปหวังว่าคุณเจนรบคงจะเข้าใจนะครับ” อาจารย์กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง

เจนรบน้อมรับทุกคำเตือนของอาจารย์ที่ปรึกษาโดยไม่มีข้อโต้แย้งอะไร ในฐานะทนายความรุ่นเก๋าผู้มากประสบการณ์ เขามักจะมีชั้นเชิงในการพลิกสถานการณ์ที่เสียเปรียบให้กลับมาได้เปรียบ หรืออย่างน้อยที่สุดก็ไม่เลวร้ายไปกว่าเดิมได้เสมอ เพียงแต่สิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งนี้มันแตกต่างออกไป มันเป็นเรื่องของความรู้สึก เรื่องของหัวใจ ไม่ใช่เรื่องของการใช้ตรรกะและเหตุผลมาหักล้างข้อกล่าวหาและความคิดเห็นของอีกฝ่ายอย่างที่เขาเคยทำมาตลอดระยะเวลากว่าสามสิบปีในชั้นศาล

หลังจากนั้นไม่นาน เจนรบก็ตัดสินใจขอยกเลิกการเป็นวิทยากรพิเศษของมหาวิทยาลัย โดยให้เหตุผลเรื่องปัญหาสุขภาพ เพื่อเปิดโอกาสให้ทนายความท่านอื่นเข้ามาทำหน้าที่แทน เจนรบตัดสินใจแล้วว่านี่คงเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้เขาและน้องปลาต้องถลำลึกไปในความสัมพันธ์ที่อาจนำมาซึ่งปัญหาในอนาคต

แต่ปวีณาไม่ได้คิดเช่นนั้น คาบเรียนแรกที่สาวน้อยไม่เห็นลุงจอมใจดีมาบรรยาย เธอยังพอเข้าใจได้ว่าหนุ่มใหญ่อาจจะติดธุระสำคัญ แต่เมื่อเวลาผ่านไปและไม่มีวี่แววของเจนรบในคาบบรรยายอีกเลย ในใจของปวีณาก็เริ่มร้อนรุ่มด้วยความกระวนกระวาย จนกระทั่งเธอตัดสินใจเดินไปสอบถามรุ่นน้องในคลาสบรรยายเพื่อสืบหาความจริง

“น้องคะ? ไม่ทราบว่าทนายเจนรบไปไหนแล้วคะ?” ปวีณาเอ่ยถามด้วยความเป็นกังวล

“อ๋อ?” รุ่นน้องปีหนึ่งเงียบไปครู่หนึ่งเพื่อรวบรวมคำตอบ “ทนายเจนรบไม่ได้มาสอนแล้วค่ะพี่ เห็นว่ามีปัญหาสุขภาพน่ะคะพี่”

“เหรอคะ?” ในใจของปวีณาเริ่มรู้สึกไม่สบายใจและไม่ค่อยอยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยินเท่าไหร่นัก เพราะก่อนหน้านั้นไม่นาน เพื่อนสนิทของเธอได้เข้ามาเตือนเธอถึงพฤติกรรมบางอย่างที่อาจส่งผลกระทบต่ออนาคตทางการศึกษาของเธอ

“ปลา…พวกเรามีอะไรจะถามแกหน่อยน่ะ” เพื่อนสนิทคนหนึ่งของปวีณาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“อือ…มีอะไรเหรอ?” ปวีณาละสายตาจากหนังสือในมือ หันไปมองเพื่อนด้วยความสงสัย

“ถามจริง แกกับทนายเจนรบ ตกลงเป็นแค่ลุงกับหลานจริงหรือเปล่าวะ?” เพื่อนอีกคนเสริมด้วยความสงสัย

“ก็ใช่น่ะสิ…” ปวีณาที่กำลังนั่งทบทวนบทเรียนอยู่บนม้านั่งหินอ่อนใต้ร่มไม้ใหญ่เงยหน้าขึ้นมองกลุ่มเพื่อน “ทำไมเหรอ?”

“ปลา มีคนเห็นแกกับทนายเจนรบสนิทสนมกันมาก แล้วก็ไปไหนมาไหนด้วยกันสองต่อสองบ่อยๆ ตกลงมันยังไงกันแน่?” เพื่อนอีกคนถามด้วยความเป็นห่วง

“มีอะไรก็พูดมาเถอะ อย่าอ้อมค้อมได้ไหม?” ปวีณาเริ่มรู้สึกฉุนเฉียวเล็กน้อย ในใจของเธอเริ่มร้อนรนเมื่อรับรู้ว่าความลับที่เธอและลุงเจนรบพยายามปิดบังไว้เริ่มจะไม่เป็นความลับอีกต่อไป

“พวกเราสงสัยว่าแกกับทนายเจนรบ…เอ่อ…จะพูดว่ายังไงดีวะ?” เพื่อนคนหนึ่งทำท่าทางอึกอัก

“พวกเราสงสัยว่าแกกับทนายเจนรบกำลังคบกันอยู่…แบบเป็นแฟนกันอะไรแบบนี้อ่ะ!!” คำพูดนั้นแทงเข้าไปกลางใจของสาวน้อยอย่างจังจนเธอถึงกับพูดไม่ออก

“พวกเราอยากจะเตือนแกในฐานะเพื่อนคนหนึ่งนะเว้ยปลา แกจะทำอะไรต้องคิดถึงอนาคต คิดถึงพ่อกับแม่ให้มากๆ เข้าไว้นะเว้ย” เพื่อนสนิทคนเดิมกล่าวด้วยความเป็นห่วงอย่างจริงใจ

“ชั้นรู้แล้ว มันไม่ได้มีอะไรแบบที่พวกแกคิดสักหน่อย!” ปวีณาพยายามบ่ายเบี่ยงเพื่อปิดบังความรู้สึกที่แท้จริงภายในใจ แต่ในใจของเธอกลับสับสนว้าวุ่น “ตายแล้ว ทุกคนรู้เรื่องหมดแล้ว เราจะทำยังไงดีล่ะ?”

ตัดมาที่บ้านจัดสรรสองชั้นหลังหนึ่งในย่านบางกะปิ เจนรบในชุดลำลองเรียบง่าย สวมเสื้อยืดสีเทาอ่อนกับกางเกงขาสามส่วนกำลังยืนคุยโทรศัพท์กับลูกความด้วยน้ำเสียงฉะฉาน เป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนแล้วที่สุภาพบุรุษเจนรบพยายามตัดขาดการติดต่อจากปวีณาเพื่อยุติปัญหาที่อาจจะตามมาในอนาคต แม้ว่าในส่วนลึกของจิตใจของเขาจะรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง แต่ในฐานะผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะ เขารู้ดีว่าการรักษาสถานภาพและระยะห่างระหว่างเขากับน้องปลาเอาไว้เช่นนี้คงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

ไม่ใช่ว่าเจนรบไม่รู้สึกดีกับปวีณา ไม่เลย เจนรบรู้สึกดีกับปวีณามากเกินกว่าคำว่าลุงกับหลานอย่างแน่นอน ทั้งสองคนไม่ได้มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือด ดังนั้นการคบหาดูใจกันจึงไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมาย เพียงแต่ปัญหาข้อเดียวและเป็นปัญหาที่ใหญ่หลวงก็คือ ปวีณาเป็นลูกสาวของเพื่อนรักอย่างภาคภูมิและปิยะวรรณ

“โอ้ย! งานเข้าอีกแล้ว!” เจนรบกดวางโทรศัพท์มือถือแล้ววางมันลงบนโต๊ะรับแขก ก่อนทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาหนังสีน้ำตาลเข้ม กดรีโมทโทรทัศน์เพื่อชมรายการบันเทิงไปตามเรื่องตามราวเพื่อคลายความเบื่อหน่าย

“กริ๊ง!!! กริ๊ง!!! กริ๊ง!!!!”

“ใครโทรมาอีกเนี่ย?” เสียงโทรศัพท์มือถือของเจนรบดังขึ้นอีกครั้ง มันเป็นหมายเลขโทรศัพท์ที่ไม่คุ้นเคยและเขาไม่เคยเห็นมาก่อน เมื่อกดรับสาย สิ่งแรกที่ทำให้เจนรบถึงกับตกใจก็คือ เสียงปลายสายนั้นเป็นเสียงของน้องปลา

“ลุงจอมใช่ไหมคะ?” ปวีณาเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงที่เจนรบคุ้นเคย “นี่ปลานะคะลุงจอม”

“น้องปลา…” เจนรบร่นคิ้วด้วยความประหลาดใจระคนตกใจ “นี่หนูเอาเบอร์ลุงมาจากไหนเนี่ย?”

“ก็เอามาจากเพจกฎหมายของลุงไงคะ” ปวีณาตอบด้วยน้ำเสียงปกติ “ลุงจอมคะ หนูมีอะไรจะคุยกับลุงด้วยสักหน่อยค่ะ”

“เรื่องอะไรเหรอ?” เจนรบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก หนุ่มใหญ่พยายามทำใจดีสู้เสือ ภาวนาอยู่ในใจว่าเด็กสาวคงจะไม่เปิดประเด็นเรื่องความรู้สึกนั้นขึ้นมาอีก

“ลุงไม่สบายเป็นอะไรหรือเปล่าคะ? ทำไมอยู่ดีๆ ถึงไม่มาบรรยายที่มหาวิทยาลัยอีกเลย” ปวีณาเอ่ยปากถามอย่างตรงไปตรงมาด้วยความเป็นห่วง

“ลุง…เอ่อ…ลุงป่วยน่ะจ๊ะ” เจนรบตอบด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ “ไหนจะเรื่องงานด้านกฎหมายที่ลุงต้องสะสางอีกมากมาย ลุงเลยไม่สามารถจัดสรรเวลาให้ลงตัวเหมือนเมื่อก่อนได้น่ะ”

“ค่ะ…” ปวีณาตอบรับ “หนู…เอ่อ…นี่หนูไม่ได้รบกวนลุงใช่ไหมคะ?” ปวีณารู้สึกเกรงใจขึ้นมาทันที

“ไม่เลยจ๊ะน้องปลา” เจนรบตอบกลับไปตามตรง

“ถ้าหนูมีอะไรจะพูดกับลุงสักหน่อย ลุงจะโกรธหนูไหมคะ?” ปวีณาถามด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความลังเล

“มีอะไรจะพูดกับลุงเหรอปลา?” เจนรบถามกลับด้วยความสงสัย

“คือหนู…เอ่อ…หนู….” ปวีณาพูดไม่ออก ได้แต่เงียบไป หัวใจเต้นแรงจนแทบทะลุออกมานอกอก เธอรวบรวมความกล้ามาแรมเดือนเพื่อจะพูดคำนี้ แต่พอถึงเวลาจริงๆ มันกลับยากเหลือเกิน กลัวเหลือเกินว่าถ้าพูดออกไปแล้วทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิม... แต่ถ้าไม่พูด ความรู้สึกที่อัดอั้นนี้มันก็ทรมานเกินทน

“………………….”

บรรยากาศความเงียบปกคลุมไปทั่วทั้งสองฝั่งของสายโทรศัพท์ แม้จะอยู่ห่างกันคนละมุมเมือง แต่ด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารที่ทันสมัยในยุคปัจจุบัน ก็ทำให้คนที่อยู่ห่างไกลกันสามารถพูดคุยกันได้ผ่านโทรศัพท์มือถือได้อย่างง่ายดาย

เพียงแต่ในขณะนั้น มันเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างที่ติดอยู่ในใจของคนทั้งคู่ เจนรบรับรู้ได้ถึงความรู้สึกนั้น และปวีณาเองก็เช่นกัน พวกเขารู้ดีว่าหากเอ่ยคำพูดนั้นออกมา สถานะความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนจะไม่มีวันกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกต่อไป

“หนูปลา…” ในที่สุดก็เป็นฝ่ายเจนรบที่เอ่ยปากพูดทำลายความเงียบก่อน “ลุงว่านี่ก็ดึกมากแล้วนะ ลุงว่าถ้ามีอะไรค่อยคุยกันวันหลังดีกว่าไหม?”

“ไม่ค่ะ!” ปวีณาปฏิเสธเสียงหนักแน่น “ลุงจอมคะ! อย่าทำแบบนี้ได้ไหมคะ? หนูทนกับความรู้สึกแบบนี้ไม่ไหวอีกแล้ว!!!” น้ำเสียงของเธอสั่นเครืออย่างเห็นได้ชัด

“หนูปลาใจเย็นๆ ก่อนนะ” หนุ่มใหญ่จุกแน่นอยู่ในอก เขาเองก็รู้สึกอึดอัดและลำบากใจไม่น้อยไปกว่าเด็กสาว “ตั้งสติก่อนพูดอะไรออกมานะ”

“ลุงจอมคะ หนูคิดว่าหนูกำลัง…รักลุงค่ะ…” ปวีณารวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มี พูดความจริงที่อยู่ในส่วนลึกของหัวใจออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ ด้วยภาษาซื่อและจริงใจ

“อย่าพูดแบบนั้น หยุดเดี๋ยวนี้นะปลา!” เจนรบเอ่ยปากห้ามเด็กสาวด้วยน้ำเสียงตกใจ “หนูปลาต้องตั้งสติก่อนนะ หนูแค่กำลังสับสนกับความรู้สึกของตัวเองอยู่ก็ได้”

เจนรบรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบ เขาอยากจะตอบรับความรู้สึกนั้นใจจะขาด อยากจะบอกว่าเขาก็รู้สึกไม่ต่างกัน แต่... ทำไม่ได้ เขาทำลายอนาคตเด็กคนนี้ไม่ได้ เขาทำร้ายเพื่อนไม่ได้... เสียงของเหตุผลมันดังกว่าเสียงหัวใจเสมอ

“ไม่ค่ะ! หนูทบทวนความรู้สึกของตัวเองมาตลอด ว่าหนูรักลุงจอมค่ะ!!” น้ำเสียงของปวีณาเริ่มสั่นเครือมากขึ้นและมีเสียงสะอื้นไห้ดังแทรกเข้ามาเป็นระยะ “ฮือ…ฮือ”

“หนูปลา…” เจนรบเองก็รู้สึกเจ็บปวดไม่น้อยกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้ มันเป็นความรักต้องห้ามที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น แม้จะรู้ดีว่านั่นคือลูกสาวของเพื่อนรัก แต่ด้วยอานุภาพของความรักที่ถาโถมเข้ามาอย่างรุนแรง ทำให้หนุ่มใหญ่วัยกลางคนผู้มากประสบการณ์อย่างเจนรบไม่อาจต้านทานมันได้อีกต่อไป

“ถ้าลุงไม่ได้คิดอะไรกับหนู ลุงคงไม่ชวนหนูไปไหนมาไหนด้วยกันแบบนั้นหรอกค่ะ” ปวีณาตัดพ้อด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “หนูไม่อยากจะคิดไปเองคนเดียวอีกแล้วนะคะลุง ฮือ…มันเจ็บนะคะลุง มันเจ็บอยู่ในอกของหนู หนูไม่อยากจะต้องมานั่งคิดว่าตกลงแล้วเรื่องระหว่างเรามันเป็นยังไงกันแน่ ลุงเข้าใจหนูไหมคะ ลุงจอม!”

“หนูปลา….” เจนรบยกมือขึ้นกุมขมับตัวเองด้วยความสับสนและรู้สึกผิด “ลุงขอโทษ…ทุกอย่างมันเป็นความผิดของลุงเอง ลุงไม่น่าปล่อยให้เรื่องมันเลยเถิดมาไกลถึงขนาดนี้เลย…”

“หนูคิดถึงลุงค่ะ ลุงจอม” ปวีณาครวญครางด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “หนูคิดถึงลุงจอมเหลือเกิน….”

“หนูปลา…” สุภาพบุรุษทนายความถอนหายใจยาวออกมาด้วยความหนักใจ “ลุงดีใจนะที่หนูรู้สึกดีกับลุง แต่หนูเป็นลูกสาวของเพื่อนสนิทของลุง ลุงทรยศความไว้ใจของไอ้ภาคกับเปิ้ลไม่ได้ หนูยังเด็กนัก ยังมีอนาคตอีกยาวไกล หนูยังมีโอกาสได้พบกับผู้ชายที่ดีกว่าลุงอีกมาก…”

“พ่อกับแม่หนูบอกความจริงกับหนูหมดแล้วค่ะลุง….” น้องปลาแทรกบทขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย “ความจริงแล้ว พ่อของหนูไปแย่งแม่มาจากลุงใช่ไหมคะ?”

“ปลา…อย่าพูดแบบนั้นสิ!” เจนรบเริ่มใช้เสียงที่เข้มขึ้นเล็กน้อยกับเด็กสาว “อย่าพูดถึงเรื่องนั้นอีกเลย ลุงขอร้องนะปลา ลุงขอร้อง!”

“แล้วจะให้หนูทำยังไงคะลุงจอม?” ปวีณาตัดพ้อด้วยความน้อยใจ “อยู่ดีๆ ลุงก็เข้ามาในชีวิตของหนู แล้ววันหนึ่ง พอหนูรู้สึกดีกับลุงอย่างจริงจัง ลุงจะไม่ใส่ใจความรู้สึกของหนูเลยเหรอคะลุงจอม?”

“ไม่ใช่แบบนั้น…” เจนรบตอบด้วยความรู้สึกสับสน ไม่รู้ว่าจะอธิบายความรู้สึกของตัวเองอย่างไรดี เขาจึงลุกขึ้นยืนแล้วยกมือขึ้นกุมขมับ จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นนี้อย่างไรดี? “ปลา…หนูตั้งสติแล้วฟังลุงก่อนนะ ฟังลุงพูดให้จบก่อน”

“ว่ามาสิคะลุง…” ปวีณาตอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงเล็กน้อย

“เราจะพูดคุยกันแบบผู้ใหญ่ที่มีเหตุผลแล้วนะจ๊ะปลา คุยกันด้วยสติ ไม่ใช้อารมณ์” เจนรบถอนหายใจเพื่อรวบรวมสติและเรียบเรียงคำพูดในหัว “ลุงขอบคุณสำหรับความรู้สึกดีๆ ที่ปลามีให้ลุงนะ แต่ลุงคงไม่สามารถรับความรู้สึกนั้นไว้ได้จริงๆ เรื่องของเรามันเป็นไปไม่ได้นะหนูปลา”

“ลุงไม่ได้รักหนูเลยเหรอคะ?” ปวีณาตัดพ้อด้วยความผิดหวัง “ที่ผ่านมา ที่ลุงเข้ามาในชีวิตของหนู ทำดีกับหนูทุกอย่างตั้งแต่หนูยังเด็กจนถึงตอนนี้ ลุงจะบอกว่าลุงไม่ได้คิดอะไรกับหนูเลยเหรอคะ?”

“รักสิ…” เจนรบสารภาพตามตรงด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ลุงก็รักหนูปลา แต่รักในฐานะลุงกับหลาน และลุงจะไม่ขอรักหนูไปมากกว่านั้น”

คำพูดที่สวนทางกับหัวใจ ทำให้เจนรบเจ็บปวดเสียเอง เขาเห็นภาพความผิดหวังของปวีณาซ้อนทับกับความเจ็บปวดของตัวเองในอดีต... เขาเกลียดตัวเองเหลือเกินที่ต้องทำแบบนี้

ประโยคหลัง เจนรบจำใจต้องพูดออกไปทั้งที่ในใจรู้สึกเจ็บปวดไม่น้อย เขาเองก็รู้สึกชอบปวีณาเหมือนกัน ชอบแบบผู้ชายที่ชอบผู้หญิงคนหนึ่ง ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ความรู้สึกชอบนั้นก็ยิ่งทวีคูณมากขึ้น เพียงแต่คนอย่างเจนรบยังมีศีลธรรมและคุณธรรมอยู่ในจิตใจ ยิ่งได้ใกล้ชิดกับน้องปลามากเท่าไหร่ เจนรบก็ยิ่งมั่นใจว่าความรู้สึกที่เขามีต่อเด็กสาวคนนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ความรักแบบลุงกับหลาน แต่มันลึกซึ้งเกินกว่านั้น

มันไม่เหมือนกับเวลาที่เขามีความต้องการทางเพศแบบผู้ชายทั่วไป ที่มักจะไปเที่ยวสถานบันเทิงยามค่ำคืนเพื่อปลดปล่อยความต้องการเหล่านั้น ผู้หญิงเหล่านั้นเจนรบรู้ดีว่าไม่ควรไปมีความรู้สึกหรือผูกพันอะไรมากเกินไป คนหนึ่งจ่ายเงิน อีกคนก็ทำงานไป พอหมดเวลาก็แยกย้ายกันไปตามทางของใครของมัน หากบริการดีก็อาจจะมีทิปเสริมให้บ้าง แต่ถ้าบังเอิญไปเจอกันข้างนอกก็ให้ทำตัวเหมือนคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

แต่น้องปลาคือเด็กสาวที่ไร้เดียงสาเกินกว่าที่สุภาพบุรุษอย่างเจนรบจะนำสิ่งไม่ดีไปแปดเปื้อน เขาจำเป็นต้องแยกแยะความรู้สึกของตัวเองให้ชัดเจนว่าอะไรคือความใคร่ และอะไรคือความรัก สำหรับผู้หญิงกลางคืนเหล่านั้น เจนรบมีให้ได้เพียงแค่ความใคร่ทางกาย แต่สำหรับนางฟ้าตัวน้อยอย่างน้องปลา สิ่งที่คนอย่างเจนรบจะมอบให้ได้ก็คือความรักที่บริสุทธิ์ใจ

“ฮือ...” คำตอบของลุงจอมราวกับทำให้โลกทั้งใบของปวีณามันพังทลายลงมา อาจเรียกได้ว่านี่คือรักครั้งแรกในชีวิตของเด็กสาว มันเป็นความรักแบบวัยรุ่นที่เกิดขึ้นกับผู้ชายที่เธอเคารพและนับถืออย่างลุงจอม

“อย่าเสียใจเลยนะน้องปลา” ลุงจอมพยายามปลอบโยนเด็กสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ที่ลุงทำแบบนี้ก็เพราะลุงเองก็รักหนูเหมือนกัน แต่ลุงไม่อยากให้เราถลำลึกไปไกลกว่านี้อีกแล้ว ลุงไม่อยากให้สิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้นกับหนูนะปลา”

“แต่ความรักเป็นสิ่งสวยงามไม่ใช่เหรอคะลุงจอม?” ปวีณายังคงตัดพ้อด้วยความเสียใจ “แล้วทำไมล่ะคะ? ทำไมเราสองคนถึงรักกันไม่ได้?”

“อย่าพูดเลยนะปลา ลุงขอร้อง!!” เจนรบรีบตัดบทด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เพราะไม่อยากจะได้ยินคำพูดเหล่านั้นจากเด็กสาวอีกต่อไป เขาหวาดกลัวว่าตัวเองจะห้ามใจไม่ไหว “ลุงคิดว่าเราพอแค่นี้ก่อนดีกว่าไหม หนูปลาก็ทำใจให้สบายนะ ลุงเป็นห่วงหนู ไม่อยากเห็นหนูเป็นแบบนี้อีก”

“อย่างน้อย ให้หนูได้เจอลุงสักครั้งได้ไหมคะ?” ปวีณาถามด้วยความหวัง

“ได้สิ แต่ช่วงนี้ลุงงานยุ่งนะ” เจนรบจำเป็นต้องรีบตัดบทอีกครั้ง “ลุงว่าเราพอแค่นี้ก่อนเถอะ พรุ่งนี้ลุงต้องไปทำงานแต่เช้า หนูเองก็มีเรียนเช้าไม่ใช่เหรอ?”

“ค่ะ…” เด็กสาวตอบด้วยน้ำเสียงที่สงบลงเล็กน้อย “หนูขอโทษนะคะลุงจอม ถ้าหนูพูดอะไรออกไปไม่ดีแบบนั้น”

“ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้นะ พักผ่อนให้มากๆ แล้วก็อย่าคิดมากอีกนะ ฝันดีนะจ๊ะ…”

เมื่อกดวางสาย เจนรบก็ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาอย่างหมดแรง เอามือกุมขมับแล้วหลับตาลงอย่างครุ่นคิด จะเอายังไงดีนะไอ้จอม? ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในความเป็นจริงแล้วเจนรบเองก็รู้สึกเสียดายโอกาสดีๆ ที่เด็กสาวหยิบยื่นให้มา เพียงแต่ว่านั่นคือลูกสาวของเพื่อน นั่นคือลูกสาวของเพื่อนรักนะไอ้จอม!!

“หรือว่าเวรกรรมจะมีจริง….” เจนรบนึกย้อนไปถึงภาพในอดีต เมื่อเกือบสามสิบปีที่แล้ว สมัยที่เขายังเป็นหนุ่มแน่น เจนรบตั้งใจซื้อดอกกุหลาบช่อสวยเพื่อหวังจะนำไปมอบให้กับแฟนสาวคนสวยอย่างเปิ้ลที่หน้าตึกคณะอักษรศาสตร์

“ไม่เห็นต้องลำบากขนาดนี้เลยภาค” ปิยะวรรณในชุดนักศึกษาวัยใสยืนพูดคุยกับภาคภูมิที่กำลังถือช่อดอกกุหลาบช่อใหญ่จากร้านดอกไม้ชื่อดังมามอบให้ ภาพทุกอย่างมันช่างชัดเจนต่อหน้าต่อตาของเจนรบที่แอบมองอยู่คนเดียวตรงมุมตึก

“ไอ้ภาค….” เจนรบกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บปวด ในมือกำช่อดอกกุหลาบแน่นจนก้านดอกแทบจะหักคามือ เมื่อเพื่อนรักคิดหักหลังกันอย่างเลือดเย็นด้วยการแย่งชิงคนรัก เห็นทีความสัมพันธ์ระหว่างมึงกับกูคงจะอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ไอ้ภาค

ในที่สุด เมื่อสติขาดผึง เจนรบก็ตัดสินใจขว้างช่อดอกกุหลาบในมือลงบนพื้นอย่างแรง แล้วก้าวเท้าเดินหน้าด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธและความผิดหวังออกจากมุมตึกเพื่อเผชิญหน้ากับความจริงที่แสนเจ็บปวด ปิยะวรรณเป็นคนแรกที่เห็นเจนรบ ภาพแรกที่เจนรบยังคงจดจำได้ดีก็คือ ภาพที่ปิยะวรรณหน้าซีดเผือดด้วยความตกใจ

“จอม! หนีไปเร็วภาค!”

“อะไรนะเปิ้ล?” ภาคภูมิถามด้วยความงุนงง

“ไอ้เพื่อนทรยศ!” เจนรบพุ่งตัวเข้าไปซัดหมัดเข้าที่กรามของเพื่อนรักอย่างจังจนภาคล้มลงไปนอนกองกับพื้นหน้าตึกคณะอักษรศาสตร์ ทำเอานักศึกษาที่เดินผ่านไปมาต่างก็ตกอกตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “มึงทำกับกูแบบนี้ได้ยังไง? ไอ้เพื่อนเลว!”

หลายวันผ่านไป เจนรบมาใช้บริการที่สถานบันเทิงชื่อดังยามค่ำคืนกับลิซ่า สาวสวยระดับท็อปที่เป็นลูกค้าประจำของเขา ลิซ่าเป็นหญิงสาวที่มีรูปร่างหน้าตาสะสวย ผมยาวดำขลับ ทรวดทรงองค์เอวของเธอก็แสนจะเย้ายวนใจ หน้าอกเป็นหน้าอก เอวเป็นเอว สะโพกเป็นสะโพก ผิวพรรณของเธอก็ขาวเนียนน่าสัมผัส เป็นเครื่องยืนยันได้ว่าหญิงสาวคนนี้ดูแลตัวเองเป็นอย่างดี

ลิซ่าเคยบอกกับเจนรบว่าเธอมาจากจังหวัดเชียงใหม่ แต่เจนรบไม่ได้เชื่ออะไรมากนัก เขามาที่นี่เพื่อเสพสุขจากเรือนร่างของหญิงสาวที่เขาจ่ายเงินให้เพียงเท่านั้น ไม่ได้ต้องการสานสัมพันธ์ให้ลึกซึ้งไปมากกว่านั้นหรือหาเพื่อน เพียงแต่วันนี้บรรยากาศมันแตกต่างจากวันก่อนหน้า

“วันนี้เฮียดูเหนื่อยๆ นะคะ…” ลิซ่าโอบกอดเจนรบที่นอนเปลือยเปล่าอยู่บนเตียง โดยมีผ้าห่มผืนบางคลุมท่อนล่างเอาไว้

“เครียดจากงานนิดหน่อยน่ะจ๊ะ” เจนรบตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง

“ขอถามหน่อยนะคะเฮีย เฮียเบื่อลิซ่าหรือยังคะ?” ลิซ่าถามด้วยแววตาเป็นกังวล

“ถามอะไรแปลกๆ เฮียไม่ได้เบื่อหนูเลยสักนิด” หนุ่มใหญ่ส่งยิ้มหวานให้ เมื่อได้ยินคำตอบที่น่าพอใจ ลิซ่าก็โน้มตัวลงไปหอมแก้มหนุ่มใหญ่ผู้ใจดีและมีน้ำใจอย่างเจนรบเป็นการตอบแทน สำหรับลิซ่าแล้ว เจนรบเป็นลูกค้าเกรดเอที่มีความเป็นสุภาพบุรุษและให้เกียรติเธอเสมอ แม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าเธอทำงานในสถานที่ที่สังคมส่วนใหญ่มักจะมองในแง่ลบ

“เฮียคะ…” ลิซ่าเริ่มเปิดประเด็นด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “ลิซ่าอยากเจอเฮียข้างนอกบ้างจังเลยค่ะ”

“เจอกันในนี้ก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?” เจนรบตอบกลับไป

“ลิซ่าแค่รู้สึกว่าการที่เราเจอกันที่นี่มันดูอึดอัดไปหน่อยค่ะ” สาวสวยหุ่นดีตอบด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนา “ลิซ่าอยากเจอเฮียที่อื่นบ้างนะคะ เฮียจอมของลิซ่า”

“เจอกันแค่ที่นี่ก็ดีแล้วลิซ่า” หนุ่มใหญ่อธิบายด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เฮียต้องทำงานที่ต้องออกหน้าออกตาในวงสังคม ความจริงเฮียก็ไม่ได้รังเกียจหนูหรอกนะลิซ่า แต่เฮียไม่สะดวกจริงๆ”

“งั้นก็ไม่เป็นไรค่ะเฮีย” ลิซ่ายิ้มหวานพร้อมกับหลับตาพริ้มซบลงบนแผงอกกว้างของเจนรบ “ลิซ่าแค่อยากจะบอกความจริงบางอย่างให้เฮียรู้ เฮียจะไม่เชื่อก็ได้นะคะ แต่ในชีวิตของลิซ่า ลิซ่าไม่เคยเจอสุภาพบุรุษที่แสนดีเหมือนเฮียมาก่อนเลยจริงๆ ค่ะ”

เจนรบยิ้มให้กับคำหวานของสาวอ่างอย่างลิซ่า เขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับมันมากนัก แต่สุดท้ายด้วยความที่กลัวว่าลิซ่าซึ่งเป็นคนโปรดของเขาจะรู้สึกน้อยใจ หนุ่มใหญ่จึงมอบรางวัลพิเศษให้กับเธออย่างเต็มที่

เมื่อแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย ลิซ่าก็เดินควงแขนเจนรบ หนุ่มใหญ่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีเทา กางเกงสแล็คสีดำ และรองเท้าหนังคัตชูสีดำออกมาจากห้องนอนเพื่อไปส่งลูกค้าคนสำคัญคนนี้ที่โรงจอดรถ

“ขับรถปลอดภัย กลับบ้านดีๆ นะคะ” ลิซ่าโบกมือลาลูกค้าชั้นเยี่ยมของเธอด้วยรอยยิ้มหวาน

เมื่อแสงไฟท้ายรถยนต์ของเจนรบเลือนหายไปในความมืดยามค่ำคืนบนท้องถนน รอยยิ้มบนใบหน้าของลิซ่าเองก็เหือดแห้งหายไปในบัดดล “ไอ้แก่บ้านี่มันไม่โง่เลยจริงๆ ให้ตายสิ! เซ็ง!”

ตัดมาที่ปวีณา สาวน้อยพยายามรวบรวมสติและทบทวนเรื่องราวทั้งหมดอีกครั้ง เธอตระหนักดีว่าหน้าที่สำคัญที่สุดของเธอในตอนนี้คือการตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ครั้งสุดท้ายที่เธอได้พูดคุยกับลุงจอม เธออยู่ในช่วงใกล้สอบกลางภาค ด้วยความกังวลว่าผลการเรียนจะออกมาไม่ดี ลูกปลาจึงตั้งใจอ่านหนังสือและทบทวนบทเรียนอย่างหนักเพื่อเตรียมตัวสอบให้ดีที่สุด

ตอนแรกเธอแอบหวังว่าลุงจอมจะติดต่อกลับมาบ้าง แต่แล้วความหวังนั้นก็เลือนหายไป เมื่อเวลาผ่านไปโดยไม่มีแม้แต่ข้อความหรือโทรศัพท์จากเขา ทำให้เด็กสาวรู้สึกน้อยใจอยู่บ้าง เธอจึงตัดสินใจว่าเมื่อสอบเสร็จสิ้น เธอจะเดินทางไปหาลุงจอมด้วยตัวเองถึงสำนักงานทนายความของเขาที่ตั้งอยู่ในย่านลาดพร้าว ซึ่งเธอได้ค้นหาข้อมูลมาจากเพจเฟซบุ๊กของสำนักงานทนายความเจนรบนั่นเอง

คำปฏิเสธของลุงจอมในวันนั้นยังก้องอยู่ในหู แต่ส่วนลึกในใจเธอกลับไม่เชื่อ... มันต้องมีเหตุผลอื่นแน่นอน เธอสัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่เขามีให้เธอเช่นกัน... ไม่ยอมแพ้หรอก เธอจะไปหาเขา ไปคุยให้รู้เรื่อง

ปวีณาไม่อยากปล่อยให้ความรู้สึกที่ยังคงค้างคาอยู่ในใจต้องจบลงโดยที่เธอไม่ได้ทำอะไรเลย หลังจากการสอบในคาบสุดท้ายเสร็จสิ้นลง ในวันรุ่งขึ้น สาวน้อยนั่งรถไฟฟ้าบีทีเอสมาลงที่สถานีลาดพร้าว จากนั้นก็นั่งรถประจำทางปรับอากาศตามเส้นทางถนนลาดพร้าวที่มุ่งตรงไปยังเขตบางกะปิ จนกระทั่งในที่สุดรถเมล์ก็จอดสนิทที่ป้ายรถประจำทางใกล้กับจุดหมายปลายทางของเธอ เด็กสาวหน้าตาน่ารักในชุดเสื้อยืดแขนยาวสีฟ้าอ่อน กางเกงยีนส์สีเข้ม สวมรองเท้าผ้าใบสีขาว เดินลงมาจากรถเมล์แล้วเดินลึกเข้าไปในซอยเล็กๆ จนกระทั่งพบกับป้ายชื่อสำนักงานทนายความเจนรบที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า

“สวัสดีค่ะ มาพบใครคะน้อง?” เจ้าหน้าที่ต้อนรับของสำนักงานทนายความเจนรบทักทายสาวน้อยหน้าตาสดใสที่เดินสะพายกระเป๋าเป้เข้ามาในอาคารด้วยรอยยิ้ม

“เอ่อ…ลุงจอม” ปวีณาชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนคำพูด “ไม่สิคะ ทนายเจนรบอยู่ไหมคะ?”

“อ๋อ!!! คุณจอมเหรอคะ?” เจ้าหน้าที่ต้อนรับสาวส่งยิ้มหวานให้ “คุณจอมยังไม่เข้ามาเลยค่ะน้อง เดี๋ยวอีกสักพักคงจะเข้ามาที่ออฟฟิศ น้องนั่งรอคุณจอมก่อนก็ได้นะคะ”

“ค่ะ ขอบคุณค่ะ” ปวีณายิ้มตอบอย่างสุภาพ ก่อนจะเดินไปนั่งรอที่เก้าอี้รับรอง เธอเหลือบมองนาฬิกาแขวนผนังที่บอกเวลาเกือบเก้าโมงเช้า ลูกปลาตัวน้อยนั่งรอคอยคุณลุงใจดีอย่างอดทนจนกระทั่งล่วงเลยไปถึงช่วงสายของวัน

เก้าโมง... สิบโมง... บ่ายโมง... บ่ายสอง... เวลผ่านไปช้าเหลือเกิน ความหวังเริ่มริบหรี่ลงพร้อมกับท้องที่เริ่มร้องประท้วง แต่ปวีณาก็ยังคงนั่งรอ... แค่ได้เห็นหน้าเขาอีกครั้ง แค่ได้คุยกันตรงๆ อีกสักครั้ง เธอจะรอ...

“สงสัยวันนี้คุณจอมอาจจะมีธุระข้างนอกนะคะ จะให้น้องฝากเบอร์ติดต่อของคุณจอม หรือจะฝากข้อความอะไรไว้ก็ได้นะคะ เดี๋ยวถ้าคุณจอมเข้ามาที่ออฟฟิศ พี่จะเอาไปให้คุณจอมเองค่ะ”

เจ้าหน้าที่ต้อนรับสาวเสนอความช่วยเหลือด้วยความเป็นมิตร

“ไม่เป็นไรค่ะ หนูรอได้ค่ะ” ปวีณายิ้มอย่างมีหวัง ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเล่นเกมปลูกผักเพื่อฆ่าเวลาและคลายความเบื่อหน่ายระหว่างรอคอย

เด็กสาวนั่งรอคุณลุงใจดีจนกระทั่งถึงเวลาบ่ายสองโมง เธอเริ่มรู้สึกท้อแท้และหิวข้าวเล็กน้อย เมื่อเหลือบมองนาฬิกาบนเพดาน พี่สาวพนักงานต้อนรับก็หันมายิ้มให้เธออย่างเห็นใจ ในใจก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเด็กสาวคนนี้มีความสัมพันธ์พิเศษอย่างไรกับคุณเจนรบ

ในที่สุด การรอคอยที่ยาวนานของปวีณาก็สิ้นสุดลง เมื่อประตูห้องทำงานของเจนรบเปิดออก พร้อมกับการปรากฏตัวของทนายความหนุ่มใหญ่

“คุณแม่งไม่มืออาชีพเอาเสียเลยว่ะ! ทุเรศที่สุด!” เจนรบสบถออกมาด้วยความหัวเสีย ใส่ทนายความคู่กรณีอีกฝ่ายผ่านทางโทรศัพท์มือถือด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่น “คุณคิดว่าเรากำลังเล่นขายของกันอยู่หรือไง? คุณเป็นทนายความนะเฮ้ย! ไม่ใช่เด็กอมมือที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว หัดทำตัวให้มันเป็นมืออาชีพหน่อยสิ! บ้าเอ้ย! มีแต่เรื่องอารมณ์เสียทั้งวัน!”

“เอ่อ…คุณจอมคะ” พนักงานสาวเรียกชื่อเจ้านายด้วยน้ำเสียงเกรงใจ “น้องคนนี้มาขอพบค่ะ น้องเขามารอคุณจอมตั้งแต่เช้าแล้วค่ะ”

“หนูปลา…” ใบหน้าที่เคยเคร่งเครียดของเจนรบพลันคลายลงอย่างรวดเร็ว ราวกับได้รับยาชูกำลัง เพราะเขาไม่คาดคิดว่าจะได้พบกับนางฟ้าตัวน้อยอย่างปวีณาที่นี่ ส่วนเด็กสาวเองก็ส่งยิ้มหวานตอบกลับมาด้วยความดีใจ เพราะในที่สุดการรอคอยที่แสนยาวนานของเธอก็สิ้นสุดลงเสียที

เจนรบโกหกพนักงานในออฟฟิศไปว่าปวีณาเป็นญาติจากต่างจังหวัดที่มาเยี่ยมเยียน แล้วขอตัวพาเด็กสาวไปส่งที่บ้าน แต่ในความเป็นจริงแล้วความสัมพันธ์ของทั้งคู่ลึกซึ้งกว่านั้นมากนัก เด็กสาวนั่งอยู่บนเบาะข้างคนขับ โดยมีลุงจอมเป็นสารถี เป้าหมายของทั้งคู่คือห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งหนึ่ง

“ทำไมถึงทำแบบนี้ปลา?” เจนรบเอ่ยปากถามเด็กสาวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “อย่างน้อยถ้าคิดจะมาหาลุง ก็น่าจะโทรศัพท์มาบอกลุงก่อน”

“ก็ลุงไม่เคยติดต่อกลับมาหาหนูเลยนี่คะ” ลูกปลาตัดพ้อด้วยความน้อยใจ “หนูก็เลยตัดสินใจมาหาลุงที่นี่ด้วยตัวเองซะเลย”

“ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ ถ้าจะมาก็โทรมาบอกลุงก่อน” ลุงจอมบ่นด้วยความเป็นห่วง “เผื่อบางทีลุงมีธุระข้างนอก มันจะเสียเวลาเอา”

คำตอบของลุงจอมนั้น ทำให้เด็กสาวแอบอมยิ้มอยู่ในใจ เพราะเชื่อว่าลุงจอมยังมีเยื่อใยอยู่

“เดี๋ยวลุงจะพาหนูไปหาอะไรอร่อยๆ กิน แล้วลุงจะแวะพาหนูไปส่งที่หอพักนะ” เจนรบหมุนพวงมาลัยรถเลี้ยวเข้าไปในลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าชื่อดัง ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินออกมาจากโรงจอดรถ เจนรบพาเด็กสาวไปกินร้านสเต็กบนชั้นบนสุดของห้าง จากนั้นก็พาเดินเล่นชมบรรยากาศโดยรอบห้างเพื่อเป็นการย่อยอาหาร

เจนรบพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด ชวนคุยเรื่องทั่วไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ในใจกลับว้าวุ่น เขาไม่ควรปล่อยให้ตัวเองอยู่ใกล้ชิดกับเธอแบบนี้อีก แต่พอเห็นแววตาอ้อนวอนและความตั้งใจของเธอ เขาก็ใจแข็งปฏิเสธไม่ลง... แค่กินข้าว เดินเล่น คงไม่เป็นไรน่า... เขาบอกตัวเอง แต่รู้ดีว่ากำลังโกหกหัวใจตัวเองอยู่

ปวีณาดูมีความสุขมากในทุกขณะเวลาที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับเจนรบ หากมองจากภายนอก คนทั่วไปคงคิดว่าทั้งคู่น่าจะเป็นพ่อลูกกันเสียมากกว่า แต่ในความเป็นจริงแล้วความสัมพันธ์ของทั้งสองนั้นลึกซึ้งเกินกว่านั้นมากนัก

“คุณลุงคะ รีบตามมาสิคะ เร็วเข้า!” ปวีณาหันไปบอกสุภาพบุรุษวัยกลางคนด้วยรอยยิ้มสดใส โดยที่เด็กสาวไม่มีวันรู้เลยว่าในขณะนั้น ภายในหัวใจของเจนรบกำลังเต้นรัวจนแทบหลุดออกมาจากอกเสียให้ได้

เจนรบไม่อยากทำลายบรรยากาศที่แสนสุขนี้ จึงทำเพียงแค่พยักหน้ายิ้มอ่อน ให้กับน้องปลา จนกระทั่งถึงเวลาที่เหมาะสม เจนรบตั้งใจจะขับรถพาหลานสาวคนสวยไปส่งที่หอพักแถวอารีย์

“พรุ่งนี้หนูมีธุระอะไรหรือเปล่า?” เจนรบชำเลืองมองเด็กสาวที่นั่งอยู่ ด้วยความเป็นห่วง

“ไม่มีค่ะ พรุ่งนี้วันอาทิตย์ หนูไม่มีเรียนค่ะ” ปวีณาตอบด้วยรอยยิ้ม

“งั้นเหรอ?” เจนรบพยักหน้า ในใจของเขารู้สึกตื่นเต้นจนหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ และเขาเชื่อว่าน้องปลาก็คงจะรู้สึกไม่แตกต่างกัน

ระหว่างที่ขับรถพาสาวน้อยไปส่งที่หอพักตามถนนสายหลักในช่วงหัวค่ำของคืนวันเสาร์ เจนรบรู้สึกอึดอัดใจอย่างประหลาดที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับเด็กสาวสองต่อสองในรถยนต์คันเล็กเช่นนี้ หากมีใครภายนอกมองเข้ามา ก็คงจะเห็นว่าในขณะนี้เจนรบกำลังเหงื่อซึมด้วยความตื่นเต้น ทั้งที่เครื่องปรับอากาศในรถก็ยังคงทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ ในขณะที่ลูกปลาตัวน้อยอย่างปวีณาเองก็พยายามทำตัวให้เป็นปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นกัน ทั้งที่ในใจของเธอก็กำลังเต้นถี่รัวจนแทบจะทะลุออกมาจากอก

“ลุงจอมร้อนเหรอคะ?” เพราะสังเกตเห็นว่าคุณลุงเจนรบมีเหงื่อผุดพรายออกมาตามไรผม ทำให้ปวีณาอดสงสัยไม่ได้ จึงถามออกไปตามตรงด้วยความเป็นห่วง

“นิดหน่อยจ๊ะ” เจนรบตอบด้วยน้ำเสียงที่พยายามควบคุมให้เป็นปกติ

“แอร์รถคุณลุงก็เย็นสบายดีนี่คะ” ปวีณาส่งยิ้มหวานให้เขา

ให้ตายเถอะ อย่ายิ้มแบบนั้นได้ไหมหนูปลา ลุงขอร้อง! จะทำอย่างไรดีนะ จะทำอย่างไรดี

“ลุงจอมคะ ลุงจอมจะรังเกียจไหมคะ ถ้าวันหลังหนูมาหาลุงจอมอีก” ลูกปลาเอ่ยถามด้วยท่าทางประหม่าแต่ยังมีความกล้าอยู่

“ถ้ามีธุระอะไรก็มาได้เสมอจ๊ะ” เจนรบตอบด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้ดูเป็นปกติที่สุด

“ไม่ค่ะ หนูหมายถึงเป็นการส่วนตัว….” ปวีณาเน้นเสียงหนักแน่นขึ้น

“ลูกปลา ลุงขอร้องล่ะ อย่าทำแบบนี้เลย!” เจนรบดุเด็กสาวด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความอ่อนใจ

“หนูแค่อยากมาเจอลุง…” ปวีณาตัดพ้อด้วยความน้อยใจ น้ำเสียงของเธอสั่นเครือ น้ำตาเริ่มเอ่อคลอ “หนูมานั่งรอลุงตั้งแต่เช้าเพราะอยากเจอหน้าลุง อยากคุยกับลุงให้รู้เรื่อง แต่ลุงกลับผลักไสหนู... หนูผิดมากใช่ไหมคะ!! ที่รักลุง!! ที่อยากจะอยู่ใกล้ลุง!! ถ้าลุงรังเกียจหนูขนาดนั้น ทำไมไม่บอกมาตรงๆ ตั้งแต่แรก!! ล้อเล่นกับหัวใจเด็กมันสนุกเหรอไง!!”

“ทำไมต้องทำถึงขนาดนี้ลูกปลา?” เจนรบหันไปพูดกับเด็กสาวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “หนูรู้ไหมว่าลุงเองก็รู้สึกไม่ต่างจากหนูเหมือนกัน ลุงเองก็เจ็บปวดไม่น้อยไปกว่าหนูหรอกนะ หนูไม่รู้เลยใช่ไหมว่าลุงต้องพยายามอดกลั้นความรู้สึกดีๆ ที่มีให้หนูมากแค่ไหน เพราะหนูเป็นลูกสาวของเพื่อนสนิทของลุง!”

“แล้วมันยังไงกันล่ะคะ? เราไม่ได้เป็นลุงหลานกันจริงๆ สักหน่อย ไม่ได้เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดแม้แต่น้อย หนูเป็นแค่ลูกสาวของเพื่อนลุง เพื่อนลุงก็คือคุณพ่อของหนู เพราะเรื่องนี้ หนูเลยไม่มีสิทธิ์รักลุงอย่างนั้นเหรอคะ!?” เด็กสาวตัดพ้อด้วยความเสียใจ “ก็ได้ค่ะ หนูจะไม่มาเจอลุงอีกแล้ว ให้หนูลงตรงนี้เลยก็ได้ค่ะ”

“ไม่เอานะปลา! หยุดเดี๋ยวนี้! มันอันตราย!” เจนรบต้องรีบคว้าแขนของลูกปลาที่กำลังปลดเข็มขัดนิรภัยเพื่อเตรียมเปิดประตูลงจากรถยนต์ที่กำลังติดอยู่บนท้องถนนในเมืองหลวงอย่างหนักหน่วง สุดท้ายกลับกลายเป็นสุภาพบุรุษทนายความเสียเองที่ต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ต่อกระแสแห่งความรัก เจนรบปลดล็อกเข็มขัดนิรภัยของตัวเอง เพื่อให้ง่ายต่อการเอื้อมตัวไปดึงแขนของเด็กสาวเข้ามากอดปลอบประโลม

“ฮือ…” ลูกปลาตัวน้อยปล่อยโฮออกมาด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งเสียใจกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น และดีใจที่ในที่สุดลุงจอมก็ยอมรับความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองเสียที

“ลุงขอโทษนะ….” เจนรบกระชับอ้อมกอดสาวน้อยให้แน่นขึ้นเพื่อปลอบโยน “ลุงขอโทษนะหนูปลา ขอโทษจริงๆ”

ภาพน้ำตาและความเจ็บปวดของปวีณามันบีบคั้นหัวใจเขาจนแทบแหลกสลาย กำแพงเหตุผลที่สร้างมาพังทลายลงในพริบตา เขาไม่อาจทนเห็นเธอเสียใจเพราะเขาได้อีกแล้ว... ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร เขาจะเห็นแก่ตัวเพื่อหัวใจตัวเองสักครั้ง! พอแล้ว... ลุงยอมแพ้แล้วปลา... ลุงยอมแล้ว

ในที่สุด เจนรบก็ไม่ได้ขับรถพาปวีณาไปส่งที่หอพักแถวอารีย์ หนุ่มใหญ่ตัดสินใจเลี้ยวรถเข้าไปในซอยหมู่บ้านจัดสรรของตนเอง ซึ่งปวีณาก็ไม่ได้ทัดทานหรือคัดค้านแต่อย่างใด เพราะเธอตั้งใจมาพบกับลุงจอมถึงที่นี่ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

เจนรบขับรถพาปวีณามาจอดที่หน้าบ้านของตัวเอง เมื่อก่อนเขาเคยอาศัยอยู่กับพ่อและแม่ แต่ตอนนี้ท่านทั้งสองได้จากโลกนี้ไปหมดแล้ว เหลือเพียงแค่เขาที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่เพียงลำพัง ก่อนที่คุณแม่ของเจนรบจะเสียชีวิต ท่านได้ขอร้องให้เจนรบหาคู่ครองเป็นตัวเป็นตนเสียที ด้วยความเป็นห่วงว่าลูกชายคนเดียวของบ้านจะไม่มีใครดูแลในยามแก่เฒ่า

ในตอนนั้นเจนรบเพิ่งจะอายุสี่สิบปี เขาตอบตกลงไปเช่นนั้นเพียงเพื่อให้คุณแม่สบายใจ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้คิดจริงจังกับการหาคู่ครอง เพราะมัวแต่ทุ่มเทเวลาให้กับงานและช่วยเหลือสังคมต่อไป จนกระทั่งเขาได้มาพบกับลูกปลา ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเขาก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

สาวน้อยทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟารับแขกในบ้านของเจนรบ มันเป็นบ้านที่ดูสวยงาม แต่กลับดูทรุดโทรมและสกปรกเล็กน้อยเนื่องจากขาดการดูแลเอาใจใส่ เจนรบใช้มันเป็นเพียงสถานที่สำหรับพักผ่อนนอนหลับแล้วตื่นเช้าออกไปทำงานเท่านั้น

ทั้งคู่นั่งห่างกันคนละมุมโซฟา แม้จะยอมรับความรู้สึกกันแล้ว แต่บรรยากาศยังคงมีความประหม่าและความเงียบงันปกคลุมอยู่ เจนรบไม่รู้จะเริ่มต้นบทสนทนาอย่างไร ส่วนปวีณาก็ลอบมองชายสูงวัยข้างๆ ด้วยหัวใจที่เต้นระรัว... นี่คือบ้านของเขา ที่ที่เธอไม่เคยคิดว่าจะได้เข้ามาในฐานะนี้

“บ้านลุงอาจจะรกไปหน่อยนะ ลุงไม่ค่อยมีเวลาดูแลเท่าไหร่ น่าอายจริงๆ” เจนรบยิ้มอย่างอ่อนโยน ขณะที่เดินไปหยิบขวดน้ำเปล่าจากตู้เย็นมาส่งให้กับเด็กสาวที่นั่งอยู่บนโซฟารับแขก

“ลุงอยู่บ้านคนเดียวเหรอคะ?” ปวีณาถามด้วยความเป็นห่วง

“ใช่…” เจนรบทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟารับแขกอีกฝั่งหนึ่งอย่างเกรงใจ แม้ว่าในใจของเขาจะปรารถนาอยากนั่งเคียงข้างสาวน้อยปวีณามากเพียงใดก็ตาม

“ลุงใช้ชีวิตแบบนี้ได้ยังไงกันคะเนี่ย!” ปวีณาร่ายยาวด้วยความเป็นห่วง “นี่ขอโทษนะคะ ลุงอายุห้าสิบกว่าแล้ว ยังไม่มีภรรยาหรือลูก แถมยังอยู่บ้านคนเดียวแบบนี้ แล้วถ้าวันหนึ่งลุงเกิดล้มป่วยขึ้นมา ใครจะดูแลลุงล่ะคะ?”

“ก็ไม่รู้สิ…” เจนรบสารภาพตามตรงด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเหงา “ทุกวันนี้ลุงก็ภาวนาไม่ให้เกิดเรื่องแบบนั้นอยู่เหมือนกัน”

“ลุงจอมคะ…” สาวน้อยหน้าหวานมองหน้าคุณลุงใจดีของเธอด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใย “หนูรู้นะคะว่าลุงยังคงเจ็บปวดกับเรื่องของคุณพ่อและคุณแม่ของหนู แต่หนูอยากให้ลุงปล่อยวางมันลงนะคะ เพื่อที่ตัวลุงเองจะได้มีความสุขบ้างนะ”

“ลุงก็มีความสุขดีอยู่นี่ไง….” เจนรบพยายามตอบด้วยรอยยิ้ม แต่ใบหน้าและนัยน์ตากลับฉายแววความอ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัด

“ไม่จริง! ลุงจอมโกหก!” ปวีณาส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อ “ลุงแค่แกล้งทำเหมือนตัวเองมีความสุขต่างหาก!”

“ฉลาดเหมือนแม่หนูไม่มีผิด…” เจนรบยิ้มอย่างเอ็นดู “ความฉลาดแบบนี้ได้มาจากเปิ้ล ไม่ใช่ไอ้ภาคแน่นอน” เจนรบเปิดฝาขวดน้ำขึ้นดื่มเพื่อดับกระหาย

“ลุงจอมคะ?” ปวีณาเรียกด้วยน้าเสียงแผ่วเบา แต่แฝงความแน่วแน่ ถึงความปรารถนาของตน

“จ๊ะ?” เจนรบขานรับ มองใบหน้าที่แดงระเรื่อของเด็กสาวอย่างรอฟัง

“หนู…หนูรู้ว่ามันอาจจะไม่เหมาะสม…แต่ความรู้สึกที่หนูมีให้ลุงตอนนี้...หนูทนเก็บไว้คนเดียวไม่ไหวแล้วค่ะ” ปวีณาเอ่ยปากด้วยท่าทางเขินอาย แต่ดวงตาสบตาเจนรบอย่างจริงจัง “หนูอยากอยู่ใกล้ลุง...มากกว่านี้...อยากเป็น...เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของหนูนะคะ…” น้ำเสียงตอนท้ายแผ่วลง แต่แววตายังคงสื่อความหมายชัดเจนถึงความต้องการผูกพันที่ลึกซึ้ง

“หนูปลา…” สุภาพบุรุษหนุ่มใหญ่อย่างเจนรบถึงกับนิ่งเงียบไปในทันที หัวใจเต้นแรงกับคำสารภาพที่ตรงไปตรงมาและแสนจะเปราะบางนั้น เด็กสาวนั่งตัวเกร็งเล็กน้อย ดวงตาเริ่มคลอหน่วยด้วยความรู้สึกที่ท่วมท้น เจนรบสังเกตเห็นว่าใบหน้าของสาวน้อยแดงก่ำลามไปถึงใบหู เธอดูรวบรวมความกล้ามาอย่างมากเพื่อพูดสิ่งนี้

มันเป็นเรื่องยากเหลือเกินที่ต้องต่อสู้กับความรู้สึกที่ขัดแย้งกันอยู่ในใจ ไม่ใช่ว่าเจนรบไม่รู้สึกหวั่นไหวกับน้องปลา ความรู้สึกหนักแน่นนั้นมันจุกอยู่ที่อก เพียงแต่เจนรบจำเป็นต้องแยกแยะให้ได้ว่าอะไรคือความรัก และอะไรคือความหลง เขาควรจะใช้ความถูกต้องเป็นตัวตัดสิน หรือปล่อยให้ความรู้สึกนำพาไป

“ลุงจอม…” ปวีณามองหน้าหนุ่มใหญ่ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความออดอ้อน “รักปลาไหมคะ?”

“รักสิ…” เจนรบสารภาพออกมาจากใจจริง “ลุงจะบอกความจริงให้หนูรู้นะ ว่าหลังจากที่ลุงผิดหวังจากเปิ้ล แม่ของน้องปลา ลุงเสียใจมาก ก็เลยให้สัญญากับตัวเองว่าจะไม่รักผู้หญิงคนไหนอีก ทำแต่งาน ทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ลืมความผิดหวังครั้งนั้น จนกระทั่งลุงได้เจอกับหนูปลา ทุกอย่างในชีวิตของลุงก็เปลี่ยนไป”

“หนูไม่อยากให้ลุงคิดว่าหนูเป็นตัวแทนของคุณแม่…” สาวน้อยสารภาพด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง “หนูอยากให้ลุงรักหนูในฐานะที่หนูคือปลา ปวีณา ไม่ใช่คุณแม่ของหนู แม่เปิ้ล ปิยะวรรณ ได้ไหมคะ?”

หนุ่มใหญ่รู้สึกจุกแน่นอยู่ในอกอย่างบอกไม่ถูก มันช่างเป็นช่วงเวลาที่แสนหวานแต่กลับแฝงไปด้วยความเจ็บปวด หากหญิงสาวตรงหน้าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่คนใกล้ชิด คนอย่างเจนรบคงจะไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย เพียงแต่หญิงสาวตรงหน้าก็คือปวีณา ลูกสาวของ เพื่อนสนิทที่เขารัก

“ลุงจอมคะ…ปีนี้หนูอายุยี่สิบปีแล้วนะคะ” ปวีณาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “ลุงไม่ต้องกลัวหรอกนะคะว่าลุงจะโดนข้อหาพรากผู้เยาว์ สบายใจได้นะคะ”

“ฮึ…” เจนรบถึงกับหลุดหัวเราะออกมา จนเผยให้เห็นแผงฟันขาว เพราะไม่คาดคิดว่าสาวน้อยจะพูดอะไรที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้ “เรื่องนั้นลุงรู้ดี แต่ว่า…”

เด็กสาวไม่อยากรั้งรอให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์อีกต่อไปแล้ว เพราะการรอคอยมันช่างทรมานเหลือเกิน ปวีณาขยับตัวเข้ามานั่งบนตักของทนายความหนุ่มใหญ่ แล้วเอื้อมมือทั้งสองข้างโอบรอบคอของเจนรบ สาวน้อยจ้องมองเข้าไปในดวงตาของลุงจอมด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรักและความปรารถนา

“ในสายตาลุง หนูอาจจะยังดูเด็กเกินไป” ปวีณาจ้องมองใบหน้าของเจนรบอย่างแน่วแน่ “แต่สำหรับหนู หนูคิดว่าหนูโตพอจะรักใครสักคนได้อย่างหมดหัวใจแล้ว ลุงจอมรู้ไหมคะ ว่าหนูน่ะแอบรักลุงมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่หนูยังเป็นเด็ก เป็นความรักที่บริสุทธิ์ของเด็กสาวคนหนึ่งที่มีให้กับผู้ใหญ่ที่น่าเคารพนับถือ แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว หนูไม่ใช่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ อีกต่อไปนะคะลุง หนูเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ตกหลุมรักลุงหมดทั้งหัวใจแล้วนะ”

“หนูพูดแบบนี้ ลุงก็เขินแย่เลยสิ” ริ้วรอยแห่งวัยบนใบหน้าของเจนรบยิ่งปรากฏชัดเจนขึ้นเมื่อเขาส่งยิ้มหวานให้กับเด็กสาว โลกสีเทาที่เขาเผชิญหน้ามาตลอดสามสิบกว่าปีเริ่มกลับมาสดใสอีกครั้งด้วยพลังแห่งความรักจากลูกปลาตัวน้อยอย่างปวีณา

“หนูจะบอกอะไรให้อีกอย่างนะคะ ลุงน่ะเคยแอบเข้ามาส่องเฟซบุ๊กหนูแล้วเผลอไปกดไลก์รูปหนูตอนกลางคืนใช่มั้ยล่ะคะ?” ปวีณาที่กำลังนั่งอยู่บนตักของเจนรบยิ้มหวานอย่างรู้ทัน

“ตายแล้ว…ความลับของลุงแตกเสียแล้วสิ” ลุงจอมยิ้มเขินด้วยความอาย เมื่อรู้ว่าสาวน้อยรับรู้ถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้

“นะคะลุง…” ปวีณาออดอ้อนหนุ่มใหญ่ด้วยน้ำเสียงหวานซึ้ง สาวน้อยโน้มศีรษะลงซบที่ซอกคอของทนายเจนรบอย่างแสนรัก “หนูรักลุงนะคะ หนูมั่นใจแล้วว่าความรู้สึกที่หนูมีให้ลุงเป็นความจริง ลุงคงจะไม่รังเกียจหนูใช่ไหมคะ?”

“ไม่เลยจ๊ะ…” เจนรบตอบด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น กลิ่นกายหอมหวานของสาวน้อยช่างเย้ายวนใจ บรรยากาศในยามค่ำคืนก็แสนเป็นใจ แถมในบ้านหลังนี้ก็ไม่มีใครอยู่นอกจากเขาทั้งสองคนเส้นด้ายแห่งศีลธรรมที่คอยเหนี่ยวรั้งทนายความผู้รักความยุติธรรมเอาไว้ใกล้จะขาดสะบั้นลงทุกที

ในที่สุด เจนรบก็คิดหาวิธีประคับประคองสถานการณ์นี้ไว้ได้ ในเมื่อเขาทั้งสองไม่อาจต่อต้านกระแสแห่งความเสน่หาที่กำลังลุกโชนอยู่ในขณะนี้ได้ แต่อย่างน้อยที่สุด สุภาพบุรุษลูกผู้ชายอย่างเจนรบก็จะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้นางฟ้าตัวน้อยของเขาต้องแปดเปื้อนมลทินให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้

“ลุงรักหนูนะน้องปลา…” เจนรบสารภาพความจริงจากหัวใจ “ลุงจะมอบความรักที่แสนหวานและงดงามที่สุดเท่าที่คนอย่างลุงจะสามารถมอบให้กับผู้หญิงที่สวยที่สุดในชีวิตของลุงอย่างหนูเป็นสิ่งตอบแทนนะ”

“ค่ะ…” ลูกปลาตัวน้อยยิ้มหวานแก้มแดงระเรื่อ ขณะที่กำลังถูกเจนรบอุ้มขึ้นมาจากโซฟา หนุ่มใหญ่อุ้มเด็กสาวขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน ปวีณาหลับตาพริ้มด้วยความเขินอาย หัวใจของเธอเต้นแรงระรัว ใบหน้าของเธอแดงก่ำราวกับลูกตำลึง เมื่อรู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่อึดใจ

จะไม่มีการสอดใส่ จะไม่มีการรุกล้ำเข้าไปในร่างกายของเด็กสาว เจนรบคิดอย่างหนักแน่น เขาตั้งใจว่าจะสวมถุงยางอนามัยแล้วสัมผัสเธออย่างอ่อนโยนจากภายนอกเท่านั้น จะไม่ล่วงล้ำเข้าไปภายในโดยเด็ดขาด จนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม หรือเพื่อเก็บรักษาสิ่งสำคัญของน้องลูกปลา

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ปวีญา...ฉันรักเธอ   ตอนพิเศษ 3 : บททดสอบของหัวใจ

    เวลาผ่านไปอีกราวสองปี น้องอุ้มบุญ กันยกร ในวัยสามขวบ กำลังอยู่ในช่วงวัยแห่งการเรียนรู้และพลังงานอันล้นเหลือ บ้านหลังใหญ่ของเจนรบและปวีณาที่เคยมีแต่ความสงบ (หรือความหวานชื่นของคู่รัก) บัดนี้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ เสียงร้องไห้ เสียงเรียก “พ่อจ๋า” “แม่จ๋า” และเสียงวิ่งตึงตังของเจ้าตัวเล็กที่พร้อมจะสำรวจโลกกว้างตลอดเวลาเช้าวันเสาร์ เจนรบในวัยใกล้จะเกษียณอายุราชการ ถ้าหากเขารับราชการ แต่ในความเป็นจริงคือทนายความอาวุโสชื่อดังวัย 56 ปี ตื่นขึ้นมาด้วยเสียงเล็กๆ ที่ดังอยู่ข้างเตียง“พ่อจ๋า...ตื่น...เล่น...” น้องอุ้มบุญในชุดนอนลายการ์ตูน กำลังใช้มือป้อมๆ เขย่าแขนพ่อปลุก ดวงตากลมใสแป๋วแหววไร้เดียงสา“อุ้มบุญเหรอลูก?” เจนรบลืมตาขึ้น ปากก็ยิ้มรับลูกสาว แต่ร่างกายกลับประท้วงเบาๆ ด้วยความปวดเมื่อยหลังจากโหมงานเอกสารและเตรียมตัวสำหรับรายการทีวีมาทั้งสัปดาห์ “จ๊ะลูก...พ่อตื่นแล้ว...แต่อุ้มบุญให้พ่อพักอีกแป๊บได้ไหมจ๊ะ?”“ม่ายอาววว...เล่นเยย...” เด็กน้อยไม่ยอมง่ายๆ เริ่มปีนขึ้นมาบนเตียง ทิ้งตัวลงบนอกพ่ออย่างแรง“โอ๊ย!! จุกนะลูก!!” เจนรบร้องเบาๆ แต่ก็อดหัวเราะไม่ได้ คว้าตัวลูกสาวมากอดฟัด จั๊กจี้จนเสียงห

  • ปวีญา...ฉันรักเธอ   ตอนพิเศษ 2 : หนึ่งปีแห่งความสุข

    เวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผ่านไปอย่างรวดเร็ว เผลอเพียงชั่วพริบตาเดียว นางฟ้าตัวน้อยของบ้านทนายเจนรบและปวีณา—เด็กหญิงกันยกร หรือน้องอุ้มบุญ—ก็อายุครบหนึ่งขวบพอดิบพอดี จากทารกน้อยที่นอนร้องไห้จ้าอยู่ในอ้อมแขน วันนี้กลายเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่เริ่มตั้งไข่ หัดเดินเตาะแตะ และส่งเสียงอ้อแอ้เรียก “ป้อ” “แม่” ได้เป็นคำๆ สร้างความสุขและความมีชีวิตชีวาให้กับบ้านหลังใหญ่ที่เคยเงียบเหงาได้อย่างน่าอัศจรรย์“ป้อ!! ป้อ!! แม่!!”“น่ารักน่าชังจริง ๆ ลูกพ่อ!!”“หนึ่งขวบแล้วน๊า น้องอุ้มบุญ!!”เช้าวันเกิดขวบปีแรกของน้องอุ้มบุญอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของแพนเค้กฟักทองเนื้อนุ่มที่ปวีณาตั้งใจทำให้ลูกสาวเป็นมื้อพิเศษ เจนรบนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร สายตาจับจ้องมองสองแม่ลูกด้วยแววตาที่เปี่ยมสุข หนึ่งปีที่ผ่านมา เขาแทบไม่เชื่อว่าชีวิตของตัวเองจะเปลี่ยนแปลงไปได้มากขนาดนี้ จากทนายความผู้เคยใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว มีแต่งานเป็นเพื่อน ตอนนี้เขากลายเป็น “พ่อ” เต็มตัว เป็นสามีของหญิงสาวที่เขารักสุดหัวใจ และเป็นโลกทั้งใบของเด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังใช้มือเล็กๆ พยายามหยิบแพนเค้กเข้าปากอย่างเงอะงะ“ค่อย ๆ ซิจ๊ะลูกแม่ เลอะหมดแล้วเห็นไหม” ปวี

  • ปวีญา...ฉันรักเธอ   ตอนพิเศษ 1 : ความสุขที่รอคอย

    พาดหัวข่าวตัวไม้บนหน้าหนังสือพิมพ์บันเทิงหลายฉบับ และฟีดข่าวที่ร้อนแรงในโลกโซเชียลมีเดีย ต่างประโคมข่าว ‘วิวาห์หวานชื่น…ทนายดังต่างวัยคว้าลูกสาวเพื่อนสนิทเข้าประตูวิวาห์’ ภาพของเจนรบ ทนายความชื่อดังขวัญใจคนยากจน วัย 54 ปี ในชุดสูทสีขาวสะอาดตา ยืนเคียงข้าง ปวีณา เจ้าสาวแสนสวยวัย 22 ปี ทายาทคนเล็กของนักธุรกิจรีสอร์ตหรูแห่งเชียงเหนือ ในชุดไทยล้านนาประยุกต์อันงดงาม กลายเป็นประเด็นทอล์คออฟเดอะทาวน์เพียงชั่วข้ามคืนคอมเมนต์หลั่งไหลเข้ามามากมายราวกับสายน้ำหลาก บ้างแสดงความยินดี บ้างตั้งคำถามถึงความเหมาะสม บ้างก็อดอิจฉาเจ้าบ่าวสูงวัยที่ได้ภรรยาสาวสวยราวกับนางฟ้ามาครองไม่ได้“อิจฉาคนแก่ว่ะ! มีดีอะไร สาวสวยถึงได้ยอมแต่งด้วย?”“สายเปย์รึเปล่า? แต่บ้านฝ่ายหญิงก็รวยนะ”“ไม่แน่...ฝ่ายชายอาจจะเกาะฝ่ายหญิงก็ได้ ใครจะรู้”“หรือว่าเขารักกันจริงๆ ความรักมันไม่เกี่ยวกับอายุหรอกน่า อย่าคิดอกุศลเลย”เจนรบและปวีณาเตรียมใจรับมือกับกระแสสังคมเหล่านี้ไว้แล้ว ทั้งคู่เลือกให้สัมภาษณ์กับสื่อเพียงไม่กี่แห่งเท่าที่จำเป็น โดยเน้นย้ำถึงความรักความเข้าใจที่ทั้งสองมีให้กัน และการยอมรับจากครอบครัวทั้งสองฝ่าย พวกเขาไม่ได

  • ปวีญา...ฉันรักเธอ   ตอนที่ 10 : เข้าถ้ำเสือ

    “ทำไมหนูไม่บอกพ่อกับแม่ล่ะว่าจะทำงานอยู่กรุงเทพ?” เจนรบเอ่ยปากถามปวีณา“หนูบอกแล้ว แต่พ่อกับแม่ไม่ยอม” ปวีณาตอบ “ลุงจะให้หนูทำยังไงละคะ?”ปวีณาบอกกับเจนรบว่าหลังจากเรียนจบปริญญาตรีแล้ว ภาคภูมิและปิยะวรรณเรียกเธอกลับไป ช่วยงานธุรกิจรีสอร์ตทางบ้านที่เชียงใหม่ระหว่างรอรับปริญญาตรีและไปเรียนต่อปริญญาโทที่ อเมริกา เจนรบเริ่มรู้สึกว่ามันคือแผนการที่เพื่อนรักทั้งสองคิดเอาไว้ คือไม่ปฏิเสธ การคบหากันของเจนรบและปวีณา แต่จะใช้วิธีแยกให้คนทั้งคู่ห่างกันไปเรื่อยๆ จนท้ายที่สุดเจนรบและปวีณาก็ห่างจนต่อกันไม่ติดในวันสุดท้ายก่อนออกเดินทาง ภาคภูมิส่งคนมาช่วยขนของกลับบ้านที่เชียงใหม่ และไม่เปิดโอกาสให้ปวีณาได้ร่ำลาเจนรบ ทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว ช่วงเวลาที่แสนหวานของเจนรบและปวีณากำลังจะจบลง แต่โชคยังดีที่มีสื่อโซเชียล เลยทำให้เจนรบและปวีณาได้พูดคุยกันผ่านทางไลน์ เด็กสาวบอกกับเจนรบว่าพ่อกับแม่ต้องการให้เธอไปช่วยงานธุรกิจที่บ้านระหว่างรอรับปริญญา“ลุงจอม…” ปวีณาไลน์คุยกับเจนรบ “หนูว่าพ่อกับแม่กำลังพยายามกีดกันหนูจากลุง”“ไม่ต้องกลัวนะปลา” เจนรบไลน์ตอบ “ลุงจะขึ้นไปเชียงใหม่อีกครั้ง ไปคุยกับไอ้ภาคและเปิ้ล ลุง

  • ปวีญา...ฉันรักเธอ   ตอนที่ 9 : อยากรักก็ต้องเสี่ยง

    ตอนนี้ปวีณากำลังศึกษาอยู่ในคณะนิเทศศาสตร์ สาขาการประชาสัมพันธ์ในชั้นปีที่สี่ อีกแค่เพียงปีเดียวเท่านั้น สาวน้อยก็จะเรียนจบในระดับชั้นปริญญาตรี และเตรียมพร้อมสู่การเดินทางไปศึกษาต่อในระดับปริญญาโทที่สหรัฐอเมริกาภาคภูมิและปิยะวรรณตัดสินใจครั้งสำคัญด้วยการยอมเปิดทางให้เจนรบและปวีณาได้คบหากัน พอได้รับไฟเขียวจากเพื่อนรักและอดีตแฟนเก่าเช่นนั้น เจนรบก็รับปากว่าจะขอดูแลลูกปลาเป็นอย่างดี และจะรอคอยจนกว่าเธอจะเรียนจบปริญญาโท เมื่อถึงตอนนั้น คู่สามีภรรยาทั้งสองถึงจะยินยอมให้เจนรบและปวีณาได้ครองคู่กันฟังดูความรักระหว่างเจนรบและปวีณากำลังไปได้สวย แต่ว่าด้วยระยะทางและภาระหน้าที่ของแต่ละคน เจนรบวุ่นวายกับการเดินทางไปถ่ายทำรายการกฎหมายน่ารู้ทางโทรทัศน์ และล่าสุดเจนรบได้เปิดช่องยูทูบเพื่อทำเรื่องราวเกี่ยวกับกฎหมายเพื่อให้ความรู้ผู้คนทั่วไปเพื่อหารายได้เสริม ส่วนหนังสือกฎหมายที่เพิ่งตีพิมพ์ ก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากคนอ่าน ด้วยภาษาเขียนที่อ่านแล้วเข้าใจง่าย ก็เลยทำให้หนังสือกฎหมายของเจนรบได้รับการตีพิมพ์เป็นครั้งที่สองและสามตามลำดับฝ่ายเจนรบเอง ก็ครุ่นคิดว่าช่วงนี้แทบไม่ได้เจอปลาเลย งานของเขาก็ยุ่ง ส

  • ปวีญา...ฉันรักเธอ   ตอนที่ 8 : เงื่อนไขของพ่อกับแม่

    หลังจากสอบเสร็จปลายภาคในช่วงชั้นปีที่สาม เจนรบตัดสินใจแล้วว่าเขาจะไม่รอให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์อีกต่อไป หนุ่มใหญ่ตัดสินใจเดินทางจากกรุงเทพมหานครมุ่งตรงสู่เชียงใหม่ เพื่อพูดคุยกับเพื่อนรักทั้งสองอย่างตรงไปตรงมาเสียที“ลุงจอม? ไหนลุงว่าจะรอให้หนูเรียนจบปริญญาตรีก่อนไง?” ปวีณาที่กลับเชียงใหม่ไปก่อนแล้วถึงกับตกใจ เมื่อทราบข่าวว่าลุงจอมตัดสินใจจะเดินทางตามมาด้วยเพื่อพูดคุยกับภาคภูมิและปิยะวรรณถึงเรื่องขอหมั้นหมายกับเธอก่อน “ถ้าพ่อกับแม่หนูรู้ หนูตายแน่!!”“ไม่ต้องกลัวหรอก ลุงคิดว่าไอ้ภาคกับเปิ้ลน่าจะมีเหตุผลพอ” เจนรบตอบ ขณะกำลังเตรียมขึ้นเครื่องบินที่สนามบินดอนเมือง “แค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวลุงต้องขึ้นเครื่องก่อน แล้วเจอกันที่เชียงใหม่นะคนดีของลุง”สุดท้ายปวีณาก็ไม่อาจทัดทานความต้องการของเจนรบได้ สาวน้อยเลยเอาเรื่องนี้ไปคุยกับปิยะวรรณผู้เป็นแม่ ที่รับรู้ทุกอย่างและมีเหตุผลมากพอที่จะรับฟังเธอ“มีอะไรเหรอจ๊ะปลา?” ปิยะวรรณที่กำลังง่วนอยู่กับการตรวจเอกสารในห้องทำงานของตัวเองเอ่ยปากถามลูกสาว“เอ่อ…หนูมีเรื่องสำคัญจะมาบอกแม่ค่ะ” ปวีณาเดินเข้ามาด้วยท่าทีอ้อยอิ่ง ก่อนทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status