เว่ยเจี้ยนป๋อรีบไปตัดไม้มาทำคานหาม เหลียนอี้ปิงเองก็รีบกุลีกุจอเข้าไปช่วยอีกแรง ด้วยความร่วมมือของทั้งสองคนไม่นานหมูดำตัวเขื่องก็ถูกมัดเท้าทั้ง 4 ข้างเข้ากับไม้ จากนั้นทั้งสองคนยกขึ้นพาดบ่าทันที
เว่ยเจี้ยนป๋อกับเหลียนอี้ปิงรีบหามหมูดำออกจากป่าทันทีโดยมีเว่ยจื้อโหยวแบกหมูดำที่มีขนาดตัวใหญ่กว่าตัวที่พ่อกับลุงของนางหาม เว่ยจื้อโหยวสาวเท้าเดินออกจากป่าด้วยความเร่งรีบ นางจะรีบออกจากป่าเพื่อที่จะได้นำหมูป่าไปขายในวันนี้ ถ้าหากนำไปขายในวันพรุ่งนี้นางกลัวว่าหมูดำจะไม่สดและกลัวว่าราคาจะไม่ดี
“ท่านพ่อเจ้าคะ ไหวหรือไม่เจ้าคะ แล้วท่านลุงเล่าเจ้าคะไหวไหม”
“ไหว ๆ พวกเราไหว อาโหยวไม่ต้องเป็นห่วง รีบเดินเถอะลูก”
“ท่านพ่อเจ้าคะ ข้าคิดว่าท่านพ่อกับท่านลุงควรจะเดินไปที่บ้านท่านยายเลยนะเจ้าคะ ให้ชาวบ้านได้เห็นว่าวันนี้ท่านพ่อกับท่านลุงได้หมูดำมา เวลาบ้านเรามีเงินขึ้นมาชาวบ้านจะได้ไม่ต้องมาตั้งข้อสงสัย ส่วนข้าจะกลับไปรอที่บ้าน ท่านพ่อค่อยเอาเกวียนมารับหมูดำอีกตัวไปขายด้วยกัน”
“ได้ ตกลงตามนั้น พี่ใหญ่เห็นด้วยหรือไม่ขอรับ”
“ข้าเห็นด้วย เดิมทีชาวบ้านพวกนี้ก็อิจฉาตาร้อนอยู่แล้วจะได้ไม่ต้องมีคนเอาไปพูดในทางที่ไม่ดี”
“เช่นนั้นตกลงตามนี้นะเจ้าคะท่านพ่อ”
เว่ยเจี้ยนป๋อกับเหลียนอี้ปิงช่วยกันหามหมูดำตัวใหญ่เดินกลับบ้านด้วยความเร่งรีบ ระหว่างทางมีชาวบ้านเห็นทั้งสองคนไม่น้อย จากนั้นก็เกิดเสียงซุบซิบนินทากันเกิดขึ้น
บ้างก็อิจฉาในวาสนาของทั้งสองคน บ้างก็อยากจะทำใจกล้าเข้าป่าลึกไปล่าหมูป่ามาขายบ้าง แต่ไม่ว่าใครจะมีความคิดเห็นเช่นไรนับว่าวันนี้สิ่งที่พวกเขาต้องการสำเร็จแล้ว ชาวบ้านพวกนี้เรื่องซุบซิบนินทานั้นไวยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง
ใช้เวลาไม่นานทั้งสองคนก็กลับมาถึงบ้าน จากนั้นจึงนำหมูดำไปวางเอาไว้บนเกวียน เหลียนอี้ปิงที่วางหมูลงแล้วเขารีบไปนำล่อทั้งสองตัวมาเทียมเข้ากับเกวียนจากนั้นให้เว่ยเจี้ยนป๋อไปบอกคนในบ้านว่าพวกเขาจะเข้าเมืองไปเอาของไปขายอีกครั้งอาจจะกลับมามืดค่ำ
เพราะครั้งนี้เว่ยจื้อโหยวจะเดินทางเข้าเมืองไปกับท่านพ่อด้วย เว่ยเจี้ยนป๋อที่ห่วงความปลอดภัยของน้องสาวน้องชายลูกเขยจึงได้บอกให้เด็กทั้งสองคนอยู่กินข้าวเย็นเสียที่นี่ รอให้เว่ยจื้อโหยวกลับมาจากในเมืองเสียก่อนจึงค่อยกลับบ้านไปพร้อมกับนาง ซึ่งเด็กทั้งสองคนก็เข้าใจและทำตามด้วยความเต็มใจ
“พี่สะใภ้ ข้ากับพี่ใหญ่จะเข้าเมืองไปอีกรอบนะขอรับ แล้วก็อาโหยวฝากเด็กทั้งสองกินมื้อเย็นที่นี่ด้วย หลังจากกลับจากขายของในเมืองแล้วนางถึงจะมารับทั้งสองคนกลับด้วยตัวเอง หากพวกเรากลับมาไม่ทันมื้อเย็นก็ไม่ต้องรอนะขอรับ ฝากบอกภรรยาข้าด้วย”
“ได้ ๆ เจ้ารีบไปเถอะประเดี๋ยวจะกลับมืดค่ำเอาได้”
เหลียนอี้ปิงขับเกวียนเทียมล่อออกจากบ้านมุ่งหน้าไปยังบ้านของหลานสาวทันที เมื่อมาถึงเว่ยจื้อโหยวยกหมูดำขึ้นวางจากนั้นก็คลุมด้วยเสื่อไม้ไผ่ทับอีกที
เหลียนอี้ปิงเมื่อเห็นหลานสาวนั่งเรียบร้อยแล้วก็ออกเดินทางทันที เขาเร่งล่อให้วิ่งเร็วขึ้นและเจ้าสองตัวก็ไม่ทำให้ผิดหวัง แม้ว่าบนเกวียนจะมีคนถึงสามคนนั่งอยู่และยังมีหมูดำทั้งสองตัวที่น้ำหนักตัวรวมตัวกันได้เกินกว่าพันชั่ง
“หากเรารีบไปตอนนี้เราจะกลับถึงบ้านก่อนเวลากินข้าวเย็น แต่ถ้าหากลูกต้องการซื้อของเราจะกลับบ้านไม่ทันมื้อเย็นแถมยังจะกลับบ้านค่ำมืดและอันตรายมาก”
“ข้าไม่ต้องการซื้ออันใดเจ้าค่ะท่านพ่อ แล้วเมล็ดผักของข้าท่านพ่อซื้อให้ข้าแล้วหรือยังเจ้าคะ”
“พ่อซื้อแล้ว แต่ลืมเอาให้เจ้า เอาไว้กลับถึงบ้านแล้วพ่อจะหยิบมาให้นะ”
“ขอบคุณท่านพ่อเจ้าค่ะ”
ใช้เวลาไม่นานเกวียนเทียมล่อก็มาถึงประตู เมื่อทำการจ่ายเงินค่าผ่านประตูคนละ 2 อิแปะแล้ว เหลียนอี้ปิงก็บังคับเกวียนมุ่งหน้าไปยังเหลาอาหารทันที
เมื่อเสี่ยวเอ้อร์ที่ทำหน้าที่รับซื้อของจากชาวบ้านเห็นเหลียนอี้ปิงขับเกวียนมาแต่ไกล เสี่ยวเอ้อร์ไม่รอช้ารีบวิ่งไปตามหลงจู๊มาทันที หลงจู๊เองพอทราบว่าเหลียนอี้ปิงนำของมาขายอีกรอบเขาก็ออกไปรอด้วยความตื่นเต้น
“คารวะหลงจู๊ขอรับ เหตุใดท่านถึงมาอยู่ตรงนี้เล่า แขกในเหลาไม่ยุ่งหรือขอรับ”
“ไม่เป็นไร มีคนดูแลอยู่ ว่าแต่พวกเจ้ากลับมารอบนี้ได้อะไรดี ๆ มาให้ข้าใช่หรือไม่”
“ย่อมเป็นเช่นนั้นขอรับ”
“เช่นนั้นมีอะไรมา เอาออกมาให้ข้าดูเร็วเข้า”
“นี่ขอรับ” เว่ยเจี้ยนป๋อเลิกเสื่อไม้ไผ่ขึ้น ทำให้หลงจู๊ที่มองมาต้องตกใจตาโตอ้าปากกว้าง
"นะ .นะ… นี่มันหมูป่าดำ หมูป่าดำจริง ๆ ด้วย ขอบใจมาก ขอบใจพวกเจ้าจริง ๆ ถือว่าพวกเจ้าได้ช่วยเหลาอาหารและข้าเอาไว้ได้มาก พวกเจ้าไม่ต้องห่วงข้าย่อมให้ราคาที่น่าพอใจแก่พวกเจ้าได้เลย หมูป่าดำนี้ข้าให้ช่างละ 10 ตำลึงเงิน พวกเจ้าจะว่าอย่างไร"
“ตกลงขอรับหลงจู๊”
จากนั้นเสี่ยวเอ้อร์จึงช่วยกันยกหมูดำสองตัวลงจากรถล่อ เพื่อนำไปชั่งน้ำหนักเมื่อชั่งเสร็จแล้วจึงแจ้งน้ำหนักของหมูทั้งสองตัวให้กับหลงจู๊ทราบเพื่อจะได้คิดเงินให้กับทั้งสามคนได้
“หลงจู๊ขอรับทั้งหมด 1500 ชั่งขอรับ”
“ทั้งหมด 1500 ชั่ง ชั่งละ 10 ตำลึงเงิน คิดเป็นเงินทั้งหมด 150 ตำลึงทอง เจ้ารอข้าสักครู่ ข้าจะไปนำตั๋วเงินมาให้”
ใช้เวลาไม่นานหลงจู๊ก็กลับออกมาพร้อมตั๋วเงินในมือ อีกทั้งพวกเขาแจ้งกับหลงจู๊ว่าตอนเช้าจะยังส่งปลาและสัตว์ป่าต่าง ๆ ให้ตามปกติ แต่การเข้าป่าล่าสัตว์ใหญ่คงต้องรอให้ปลูกผักเสร็จก่อน
หลงจู๊เองก็เข้าใจถึงอย่างไรหมูดำอีกตั้งสองตัว คงขายได้อีกหลายวัน เมื่อจ่ายเงินให้กับเหลียนอี้ปิงแล้ว หลงจู๊ก็ไม่รั้งให้พวกเขาอยู่อีกต่อไป
“ท่านพ่อเรารีบกลับกันเถอะเจ้าค่ะ”
“ได้ กลับบ้านกัน พี่ใหญ่ออกเกวียนเลยขอรับ”
ทั้งสามคนมุ่งหน้ากลับบ้าน เว่ยจื้อโหยวนั้นนำธนูติดตัวมาด้วย นางกลัวว่าระหว่างทางกลับบ้านจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น การมีอาวุธป้องกันตัวถือว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสม
“ท่านพ่อ พรุ่งนี้ข้าอยากให้ท่านกับท่านลุงไปซื้อที่ดินเพิ่มเจ้าค่ะ ส่วนข้าเองก็จะซื้อที่ดินที่ติดกับบ้านสามีของข้าเพิ่มเช่นเดียวกัน แต่ว่ายังไม่ใช่ตอนนี้เจ้าค่ะ”
“ได้ พ่อเองก็อยากสร้างบ้านแล้วเหมือนกัน เกรงใจท่านลุงกับป้าสะใภ้ของเจ้า”
“เจ้าค่ะท่านพ่อ หากว่าเราสร้างบ้านตอนนี้ก็ดีนะเจ้าคะ สร้างบ้านเสร็จก่อนที่จะเข้าฤดูหนาวจะได้ไม่ลำบากเจ้าค่ะ”
“ข้าเห็นด้วยกับอาโหยวนะ ถ้าเงินไม่พอมาเอาเงินที่ข้าไปก่อนได้ ข้ายังไม่ได้จำเป็นต้องใช้เงินตอนนี้”
“ขอบคุณพี่ใหญ่มากขอรับ”
กลับมาถึงบ้านเหลียนอี้ปิงจัดการแบ่งเงินออกเป็นสามส่วนเท่า ๆ กัน ตอนนี้ในมือของพวกเขามีเงินอยู่ไม่น้อย พรุ่งนี้เขาและน้องเขยจะไปซื้อที่ดินเพิ่ม และหาช่างมาสร้างบ้านให้กับครอบครัวของน้องเขยด้วย ส่วนบ้านใหญ่เหลียนเพียงซ่อมแซมเล็กน้อยเท่านั้น เพราะบ้านหลังนี้เพิ่งสร้างได้ไม่นาน
เว่ยจื้อโหยวที่วันนี้กินมื้อเย็นที่บ้านท่านยาย หลังจากกินข้าวอิ่มแล้ว นางพาน้องทั้งสองเดินกลับบ้านทันที กลับมาถึงบ้านต่างแยกย้ายกันไปอาบน้ำพักผ่อน
เช้าวันต่อมาเว่ยจื้อโหยวลุกจากที่นอนในเวลาเดิม จากนั้นนางล้างหน้าล้างตาไปตรวจดูกับดักที่วางเอาไว้ ส่วนท่านพ่อกับท่านลุงมาถึงแล้วและกำลังนำปลาขึ้นจากหลุมกับดัก เมื่อนำปลาขึ้นจากหลุมกับดักครบทุกหลุมแล้วก็พอดีกับที่เว่ยจื้อโหยวเดินกลับมาจากไปตรวจดูกับดัก วันนี้นางโชคไม่ดีเท่าไหร่ ได้ไก่ป่ามาเพียง 7 ตัวเท่านั้น
หลังจากส่งไก่ป่าที่ได้มาวันนี้ให้กับท่านพ่อแล้วเว่ยจื้อโหยวก็เข้าครัวไปทำอาหารรอน้อง ๆ เช่นเคย จากนั้นนางจึงไปตรวจดูเมล็ดผักที่นางแช่น้ำแร่เอาไว้ ปรากฎว่าเมล็ดผักเริ่มแตกหน่อแล้วนั่นย่อมหมายถึงว่าผักสามารถปลูกได้แล้ว
ยามเหม่าน้องทั้งสองตื่นขึ้นมาและจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้ว จึงได้มาล้อมวงกินมื้อเช้าด้วยความหิวโหย เมื่อวานพวกนางมัวแต่ตื่นเต้นที่ล่าหมูดำได้และนำไปขาย นั่นย่อมหมายถึงว่าบ้านของพวกนางตอนนี้ไม่ขาดแคลนเงินทอง
“พี่สะใภ้ เราจะเริ่มจากตรงไหนก่อนขอรับ”
“อาซวนเอาเมล็ดผักที่ข้าแช่น้ำเอาไว้ไปลงปลูกในแปลงก่อน”
“ขอรับพี่สะใภ้เชื่อใจข้าได้เลย รับรองข้าจะทำให้เต็มที่”
“เดี๋ยวก่อนอาซวน ข้าปลูกเองดีกว่า เจ้ากับอาเฟยไปตักน้ำมารดผักดีกว่า ข้าปลูกไม่นาน เรามีเมล็ดที่สามารถปลูกได้ไม่มาก เดี๋ยวปลูกเสร็จแล้วข้าจะไปช่วยตักน้ำมารดอีกแรง”
“เจ้าค่ะพี่สะใภ้”
“ขอรับ ข้าเข้าใจแล้ว”
ตลอดทั้งเช้า ทั้งสามคนช่วยกันปลูกผักและรดน้ำผัก จากนั้นเว่ยจื้อโหยวจึงไปตัดไม้ไผ่เพื่อมาสร้างเล้าไก่ นางตั้งใจว่าจะเลี้ยงไก่เอาไว้กินไข่ นางตั้งใจจะเลี้ยงไก่ป่ามานานเพียงแต่นางยังไม่ได้สร้างเล้าไก่เพียงเท่านั้น
วันนี้เมื่อมีเวลาว่างนางจึงสร้างเล้าไก่จากไม้ไผ่ โดยที่มีน้อง ๆ ทั้งสองคนช่วยเป็นลูกมือ ส่วนทางด้านท่านพ่อและท่านลุงเมื่อกลับจากส่งปลาในเมืองและแวะเอาเงินส่วนแบ่งมาให้นางแล้วทั้งสองคนก็ไปทำเรื่องติดต่อขอซื้อที่ดินที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้านทันที
การซื้อที่ดินเป็นไปอย่างราบรื่น ที่ดินหมู่ละ 3 ตำลึงเงิน ท่านพ่อของนางซื้อมา 20 หมู่ เป็นเงินเพียง 60 ตำลึงเงินเท่านั้น ส่วนท่านลุงซื้อเพิ่มอีก 20 หมู่เช่นเดียวกัน
หลังจากจัดการเรื่องที่ดินเรียบร้อยแล้วตอนนี้ถึงเวลาที่จะหาคนมาแผ้วถางที่ดินที่ซื้อมาใหม่ ท่านพ่อจึงถามหัวหน้าหมู่บ้านว่าพอจะหาคนมาช่วยแผ้วถางที่ดินผืนใหม่ของพวกเขาหรือไม่ โดยพวกเขาจ้างวันละ 50 อิแปะ
ค่าจ้าง 50 อิแปะถือว่ามากพอ ๆ กับการจ้างงานในเมืองเลยก็ว่าได้ หัวหน้าหมู่บ้านรับปากว่าพรุ่งนี้จะพาคนไปส่งยังที่ดินผืนใหม่ด้วยตัวเอง หลังจากท่านพ่อกล่าวขอบคุณหัวหน้าหมู่บ้านพร้อมค่าน้ำชาแก่หัวหน้าหมู่บ้านแล้วพวกเขาจึงเดินทางกลับบ้านทันที
หลังจากเหลียนอี้หลุนแต่งภรรยาเข้าบ้านได้ไม่นาน หยวนจิ้งเองก็พบรักเข้ากับหญิงสาวชาวบ้านคนหนึ่งในหมู่บ้านแถบชานเมือง นางเป็นบุตรสาวพรานป่าที่มีนิสัยใจคอกล้าหาญไม่ต่างไปจากน้องสะใภ้อย่างเว่ยจื้อโหยว ที่สำคัญนางเป็นคนจิตใจดี หยวนจิ้งแต่งภรรยาได้ไม่นาน ภรรยาของเขาก็ตั้งครรภ์ทันที ต่างจากอี้หลุนที่ไม่ว่าจะทำยังไง ภรรยาก็ยังไม่ตั้งครรภ์เสียที ส่วนภรรยาของกู้ตงและสหายทั้งสองตอนนี้ตั้งครรภ์แล้วเช่นเดียวกัน เว่ยจื้อโหยวเองก็กำลังจะคลอดในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ด้วยความพยายามของอี้หลุนในที่สุดภรรยาก็ตั้งครรภ์เสียที เซี่ยเหิงเองก็ไม่ยอมน้อยหน้าคนอื่น อ้ายหลินเองก็ท้องโตและกำลังใกล้คลอดตามเว่ยจื้อโหยวมาติด ๆ หมู่บ้านต้าลี่เจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อย ๆ เว่ยเจี้ยนป๋อได้เป็นบิดาของจอหงวนฝ่ายบุ๋น อวิ๋นเซียวนั้นมีน้องชายเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ อวิ๋นเฟยกับหย่งคังก็มีลูกชายหญิงให้บิดามารดาได้เลี้ยงหลานไม่เหงา ทำเอาลุงใหญ่อย่างเหลียนอี้ปิงอิจฉาตาร้อนไปหมดเจ้าแฝดต้าเป่ากับเสี่ยวเป่า หลังจากมารดาคลอดน้อง ๆ แล้วทั้งสองคนจะเข้าไปศึกษาที่เมืองหลวงตามที่รับปากกับท่านลุงเฟยหลงเอาไว้ เว่ยจื้อโหยวมีความสุขที่ได้อยู่กับลู
เหลียนอี้หลุนตอนนี้กำลังชั่งใจตัวเองอยู่ว่าจะทำตามใจตัวเองหรือจะยอมเดินออกมาอย่างเช่นที่เคยทำ ไม่ใช่ว่าเขาไม่พึงใจในตัวม่านหลิน เพียงแต่เขาคิดว่าตัวเองมีชาติกำเนิดต่ำต้อย บิดามารดาเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น เจ้าเมืองเตี้ยนถงเองไม่เคยคิดดูถูกชาติกำเนิดของเหลียนอี้หลุนอย่างที่ตัวอี้หลุนเข้าใจ ที่ฮูหยินท่านเจ้าเมืองกุเรื่องว่าจะให้ลูกสาวแต่งงานกับลูกชายของสหายของนางนั้นเพื่อกระตุ้นให้อี้หลุนรู้ใจตัวเองเพียงเท่านั้น เหลียนอี้หลุนทำหน้าที่คุ้มกันขบวนสินค้ามานานแล้วและนางเองก็รู้ดีว่าเขาพึงใจในตัวบุตรสาวคนเล็กของนาง ถึงแม้ว่าเขาไม่ได้แสดงออกโจ่งแจ้ง แต่คนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานเช่นนางกับสามีนั้นมีหรือจะไม่รู้ว่าชายหนุ่มคิดเช่นไรกับบุตรสาวของตัวเอง ม่านหลินนั้นตกหลุมรักเหลียนอี้หลุนตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบเขาเมื่อ 2 ปีก่อน ถึงในสายตาคนอื่นนางเป็นคุณหนูจวนขุนนางที่ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร นอกจากวิ่งออกไปเที่ยวตรงนั้นทีตรงนี้ที แต่ความจริงแล้วฝีมือการทำอาหาร งานเย็บปักและการต่อสู้ไม่ได้ด้อยเลย ม่านหลินเองก็เริ่มถอดใจแล้วเช่นเดียวกัน นางคิดว่าความพยายามของตัวเองไม่เป็นผลสำเร็จ ขนาดที่นาง
หมู่บ้านหนานซานตอนนี้ข่าวการกลับมาของสามสหายปากร้ายแห่งหมู่บ้านหนานซานที่กลับมาจากเมืองหลวงพร้อมทั้งนำภรรยากลับมาด้วยเป็นที่เลื่องลือไปสี่หมู่บ้านยี่สิบลี้เลยก็ว่าได้ชาวบ้านหลายคนต่างไม่อยากจะเชื่อว่าบุรุษปากคมเช่นสามคนนั้นจะสามารถแต่งภรรยาจากเมืองหลวงกลับมาได้ อีกทั้งเหล่าภรรยายังเป็นคุณหนูของตระกูลใหญ่ที่มาพร้อมกับสินเดิมมากมายและเช้าวันนี้หลังจากที่ส่งสามีออกไปทำงานแล้วเหล่าสะใภ้ทั้งสามก็นัดแนะกันเข้าป่าล่าสัตว์หาของป่าดังเช่นชาวบ้านทั่วไป ทั้งสามคนคิดว่าตัวเองตัดสินใจถูกแล้วที่แต่งงานมาอยู่หมู่บ้านหนานซานแห่งนี้“ท่านแม่ ท่านพ่อ พี่สะใภ้ข้าไปก่อนนะเจ้าคะ ป่านี้เสวี่ยเหลียนกับซินเหมยคงมารอแล้ว” ม่อจื่อ“จื่อเอ๋อร์ระวังตัวด้วยนะ อย่าเข้าป่าลึกมากนัก บ้านเราไม่ได้ขาดแคลนสิ่งใดอย่าทำอะไรให้ตัวเองตกอยู่ในอันตราย เข้าใจหรือไม่” แม่สามีบอกลูกสะใภ้ชาวเมืองอย่างอดเป็นห่วงไม่ได้“ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะท่านแม่ ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะเจ้าคะ ข้าจะดูแลตัวเองให้ดี”ผิงม่อจื่อหลังจากบอกลาแม่สามีแล้วก็มุ่งหน้ามาที่จุดนัดหมายที่มีสหายสองคนรออยู่ที่ทางขึ้นเขาท้ายหมู่บ้าน เส้นทางนี้ชาวบ้านในหมู่บ้า
หลังจากผ่านพ้นการแต่งงานแบบที่แปลกประหลาดไปแล้ว สี่หนุ่มแห่งหมู่บ้านต้าลี่ต่างได้ภรรยากลับไปฝากคนที่บ้านด้วยนอกเหนือจากของฝากที่พวกเขาซื้อเอาไว้มากมายเพราะทั้งสี่คนแต่งงานแล้วและภรรยายังตามสามีกลับไปด้วย ขากลับทำให้มีขบวนรถม้าเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัว เว่ยจื้อโหยวเองถึงแม้จะดีใจที่เจ้าพวกลิงทโมนทั้งสี่ในที่สุดก็รู้จักแต่งภรรยามีครอบครัวเสียทีจะได้ไม่ต้องรวมหัวกันไปทำเรื่องอะไรพิเรน ๆ อีก แต่ดูท่าทีภรรยาของแต่ละคนแล้ว เว่ยจื้อโหยวคิดว่าคงมีเรื่องปวดหัวตามมาอีกไม่น้อย “เดินทางปลอดภัยนะ อาเซียวน้องสะใภ้” เฟยหลง“ขอบคุณขอรับพี่รอง ท่านกลับไปดูแลพี่สะใภ้กับหลานชายเถอะไม่ต้องเป็นห่วง” อวิ๋นเซียว“เจ้าแฝดไม่อยู่กับลุงที่เมืองหลวงหรือ” เฟยหลงถามหลานชาย“ไม่ขอรับ ข้าจะไปช่วยท่านพ่อทำงาน เอาไว้ถึงเวลาเข้าสำนักศึกษาแล้วค่อยมาอยู่กับท่านลุงที่เมืองหลวงขอรับ แต่ต้องรอให้ท่านแม่มีน้องก่อนนะขอรับ เพราะหากพวกเราสองคนมาอยู่ที่เมืองหลวงข้ากลัวท่านแม่จะเหงา” ต้าเป่า“ได้ เช่นนั้นลุงรองจะสร้างเรือนเอาไว้ให้พวกเจ้าสองคนนะ เอาติดกับเรือนของน้องชายเลยดีหรือไม่”“ดีขอรับ ท่านลุงรักษาตัวด้วยนะขอรับ เอาไว้ต้าเ
เวลาผ่านไปอีกสองวันก็มีข่าวออกมาว่าชุยต้าหวังพร้อมนางจินซื่อถูกจับข้อหาร่วมมือกันทำให้อดีตภรรยาเอกถึงแก่ความตาย และยึดเอาสินเดิมภรรยาพร้อมทั้งใส่ความบุตรที่เกิดกับภรรยาเอกให้มีความผิดและส่งขายไปเป็นทาสหลวงหลังจากเจ้าหน้าที่ทางการสอบสวนแล้วนางจินซื่อสารภาพว่าเป็นคนวางยาอดีตภรรยาเอกเพื่อต้องการขึ้นมาเป็นภรรยาเอกแทน ส่วนชุยต้าหวังมีความผิดฐานยึดเอาสินเดิมภรรยาและขายลูกชายทั้งสี่ไปเป็นทาส ด้วยเหตุนี้นางจินซื่อมีโทษประหารข้อหาฆ่าคนตาย ชุยต้าหวังมีโทษจำคุก 30 ปี ส่วนลูกชายอย่างชุยตงหลางนั้นไม่ได้มีส่วนรู้เห็นกับเรื่องที่บิดามารดาได้กระทำลงไปจึงไม่มีความผิด ลูกสาวอย่างชุยรุ่ยเอ๋อร์นั้นมีส่วนรู้เห็นและร่วมมือกับมารดาทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายมีโทษจำคุกตลอดชีวิตเช่นเดียวกันทางการได้คืนสินเดิมของมารดาชุยต้าทั้งหมดให้กับพวกเขาสี่พี่น้อง ชุยต้าเองย่อมรู้ว่าเป็นฝีมือของฮูหยิน แต่พวกเขาไม่ยินดีที่จะอยู่เมืองหลวงอีกต่อไป เพราะต่างก็ตั้งใจลงหลักปักฐานที่หมู่บ้านต้าลี่แล้ว ชุยต้ากลับไปคงต้องคุยกับพี่น้องของตัวเองเรื่องสินเดิมมารดาที่เหลือไม่มากแล้วเพราะตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา ชุยต้าหวังและนางจินซื่
หย่งซีและชุยต้ากลับมาถึงจวนแม่ทัพพร้อมกับที่เว่ยจื้อโหยวกลับมาจากวังหลวงเช่นเดียวกัน หย่งซีใบหน้าบูดบึ้งเดินกระแทกเท้าตึง ๆ เข้าไปหาพี่สาวเพื่อบอกกับนางว่าเขาและชุยต้าถูกคนรังแกอย่างไรบ้าง“เป็นอะไรเสี่ยวซีทำไมหน้าตาบูดบึ้งเช่นนั้น ใครทำอะไรให้โมโหมาหรือ” เว่ยจื้อโหยวถามน้องชาย“ก็วันนี้ข้าไปเดินเที่ยวตลาดในเมืองมาแล้วไปเจอยายป้าปากแดงอยู่ ๆ ก็เข้ามาด่าว่าพี่ชายชุยต้ากับข้า แถมยังบอกว่าพี่ชายชุยต้าเป็นอดีตพี่ชายของนาง เท่านั้นยังไม่พอนางยังด่าว่าเป็นทาสด้วย เป็นทาสอะไรกันไม่ได้เป็นทาสเสียหน่อย”“ใครกันน่ะ เหตุใดถึงได้กล้าด่าคนอื่นกลางตลาดขนาดนั้น ไม่กลัวคนอื่นจะมองไม่ดีแล้วไม่มีใครมาสู่ขอหรือ แถมเป็นสตรีด้วย”“ข้าไม่รู้หรอกพี่ใหญ่ รู้แค่ว่านางไม่สวย ทาหน้าขาวโพลนแถมยังปากแดงอีกด้วย ใครจะไปสนใจกันว่านางเป็นใคร ไม่ได้รู้จักแต่เข้ามาด่า นางบอกว่าพี่ชุยต้าเป็นอดีตพี่ชาย”“สรุปที่เจ้าโมโหขนาดนี้ แม่นางผู้นั้นด่าเจ้าหรือด่าชุยต้า” “ด่าข้าด้วย ด่าพี่ชายชุยต้าด้วย นางด่าข้าว่าไอ้เด็กเหลือขอ พ่อแม่ไม่สั่งสอน” หย่งซีหน้างอตอบพี่สาว“ตกลง ตกลง ข้าเข้าใจแล้ว เดี๋ยวจะไปถามชุยต้าเดี๋ยวพี่สาวจะจัดก