Home / แฟนตาซี / วิถีสุริยะพิชิตเวหา / บทที่ 5 ตำราติวสอบใครก็อยากซื้อ

Share

บทที่ 5 ตำราติวสอบใครก็อยากซื้อ

จางอี้หมิงเดินวนไปมาภายในบ้านพักขนาดกะทัดรัดของเขา ใช้ความคิดอย่างจริงจัง 

“การสอบเข้าสำนักนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้เข้าสอบต้องแสดงให้เห็นถึงความรู้ในศาสตร์ต่างๆ และความสามารถในการต่อสู้ด้วย แต่ว่าซงเอ๋อร์นั้นอ่านออกเขียนได้เพียงเล็กน้อย และความสามารถทางการต่อสู้นั้น…นางคุ้นเคยกับการใช้มีดทำครัวเสียมากกว่า”

จางอี้หมิงถอนหายใจยาวขณะมองออกไปนอกหน้าต่าง พลันสมองเขาก็แล่นวาบขึ้นมา 

“ใช่แล้ว!” 

เขาอุทานเสียงดัง พร้อมเดินตรงไปยังมุมหนึ่งของห้องที่มีกระจกคันฉ่องวิเศษตั้งอยู่

เขาเอื้อมมือไปลูบกรอบคันฉ่อง กระจกวิเศษบานนี้เป็นสมบัติของสำนัก มีคุณสมบัติพิเศษที่สามารถติดต่อกับผู้คนได้โดยไม่ต้องใช้พลังปราณเวท จางอี้หมิงสูดลมหายใจลึกก่อนจะยกมือโบกเบาๆ เหนือพื้นผิวกระจก คันฉ่องเปล่งแสงเล็กน้อยก่อนภาพของบุคคลหนึ่งปรากฏขึ้น

“ซ่งอิน!” 

จางอี้หมิงเอ่ยชื่อคนในกระจกด้วยรอยยิ้ม ซ่งอินเป็นศิษย์ระดับสามของสำนักเทียนหยางและยังเป็นน้องชายคนสนิทที่เขาพึ่งพาได้ในเรื่องบางอย่าง

“ศิษย์พี่!”

ซ่งอินกล่าวพร้อมหัวเราะ “ข้าคิดว่าท่านสิ้นชื่อไปแล้วเสียอีก!” น้ำเสียงของเขาฟังดูขี้เล่นปนล้อเลียนเล็กน้อย

“เจ้าลูกเต่านี่คิดสาปแช่งข้า”จางอร้หมิงลอบคิดในใจ

“หายดีแล้ว ขอบใจที่เป็นห่วง” จางอี้หมิงตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้ามีเรื่องอยากรบกวนเจ้า”

“เรื่องอะไรล่ะ?” ซ่งอินตอบกลับอย่างรวดเร็ว

จางอี้หมิงเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะพูดตรงประเด็น “ข้าอยากให้เจ้าหาข้อสอบเข้าสำนักเทียนหยางมาให้ข้าสักชุดหนึ่ง”

ซ่งอินฟังแล้วถอนหายใจหนักๆ “ศิษย์พี่ นี่เป็นความลับของสำนัก ข้าจะเอามาให้ท่านได้อย่างไร?”

จางอี้หมิงยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้ามีห้าตำลึงเงิน เจ้าคิดว่าเป็นไง?”

เมื่อได้ยินคำว่า "ห้าตำลึงเงิน" ดวงตาของซ่งอินในคันฉ่องก็เป็นประกายทันที เขาเกาหัวพลางพูดอย่างลังเล “จะว่าไป ข้าก็มีสำเนาข้อสอบอยู่ชุดหนึ่งพอดี เหมือนของจริงทุกประการ เพียงแต่…

“หนึ่งตำลึงทอง!” จางอี้หมิงตอบกลับ

“ตกลง! ข้าจะไปทันที”

ภาพในคันฉ่องค่อยๆ เลือนหายไป จางอี้หมิงยืนอยู่หน้ากระจกด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ “เพียงแค่ข้าทำเฉลยส่งไปให้ท่านพ่อ แค่นั้นทุกอย่างก็เรียบร้อย”

จากนั้นจางอี้หมิงก็ดำเนินการตามแผนงาน ก่อนเป่านกหวีดเรียกเหยี่ยวมาตัวกนึ่ง นำเอกสารเฉลยใส่กล่องผูกขานกไป จากนั้นเหยี่ยวก็บินทะยานกลับบ้านสกุลจางทันที

หลังจากที่จางอี้หมิงส่งเฉลยข้อสอบผ่านเหยี่ยวกลับบ้านไปเพื่อช่วยซงเอ๋อร์ เขายังรู้สึกไม่พอใจอยู่เล็กน้อยเมื่อคิดว่าเขาเสียเงินถึงหนึ่งตำลึงทองเพื่อแลกข้อสอบ หากซงเอ๋อร์คนงามไม่มาสอบก็เท่ากับเสียเงินเปล่า

“ไม่! ข้าเสียแค่พลังปราณ แต่ไม่ได้เสียสติปัญญาเสียหน่อย” เขาพึมพำกับตัวเองก่อนจะมีความคิดใหม่ผุดขึ้นในหัว 

“ถ้าข้าทำโจทย์เลียนแบบข้อสอบจริง แล้วขายตำราพร้อมเฉลยล่ะ? ใช่! ข้าจะได้เงินกลับมาด้วย!”

ความคิดนี้ทำให้เขารู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาทันที จางอี้หมิงไม่รอช้า เขานั่งเขียนต้นฉบับตำราขึ้นมาอย่างละเอียดโดยอิงจากข้อสอบจริงที่ได้มา พร้อมเฉลย ใช้เวลาทั้งคืนในการจัดทำตำราเล่มแรกจนเสร็จสมบูรณ์

ในตอนเช้า จางอี้หมิงเรียกซ่งอิน ศิษย์น้องที่เคยช่วยเขาหาข้อสอบมาพบอีกครั้ง ซ่งอินปรากฏตัวด้วยท่าทางสบายๆ พร้อมรอยยิ้มกวนๆ ตามปกติ

“ศิษย์พี่ มีเรื่องอะไรอีกรึ?” ซ่งอินถาม

“ข้ามีงานให้เจ้าทำ” จางอี้หมิงตอบ “เจ้าช่วยทำสำเนาตำราเล่มนี้ให้ข้าสัก 30 ฉบับ”

ซ่งอินหยิบตำราไปพลิกดูคร่าวๆ ก่อนเลิกคิ้วสูง “ตำราติวสอบเข้าสำนักเทียนหยาง? ท่านคิดจะทำอะไรอีกแล้วล่ะ?”

“ขายสิ! แต่ก่อนอื่น เจ้าต้องช่วยข้าก่อน” จางอี้หมิงพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

ซ่งอินทำหน้าท่าจะปฏิเสธ “ศิษย์พี่ ข้ากลัวมีปัญหากับสำนัก”

จางอี้หมิงยิ้มบางๆ ก่อนจะทวงบุญคุณทันที “อย่าลืมสิว่า ใครกันที่สอนเจ้าใช้เวทอักษรจนชำนาญ? ถ้าไม่ใช่ข้า เอางี้ ข้ามีส่วนแบ่งให้เจ้าเป็นไง”

คำพูดนี้ทำให้ซ่งอินจำต้องยอมช่วยอย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะหยิบกระดาษ 30 แผ่นมาวางซ้อนกัน ใช้พู่กันและพลังเวทอักษรของเขาคัดลอกตำราทั้งเล่มในครั้งเดียว พริบตาเดียว ตำราฉบับเหมือนจริง 30 เล่มก็ปรากฏตรงหน้า

“เสร็จแล้ว! แต่อย่าลืมส่วนแบ่งข้าล่ะ” ซ่งอินกล่าว

จางอี้หมิงหัวเราะเบาๆ “อย่าห่วงน่า”

หลังจากจัดเตรียมตำราเสร็จ ทั้งสองก็ขึ้นดาบบินพากันมายังเมืองหลวง พวกเขาเปลี่ยนชุดเป็นพ่อค้า สวมหมวกกว้างปิดบังใบหน้า และตั้งแผงขายตำราติวสอบที่ตลาดกลางเมืองหลวง

แผงขายของพวกเขาดูเรียบง่าย พร้อมป้ายที่เขียนว่า “ตำราติวสอบเข้าสำนักเทียนหยาง เล่มเดียวจบ!” 

ไม่กี่อึดใจ ก็มีคนเข้ามาสอบถามและซื้อตำราของพวกเขาทันที…

ชั้น 9 หอเทียนหยาง

ที่ชั้น 9 ของหอเทียนหยาง นักพรตกู่เจิ้ง เจ้าสำนักเทียนหยาง ผู้มีใบหน้าสง่างามลูบเคราขาวบางๆ พลางนั่งดื่มน้ำชาที่โต๊ะไม้ประณีต ภายในห้องประดับด้วยภาพวาดภูเขาและแม่น้ำซึ่งสื่อถึงความสงบสุข บนชั้นวางหนังสือมีตำราล้ำค่าหลายเล่มวางเรียงราย ส่วนโต๊ะที่กู่เจิ้งนั่งอยู่นั้นเป็นโต๊ะกลมขนาดใหญ่ทำจากไม้หายากที่แกะสลักด้วยลวดลายเมฆหมอก

รอบๆ โต๊ะ มีลูกศิษย์โดยตรงของกู่เจิ้งนั่งอยู่ 5 คน แต่ละคนล้วนเป็นศิษย์ที่ได้รับการยอมรับในความสามารถของตนเองในสำนัก ทั้งหมดนั่งเงียบกริบราวกับไม่กล้าขยับตัวให้เกินควร

นักพรตกู่เจิ้งมีลูกศิษย์โดยตรงทั้งหมด 7 คน และหนึ่งในนั้นคือจางอี้หมิง ซึ่งไม่ได้ปรากฏตัวอยู่ในห้องตอนนี้

ระหว่างที่บรรยากาศสงบและเคร่งขรึม เสียงกระบี่แหวกอากาศดังขึ้นจากด้านนอก ประตูห้องเปิดออก ชายหนุ่มในชุดยาวสีครามขี่กระบี่บินเข้ามาอย่างสง่างาม เขาคือ ชิงซิ่ว ศิษย์ชายผู้มีท่าทางนิ่งสงบและสุขุม ชิงซิ่วเป็นศิษย์ระดับ 8 ระดับเดียวกับลิ่วเฉียง ซึ่งถือเป็นตำแหน่งที่สูงในสำนัก

เมื่อก้าวเข้ามาในห้อง ชิงซิ่วคารวะกู่เจิ้งด้วยความเคารพ “คารวะท่านอาจารย์”

กู่เจิ้งพยักหน้าเบาๆ “เจ้ามีเรื่องใดหรือ ชิงซิ่ว?”

ชิงซิ่วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่หนักแน่น “ข้ามีเรื่องจะรายงาน ศิษย์น้องจางอี้หมิง เขียนตำราติวสอบเข้าสำนักเทียนหยางออกขายในตลาดกลางเมืองหลวง เรื่องนี้ถือเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม”

สิ้นคำรายงานของชิงซิ่ว ศิษย์คนอื่นๆ ในห้องเริ่มมองหน้ากันเล็กน้อย บางคนถึงกับขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ

กู่เจิ้งไม่ได้แสดงความไม่พอใจใดๆ เขาเพียงหัวเราะออกมาเบาๆ “หึๆ น่าสนใจนัก ดูเหมือนจางอี้หมิงจะหายดีแล้ว”

ชิงซิ่วมองหน้ากู่เจิ้งอย่างสงสัย “ท่านอาจารย์ จะให้ข้าจัดการเรื่องนี้อย่างไร?”

กู่เจิ้งโบกพัดในมือเบาๆ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “ไม่ต้องจัดการอะไร ปล่อยเขาไปก่อน”

ชิงซิ่วเลิกคิ้วเล็กน้อยแต่ก็ไม่กล่าวสิ่งใดอีก เขาคำนับแล้วนั่งลงข้างลูกศิษย์คนอื่นๆ

กู่เจิ้งยิ้มบางๆ พลางลูบเคราขาวของตนด้วยท่าทางผ่อนคลาย ก่อนจะหันไปมองเจียงเยว่ ศิษย์สาวในชุดสีแดงสดซึ่งนั่งอยู่ใกล้เขา เธอเป็นศิษย์ระดับ 6 ผู้มีอายุห่างจากจางอี้หมิงไม่มาก ใบหน้าของเธอมีความงดงามแบบเย้ายวน แต่แฝงด้วยความฉลาดเฉลียวในดวงตา

“เจียงเยว่” กู่เจิ้งเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เรื่องของจางอี้หมิง ข้าฝากให้เจ้าไปดำเนินการตามสมควร เจ้าน่าจะรู้จักเขาดีที่สุด”

เจียงเยว่พยักหน้ารับคำสั่งพร้อมรอยยิ้มบางๆ “ข้าจะจัดการให้ ท่านอาจารย์”

ระหว่างที่เจียงเยว่รับคำ ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของเธอคือ ฟ่านหวง ศิษย์ระดับ 6 เช่นกัน เขาเป็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ใบหน้าคมคายและท่าทางดุดัน แต่ในยามนี้เขายิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะกล่าวขึ้น

“ท่านอาจารย์ตัดสินใจได้เหมาะสม ให้เจียงเยว่จัดการเรื่องนี้นับว่าเหมาะที่สุด” ฟ่านหวงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความชื่นชม “เจียงเยว่มักจะใจดีกับเจ้าอี้หมิง แต่ถ้าต้องลงโทษขึ้นมา ก็นับว่าน่าสยองไม่ใช่น้อย”

คำพูดของฟ่านหวงทำให้ศิษย์คนอื่นๆ ในห้องหัวเราะเบาๆ

เจียงเยว่ยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะปรายตามองฟ่านหวงด้วยสายตาขี้เล่น “ฟ่านหวง ข้าน่ากลัวถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?”

ฟ่านหวงยักไหล่พลางหัวเราะ “นับว่าใช่”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 52 นิทาน

    “เมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา...” เสียงของนักเล่านิทานเกริ่นเล่า“ครั้งนั้นปักษาอัคคีบุกเข้าโจมตีอาณาจักรต้าเฉิง มีศิษย์แห่งสำนักเทียนหยางผู้หนึ่ง นามว่า เสี่ยวต้าหมิง ออกกำจัดปักษาอัคคีผู้นั้น ทว่า เป็นที่น่าเสียดาย หลังจากกำจัดปักษาอัคคีได้ วีรบุรุษเสี่ยวต้าหมิงผู้นั้น ก็ได้จากโลกนี้ไปตลอดการ”มารดามันเถอะ! เจ้าเล่าเรื่องของข้าไม่พอ ยังตั้งชื่อข้าว่าเสี่ยวต้าหมิง คนอันใดมีทั้งใหญ่ทั้งเล็กในตัวเอง เท่านั้นไม่พอ ยังบังอาจสาปแช่งให้ข้าตายเมื่อนักเล่านิทานเล่าเรื่องจบ จางอี้หมิงก็เดินปรี่เข้าไปสอบถาม“ท่านเสี่ยวต้าหมิงช่างยิ่งใหญ่น่าเคารพยิ่ง” จางอี้หมิงกล่าววาจาชื่นชมตัวเอง “ข้าอยากทราบว่า เป็นผู้ใดเล่าเรื่องนี้ให้กับเจ้าฟัง”นักเล่านิทานยกมื่อคารวะทีหนึ่ง “เรียนคุณชายท่านนี้ ผู้ที่ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้กับข้าน้อยฟัง คือ ท่านปราจารย์ซ่งอิน แห่งสำนักเทียนหยาง”“!!!”จางอี้หมิงยืนนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนให้รางวัลตอบแทนนักเล่านิทานไปสามอีแปะ พลางคิดในใจ “เจ้าซ่งอินเป็นปรมาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าออกมาจากสำนักแค่เดือนเดียวก็คิดแต่งตั้งตัวเองแล้ว

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 51 ชายผู้เขียนอักษร

    ณ เมืองหลวงของอาณาจักรต้าเฉิง เขตเมืองชั้นในของเมืองคึกคักไปด้วยผู้คน แม้จะไม่แออัดเท่าเขตเมืองชั้นนอก แต่ก็ถือว่ามีจำนวนมากพ่อค้าแม่ค้าต่างเปิดร้านกันอย่างขมีขมัน*(กะตือรือร้น) กลิ่นหอมของหมั่นโถวร้อนๆ ลอยมาจากแผงขายอาหาร เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ค้าแข่งกันดังก้องทั่วถนน ไม่ว่าจะร้านของกินหรือร้านเครื่องประดับ ต่างแข็งขันกันอย่างเข้มข้นจางหลันซือ บุตรสาวของท่านอ๋องจางส่วง นั่งอยู่ในรถม้าสีดำขลับ ประดับลวดลายดอกเหมยงามสง่า นางเป็นสตรีที่ได้รับการกล่าวขานว่างามเลิศ ทั้งยังมีนิสัยซุกซนข้างกายนางมีซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำตัวของพี่ชายของนาง จางอี้หมิง สตรีผู้มีใบหน้างดงามราวเทพธิดาในอาภรณ์สีชมพูอ่อนอันเรียบง่าย ที่ขับเน้นผิวขาวผุดผ่องของนางให้ดูอ่อนโยนดุจบุปผาแรกแย้มซงเอ๋อร์มิใช่เพียงสาวใช้ธรรมดา แต่นางเป็นว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง และเป็นสตรีที่ได้รับความรักใคร่จากคนในตระกูลจาง และถูกให้ความสำคัญในระดับสูงรถม้าของทั้งสองแล่นผ่านถนนสายหลักของเมือง สายตาของจางหลันซือก็สะดุดเข้ากับผู้คนที่ยืนต่อแถวยาวเหยียดไปจนสุดสายตา คล้ายกำลังรอคอยบางสิ่งบา

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   ความเดิมภาคที่แล้ว

    จางอี้หมิงบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านอ๋องจางส่วง ถูกจอมมารปีศาจทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นอนหลับไปนับปี เมื่อตื่นขึ้น พบว่าพลังปราณสูญเสียสมดุลจนใช้งานไม่ได้ข้างกายของเขามีแม่นางซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำกายและว่าที่อนุภรรยาในอนาคตคอยเฝ้าดูแลไม่ห่างหนทางที่ง่ายที่สุดคือฝึกฝนใหม่แบบย้อนกลับเพื่อปรับสมดุลพลังปราณ หนทางที่ยากที่สุดคือหาสมุนไพรหายากสิบแปดชนิด และหนทางสุดท้ายคือ บำเพ็ญคู่กับสตรีพรหมจรรย์ เขาจึงจำเป็นต้องเลือกหนทางการฝึกฝนร่วมกับเหล่าศิษย์หน้าใหม่ ซึ่งถือว่าง่ายดายและปัญหาน้อยที่สุดเขาได้พบเจอกับแม่นางหลินหนิงผู้มีความน่ารักสดใสดวงตากลมโต ได้รู้จักแม่นางหวงจื่อรั่วผู้มีใบหน้าหมดจดงดงามราวเทพธิดาเพิ่มมากขึ้น แม้นางจะเป็นคนของจวนอ๋องแต่ทว่าความสนิทมีน้อยนัก จนกระทั่งได้มาฝึกร่วมกันอีกครั้งการฝึกฝนใหม่ในครั้งนี้ได้พบกับถัวเค่อชี ผู้มีใจริษยาต่อจางอี้หมิงมาตลอด พบกันคราวนี้ถัวเค่อชีต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้ฝึกฝนจางอี้หมิง ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ "ข่ม" จางอี้หมิงบ้าง แต่แล้วเรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้นแต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ จางอี้หมิ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 50 จากลา (จบภาค1)

    ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 49 บำเพ็ญคู่ปรับสมดุลลมปราณ

    จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 48 กักตัวที่บ้านพัก

    จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status