แชร์

บทที่ 6 ท่องหอคณิกา

last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-01-26 10:30:29

หลินหนิง สตรีสาววัยสิบหก ใบหน้างดงามดวงตาโตสดใส ร่างเล็กบางแต่ทรวดทรงได้สัดส่วน มีหน้าอกที่นูนขึ้นพอเหมาะ นางสวมชุดผ้าฝ้ายธรรมดา แต่ความงามของนางกลับสะดุดตาผู้คนได้อย่างง่ายดาย หลินหนิงเป็นบุตรสาวขุนนางตำแหน่งเล็กในเมืองหลวง ตำแหน่งที่ไม่ได้โดดเด่นหรือทรงอำนาจ แต่นางมีความใฝ่ฝันแรงกล้าที่จะเป็นผู้ฝึกตนในสำนักเทียนหยาง

เมื่อได้ยินข่าวลือว่าในตลาดมีร้านขายตำราติวสอบของสำนักเทียนหยาง หลินหนิงไม่รอช้า รีบรุดไปยังตลาดทันที 

แต่เมื่อไปถึงร้านที่ถูกกล่าวถึง กลับพบเพียงแผงเปล่าๆ และป้ายไม้ที่ถูกปลดลงแล้ว หลินหนิงยืนมองด้วยความผิดหวัง นางกัดริมฝีปากแน่นก่อนจะบ่นออกมาเบาๆ “พลาดโอกาสนี้ไปได้อย่างไรกัน!” ดวงตากลมโตฉายแววเศร้า 

ระหว่างที่หลินหนิงยังครุ่นคิดอยู่นั้น ทางด้าน จางอี้หมิง และ ซ่งอิน ซึ่งเป็นต้นตอของตำราติวสอบ กำลังนั่งพักอยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง จางอี้หมิงจิบน้ำชา พลางโบกตั๋วเงินในมือเหมือนพัดอย่างอารมณ์ดี

“ข้าคิดว่าการเป็นพ่อค้านี่ก็สนุกไม่น้อย” จางอี้หมิงกล่าวพลางหัวเราะเบาๆ “ว่าแต่ซ่งอิน เจ้าเคยได้ยินชื่อสำนักสังคีตหรือไม่?”

ซ่งอินเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก “หอนางโลมของทางการใช่หรือไม่? มีชื่อเสียงเรื่องเพลงและความงามของหญิงสาว”

จางอี้หมิงหัวเราะดังขึ้น “ถูกต้อง! ข้าจะพาเจ้าที่นั่น ถือเป็นรางวัลให้แก่เจ้า”

ซ่งอินยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะเอ่ย “เช่นนั้นจะรอช้าอยู่ใย”

ทั้งสองลุกขึ้นจากที่นั่ง เก็บตั๋วเงินและสิ่งของใส่ในถุงผ้า ก่อนจะเดินออกจากโรงเตี๊ยมมุ่งหน้าสู่ สำนักสังคีต ที่เลื่องชื่อในหมู่ชนชั้นสูงในเมืองหลวง

หลินหนิง ที่ยังคงวนเวียนอยู่ในตลาดด้วยความเสียดาย เผอิญสายตาของนางเหลือบไปเห็นชายสองคนกำลังเดินออกมาจากโรงเตี๊ยม ทั้งสองดูโดดเด่นกว่าผู้คนทั่วไป ทั้งด้วยท่าทางภูมิฐานแต่ดูเรียบง่าย

หลินหนิงรีบก้าวเข้าไปหาทั้งสอง พลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสุภาพและจริงจัง “ท่านทั้งสองพอจะทราบหรือไม่ว่าร้านขายตำราติวสอบอยู่ที่ใด?”

จางอี้หมิงที่กำลังหัวเราะสนุกสนานกับซ่งอินถึงกับชะงักเมื่อสบตากลมโตของหญิงสาวตรงหน้า นางดูมีความงามอ่อนหวานไร้เดียงสา ใบหน้านวลใสและแววตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ทำให้เขาตะลึงไปชั่วขณะ

เขาเผลอตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนกว่าที่ตั้งใจไว้ “ร้านปิดไปแล้ว แต่ถ้าเจ้าต้องการตำรา ข้าซื้อเกินมาเล่มหนึ่ง”

“จริงหรือเจ้าคะ?” หลินหนิงดวงตาเปล่งประกาย นางรีบถามต่อ “ท่านขายเท่าใด?”

จางอี้หมิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะตอบด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “นี่เป็นตำราที่เขียนโดยท่านต้าหมิง ราคาหนึ่งตำลึงทอง”

ซ่งอินที่ยืนอยู่ข้างๆ ฟังแล้วถึงกับหรี่ตามองศิษย์พี่ของเขา ‘ท่านต้าหมิงอันใด นามแฝงของท่านหรือ? ตำรานี้ราคาจริงแค่ห้าร้อยอีแปะ ศิษย์พี่ข้าช่างต่ำช้าจริงๆ’ เขาคิดในใจ แต่เลือกที่จะเงียบไม่กล่าวอะไร

หลินหนิงฟังแล้วหน้าเศร้าลง นางกัดริมฝีปากพลางก้มหน้าตอบเสียงเบา “ทั้งตัวข้ามีเพียงสองตำลึงเงินเท่านั้น”

จางอี้หมิงมองท่าทีของนางแล้วเกิดความรู้สึกสงสารขึ้นมา เขารู้ว่านางคงลำบากไม่น้อย แต่กลับมีความมุ่งมั่นเช่นนี้ จึงลดราคาลง “หนึ่งตำลึงเงินก็แล้วกัน ถือว่าโชคดีที่เจ้าเจอข้า”

ดวงตาของหลินหนิงเปล่งประกายด้วยความดีใจ นางรีบหยิบตั๋วเงินออกมาจ่ายพร้อมโค้งคำนับด้วยความขอบคุณ “ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ!”

จางอี้หมิงยื่นตำราให้พร้อมรอยยิ้มเจือจาง นางรับตำราไว้ด้วยสองมือและกล่าวลา ก่อนจะรีบเดินจากไปด้วยความสุขใจ

ซ่งอินมองหลังก่อนจะหัวเราะเบาๆ พลางกล่าวลอยๆ “คล้ายมีใจเมตตา แต่ว่าแท้จริงเดรัจฉาน”

จางอี้หมิงแค่นหัวเราะพร้อมตอบกลับ “เจ้ามันไม่มีหัวการค้า”

จางอี้หมิง และ ซ่งอิน เดินผ่านประตูสำนักสังคีตเข้าสู่บรรยากาศที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ เสียงดนตรี และความคึกคักจากเหล่าแขกที่มาดื่มด่ำความสำราญ ที่ประตูเก็บค่าเข้าคนละ 5 ตำลึงเงิน ทั้งสองจ่ายด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเลือกโต๊ะริมเวทีเพื่อชมการแสดงอย่างใกล้ชิด

เมื่อสุราและอาหารกับแกล้มถูกนำมาจัดวาง ทั้งสองดื่มกินอย่างสำราญ เสียงพิณและขลุ่ยบรรเลงจากสาวงามบนเวทีทำให้บรรยากาศยิ่งน่ารื่นรมย์ นักดนตรีแต่ละนางแต่งกายด้วยอาภรณ์เปิดเผยโชว์สัดส่วนอันเย้ายวน ทำให้ซ่งอินเริ่มพูดคุยด้วยน้ำเสียงสนุกสนาน ส่วนจางอี้หมิงเพียงหัวเราะขำๆ พลางจิบสุราต่อเนื่อง

ทันใดนั้น เสียงกลองดังกึกก้องก่อนที่ม่านชั้นบนจะเปิดออก เผยให้เห็นหญิงสาวผู้หนึ่งในอาภรณ์เบาบางประดับลายวิจิตร เธอคือ แม่นางฉีเหอ ยอดคณิกาดาวเด่นแห่งสำนักสังคีต ความงามของนางสะกดสายตาของทุกคนในห้อง รวมถึงจางอี้หมิงที่เผลอหยุดจิบสุราแล้วจ้องมองโดยไม่รู้ตัว

แม่นางฉีเหอเดินออกมาด้วยท่วงท่าสง่างาม เธอนั่งลงหน้าพิณไม้สลักลวดลายวิจิตร ก่อนจะเริ่มบรรเลงเพลงพิณที่ไพเราะจับใจ เสียงดนตรีของนางทำให้ทั้งห้องเงียบสงัด แขกทุกคนหลงใหลในท่วงทำนองที่ส่งผ่านนิ้วมือเรียวยาวของเธอ

เมื่อจบการแสดง นางยิ้มบางๆ ก่อนจะกล่าวเสียงหวานผ่านม่านไม้ไผ่บางเบา “ขอบคุณแขกทุกท่านที่มาร่วมสนุกในค่ำคืนนี้ ขอให้ทุกท่านดื่มให้เต็มที่เพื่อความสำราญ”

หลังจากนั้น บ่าวรับใช้ของสำนักสังคีตประกาศว่า “คืนนี้ ใครที่อยากมีโอกาสดื่มกับแม่นางฉีเหอเป็นการส่วนตัว สามารถลงแข่งขันเขียนอักษรได้ โดยมีค่าเข้าร่วม 10 ตำลึงทอง ผู้ที่แม่นางฉีเหอเลือกจะได้รับเกียรติพิเศษ”

ซ่งอินที่กำลังเมาหนัก หัวเราะพลางกล่าวกับจางอี้หมิง “ศิษย์พี่ เรามีเงินรวมกันแค่ 15 ตำลึงทอง อย่าเสียเงินเปล่าเลย แม้แต่พวกเศรษฐีใหญ่ยังแทบไม่มีโอกาสได้ใกล้นาง”

จางอี้หมิงที่หน้าแดงจากสุรา แสร้งทำเป็นพยักหน้าเห็นด้วย ทว่าเพียงพริบตาเดียวเขากลับลุกขึ้นประกาศกร้าว

“ข้าสมัคร!”

ซ่งอินที่เห็นเช่นนั้นได้แต่มองตามด้วยความตกใจและหัวเราะอย่างเหนื่อยใจ “นี่แหละศิษย์พี่ที่ข้ารู้จัก! ยังดีที่แบ่งเงินให้ข้านอนกับคณิกาธรรมดาไว้เหรียญหนึ่ง”

เมื่อการแข่งขันเริ่มขึ้น แขกหลายคนพากันแสดงฝีมือเขียนอักษรบนกระดาษที่เตรียมไว้ แต่ไม่มีตัวอักษรใดที่โดดเด่นสะดุดตาเท่าผลงานของจางอี้หมิง อักษรของเขามีทั้งความงดงามและพลัง ชวนให้นึกถึงท่วงทำนองของดาบที่รวดเร็วและหนักแน่นในคราวเดียว

แม่นางฉีเหอที่ยืนมองผลงานอยู่ด้านบนส่งยิ้มพอใจ ก่อนจะโบกมือให้บ่าวรับใช้ประกาศชื่อผู้ชนะ “เสี่ยวจาง!”

เสียงปรบมือดังขึ้นทั่วห้อง ท่ามกลางสายตาอิจฉาของแขกคนอื่นๆ จางอี้หมิงเดินขึ้นไปยังชั้นบนด้วยรอยยิ้มมั่นใจ ขณะที่ซ่งอินได้แต่นั่งจิบสุราเงียบๆ พร้อมพึมพำเบาๆ “ศิษย์พี่ข้ายอดเยี่ยมจริงๆ”

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 52 นิทาน

    “เมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา...” เสียงของนักเล่านิทานเกริ่นเล่า“ครั้งนั้นปักษาอัคคีบุกเข้าโจมตีอาณาจักรต้าเฉิง มีศิษย์แห่งสำนักเทียนหยางผู้หนึ่ง นามว่า เสี่ยวต้าหมิง ออกกำจัดปักษาอัคคีผู้นั้น ทว่า เป็นที่น่าเสียดาย หลังจากกำจัดปักษาอัคคีได้ วีรบุรุษเสี่ยวต้าหมิงผู้นั้น ก็ได้จากโลกนี้ไปตลอดการ”มารดามันเถอะ! เจ้าเล่าเรื่องของข้าไม่พอ ยังตั้งชื่อข้าว่าเสี่ยวต้าหมิง คนอันใดมีทั้งใหญ่ทั้งเล็กในตัวเอง เท่านั้นไม่พอ ยังบังอาจสาปแช่งให้ข้าตายเมื่อนักเล่านิทานเล่าเรื่องจบ จางอี้หมิงก็เดินปรี่เข้าไปสอบถาม“ท่านเสี่ยวต้าหมิงช่างยิ่งใหญ่น่าเคารพยิ่ง” จางอี้หมิงกล่าววาจาชื่นชมตัวเอง “ข้าอยากทราบว่า เป็นผู้ใดเล่าเรื่องนี้ให้กับเจ้าฟัง”นักเล่านิทานยกมื่อคารวะทีหนึ่ง “เรียนคุณชายท่านนี้ ผู้ที่ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้กับข้าน้อยฟัง คือ ท่านปราจารย์ซ่งอิน แห่งสำนักเทียนหยาง”“!!!”จางอี้หมิงยืนนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนให้รางวัลตอบแทนนักเล่านิทานไปสามอีแปะ พลางคิดในใจ “เจ้าซ่งอินเป็นปรมาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าออกมาจากสำนักแค่เดือนเดียวก็คิดแต่งตั้งตัวเองแล้ว

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 51 ชายผู้เขียนอักษร

    ณ เมืองหลวงของอาณาจักรต้าเฉิง เขตเมืองชั้นในของเมืองคึกคักไปด้วยผู้คน แม้จะไม่แออัดเท่าเขตเมืองชั้นนอก แต่ก็ถือว่ามีจำนวนมากพ่อค้าแม่ค้าต่างเปิดร้านกันอย่างขมีขมัน*(กะตือรือร้น) กลิ่นหอมของหมั่นโถวร้อนๆ ลอยมาจากแผงขายอาหาร เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ค้าแข่งกันดังก้องทั่วถนน ไม่ว่าจะร้านของกินหรือร้านเครื่องประดับ ต่างแข็งขันกันอย่างเข้มข้นจางหลันซือ บุตรสาวของท่านอ๋องจางส่วง นั่งอยู่ในรถม้าสีดำขลับ ประดับลวดลายดอกเหมยงามสง่า นางเป็นสตรีที่ได้รับการกล่าวขานว่างามเลิศ ทั้งยังมีนิสัยซุกซนข้างกายนางมีซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำตัวของพี่ชายของนาง จางอี้หมิง สตรีผู้มีใบหน้างดงามราวเทพธิดาในอาภรณ์สีชมพูอ่อนอันเรียบง่าย ที่ขับเน้นผิวขาวผุดผ่องของนางให้ดูอ่อนโยนดุจบุปผาแรกแย้มซงเอ๋อร์มิใช่เพียงสาวใช้ธรรมดา แต่นางเป็นว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง และเป็นสตรีที่ได้รับความรักใคร่จากคนในตระกูลจาง และถูกให้ความสำคัญในระดับสูงรถม้าของทั้งสองแล่นผ่านถนนสายหลักของเมือง สายตาของจางหลันซือก็สะดุดเข้ากับผู้คนที่ยืนต่อแถวยาวเหยียดไปจนสุดสายตา คล้ายกำลังรอคอยบางสิ่งบา

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   ความเดิมภาคที่แล้ว

    จางอี้หมิงบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านอ๋องจางส่วง ถูกจอมมารปีศาจทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นอนหลับไปนับปี เมื่อตื่นขึ้น พบว่าพลังปราณสูญเสียสมดุลจนใช้งานไม่ได้ข้างกายของเขามีแม่นางซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำกายและว่าที่อนุภรรยาในอนาคตคอยเฝ้าดูแลไม่ห่างหนทางที่ง่ายที่สุดคือฝึกฝนใหม่แบบย้อนกลับเพื่อปรับสมดุลพลังปราณ หนทางที่ยากที่สุดคือหาสมุนไพรหายากสิบแปดชนิด และหนทางสุดท้ายคือ บำเพ็ญคู่กับสตรีพรหมจรรย์ เขาจึงจำเป็นต้องเลือกหนทางการฝึกฝนร่วมกับเหล่าศิษย์หน้าใหม่ ซึ่งถือว่าง่ายดายและปัญหาน้อยที่สุดเขาได้พบเจอกับแม่นางหลินหนิงผู้มีความน่ารักสดใสดวงตากลมโต ได้รู้จักแม่นางหวงจื่อรั่วผู้มีใบหน้าหมดจดงดงามราวเทพธิดาเพิ่มมากขึ้น แม้นางจะเป็นคนของจวนอ๋องแต่ทว่าความสนิทมีน้อยนัก จนกระทั่งได้มาฝึกร่วมกันอีกครั้งการฝึกฝนใหม่ในครั้งนี้ได้พบกับถัวเค่อชี ผู้มีใจริษยาต่อจางอี้หมิงมาตลอด พบกันคราวนี้ถัวเค่อชีต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้ฝึกฝนจางอี้หมิง ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ "ข่ม" จางอี้หมิงบ้าง แต่แล้วเรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้นแต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ จางอี้หมิ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 50 จากลา (จบภาค1)

    ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 49 บำเพ็ญคู่ปรับสมดุลลมปราณ

    จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 48 กักตัวที่บ้านพัก

    จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status