“ไปดูตัวมาเป็นยังไงบ้างจ๊ะเพื่อนสาว ไม่ทักมาเลยนะ แสดงว่าไม่ต้องการความช่วยเหลือใช่ปะ” ประโยคทักทายจากมนที่เงยหน้าจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือยามที่เห็นฉันเดินมานั่งฝั่งตรงข้ามบนโต๊ะไม้ใน
โรงอาหาร“นั่นสิ เงียบไปเลยเกิดไรขึ้นไหม” วิถามเสริมด้วยความอยากรู้
“ผิดคาดมากเวอร์” ฉันนั่งลงก่อนจะรีบสุมหัวกับเพื่อนสนิททั้งสอง
“ทำไมอะ เขาหล่อเหรอ”
“หรือว่าเขาเกิดชอบแกขึ้นมา”
“หรือว่าแกไปถูกตาต้องใจเขา”
“หรือเขาเป็นคนที่พวกเรารู้จัก”
“เดี๋ยว พวกแกใจเย็น ๆ” ฉันรีบยกมือห้ามปรามความคิดของทั้งสองก่อนที่จะไปกันใหญ่มากกว่านี้ ทั้งสองเม้มริมฝีปากแน่นแล้วตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ
“เล่ามาเลย ๆ ไว” มนเร่งเร้าอย่างตื่นเต้น
“คืองี้ ลูกชายของเพื่อนแม่ที่ฉันไปเจออะ คือพี่คิณ”
“อะไรนะ” ทั้งสองอุทานออกมาเสียงดังลั่นพร้อมกันอย่างแตกตื่นจนฉันตั้งรีบยกมือขึ้นปิดริมฝีปากของสองเพื่อนรักเอาไว้ไม่ให้เสียงดัง แล้วหันไปมองคนอื่น ๆ ในโรงอาหารพลางค่อมศีรษะขอโทษขอโพยด้วย
ความเกรงใจ“ก็อย่างที่บอกแหละ พี่คิณคือลูกของเพื่อนแม่ฉัน แล้วเขาก็เห็นสภาพน่าอนาถของฉันด้วย” ฉันปล่อยมือออกจากริมฝีปากของเพื่อนทั้งสอง
“ให้ตายเถอะ” มนบ่นพึมพำกับตัวเองก่อนจะยกมือขึ้นมากุมขมับอย่างเหนื่อยหน่าย
“แต่ก็ไม่น่าเป็นไรนี่ พี่เขามีแฟนแล้วด้วยต่อให้แต่งตัวสวยยังไงพี่เขาก็ไม่น่าสนใจปะ” วิขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย เป็นประโยคที่เล่นเอาใจเจ็บมากเลยนะวิ
“แกแต่ว่าพี่คิณเขาไม่ได้คบกับพี่เมนิล”
“ถามจริงแกรู้ได้ไงวะ” มนเอ่ยถามด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ
“พี่เขาบอกฉันเองอะ พี่เขาบอกว่าแค่บังเอิญไปเจอกันเฉย ๆ”
“คำพูดของผู้ชายเชื่อได้เหรอ” วิกล่าวเสริม
“ฉันก็ไม่รู้อะแต่ว่าพี่เขาซื้อเสื้อให้ฉันด้วย”
“พี่เขาดูไม่ได้จนต้องซื้อเสื้อให้เลยเหรอวะ” มนว่าพลางสายหน้าแล้วกุมขมับด้วยความเหนื่อยใจ
“ไม่แก พี่เขาชมฉันว่าน่ารักด้วยแหละ” เพื่อนทั้งสองหันมามองฉันอย่างตกตะลึง ใบหน้าของฉันเห่อร้อนยามที่นึกถึงตอนที่พี่คิณเอ่ยชมฉันจนแทบจะหุบยิ้มที่มุมปากไม่ลง
“มน เราว่านิดาอาการหนักแล้วว่ะ”
“ฉันก็ว่างั้นแหละ เขาแค่ชมตามมารยาทหรือเปล่า” ฉันหุบยิ้มลงกะทันหันราวกับมีสายฟ้าฟาดลงกลางหน้าผาก
“แล้วขอไลน์กันนี่มันตามมารยาทไหมอะ” ฉันโน้มใบหน้าเข้ามาหาเพื่อนสนิทก่อนจะเอ่ยถามด้วยความรู้สึกประหม่าขึ้นมาซะงั้น กลัวว่าจะต้องคิดไปเองอีกตามเคย
“ว่าไงนะ” มนเลิกคิ้วสูงอย่างแปลกใจ
“พี่เขาขอไลน์ฉัน แกว่าขอตามมารยาทหรือเปล่า”
“ตอนพี่เขาขอพี่เขาพูดว่าอะไร” มนเค้นถามพร้อมกับชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ ๆ ด้วยความอยากรู้
“ก็พี่เขาบอกว่าเดือนหน้ามีหนังใหม่น่าดู อยากชวนไปดูด้วยกันอะ”
วิเบิกตากว้างอย่างตื่นตระหนกก่อนจะดึงตัวของมนให้กลับมานั่งที่เดิมอย่าเรียกว่าดึงดีกว่าให้เรียกว่ากระชากจนมนแทบจะตกเก้าอี้
“แกดึงฉันทำไมเนี่ยยายวิ”
“พี่คิณมา” พวกเราทั้งสามคนตัวแข็งทื่อก่อนจะหันขวับไปจับจ้องทางชายหนุ่มรุ่นพี่ที่กำลังเดินมาตามลำพัง ร่างสูงสวมใส่เสื้อช็อปของคณะพร้อมกับล้วงมือลงกระเป๋าบนเสื้อช็อปก้าวเดินมา ใบหน้าหล่อยังคงแสดงสีหน้านิ่งไม่รู้ร้อนรู้หนาว
“พี่คิณ มาทำอะไรคะ” ฉันเอ่ยถามหลังจากที่พี่คิณเดินมาหยุดอยู่ตรงโต๊ะที่กลุ่มฉันนั่งอยู่
“เมื่อเช้าพี่เดินผ่านร้านชานมพอดีเลยซื้อมาฝาก” พี่คิณวางถุงแก้วชานมไข่มุกสามแก้วลงบนโต๊ะ
“เฮ้ยอยากดื่มพอดีเลยค่ะ” ดวงตาฉันวาวเป็นประกายจ้องมองชานมไข่มุกร้านโปรดบนโต๊ะด้วยความดีใจก่อนจะเงยหน้าขึ้นไป “ขอบคุณนะคะ”
“จะได้ไม่บ่นอยากดื่มชานมไข่มุกตอนเที่ยงคืนอีก” ฉันหรี่ดวงตามองคนพี่อย่างคาดโทษ “ทานให้อร่อยนะ”
พี่คิณหันมาคลี่ยิ้มจาง ๆ ให้เพื่อนอีกสองคนแล้วหันกลับมาหาฉัน
“พี่ไปเรียนก่อนนะ” ฉันมองตามแผ่นหลังกว้างของคนพี่เดินออกไปจนลับหายเข้าไปในตึกเรียน
“มาแค่เนี่ย” มนว่าอย่างเสียดาย “ไหนดูซิมีอะไรกิน”
“แกบ่นอยากกินชานมไข่มุกตอนเที่ยงคืนกับพี่คิณเนี่ยนะ” วิมองตามแก้วชานมที่ถูกมนหยิบออกมาวางไว้ตรงหน้าเธอ ก่อนจะนำไปวางไว้ตรงหน้าฉัน ส่วนอีกแก้วเธอก็เจาะดื่มเองอย่างสบายอารมณ์
“ก็คนมันหิวนี่” ฉันบ่นพึมพำก่อนจะดึงแก้วชานมไข่มุกเข้าหาตัวก่อนจะเจาะหลอดแล้วดูดดื่มมันอย่างชื่นใจ ชานมไข่มุกเจ้าโปรดจะเยียวยาคุณเอง
“เรื่องนิดาบ่นหิวมันไม่แปลกหรอก แต่แปลกที่พี่คิณซื้อมาเนี่ยดิ” วิยกชานมไข่มุกขึ้นมาดื่ม “แถมยังรู้เจ้าโปรดมันด้วยนะ”
“อะแฮ่ม ๆ” มนกระแอมไออยู่ข้างฉันขณะที่พวกเรากำลังนั่งอยู่ในห้องเรียน
“มีอะไร” ฉันกระซิบถามพลางลอบมองอาจารย์ที่กำลังสอนอยู่หน้าห้อง
“คุยกับใครอยู่อะ ไม่ละสายตาเลยนะ” มนแอบชำเลืองมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือของฉันที่อยู่หน้าข้อความแชตของฉันและพี่คิณค้างไว้
“ทำไมจ๊ะ อิจฉาอะดิ” ฉันยักคิ้วโอ้อวดพลางยืดชูคอขึ้นอย่างภูมิใจ
“ไหนบอกว่ากลัวพี่เมนิลไง สภาพอย่างนี้ไม่น่ากลัวแล้วนะ” มนว่าก่อนจะหันไปมองตรงยังโพรเจกเตอร์ที่ถูกฉายอยู่ด้านหน้า
“แต่ฉันพูดจริงนะ” ฉันวางโทรศัพท์มือถือลงก่อนจะแสดงสีหน้าคร่ำเครียด “พอรู้ว่าพี่เมนิลเป็นแฟนเก่าพี่คิณฉันยิ่งรู้สึกลำบากใจยังไง
ก็ไม่รู้อะ”“พี่เมนิลเป็นแฟนเก่าพี่คิณเหรอ ทำไมฉันไม่เห็นรู้เลย”
“ฉันก็เพิ่งรู้ตอนพี่คิณบอก เห็นบอกว่าคบกันได้ไม่นาน”
“แสดงว่าพี่เมนิลก็อาจจะโดนพี่คิณทิ้ง ถึงได้ดูยังชอบพี่คิณอยู่” ฉันถอนหายใจยาว
“แล้วฉันจะเอาอะไรไปสู้แฟนเก่าเขาเนี่ย”
“ถ้าแฟนเก่าดีจริงเขาจะเลิกกันทำไมวะ” มนกระทุ้งศอกใส่เรียวแขนของฉันเพื่อเรียกกำลังใจ “มั่นใจในตัวเองหน่อยดิ พี่คิณไม่ได้ดูเจ้าชู้ขนาดที่ตกเหยื่อไปทั่วซะหน่อย”
“แต่ถ้าพี่เมนิลเอาจริงขึ้นมา ฉันก็ไม่ได้อยากมีปัญหากับพี่รหัสตัวเองนะ”
“แกจะกลัวอะไรล่ะ พี่รหัสไม่ได้ทำให้แกเรียนไม่จบสักหน่อย”
“แต่ฉันไม่อยากมีปัญหากับใครตั้งแต่ปีแรกที่เข้ามาเรียนนะ” มนถอนหายใจอย่างอารมณ์เสีย
“นี่ ผีเสื้ออุตส่าห์เข้ามาดมแล้วนะ ถ้าแกเห็นว่าดอกไม้อื่นมันสวยกว่า แกก็ปล่อยไปแค่นั้น” ฉันตีหน้าเศร้าหันมามองเพื่อนสนิทอย่างหมองหม่น
จริงอยู่ที่ว่าพี่คิณทำท่าเหมือนสนใจฉันจริง ๆ แต่แฟนเก่าของพี่คิณเป็นถึง พี่เมนิลเชียวนะ พี่เมนิลดาวคณะ มาตรฐานสูงขนาดนั้นเขาจะหันมามองเด็กที่ยังไม่โตแบบฉันไปทำไมกันนะ“แกคิดว่าพี่คิณเขาสนใจฉันจริง ๆ เหรอ”
“ฉันเองก็ยังไม่มั่นใจมาก แต่อย่างน้อยก็น่าจะพิเศษกว่าคนอื่นก็แล้วกัน” ฉันพยักหน้ารับช้า ๆ อย่างน้อยก็ยังพอมีหวังขึ้นมาสักหน่อยก็ยังดี
“นี่พวกแกคุยอะไรกันอะ อาจารย์หันมามองค้อนตั้งหลายรอบแล้ว” วิกระซิบบอกเรียกให้ฉันกับมนกันไปมองหน้าห้องอีกครั้งโดยไม่ปริปากพูดอะไรต่อ
ฉันกลับมาถึงบ้านก่อนจะวางกระเป๋าลงบนโต๊ะทำงานข้างเตียงอีกเช่นเคยก่อนจะทิ้งตัวลงไปนั่งบนเตียงนอนนุ่มอย่างเหนื่อยหน่าย
โทรศัพท์มือถือแจ้งเตือนข้อความเข้าอีกครั้ง ฉันรีบกดเข้าไปดูอย่างไม่รีรอ
พี่คิณส่งข้อความมา
[ถึงบ้านหรือยังครับ]
“ถึงแล้วค่ะ” ฉันพิมพ์ข้อความตอบกลับไป
พี่คิณอ่านอย่างรวดเร็วราวกับว่าเปิดแชตค้างไว้ สักพักก็มีสายเรียกเข้าโทร.เข้ามาทำเอาฉันเบิกตากว้างด้วยความตื่นตกใจ
พี่คิณโทร.มา กรี๊ดดด
ฉันรีบกดปุ่มรับโทรศัพท์อย่างฉับไว
“สวัสดีค่ะพี่คิณ”
[ถึงบ้านแล้วเหรอ]
“ค่ะ ถึงแล้วค่ะ พี่คิณล่ะคะ กลับบ้านหรือยัง” ฉันพยายามคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่นไหวเพราะความตื่นเต้น ต้องไม่ให้พี่คิณรู้ว่าตอนนี้ฉันแทบจะดีดดิ้นบนเตียงนอนนุ่ม
[ถึงแล้วล่ะ เป็นไง ชาเมื่อเช้าอร่อยไหม]
“อร่อยมากเลยค่ะ ต้องขอบคุณพี่มากนะคะที่ส่งชานมเจ้าโปรดมาเยียวยาหนู” ฉันแอบได้ยินเสียงพี่เขาคำในลำคอเล็ดลอดมาจากปลายสาย ทำเอาฉันยิ้มไม่หุบเลย
[ยังไงตอนเช้าพี่ก็ต้องผ่านอยู่แล้วเดี๋ยวพี่ซื้อไปฝากแล้วกัน]
“ไม่เป็นไรดีกว่าค่ะ หนูเกรงใจอะ อีกอย่างให้ดื่มชานมไข่มุกทุกวันหนูกลัวว่า หนูจะอ้วนอะสิ”
[ไม่เห็นเป็นไรเลย พี่ว่าแบบนี้ก็น่ารักดีนิ]
ใบหน้าของฉันร้อนฉ่าขึ้นมาอย่างกับกระทะร้อน ฉันรีบลุกขึ้นมาส่องตัวเองในกระจกพวงแก้มขาวของฉันขึ้นสีชมพูระเรื่อขึ้นมาอย่างปิดไม่มิด
“แล้วถ้าเกิดว่าฉันอ้วนขึ้นแล้วไม่มีใครจีบ หาแฟนไม่ได้พี่จะรับผิดชอบฉันไหมคะเพราะพี่เป็นคนทำให้ฉันอ้วนน่ะ”
[ให้พี่รับผิดชอบยังไง]
“อืมมม” ฉันลากเสียงยาวพลางใช้สมองครุ่นคิด
[พี่รับผิดชอบเราได้นะ อยากทานอะไรล่ะเดี๋ยวพี่ทำให้]
“พี่คิณทำอาหารเป็นด้วยเหรอคะ” ฉันตาประกายลุกวาวเมื่อได้ฟัง
[ทำได้สิ พี่รับผิดชอบให้เราทานอิ่มได้ทุกมื้ออยู่แล้ว]
“นี่พี่จะขุนหนูจริง ๆ เหรอคะเนี่ย” ฉันแอบขำออกมาเบา ๆ
[แน่นอน อยู่กับพี่ไม่อดตายหรอกมีแต่อ้วนขึ้น]
“หนูอยากทานไข่เจียว”
[ง่าย ๆ เดี๋ยวพี่ทำไปให้พรุ่งนี้ แค่นี้ก่อนนะพี่ต้องไปทำงานต่อ]
“ค่ะ แค่นี้นะ” ฉันรีบกดวางสายก่อนจะยกมือขึ้นมาทาบแนบอกภายในหัวใจเต้นตึกตักระรัวจนเหมือนว่ามันกำลังจะทะลุออกมาระเบิดนอกร่างอย่างนั้นแหละ
นี่ฉันกำลังจะได้กินไข่เจียวฝีมือพี่คิณจริง ๆ เหรอเนี่ย ไม่อยากจะเชื่อ
ไม่สิ ไม่ ๆ ๆ แค่ได้โทร.คุยกับพี่คิณแค่นี้ก็เป็นเรื่องเหลือเชื่อมากพอยู่แล้ว
ฉันเหลือบไปมองร่มคันนั้นที่พี่คิณให้มาในวันฝนตกหนัก มันยังคงถูกแขวนไว้ที่ข้างโต๊ะทำงานโดยไม่ให้ใครเข้าไปยุ่งกับมัน
ถ้าพี่คิณจะน่ารักขนาดนี้ ให้หนูไปแย่งชิงกับพี่เมนิลหนูก็ยอมค่ะ
ฉันรีบเด้งตัวตรงก่อนจะเดินกลับเข้ามานั่งที่เก้าอี้ข้างโต๊ะทำงาน สายตาจับจ้องไปยังแล็ปท็อปที่ถูกวางไว้บนโต๊ะก่อนจะเอื้อมไปเปิดมันขึ้นมาแล้วเข้าไปส่องสื่อโซเชียลของพี่เมนิลสักหน่อย
โอ้โหคนติดตามหลักหมื่น คนกดใจเป็นพัน
ฉันอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง
แล้วฉันจะสู้เขาได้ยังไงเนี่ยยย
“โอ๊ย ตื่นเต้นอะแก” ฉันเดินวกไปวนมาอย่างตื่นเต้นในห้องแต่งตัวโดยมีเพื่อนสาวสองคนของฉันคอยตามประกบ “แกใจเย็น ๆ ก่อนได้ไหมเนี่ยเดี๋ยวชุดพังหมด” มนบ่นเหมือนแม่ตามเคยแถมยังคอยเดินตามจัดชุดให้ฉัน “งานแต่งงานทั้งทีเลยนะเว้ยจะไม่ตื่นเต้นได้ยังไง” “เรารู้ว่าแกอะตื่นเต้น แต่ช่วยอยู่เฉย ๆ ให้พี่ช่างแต่งหน้าซับหน้าก่อนได้ไหม” วิยื้อแขนของฉันไว้พลางพยักเพยิดหน้าไปทางพี่ช่างแต่งหน้าที่ถือแปรงรออยู่นานสองนาน “อุ๊ย ขอโทษค่ะ” ฉันรีบผงกหัวขอโทษแล้วเข้าไปนั่งที่หน้ากระจกเหมือนเดิม “ไม่เป็นไรค่ะคุณน้อง เจ้าสาวส่วนมากที่พี่เห็นก็อาการเหมือนน้องนี่แหละค่ะ เดี๋ยวพอเข้าไปเจอเจ้าบ่าวก็ดีขึ้นเอง” “พี่คิณหล่อมาก ฉันแวะไปดูมาแล้ว” มนก้มลงมากระซิบฉัน “พี่คิณก็หล่ออยู่แล้วปะ แฟนฉันทั้งคน” ฉันแอบขิงใส่เพื่อนสนิทจนเพื่อนสาวทั้งสองแอบเบะปากด้วยความหมั่นไส้ พี่ช่างแต่งหน้าเองก็ถอนหายใจออกมาด้วยความเอือมระอา สงสัยคงเจอมาเยอะแล้วละมั้ง พอช่างแต่งหน้าซับหน้าแล้วแต่งเพิ่มใ
ห้าปีต่อมา ฉันเรียนจบจากมหาวิทยาลัยมาได้ปีกว่าแล้ว และเข้ามารับช่วงต่อในบริษัทของผู้เป็นพ่อ ยอมรับเลยว่างานค่อนข้างหนักหน่วงเสียจนฉันแทบจะไม่มีเวลาได้พักผ่อน หรือแม้แต่ออกไปเที่ยวเล่น ทานข้าว ดูหนังกับพี่คิณเลยสักนิด เมื่อก่อนพี่คิณแบ่งเวลาให้ฉันได้ยังไงกันนะ ทำไมฉันถึงได้รู้สึกว่าเวลาแทบจะจับโทรศัพท์ยังจะไม่มี “คุณฐานิดาคะ คุณอคิราห์ติดต่อมาว่าติดต่อคุณไม่ได้ค่ะ” เลขาฯสาวเดินเข้ามาในห้องก่อนที่ฉันจะเงยหน้าขึ้นไปมอง พอได้ยินฉันก็รีบเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางนิ่งอยู่บนโต๊ะข้างกองเอกสารกองโตขึ้นมาดู ให้ตายสิ ลืมนัดพี่คิณไปได้ยังไงเนี่ย “ขอบคุณที่เข้ามาบอกนะ เดี๋ยวฉันขอโทร.หาพี่เขาก่อน” เธอพยักหน้ารับก่อนจะเดินออกไปจากห้อง ฉันรีบกดโทรศัพท์แล้วโทรหาแฟนหนุ่มทันทีด้วยความรู้สึกผิด ไม่นานนักพี่เขาก็รับสาย [สวัสดีครับ] “พี่คิณ วันนี้หนูคงไปทานอาหารด้วยไม่ได้แล้วนะคะ พอดีว่าหนูมีประชุมตอนเย็นอีก” [อ่า... เหรอครับ] “หนูขอโทษนะ”
“ทะเล” ฉันลากเสียงยาวพลางวิ่งลงจากรถแล้วด้าวเท้าเข้ามาเหยียบบนหาดทรายขาวละเอียดนำหน้าพี่คิณที่กำลังก้าวเท้าลงจากรถตู้ พวกเราเดินทางกันมาหลายคนเลยตัดสินใจที่จะเหมารถตู้มาสองคันเพื่อลดปริมาณรถลง ถ้าต้องขับมาเองได้มาเป็นขบวนแน่ ประหยัดน้ำมันแถมรักโลกด้วย “ยายนิดาเดินดี ๆ เดี๋ยวล้ม” มนเดินตามฉันเหมือนแม่ ในมือประคองหมวกกันแดดบนศีรษะหวั่นจะปลิวไปตามสายลมที่พัดพลิ้ว “มาทาครีมกันแดดด้วย” “ฉันไม่ชอบอะมันเหนียว” “ทา ๆ ไปเถอะ ผิวไหม้ขึ้นมาอย่ามาบ่นนะ” ฉันได้แต่เบะปากมองบนอย่างไม่พอใจในขณะที่มนบีบครีมใส่มือแล้วมาลูบทาบนแขนของฉันยกใหญ่ เหมือนแม่เลยจริง ๆ “พวกเราไปถ่ายรูปตรงนั้นกันไหม” วิชี้ไปทางโขดหินก้อนใหญ่ก่อนพวกเราจะเดินย่ำหาดทรายเพื่อไปถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน “ห้องนอนได้ห้องละสองคนนะ” พี่คุณเดินมาพร้อมกับกุญแจห้อง “ฉันนอนกับนิดานะคะ” พี่ธิดาว่าพลางเดินเข้ามากอดคอฉัน “ได้ค่ะ” ฉันส่งยิ้มรับ “แล้วพี่นอนกับใครล่ะ” พี่คุณเอ่ยทักท้วง ได้ข่าวว่าหลังจากที่พี่ธิดาเรียนจบทั้งส
“หยุดยาวนี้ไปเที่ยวทะเลกันไหม” ฉันพลิกตัวมานอนค่ำบนเตียงนอนในขณะที่เพื่อนของฉันอีกสองคนกำลังนอนเปื่อย ๆ ในห้องนอน คอนโดฯ ของมน เจ้าของห้องนอนไถโซเชียลไปมาในขณะที่วิกำลังนอนอ่านหนังสืออย่างเบื่อหน่าย “พ่อฉันอะไม่เท่าไร แต่พ่อแกกับพ่อวิจะให้ไปเหรอ” มนเลิกคิ้วพลางเอ่ยถามทั้งฉันและวิ “หยุดยาวป๊าไปต่างประเทศ แอบไปเขาก็ไม่รู้หรอก” วิพูดพร้อมกับปิดหนังสือในมือลงเพื่อหันมาให้ความสนใจ “ใครสั่งใครสอนให้ลูกฉันเป็นเด็กใจแตกเนี่ย” มนเอ่ยแซว แต่กับเรียกสายตาของฉันและวิให้หันไปจ้องมองจนคนที่ถูกจับจ้องกระพริบตาถี่รัวอย่างประหม่า “แล้วแกล่ะนิดา พ่อแกให้ไปเหรอ” “พี่คิณบอกว่าจะไปขอพ่อให้” “แกคิดว่าพี่คิณจะขอพ่อแกได้เหรอ พ่อแกเขาก็ดูไม่ค่อยปลื้มที่แกมีแฟนสักเท่าไรนะ ถ้าไม่ติดที่เกรงใจแม่แกอะ” วิว่าอย่างขำขัน ฉันเองก็ขำพอกัน พ่อฉันหวงฉันมาก ๆ ฉันเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม แต่พอแม่เล่าให้ฟังฉันก็กระจ่างแจ้งเลย เพราะตอนเป็นวัยรุ่นพ่อเจ้าชู้มาก ๆ พ่อเลยกลัวว่ากรรมจะตามสนองกลัวว่าฉันจะเจอผู้ชายที่ไม่ดี แต่แม่ก็ได้ล้างบาปใ
“อยากไปเที่ยวทะเลชะมัดเลย” ฉันไถหน้าจอโทรศัพท์มือถือดูโซเชียลไปมาอย่างเบื่อหน่าย ตอนนี้ฉันสอบเสร็จหมดแล้วเตรียมที่จะขึ้นปีสองอย่างสมบูรณ์ ส่วนพี่คิณน่ะเหรอก็วุ่นอยู่กับโปรเจกต์จบจนแทบจะไม่มีเวลาแม้แต่จะนอนพักเสียด้วยซ้ำ “ไว้พี่เรียนจบแล้ว เราไปด้วยกันนะคะ” พี่คิณยกยิ้มมุมปากพลางยกมือขึ้นมาลูบหัวฉันเบา ๆ “ฉันอยากให้พี่ไปพักผ่อน ทำไมถึงได้ลากฉันมาดูหนังได้ล่ะคะเนี่ย” ฉันเลิกคิ้วขึ้นถาม ถึงแม้ในใจจะดีใจมากก็ตามที “ช่วงนี้เราไม่ค่อยมีเวลาได้อยู่ด้วยกันเลย พี่เลยหาเวลามาอยู่กับหนูไงคะ” “แฟนใครเนี่ยน่ารักจัง” ฉันกอดแขนของคนพี่พลางซบใบหน้าลงกับไหล่แกร่ง ช่วงนี้พี่คิณดูผอมลงหรือเปล่านะ ต้องเป็นเพราะพักผ่อนไม่พอแน่ ๆ “ไปดูหนังกันเถอะครับ หนังจะเข้าแล้ว” “โอเคค่ะ” พี่คิณพาฉันเดินเข้ามาในโรงหนัง พวกเรานั่งดูภาพยนตร์จนจบเรื่องก่อนจะเดินออกมาจากโรงหนัง หนังเรื่องเมื่อกี้เป็นหนังที่ฉันอยากดูมากแล้วพี่คิณก็ตามใจพาฉันมาดูเพราะรู้ว่าฉันชอบดูหนังผีมากแค่ไหนถึงพี่คิณจะแอบกลัวผีอยู่หน่อย ๆ ในโรงหนังเมื
ฉันค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า สายตาพร่ามัวมองเพดานห้องสีขาวที่ลอยไปมาในอากาศก่อนจะกลับมารวมกันจนเห็นเป็นภาพได้ชัดเจน ฉันขยับตัวเล็กน้อยเพื่อขจัดความเมื่อยล้าแต่กับถูกแรงรัดจากวงแขนของใครบางคนดึงร่างกายเปลือยเปล่าภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันเข้ามาแนบชิดเนื้อหนังอุ่น เดี๋ยวนะ ที่เมื่อคืนฝันว่างูรัดไม่ใช่งูจริง ๆ หรอกเหรอ ฉันลืมตาโพลงขึ้นมาอย่างตกตะลึงสายตาก้มลงมองร่างกายของตัวเองที่ขลุกอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนาก่อนจะบกมือขึ้นมาหยิบมันขึ้นอย่างลุ้นระทึก ร่างกายเปลือยเปล่าไร้เสื้อผ้าปกคลุมทั้งฉันและชายหนุ่มที่นอนอยู่ข้าง ๆ ยิ่งตรอกย้ำว่าเมื่อคืนนั้นเป็นเรื่องจริง บทเพลงรักอันเร่าร้อนที่ถูกบรรเลงขึ้นเมื่อคืนมันเป็นเรื่องจริง เมื่อฉันตั้งสตินึกถึงเรื่องเมื่อคืนขึ้นมาอย่างแจ่มชัด ใบหน้าของฉันก็ร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างกับมีแสงแดดมาส่องหน้า “พี่คิณคะ” ฉันเขย่าปลุกอีกฝ่าย “อือ” พี่คิณส่งเสียงครางต่ำในลำคออย่างไม่พอใจยิ่งซุกใบหน้าเข้ากับซอกคอของฉัน ลมหายใจอุ่นรินรดต้นคอเสียจนมันจั๊กจี้ในหัวใจ “ตื่น