เมืองลั่วหยาง
เทศกาลดอกโบตั๋นเป็นหนึ่งในเทศกาลระดับชาติ ซึ่งทางการจีนจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี มื่อย่างเข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ผลิ ดอกไม้นานาชนิดก็เริ่มผลิบาน แย้มดอก ออกใบ อวดความสวยงามให้นักท่องเที่ยวได้ยลโฉมกันอย่างหลากหลายพื้นที่ เป็นอีกหนึ่งเทศกาลดอกไม้ที่สวยงามและหาชมได้ยาก นั่นก็คือเทศกาลดอกโบตั๋น
ดอกโบตั๋นหรือดอกพิโอนีถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความร่ำรวยและรุ่งเรือง ทำให้ดอกโบตั๋นในประเทศจีนนั้นมีมากมายกว่า 1,200 สายพันธุ์ นอกจากนี้ทุกปีช่วงเดือนเมษายนยังมีเทศกาลดอกโบตั๋นที่เมืองลั่วหยาง Luoyang เมืองแห่งประวัติศาสตร์ชาติจีนโบราณที่ขึ้นชื่อว่าปลูกดอกโบตั๋นได้สวยงามที่สุด เทศกาลดังกล่าวจะแบ่งสถานที่จัดงานออกเป็นหลายจุดเพื่อกระจายกำลังต้อนรับนักท่องเที่ยว สถานที่หลักในการจัดงานคือ Luoyang National Peony Garden ด้านในมีต้นราชาโบตั๋นสูงกว่า 3 เมตร อายุกว่า 1,600 ปีขึ้นอยู่อย่างโดดเด่น ท่ามกลางดอกโบตั๋นหลากสีมากมายแข่งกันเบ่งบาน ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วทั้งงาน ในขณะที่สองพี่น้องหลี่ยู่และหยางเฟยอี้ เดินทางมาร่วมงานในเทศกาลดอกไม้ลือชื่อดังกล่าวพร้อมขึ้นเวทีมอบรางวัลให้แก่ผู้ชนะการประกวดแข่งขันเพาะดอกโบตั๋น รวมไปถึงใช้พลังเสียงของเธอขับกล่อมผู้ชมภายในงานจนได้รับเสียงปรบมือด้วยความชื่นชม ร่างระหงของนักร้องสาวชื่อดังเดินลงจากเวที เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจวันนี้เป็นที่เรียบร้อยก่อนจะยื่นมือรับขวดน้ำดื่มจากพี่สาวมาถือเอาไว้ในมือพลางกวาดสายตาไปทั่วบริเวณงาน “โอโห่! พี่ใหญ่ดอกโบตั๋นของจริงมีหลายสีขนาดนี้เลยเหรอเพิ่งจะรู้ก็วันนี้แหละดอกเบ้อเริ่มเลย แค่ดอกเดียวก็สามารถปิดหน้าหนูจนมิดเลย” หญิงสาวพูดพลางยกขวดน้ำขึ้นกรอกปากก่อนจะดื่มน้ำอย่างรวดเร็วจนหมด “ถิงถิง! เดี๋ยวขากลับเราแวะเที่ยวเมืองลั่วหยางกันเถอะ ที่นี่มีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะแยะเลย อีกอย่างหมดคิวงานของทางนี้แล้ว กว่าคิวงานจากฮ่องกงจะเริ่มมีเวลาว่างตั้งห้าวันเลยเชียวนะ” หลี่ยู่บอกน้องสาวของเธอพลางเปิดไอแพด ซึ่งบันทึกคิวงานของแต่ละวันขึ้นตรวจสอบอีกครั้ง “ก็ดีเหมือนกันนะพี่ใหญ่ มีเวลาว่างตั้งห้าวันถือโอกาสใช้เวลานี้เที่ยวพักผ่อนให้ร่างกายผ่อนคลาย หนูจะได้มีเวลานอนยาวๆ สักวันจะได้พักเส้นเสียงไปในตัว กี่ปีแล้วก็ไม่รู้ที่ไม่ได้พักเลยทำแต่งานอย่างเดียว เกิดตายไปก่อนอดได้ใช้เงินตัวเองพอดี หาเงินมาได้ตั้งเยอะแยะ ต้องหาความสุขใส่ตัวเสียบ้างดะ...” หญิงสาวพูดยังไม่ทันจบ เพียะ!ฝ่ามือของพี่สาวกระหน่ำลงมาทันที “พูดอะไรแบบนี้เด็กบ้า! มาต่างบ้านต่างเมืองเขาห้ามไม่ให้พูดเรื่องตายมันเป็นลางไม่ดีรู้หรือเปล่า!” หลี่ยู่เอ็ดน้องน้องสาวต่างพ่อกลับไปท่ามกลางเสียงหัวเราะร่วนของสาวเจ้าดังออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ไร้สาระนะพี่ใหญ่! งมงายไปได้ใครเชื่อก็บ้าแล้ว! ไอ้เรื่องตายคนเราเกิดมาก็ต้องตายทุกคนนั้นแหละ ขึ้นอยู่กับว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง ตอนที่ยังไม่ถึงเวลาตายก็ใช้ชีวิตให้มันคุ้มค่าไม่ดีกว่าเหรอ ถึงหนูจะตายตอนนี้ก็ไม่ต้องห่วงอะไรแล้วเพราะมีเงินทิ้งให้ปะป๋ากับมะม้าแล้วก็พี่ใหญ่ เพียงพอที่จะอยู่สบายไปทั้งชาติเลย” หญิงสาวพูดออกมาตามความรู้สึกของเธอ “แต่พี่ใหญ่แกไม่ต้องการ! เรามีกันแค่สองคนพี่น้องเท่านั้นจะทิ้งฉันให้อยู่คนเดียวได้อย่างไงเจ้าน้องบ้า! เลิกพูดเรื่องแบบนี้ได้แล้วอย่าให้ได้ยินอีกนะ เพราะพี่ไม่ชอบให้แกพูดเป็นลางแบบนี้!” หลี่ยู่กำชับน้องสาวเสียงจริงจัง หมับ! ท่อนแขนเรียวตรงเข้ากอดเอวพี่สาวต่างพ่อ เมื่อเห็นอารมณ์อีกฝ่ายเริ่มไม่ดีขึ้นมาเพราะจากคำพูดของเธอ “ถิงถิงผิดไปแล้ว พี่ใหญ่อย่าโกรธเลยนะ ต่อไปหนูจะไม่พูดจาอะไรแบบนี้อีกแล้วสัญญาเลย” หญิงสาวพูดพลางชูนิ้วก้อยของเธอขึ้นมาเพื่อเกี่ยวก้อยสัญญากับพี่สาว หลี่ยู่มองน้องสาวตัวดีของเธอก่อนจะทำตาปะหลับปะเหลือกส่งค้อนให้อีกฝ่าย พลางยื่นนิ้วก้อยเกี่ยวนิ้วของน้องเพื่อให้สัญญาระหว่างพี่น้อง “สัญญาแล้วนะว่าจะไม่พูด! เป็นเด็กดีของพี่ใหญ่ว่านอนสอนง่ายตลอดไป ไม่ว่าอย่างไรก็ตามแกไปที่ไหนต้องมีพี่ไปด้วยทุกที่ ฉันไม่ปล่อยให้แกต้องไปไหนคนเดียวตามลำพังหรอก” หลี่ยู่บอกน้องกลับไป “ว้าว! หนูโชคดีมากเลยที่พี่ใหญ่รักและเป็นห่วงมากขนาดนี้ สัญญาเลยว่าจะเด็กดีของพี่ใหญ่และเชื่อฟังทุกอย่างเลย” นักร้องสาววัยแรกรุ่นกล่าวให้สัญญา “ดีแล้ว! เดี๋ยวเรากลับเข้าที่พักกันก่อนช่วงบ่ายค่อยออกมาเดินเที่ยวเมืองลั่วหยางว่ามีอะไรน่าเที่ยวบ้าง จะได้เปลี่ยนเสื้อผ้าใส่ชุดสบายๆ ไม่ต้องมากพิธีเหมือนตอนนี้” หลี่ยู่กล่าวพลางตรงเข้าควงแขนน้องสาวเดินไปพร้อมกับเธอพร้อมเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “เดี๋ยวช่วงบ่ายเราไปเที่ยวจวนโบราณดีกว่าถิงถิง พี่ใหญ่เห็นโบชัวร์เชิญชวนให้นักท่องเที่ยวเข้าไปชม เป็นจวนอุปราชที่มีสภาพสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่เคยมีมา เห็นว่าทางการประกาศขึ้นทะเบียนอนุรักษ์เอาไว้ให้เป็นสมบัติของชาติ ภายในนั้นมีของเก่าแก่มาจัดแสดงด้วยนะ” หลี่ยู่บอกน้องสาว ในขณะที่คนเป็นน้องไม่ได้ใส่ใจที่จะฟังแม้แต่น้อย สายตาเอาแต่มองดอกโบตั๋นพร้อมเอ่ยขึ้น “มีแต่คนชอบดอกโบตั๋นกันทั้งนั้นเลยแต่ทำไมเรากลับไม่ชื่นชอบเหมือนคนอื่นเขาหว้า ถ้าเป็นดอกเหมยว่าไปอย่างยิ่งเป็นดอกสีขาวละก็เยี่ยมมากเลย” หยางเฟยอี้บ่นพึมพำอยู่คนเดียว “ตกลงแกฟังพี่ใหญ่อยู่หรือเปล่าถิงถิง! แล้วนี่อะไรมาเทศกาลดอกโบตั๋นแทนที่จะชื่นชมกลับบ่นหาดอกเหมย นี่มันใช่ฤดูกาลของมันหรือเปล่ายะ! อีกอย่างดอกเหมยสีขาวเป็นพันธ์แท้หายากจะตายในสมัยนี้ ที่เห็นมีแต่พวกกลายพันธ์ทั้งนั้นจะไปหาดูที่ไหนได้!” หลี่ยู่บ่นให้น้องสาวเสียยืดยาวในขณะที่เจ้าตัวได้แต่เงียบปากไม่ตอบโต้แม้แต่คำเดียว “โอโห่! พี่ใหญ่ทำไมบ่นเก่งจัง อายุก็เพิ่งจะ 24 เท่านั้นเองทำเหมือนคนอายุ 42 เข้าไปได้หูชาไปหมดแล้ว!” หญิงสาวพูดพร้อมยกนิ้วเขี่ยในรูหูของเธอไปมา โป๊ก! มะเหงกเขกลงกลางศีรษะของน้องสาวเบาๆ เป็นการลงโทษ “ยายเด็กแก่แดดมาว่าพี่ใหญ่ทำตัวเป็นยายแก่อย่างนั้นเหรอ! แล้วไอ้ที่พูดมามันถูกไหมเล่า ถามจริงตั้งแต่เกิดมาเรานะเคยเห็นดอกเหมยแล้วเหรอถึงได้แยกแยะออกได้ พวกเราเกิดที่ฮ่องกงนะ! เป็นคนฮ่องกงโดยกำเนิดไม่ใช่เกิดและโตในแผ่นดินใหญ่” หลี่ยู่บ่นนน้องสาวเสียยืดยาว “ก็ชาติที่แล้วหนูเกิดที่นี่!” หยางเฟยอี้สวนพี่สาวกลับไปทันที หือ!!! หลี่ยู่ส่งเสียงสูงอยู่ในลำคอทันทีที่ได้ยินน้องสาวของเธอกล่าวออกมาเช่นนั้น ในขณะที่เจ้าตัวก็ชะงันงันอยู่กับที่เช่นกันเพราะเหตุใดจึงพูดประโยคนั้นออกมาได้ ครั้นเหลือบสายตามองพี่สาวก็ต้องรีบหลบทันทีเมื่อหลี่ยู่จอมเฮี้ยบมองเธอเขม็งอยู่ในขณะนี้ “เออ...คือว่า...หนูแค่ลืมตัวก็เลยพูดอะไรไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้นเองพี่ใหญ่” หญิงสาวรีบแก้ตัวให้กับตัวเอง หลี่ยู่ยกมือขึ้นจับหน้าผากของตัวเองพร้อมใช้มืออีกข้างแตะหน้าากของน้องสาววัดอุณหภูมิในร่างกายเพื่อให้แน่ใจ “ไม่มีไข้ก็แล้วไป สงสัยคงจะนอนไม่อิ่มก็เลยพูดจาเลอะเลือนออกมา พี่ใหญ่คิดว่าแกต้องนอนพักผ่อนเอาแรงก่อนดีกว่า วันนี้ยังไม่ต้องออกไปไหนหรอกเอาไว้พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ เพื่อจะดีขึ้นกว่าวันนี้” หลี่ยู่ไม่พูดเปล่าตรงเข้าควงแขนของน้องสาวอีกครั้งพร้อมลากร่างระหงของเด็กสาวไปด้วยกัน “พี่ใหญ่หนูไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ!” นักร้องดังบ่นพึมพำไปตลอดทางเมื่อถูกพี่สาวกักตัวเธอเอาไว้แต่ในที่พักแบบนั้น10 เดือนผ่านไป เทือกเขาหลงเมิ่งเทือกเขาสูงเสียดฟ้ายังคงยืนหยัดผ่านกาลเวลาที่หมุนเวียนเปลี่ยนไปในแต่ละวัน จากวันเป็นเดือนจนเวลาผ่านไปแล้วสิบเดือนที่เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้นที่จวนอุปราชแห่งหยวนเป่ย จนทำให้อินอวิ๋นฉวี่ฮ่องเต้สวรรคตพร้อมกับอินอวิ๋นหยางอุปราชผู้ลือนามซึ่งหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยด้วยเพราะค้นหาพระศพไม่พบ มีเพียงพระศพของอินอวิ๋นฉวี่เท่านั้นที่ถูกค้นพบ ในสภาพพระศพต่างเป็นที่สยดสยองแก่ผู้มาพบเป็นยิ่งนัก ด้วยถูกต้นไม้ยืนต้นตายที่ก้นเหวซึ่งหักสะบั้นลงจนเกิดปลายแหลมคม โชคร้ายของฮ่องเต้น้อยที่ร่วงหล่นจากยอดเขา ร่างตกลงมาเสียบคาอยู่กับตอไม้ที่เหลือเพียงปลายแหลมคมดังกล่าวจนเครื่องในไหลทะลักออกมากองนอกลำตัวเป็นภาพที่ผู้ใดมาพานพบต่างก็ไม่คาดคิดว่า จุดจบของฮ่องเต้หยวนเป่ยจะมีเป็นสภาพเช่นนี้ ในขณะที่อุปราชหยวนเป่ยที่ตกจากยอดเขามาพร้อมกันกับไม่เห็นพระศพแต่อย่างใด มีเพียงรอยลากเป็นทางยาวตรงก้นเหวซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าถูกสัตว์ป่าลากพระศพของพระองค์ไปเป็นอาหารของมันก็อาจเป็นไปได้เช่นกัน เพราะพระศพของฮ่องเต้หยวนเป่ยก็ถูกสัตว์ป่ากัดแทะจนชิ้นส่วนแขนและขาหายไปทั้งสองข้าง เ
ดวงตาคู่โศกสั่นไหวระริกเมื่อเห็นคนงามอุ้มครรภ์ขนาดใหญ่และใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง พร้อมหยาดน้ำตาคลอเบ้าขึ้นมาทันทีเมื่อเสียงขลุ่ยนั้นช่างบีบเค้นหัวใจคนฟังเสียนี่กระไร บ่งบอกให้ล่วงรู้ว่านางรักและอาลัยต่อคนที่จากไปมากมายยิ่งนัก ไม่ว่าคนรักจะอยู่แห่งหนใด ขอฝากเสียงขลุ่ยนี้เป็นตัวแทนความรักและความคิดถึงของนางที่มีให้นี้จากหัวใจทั้งหมด “ผีเสื้อน้อยแสนสวยของข้า!” เสียงรำพึงร้อยเรียกหาสตรีในหัวใจของอินอวิ๋นหยาง อุปราชรูปงามบัดนี้มาปรากฏตัวอยู่ทางด้านหลังแม่ผีเสื้อแสนสวยของพระองค์ ช่วงระยะเวลาสิบเดือนที่ผ่านมาอินอวิ๋นหยางเก็บตัวอย่างเงียบเชียบรักษาพระอาการที่ถูกพระชายาของตัวเองวางยาพิษหมายสังหารให้ชีพดับสูญ แต่แล้วนางกลับให้โอกาสได้อยู่รอดต่อไปเพราะล่วงรู้แล้วว่า เมื่อทำลงไปแล้วนางกลับไม่มีความยินดีแม้แต่น้อยตรงกันข้ามเจ็บปวดหัวใจเป็นยิ่งนัก แต่เป็นเพราะอาการบาดเจ็บเพราะถูกอินอวิ๋นฉวี่จ้วงแทงในระยะกระชั้นชิดและยังถูกพิษร้ายแรงของพระชายาทำให้พระองค์บาดเจ็บสาหัสแทบเอาชีวิตไม่รอด โชคดีที่ตกจากยอดเขาลงมาและอุปราชหนุ่มคว้าเถาวัลย์เอาไว้ได้ทันจึงไม่ร่วงหล่นลงสู่ก้นเหว จึงมีเพีย
จวนอุปราชกลุ่มควันขาวลอยสูงขึ้นสู่ท้องฟ้าเบื้องบน ปกคลุมไปทั่วจวนอุปราชแลดูคล้ายเมฆหมอกเมฆา แต่ความเป็นจริงแล้วคือควันไฟที่ผสมยาแก้พิษของอินอวิ๋นฉวี่ ที่แอบลอบวางพิษยาสั่ง ซึ่งฮ่องเต้หยวนเป่ยได้ยาดังกล่าวมาจากเสี่ยวฉิงจื่อ ขันทีไส้ศึกจากสองแคว้นซึ่งเป็นทั้งยาสั่งและเป็นยาพิษในตัวด้วยกัน อันเกิดจากการคิดค้นปรุงยาของอดีตเจ้าสำนักหมื่นพิษโหรวหนิง อาจารย์ของหวู่ซานซานและอาจารย์ปู่ของหยางเฟยอี้ แต่เหนือฟ้าย่อมมีฟ้าเมื่อหยางเฟยอี้ นอกจากอัจฉริยะทางด้านดนตรีด้วยแล้ว นางยังมีปัญญาอันชาญฉลาดและไหวพริบดีเลิศมาจากภพชาติปัจจุบันของนาง จึงทำให้การปรุงยาพิษที่สามารถแก้พิษได้ทุกชนิดบรรลุผลสำเร็จ หากไม่เกิดเหตุการณ์ที่มาเกี่ยวพันกับชีวิตของหวู่ซานซาน แม่ผีเสื้อตัวน้อยก็จะยังไม่สามารถคิดค้นยาแก้พิษได้ทุกชนิดนี้ขึ้นมาได้แต่อย่างใด ยาแก้พิษดังกล่าวถูกนำมาเทใส่กองไฟจนเกิดเป็นควันขาวลอยคละคลุ้งปกคลุมไปทั่วจวนอุปราช ยอดเขาหลงเมิ่งในเวลานี้เต็มไปด้วยควันขาวมองแทบไม่เห็นตัวคน ในขณะที่กองทหารอารักขาซึ่งได้รับยาแก้พิษนั้นแล้วไม่ได้อยู่ในการควบคุมของฮ่องเต้หยวนเป่ยอีกต่อไป ต่างพากันกระจายกำล
ควับ! ฮ่องเต้หยวนเป่ยหันพระวรกายกลับมาทอดพระเนตรทางด้านหลังอย่างรวดเร็ว และต้องเบิกพระเนตรกว้างด้วยความตระหนกพระทัยเมื่อทอดพระเนตรอุปราชผู้เป็นอา ยืนสูงทะมึนค้ำพระองค์อยู่ในขณะนั้นใบหน้าหล่อเหลาก้มต่ำลงท่ามกลางเส้นผมสีดำสนิทตกลงปรกหน้า ดวงตาจับจ้องเขม็งมาที่ฮ่องเต้หยวนเป่ยเต็มไปด้วยกลิ่นไอแห่งความตายจนสัมผัสได้ “เจ้าเสียดายชีวิตข้าหรือเสียดายเพราะไม่ได้ลงมือฆ่าด้วยตัวเอง!” อินอวิ๋นหยางถามกลับไปพร้อมแสยะยิ้มหยามเหยียด ฮ่องเต้หยวนเป่ยครั้นหายจากอาการตกตะลึงที่ได้เห็นผู้เป็นอาสามารถหวนคืนกลับมาจากความตายได้นั้น รอยแสยะยิ้มเหยียดปรากฏออกมาทันทีครั้นได้ยินเช่นนั้น “ตายยากเหมือนกันนะเสด็จอา! แต่ก็ดี!...ในเมื่อเหตุการณ์พลิกผัน วันนี้ข้าหรือท่านเท่านั้นที่จะมีชีวิตรอดกลับไป” รับสั่งพร้อมใช้สายพระเนตรจับจ้องผู้เป็นอาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ร่างเกือบเปลือยเปล่า มีเพียงอาภรณ์ขาวผืนบางเบาพันไว้รอบกายมัดรวบเอาไว้ใต้เอวเพียงเท่านั้น เนื้อตัวเต็มไปด้วยโลหิตและรอยแผลเป็นจากการทำสงคราม ปรากฏตามลำตัวตลอดจนทั่วทั้งแผ่นหลังและท่อนแขนกำยำปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน “ดูท่าสภาพของท่าน
ในขณะเดียวกัน กระท่อมหลังเขาพระวรกายสูงของฮ่องเต้หยวนเป่ย บัดนี้ได้มาปรากฏขึ้นอยู่ตรงหน้าประตูห้องของหวู่ซานซาน พระองค์กำลังยืนพิงประตูกอดอกทอดพระเนตรคนงามอยู่ในขณะนั้น ด้วยหยางเฟยอี้ในยามนี้ร่างกายของนางมีสภาพเปียกปอน จนอาภรณ์ขาวที่สวมอยู่ติดกายแนบลู่ไปกับกายงามจนเน้นส่วนเว้าส่วนโค้งอันสมบูรณ์ของสตรีเพศแสนเย้ายวนใจเผยให้ฮ่องเต้หนุ่มได้ทอดพระเนตร อกเป็นอก เอวคอดเท่ามดตะนอย สะโพกผายได้รูปสวย บั้นท้ายงอนงามตึงแน่นเล่นเอาอวิ๋นฉวี่ตะลึงลานไม่เป็นอันทำอะไร ทันทีที่หยางเฟยอี้หันกลับมาเผชิญหน้ากับพระองค์จนนางต้องเป็นฝ่ายเอ่ยทำลายความเงียบงัน “ฝ่าบาทจะทรงยืนจ้องหม่อมฉันแบบนี้อีกนานไหมเพคะ” คนงามถามสวนกลับไป และนั่นทำให้อวิ๋ฉวี่ฮ่องเต้รู้สึกตัวขึ้นมาทันที “ก็เจ้าชวนน่ามองเช่นนี้! จะห้ามสายตาของข้าไปได้อย่างไร แผนลอบสังหารอุปราชคงจะล้มเหลวไม่เป็นท่าเสียกระมัง เจ้าจึงมีสภาพกลับมาให้ข้าได้เห็นเช่นนี้ ดูท่าข้าจะประเมินเจ้าสูงเกินไปไม่เป็นไปตามที่คิด” รับสั่งออกมาตามการคาดเดาของตัวเอง “อย่างนั้นเหรอเพคะ! ถ้าเช่นนั้นก็คอยทอดพระเนตรต่อไปก็แล้วกัน” คนงามตอบกลับไ
ในขณะเดียวกัน ตำหนักอุปราชริมฝีปากหยักได้รูปสวยเริ่มขยับขึ้นมาทีละน้อย ภายหลังจากกลืนยาเม็ดสีดำสนิทลงไปนานกว่าหนึ่งชั่วยาม ทั่วกายเริ่มหายจากอาการชาไปทั่วร่าง และสามารถเริ่มเคลื่อนไหวขึ้นมาอย่างช้าๆ ทันใดนั้นเอง พรืดดดด!!!! อินอวิ๋นหยางกระอักโลหิตแดงฉานพุ่งพรวดออกจากปากจนกระจายเต็มที่นอน พร้อมร่างใหญ่ทรุดฮวบลงกับฟูกตรงหน้าทันที แค่กก! แค่กก! แค่กกก! เสียงไอโครกครากดังออกมาทันใดพร้อมกระอักโลหิตออกมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมเสียงพึมพำดังเล็ดรอดออกมาอย่างแผ่วเบาอยู่ในขณะนั้น “ยะ...เยี่ยนลี่! ย..เยี่ยนลี่...ถ..ถิง...ถิง..ถิงถิง...ของ...ข้า!” เสียงเรียกชื่ออดีตพระชายาและคนปัจจุบันซึ่งเป็นคนเดียวกันดังออกมาจากปากของอุปราชแห่งหยวนเป่ย ร่างสูงใหญ่ค่อยๆ ยันกายขึ้นมาจากฟูกนอน เส้นผมสีดำสนิทยาวสยายปรกลงใบหน้าก่อนจะเริ่มเคลื่อนไหวพระวรกายค่อยๆ คลานออกมาจากแท่นบรรทมจุดหมายคือผ้าแพรสีเหลืองที่วางอยู่บนโต๊ะไม่ไกลจากแท่นบรรทมเท่าใดนัก ตุบ! ตุบ! ตุบ! พระวรกายใหญ่ตกจากแท่นบรรทมก่อนจะกลิ้งตกลงไปที่พื้นห้อง แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่ละความพยายามแต่อย่างใด ท่อนแขนแข็งแกร