ณ หน้าตำหนักเหอเซิ่ง
เสี่ยวหู่รับรู้ได้ถึงไอของความเย็นยะเยือกและหมอกดำแผ่กระจายไปทั่วบริเวณ เงาดำที่เห็นเมื่อสักครู่แวบหายไปก่อนที่จะมาถึง
‘ทำไมคืนนี้ถึงปรากฏความผิดปกติเกิดขึ้นนะ กำลังจะเกิดเหตุการณ์ร้ายขึ้นหรือเปล่าเนี่ย’
เมื่อเธอเดินสำรวจไปรอบๆหน้าตำหนักยังไม่พบเจอสิ่งใดผิดสังเกต
‘รอดูพรุ่งนี้อีกวันละกัน อาจจะเป็นแค่วันปล่อยผีก็ได้มั้ง’ จากนั้นเถียนจิ้งหลานในร่างเสี่ยวหู่ก็กลับเข้าตำหนักไปนอนบนเตียงนุ่มๆของตนเอง
ยามแสงสว่างสาดส่องมาทางหน้าต่าง ยังไม่ทันที่จะรู้สึกตัวตื่นจากความอบอุ่นในตอนเช้า กลับต้องสะดุ้งตกใจตื่นเพราะเสียงของเฉิงกงกง
“ฝ่าบาทๆ พะย่ะค่ะ”
“มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น” เสียงเนือยๆของฮ่องเต้ดังขึ้น
“เถียนเฟยทรงหมดสติ วันนี้วันที่สามวันแล้วพะย่ะค่ะ”
“หมดสติงั้นหรือ หมอหลวงเข้าไปตรวจดูอาการหรือยัง”
น้ำเสียงของฮ่องเต้ก็ยังเนือยๆไม่ตระหนกตกใจอันใด
“นางกำนัลแจ้งว่า เถียนเฟยรับสั่งก่อนหมดสติว่า ไม่ต้องกังวล เดี๋ยวก็ฟื้นได้สติเอง แต่ไม่รู้ว่าจะเมื่อใดพะย่ะค่ะ”
“อ่อ เช่นนั้นก็ดี แต่ถ้านางมีอันเป็นไป เจ้าค่อยหารายชื่อสตรีที่เหมาะสมมาให้เจิ้นแต่งตั้งเป็นสนมคนใหม่ แต่นางไม่มีทางเป็นอันใดไปได้หรอก” ฮ่องเต้กล่าวพลางหยิบของว่างใส่พระโอษฐ์ไม่สนใจใดๆ
เถียนจิ้งหลานได้ยินดังนั้นในใจรู้สึกโศกเศร้าอยู่ไม่น้อย ใช่สิ เพียงเพราะเธอเป็นสตรีใช่หรือไม่ แม้ไม่ได้รักใคร่ชอบพอ แต่ห่วงสักนิดนึงก็ยังดี เสแสร้งบ้างก็ได้
‘เบื่อนักคนใจดำ ฉันไปที่ตำหนักตัวเองดีกว่า เผื่อซือฝุมาถึงแล้ว’
ยังไม่ทันได้ลุกขึ้นจากเตียงก็ถูกฮ่องเต้อุ้มไปวางบนตัก อกไก่อบแห้งชิ้นหนึ่งถูกยัดเข้าปาก
“กินซะ อิ่มแล้วค่อยออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก”
‘ซะ ซาบซึ้งน้ำตาจะไหล เถียนจิ้งหลานเธอโชคดีเหลือเกิน ที่ได้มาอยู่ในร่างแมว ได้รับพระกรุณาธิคุณล้นพ้น’
แมวน้อยเคี้ยวแก้มตุ่ยพร้อมเหลือกตามองบน ชาติก่อนของฉันนะ มีแต่คนต้องมาพะเน้าพะนอ แค่เดินเซนิดเดียวก็มีคนมาคอยประคองแทบจะอุ้ม พอมาอยู่นี่สิ จะเป็นจะตายสามีในนามก็ไม่สนใจใยดี
“อิ่มแล้วเพคะ บ๊ายบายนะฝ่าบาท” “เหมียวๆๆๆ” สะบัดก้นเดินออกไป
สายเต้ฮ่องเต้ปรายสายตามองตาม
‘เสี่ยวหู่ของเจิ้นจะกระเดียดเป็นแมวเพศเมียแล้ว อ้อนเก่ง บ่นเก่ง ขี้งอน แถมเดินบิดสะโพกอีก’ ฮ่องเต้ส่ายหน้าเบาๆพร้อมถอนหายใจ
นี่แหละหนาความกลุ้มใจของทาสแมว
ณ ตำหนักซินหยวนของเถียนเฟย หมอกขาวบางๆปกคลุมทั่วบริเวณ
‘ยังไม่เข้าฤดูหนาว ทำไมหมอกถึงเยอะเช่นนี้ เอ๊ะ นั่นเงาผู้ใด หรือว่าจะเป็นซือฝุนะ’เสี่ยวหู่วิ่งเข้าไปดู พอถึงหน้าประตูห้องบรรทมสายตาก็เห็นบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ ไหล่กว้างเอวคอด ผมดำเงางาม หันหลังอยู่
‘นี่ซือฝุหรือ นึกว่าจะเป็นตาเฒ่าหัวหงอกเสียอีก’ คิดแล้วหลับตาสำรวจความทรงจำที่มี
‘กรรม ตอนนี้ฉันอยู่ในร่างแมว ไม่มีความทรงจำ แหะๆ เขินจัง’
เธอยืนมองอยู่หน้าประตูก่อนตัดสินใจจะก้าวเท้าเข้าห้อง
บุรุษผู้สวมใส่อาภรณ์ขาวนั่งอยู่ข้างเตียง มือเอื้อมไปลูบไล้ผมข้างใบหูของเถียนเฟย คิ้วขมวดเป็นปม สายตาบ่งบอกถึงความเป็นห่วงและความหงุดหงิด
“เจ้าศิษย์บื้อ”
เสี่ยวหู่ชะงักเท้า ‘วันนี้คงฤกษ์ไม่ดี ฝ่าบาทไม่สนใจแถมซือฝุยังหงุดหงิด ไปเที่ยวตำหนักสนมคนอื่นก่อนดีกว่า’ หันหลังกลับยังไม่ทันก้าวขาก็ได้ยินเสียง
“หยุดอยู่ตรงนั้น เจ้าแมวโง่”
ได้ยินเช่นนั้นเธอรู้สึกเจ็บร้าวถึงทรวง ตอกย้ำเก่ง ซือฝุปากร้าย เพิ่งเจอหน้าคำแรกก็เจ้าศิษย์บื้อ คำที่สองก็เจ้าแมวโง่
‘อาจารย์คงไม่รู้หรอกนะว่าตอนนี้ฉันอยู่ในร่างแมว’ เธอหันกลับไปมองหน้าบุรุษผู้นั้น
‘ไอหยา รูปงามอีกแล้ว คิ้วเข้ม ดวงตาดอกท้อชวนให้หลงใหล ปากหยักได้รูป ดูสูงศักดิ์ไม่แพ้ฮ่องเต้ อายุน่าจะแค่ยี่สิบสี่ยี่สิบห้า ไปเป็นดาราได้เลยนะแบบนี้ เดี๋ยวอาสาเป็นผู้จัดการส่วนตัวให้’
“หยุดความคิดโง่ๆนั้นเสีย” ซือฝุเอ่ยขึ้นและหันไปทางนางกำนัล “พวกเจ้าออกไปรอข้างนอก”
“เจ้าค่ะ”
‘ซือฝุดูฉันออกและอ่านความคิดได้ด้วยหรอ สุดยอดดด’ แมวส้มพยักพเยิดหน้าอย่างภาคภูมิใจ
“ข้าอ่านความคิดสัตว์เดรัจฉานไม่ได้หรอก แต่ข้าสามารถเข้าใจได้จากภาษากาย” “นั่งลงซะ”
‘ซือฝุฝีปากคมจริงๆ ที่บอกว่าอ่านความคิดสัตว์เดรัจฉานไม่ได้ ไม่รู้ว่าพูดความจริงหรือกำลังหลอกด่าฉันอยู่นะ’
ขณะที่คิดก็กระโดดขึ้นไปนั่งลงบนเก้าอี้ข้างอาจารย์
“เจ้าเนี่ยนะ...ไม่ว่าเจ้าคนเก่าหรือเจ้าคนใหม่ล้วนไม่ได้ความ”
อาจารย์ถอนหายใจพร้อมเอื้อมมือเขกที่หัวเสี่ยวหู่
เถียนจิ้งหลานในร่างเสี่ยวหู่ออกอาการกระสับกระส่าย อยากจะอธิบายให้ซือฝุฟัง
“ซือฝุ ข้าไม่ได้ตั้งใจนะ มัน มันแค่ อ่านผิดไปนิดเดียว บะแบบว่า ผวนคำ ละ แล้วก็มีอ่านย้อนจากหลังไปหน้า แค่นั้นจริงๆนะ ก็แค่ข้าคนเก่าเป็นคน ข้าคนใหม่เป็นแมวเอง”
ซือฝุจะไปเข้าใจภาษาแมวได้อย่างไร มองภายนอกก็เหมือนแมวตัวหนึ่งที่กำลังยกขาหน้าทั้งสองขาเหมือนคว้าอากาศเล่น แล้วก็ร้องเหมียวๆๆ ไม่ยอมหยุด
เขาเห็นดังนั้นก็ส่ายศีรษะพร้อมทอดถอนหายใจ เอ่ยเบาๆ
“พอแล้วศิษย์ข้า ยิ่งร้องเยอะ ข้ายิ่งลมปราณตับติดขัด”
เขาถอนหายใจอีกหลายรอบ อึดอัดเกินไปแล้ว
“ข้าบอกเจ้าก่อนว่า การผิดพลาดครั้งนี้ร้ายแรงยิ่งนัก ประการแรก จิตวิญญานเจ้าจะสิงในร่างของผู้คนต่างๆอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และกำหนดจำนวนวันไม่ได้ แต่เมื่อครบกำหนดเวลาวิญญานเจ้าจะเข้าร่างเดิมเอง ประการที่สอง วันที่เจ้าทำพิธีน่าจะมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นพร้อมกัน เจ้าจงสังเกตถึงความผิดปกติภายในวังหลวงให้ดี ถ้าพบเจอให้แจ้งข้า จะได้แก้ไขได้ทันท่วงที เรื่องนี้ช้าไม่ได้”
“ข้าคงไม่รอเจ้าพูดตอบนะ ไปล่ะ” พูดจบซือฝุก็ลุกขึ้นพาร่างที่สูงโปร่งงดงามเดินจากไป
เสี่ยวหู่มองตามหลังร่างซือฝุ แววตาแสดงออกถึงความตกใจ
“ซือฝุ ท่านจะทิ้งข้าไว้แบบนี้น่ะหรือ” “มะ..เหมียวๆๆๆ”
‘โอ้ ซือฝุผู้สง่างามของฉัน นอกจากฝีปากคมคายแล้ว ยังไม่ค่อยมีเมตตากรุณาอีก ให้มันได้อย่างนี้สิ ฉันไปทำภารกิจด้วยสี่เท้าของฉัน แมวตัวเดียวเองก็ได้ ชิ’
นางกำนัลหน้าแดงอย่างขวยเขินเพราะเข้าใจสิ่งที่องค์หญิงซิงหยวนต้องการ นางรีบวิ่งไปทำตามสั่งโดยไม่คิดชีวิตฤกษ์ดีๆ อย่าให้พลาดเรื่องดีๆหยางหย่วนเฟิงรู้สึกงุนงงหลังจากได้ดื่มน้ำแกงสร่างเมา เขาพอมีสติอยู่บ้างแต่ก็ยังอยากนอนมากกว่า“ข้าอยากพักผ่อนแล้ว เจ้าลิงน้อยก็นอนเถอะ” น้ำเสียงงัวเงียบอกกับหญิงสาวที่มีสีหน้าบอกบุญไม่รับ“ไม่ได้” นางตอบ มือเรียวทั้งสองค่อยๆปลดเสื้อผ้าของชายหนุ่มออก มือหนายกขึ้นมาปัดป้อง “บอกว่าง่วง” เสียงเขาราวกับเด็กน้อยที่เอาแต่ใจ แต่สตรีตรงหน้าไม่สนใจ นางยังคงทำตามปณิธานของตน “อย่าดื้อสิ” นางสั่งเขาพลางถอดเสื้อผ้าของพวกเขาทั้งคู่ออกจนหมด เจ้าบ่าวป้ายแดงดิ้นขัดขืนส่งเสียงงอแง กลับถูกเจ้าสาวจับคางให้นิ่งก่อนก้มลงจุมพิตเขา เมื่อถูกริมฝีปากหวานฉ่ำรุกล้ำภายในปากของตน ก็ทำให้สติสัมปชัญญะของเขาตื่นเต็มที่ มือแกร่งยกขึ้นมารั้งที่ท้ายทอยหญิงสาว อีกมือลูบบริเวณสะโพกกลมกลึง ก่อนที่จะเปลี่ยนพลิกตัวขึ้นเป็นฝ่ายที่ควบคุมนางแทน ในตำหนักเหอเซิ่ง มีเพียงแค่ชายหญิงสองคนเกี่ยวพันกันอย่างเร้าร้อน พวกเขาสั่งให้กงกง ขันทีและองครั
ที่ประตูเมืองหลวงของรัฐต้าเซี่ย เถียนจิ้งหลานยืนอยู่ข้างกายฮ่องเต้ด้วยสีหน้าเศร้าหมอง“ซือฝุจะไปจริงๆหรือเจ้าคะ” เธอรู้ว่าซือฝุตัดสินใจแล้วยังไงก็ไม่เปลี่ยนใจ เพียงแค่ใจหายที่ต้องบอกลากันเร็วถึงเพียงนี้“อืม” เถียนเหว่ยฉีบอกกับหญิงสาว เขามองฮ่องเต้แล้วพยักหน้าให้ถือว่าเป็นอันรู้กัน“ตอนที่ข้าเดินทางไปแอบดูท่านพี่หม่า ซือฝุจะไปด้วยหรือไม่เจ้าคะ”เถียนเหว่ยฉีนิ่งไปพักหนึ่งก่อนตอบว่า “ถ้าข้าสำเร็จวิชาและมีเวลาว่างข้าจะไป” เขาตัดสินใจแล้วว่าจะเข้าสำนักที่ปรมาจารย์ไป๋แนะนำเพื่อฝึกตนเป็นเทพเซียนปฐพี การจากไปครั้งนี้ก็เพื่อแสวงหาความก้าวหน้าให้แก่ตนเอง“โชคดีนะเจ้าคะ ถ้ามีโอกาสข้าจะให้ฝ่าบาทพาไปพบซือฝุ” เธอกล่าวเช่นนั้นเพราะจำได้ว่าสามีของตนเคยอวดอ้างว่าขนาดเทพเซียนปฐพียังต้องเกรงใจเขา นั่นหมายความว่าเขารู้เรื่องราวเกี่ยวกับเทพเซียนปฐพีและน่าจะสามารถเดินทางไปได้ฮ่องเต้ไม่ได้เอ่ยปฏิเสธหรือตอบรับ เขาเอื้อมมือโอบไหล่ เถียนจิ้งหลาน ก่อนจะกล่าวกับบุรุษตรงหน้า “เดินทางปลอดภัย”เถียนเหว่ยฉีหันหลังให้พวกเขาก่อนหยิบของบางอย่างและทำตามคำแนะนำของปรมาจารย์ไป๋ก่อนที่เขาจะหายตัวไปท่ามกลางฝูงชนเถียนจิ้งห
ด้วยความที่เสียเวลาเดินทางมานาน เมื่อพวกเขานั่งเรือกลับมาถึงฝั่งก็เปลี่ยนเป็นเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่และรับทุกคนเดินทางกลับต้าเซี่ยเลยทีเดียว เว่ยฟางหลิงยังต้องกลับไปเก็บของที่วัง เยี่ยนไป๋อวิ๋นและองค์หญิงซิงหยวนขอลงที่ท่าเรือของรัฐเฉียนเยี่ยนและอวิ๋นโจวเพื่อจัดการธุระของตน ที่ดูหงอยเหงามากที่สุดคงหนีไม่พ้นหยางเหว่ยเสียง ปกติเขาจะชอบพูดคุยกับราชครูหม่า ตอนนี้ราชครูหม่าก็ย้ายไปอยู่ในที่แสนไกลแล้ว เขาคงไม่มีคนให้ซักถามเกี่ยวกับเรื่องโหราศาสตร์และดาราศาสตร์ที่เก่งขนาดนั้นอีกแล้ว ส่วนเยี่ยนไป๋อวิ๋นนั้นถือเป็นสหายที่รู้ใจเขามากที่สุด อยู่ด้วยกันมานานพูดคุยเข้าใจกันทุกเรื่อง พอคิดว่าเยี่ยนไป๋อวิ๋นจะต้องกลับสำนักหลานถาเป็นผู้สืบทอด นานทีปีหนจะลงจากเขา ความเศร้าหดหู่ก็เข้ามาเกาะกุมหัวใจของเขาจนยากที่จะขจัดออก “เจ้าเป็นอะไรไป” เยี่ยนไป๋อวิ๋นเดินมานั่งลงข้างกายเขาหลังจากที่พูดคุยกับเถียนเหว่ยฉีเสร็จ “เดี๋ยวไม่กี่วันเจ้าก็ต้องกลับสำนักแล้ว ข้าคงเหงาน่าดู” เยี่ยนไป๋อวิ๋นเขยิบกายเอาไหล่ตนชนกับไหล่ของหยางเหว่ยเสียง “ถ้าข้ามีเวลาไปหาเจ้า เจ้าจะแต่งกายเป็น
เถียนจิ้งหลานนอนซุกอกกำยำของฮ่องเต้ นิ้วเรียวเขี่ยหน้าอกเขาเล่นด้วยความเพลิดเพลิน“เป่าเป้ยเล่าเรื่องท่านพี่หม่าให้หม่อมฉันฟังเลยเพคะ”“อืม เรื่องมันยาว” เขาไม่รู้จะเริ่มต้นเล่าอย่างไรดี“เจิ้นต้องเล่านิทานเรื่องหนึ่งก่อน จึงจะเล่าเรื่องของ หมิงเจ๋อต่อได้” น้ำเสียงทุ้มต่ำของเขากระตุ้นให้สตรีน้อยยิ่งอยากฟังมากขึ้น“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีสตรีโฉมงามปานเทพธิดานางหนึ่งครองรักอยู่กับบุรุษรูปงามดั่งเทพเซียน พวกเขาทั้งสองวางแผนไว้ว่าหากสตรีนางนั้นทำภารกิจที่อาจารย์มอบหมายไว้ให้เรียบร้อยคนทั้งคู่ก็จะแต่งงานกัน” เขาก้มลงจุมพิตที่หน้าผากของหญิงสาวที่นอนฟังราวกับกระต่ายตัวน้อยก่อนจะเล่าต่อ“สตรีนางนั้นต้องต่อสู้กับศิษย์ร่วมสำนักอีกคน ตามกฎของการประลองคือห้ามผู้ใดเข้าช่วยเหลือได้ เมื่อสตรีนางนั้นเพลี่ยงพล้ำถูกกระบี่ของอีกฝ่าย เขาก็ไม่ได้นิ่งเฉยรีบเข้าไปหวังจะช่วยเหลือนาง เพียงแต่ว่าเขาไปช้าเพียงเสี้ยวเวลาเดียวเท่านั้นจึงทำให้ช่วยนางไว้ไม่ทัน นางสิ้นใจในอ้อมอกของเขา”ร่างแกร่งของชายหนุ่มที่เล่าเรื่องเริ่มสั่นไหว ความรู้สึกเศร้าจนหายใจไม่ออกทำให้หน้าอกกระเพื่อมมากขึ้น น้ำเสียงของเขาเริ่มสั่น
ฮ่องเต้อุ้มเถียนจิ้งหลานเดินนำคนอื่นๆไปยังทางออกอีกฝั่งของถ้ำ ภายในถ้ำยังคงสว่างไสวจากประกายแสงของคริสตัลสีฟ้าน้ำทะเล พวกเขาใช้เวลาเดินประมาณสามก้านธูปก็ได้พบกับประตูหินบานใหญ่ซึ่งเป็นทางออกอีกด้านของถ้ำ เนื่องจากตอนที่พวกเขาเปิดประตูถ้ำนั้นต้องใช้แก้วมณีมังกรทำให้กลไกของประตูเปิดและตอนนี้มันก็ยังคงอยู่ในลิ้นของหินรูปร่างมังกร เมื่อสำรวจกับประตูบานตรงหน้าก็คล้ายกับว่าต้องใช้แก้วมณีมังกรเช่นกัน “เดี๋ยวกระหม่อมจะย้อนไปหยิบให้พะย่ะค่ะ” เจียงจิ้นเผิงเสนอตัวอาสา “ช้าก่อน” เถียนเหว่ยฉีรั้งเขาไว้ “ปรมาจารย์ไป๋ไม่น่าจะขยันหยิบแก้วมังกรไปมา เขาต้องมีวิธีเรียกมันมาได้แน่ๆ” “ข้าคุมน้ำให้มากับน้ำดีหรือไม่เจ้าคะ” เถียนจิ้งหลานที่กำลังอ่อนล้าก็อยากช่วยเช่นกัน “ไม่ต้องๆ ไม่รบกวนเถียนเฟยพะย่ะค่ะ” ทั้งเจียงจิ้นเผิงและเมิ่งจื่อหานกล่าวห้ามพร้อมกัน พวกเขาไม่ได้ประจบเอาใจ เพียงแต่ว่าถ้านางควบคุมน้ำได้ไม่ดี พวกเขาอาจจะต้องไหลไปตามน้ำหรือไม่ก็ตัวเปียกอีกรอบ ฮ่องเต้เพ่งมองไปรอบๆบริเวณอย่างช้าๆ ก่อนที่จะฝากให้เถียนเหว่ยฉีอุ้มเถียนจิ้งหลา
เมื่อเดินใกล้ถึงด้านหัวของหินก้อนนั้นจึงมองออกว่าหินก้อนนั้นคือหินรูปมังกร ศีรษะมังกรขนาดใหญ่อ้าปากคำรามน่าเกรงขาม ข้างหลังของศีรษะมังกรเป็นถ้ำถูกปิดด้วยประตูหินที่แกะสลักลวดลายมังกรอย่างวิจิตรบรรจงเจียงจิ้นเผิงเดินเข้าไปใกล้ประตูหินนั้น เขาลองผลักประตูแต่ไม่ว่าจะใช้แรงมากเท่าไหร่ประตูก็ไม่มีทีท่าจะขยับเลยแม้แต่น้อยฮ่องเต้พินิจพิเคราะห์ในปากมังกร เขาล้วงมือเข้าไปหยิบห่อผ้าออกมาจากหน้าอกตนเอง ก่อนหยิบแก้วมณีมังกรใส่ลงไปตรงกลางลิ้นของมังกร เมื่อแก้วมณีมังกรลงช่องที่พอดีกับขนาดของมันก็ทำให้หินรูปมังกรนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงบริเวณลำตัวจากสีน้ำตาลเข้มแกมดำเปลี่ยนเป็นสีเขียวมรกตสดใส ดวงตาของมังกรก็เปล่งประกายสีแดงก่ำราวกับโกเมน จากนั้นประตูหินค่อยๆแง้มออกต้อนรับแขกผู้มาเยือนภายในถ้ำของเกาะแห่งนี้แตกต่างจากเกาะแรกราวฟ้ากับเหว ขนาดพื้นที่กว้างขวาง โอ่โถง พื้นและผนังถ้ำเป็นหินอ่อน ส่วนเพดานเต็มไปด้วยหินคริสตัลสีฟ้าน้ำทะเลส่องแสงระยิบระยับสะท้อนไปทั่วทั้งถ้ำ ทำให้ไม่จำเป็นต้องจุดคบไฟเพื่อให้ความสว่างก่อนที่จะเดินเข้าไปในถ้ำ ฮ่องเต้คว้าตัวเถียนจิ้งหลานไว้ มือใหญ่ทั้งสองจับที่คางของนางก่อนที่