ภายใต้ร่มเงาไม้แสงแดดรำไร สายลมเย็นๆพัดผ่าน ใบไม้พลิ้วไหวตามแรงลม เหยาเฟยสตรีหน้าตางดงามรูปร่างบอบบาง สวมอาภรณ์สีเขียวสดใสกำลังนั่งท่ามกลางมวลดอกไม้พูดคุยหยอกเย้าอยู่กับนางกำนัลของตน
หลิงฮุ่ยจ้องมองใบหน้าของเหยาเฟยด้วยความชื่นชม ปากน้อยๆส่งเสียงเจื้อยแจ้วได้ยินชัดเจนว่า
“เหยาเฟยเพคะ พระองค์ทรงงดงามขนาดนี้ ขนาดหม่อมฉันที่เป็นสตรีด้วยกันยังหลงใหล ทำไมพระองค์ไม่เสด็จไปหาฮ่องเต้ล่ะเพคะ ฮ่องเต้น่าจะโปรดปรานพระองค์ไม่มากก็น้อย”
เหยาเฟยเอื้อมมือเรียวไปบีบแก้มหลิงฮุ่ย กล่าวอย่างเอ็นดู“เจ้าก็พูดไป เจ้าก็รู้ว่าฝ่าบาทไม่ทรงโปรดสตรี ต้องให้ข้าทำอย่างไรให้ฝ่าบาทมาสนใจข้าดีล่ะ”
“ชายหนุ่มอย่างไรก็ต้องแพ้สัญชาตญาณของบุรุษเพศอยู่ดีเพคะ อาจจะต้องพยายามปลุกมันบ่อยๆเท่านั้นเอง”
หลิงฮุ่ยโน้มตัวไปแนบกาย พูดกึ่งกระซิบข้างหูของเหยาเฟย มือน้อยพลางเล่นม้วนปอยผมของนาง
‘ผู้หญิงสนิทกันขนาดนี้ฉันแอบขนลุกจริงๆ’
เถียนจิ้งหลานในร่างเสี่ยวหู่นอนบิดตัวอย่างขี้เกียจอยู่ในกอหญ้า แล้วค่อยๆลุกตัวขึ้นอย่างเชื่องช้า เสียงจากการลุกดัง ‘สวบ’ ทำให้สตรีทั้งสองนางหันหน้ามามอง
“อุ๊ย แมวน้อยน่ารักจัง เหมียวๆ มานี่มา ”
เสียงหวานใสของเหยาเฟยส่งเสียงเรียก นางขยับตัวเปลี่ยนเป็นนั่งคุกเข่า มือทั้งสองก็กวักเรียกเสี่ยวหู่ให้มาหานาง
‘ฉันไปหาเธอก็ได้’ “เหมียวๆๆ” แมวน้อยส่งเสียงรับคำพร้อมเดินเข้าไปหานาง
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆก็ถูกมือคู่นั้นอุ้มไปอยู่บนตักลูบหัวเกาคางอย่างเบามือ
“แรงอีกๆ” “เหมียวๆๆ” เสี่ยวหู่ขยับหัวหาท่าที่สบายที่สุดและโถมตัวใส่ฝ่ามือนั้นครางเบาๆ
“เพอร์ๆๆ”
หลิงฮุ่ยเอื้อมมือไปลูบหลังเสี่ยวหู่ “เจ้าเหมียวตัวนี้เหมือนจะเป็นแมวของฝ่าบาทนะเพคะ เหยาเฟยไม่ลองอุ้มไปคืนฝ่าบาทล่ะเพคะ จะได้เริ่มทำความสนิทกับพระองค์” นางพลันละมือจากหลังของเสี่ยวหู่ไปลูบที่ต้นขาเหยาเฟยแทน
“เจ้าแผนการจริงนะ ได้ ข้าจะลองไปดู แต่เจ้าต้องไปกับข้าด้วย”
ใกล้ถึงยามสนธยา ภายในตำหนักเหอเซิ่งฮ่องเต้กำลังปรึกษาราชกิจกับราชครูหม่า หม่าหมิงเจ๋อ ราชครูหนุ่มรูปงาม ผู้ซึ่งตกเป็นจำเลยในเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าเป็นคู่ชายตัดแขนเสื้อของฮ่องเต้
ราชครูหนุ่มเอื้อนเอ่ยริมฝีปากบาง ขณะหยิบกาน้ำชาขึ้นมาเทใส่ถ้วย “กระหม่อมว่าวันนี้แค่นี้ก่อนดีไหมพะย่ะค่ะ เหมือนฝ่าบาทจะมีแขกคนสำคัญมาหา” ดวงตาเรียวยาวแอบแฝงด้วยอารมณ์ขัน
“ท่านจมูกดีจริงนะ เจิ้นช่างโชคดีที่มีราชครูมากด้วยความสามารถ”
ฮ่องเต้กล่าวด้วยใบหน้าเฉยชา แต่น้ำเสียงเหน็บแนมคู่สนทนากลายๆ
“มิได้ๆ ว่าด้วยความสามารถในการได้กลิ่นของกระหม่อม มิอาจสู้ฝ่าบาทได้” ราชครูหม่าปั้นหน้านิ่งตอบกลับ สะกดกลั้นรอยยิ้มไม่ให้เปิดเผยออกมา
กล่าวยังไม่ทันขาดคำ ร่างของเฉิงกงกงก็เข้ามารายงาน
“เหยาเฟยเสด็จมาหาฝ่าบาทพะย่ะค่ะ เอ่อ เหยาเฟยทรงอุ้มเสี่ยวหู่มาด้วยพะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ตอบเฉิงกงกงอย่างไม่ต้องคิด “ให้นางรออยู่นอกตำหนัก” พลันกล่าวกับราชครูหม่าเชิงออกคำสั่งด้วยเสียงเข้มว่า
“หม่าหมิงเจ๋อเจ้าไม่อยู่เล่นกับเสี่ยวหู่ก่อน ไม่ได้เจอหน้าท่านนาน เดี๋ยวเสี่ยวหู่จำเจ้าไม่ได้”
ราชครูหนุ่มได้ฟังก็คิ้วกระตุก มุมปากยกยิ้ม ตอบด้วยเสียงเรียบ “กระหม่อมดูแลเสี่ยวหู่แทนฝ่าบาทเอง ฝ่าบาททรงสนทนากับเหยาเฟยนานๆได้เลยพะย่ะค่ะ”
เมื่อฮ่องเต้เสด็จถึงสวนด้านหน้าของตำหนักเหอเซิ่งก็ทอดพระเนตรเห็นเหยาเฟย พระสนมคนงามกำลังอุ้มเสี่ยวหู่อย่างแนบแน่น
“หม่อมฉันเหยาเฟยคารวะฝ่าบาทเพคะ ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆปี”
“พระสนมไม่ต้องกล่าวยืดยาวขนาดนี้ เจิ้นไม่ถือ”
ฮ่องเต้ทำมือให้นางลุกขึ้น แล้วย่างพระบาทเข้าไปเพื่อรับเสี่ยวหู่จากมือนาง “เสี่ยวหู่ตัวหนัก เดี๋ยวเจิ้นอุ้มเอง เจ้าอุ้มเสี่ยวหู่มานาน คงเหนื่อยไม่น้อย กลับตำหนักไปพักผ่อนเถิด”
ฮ่องเต้รับเสี่ยวหู่แล้วกระชับเข้าอ้อมแขนอันแข็งแรง พลันหันตัวเดินกลับเข้าตำหนัก ปล่อยให้เหยาเฟยและนางกำนัลยืนนิ่งอย่างงุนงง
“โอ้ย ฉันอึดอัดนะ” “เหมียวๆๆ” เสี่ยวหู่แหกปากร้องพร้อมดิ้นจะลงจากอ้อมอกของฮ่องเต้
“เจ้าตัวดี เหม็นอีกแล้ว” ฮ่องเต้ไม่สนใจเสียงโวยวายของเสี่ยวหู่ แต่กลับยื่นเจ้าแมวน้อยส่งให้กับขันทีอัน
“เจ้าพาไปอาบน้ำที”
ราชครูหม่าเดินเข้ามา ยื่นมือเรียวงามไปลูบหัวเสี่ยวหู่
“ไม่เจอกันนานนะเสี่ยวหู่ กลิ่นหอมบนตัวเจ้าแรงทีเดียว”พูดจบพลางทำจมูกฟุดฟิด แล้วหันหน้าไปกล่าวกับฮ่องเต้
“กระหม่อมคิดว่าฝ่าบาทจะคุยกับเหยาเฟยนานกว่านี้”
“นี่ก็หลายประโยคแล้ว” สายตาเย็นชาของฮ่องเต้มองกลับไปยังราชครูหนุ่ม
“นึกไม่ถึงว่านางจะกล้าหาญมาถึงตำหนักเจิ้น”
“นางก็แค่อยากมาหาพระสวามีนาง ผิดตรงไหน” “เหมียวๆๆ” เสี่ยวหู่เถียงแทนเหยาเฟย ไม่ทันจะโต้แย้งจบก็ถูกขันทีอันอุ้มไปอาบน้ำ
“เสี่ยวหู่คุยเก่งมากกว่าเดิมนะพะย่ะค่ะ” สายตาเอ็นดูของราชครูมองตามเสี่ยวหู่ที่ถูกอุ้มออกไปข้างนอก
“เหมือนสตรีขี้บ่นไม่มีผิด” ฮ่องเต้เอ่ยพลางถอนหายใจ
“เจ้าช่วยเจิ้นสอดส่องด้วยละกัน ขนาดแมวของเจิ้นยังแปลกไปเลย”
“รับทราบ กระหม่อมขอลากลับก่อนพะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ตอบรับด้วยสายตา มองตามหลังของราชครูไป ดวงตาหงส์หลุบต่ำ คิ้วขมวดราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
นางกำนัลหน้าแดงอย่างขวยเขินเพราะเข้าใจสิ่งที่องค์หญิงซิงหยวนต้องการ นางรีบวิ่งไปทำตามสั่งโดยไม่คิดชีวิตฤกษ์ดีๆ อย่าให้พลาดเรื่องดีๆหยางหย่วนเฟิงรู้สึกงุนงงหลังจากได้ดื่มน้ำแกงสร่างเมา เขาพอมีสติอยู่บ้างแต่ก็ยังอยากนอนมากกว่า“ข้าอยากพักผ่อนแล้ว เจ้าลิงน้อยก็นอนเถอะ” น้ำเสียงงัวเงียบอกกับหญิงสาวที่มีสีหน้าบอกบุญไม่รับ“ไม่ได้” นางตอบ มือเรียวทั้งสองค่อยๆปลดเสื้อผ้าของชายหนุ่มออก มือหนายกขึ้นมาปัดป้อง “บอกว่าง่วง” เสียงเขาราวกับเด็กน้อยที่เอาแต่ใจ แต่สตรีตรงหน้าไม่สนใจ นางยังคงทำตามปณิธานของตน “อย่าดื้อสิ” นางสั่งเขาพลางถอดเสื้อผ้าของพวกเขาทั้งคู่ออกจนหมด เจ้าบ่าวป้ายแดงดิ้นขัดขืนส่งเสียงงอแง กลับถูกเจ้าสาวจับคางให้นิ่งก่อนก้มลงจุมพิตเขา เมื่อถูกริมฝีปากหวานฉ่ำรุกล้ำภายในปากของตน ก็ทำให้สติสัมปชัญญะของเขาตื่นเต็มที่ มือแกร่งยกขึ้นมารั้งที่ท้ายทอยหญิงสาว อีกมือลูบบริเวณสะโพกกลมกลึง ก่อนที่จะเปลี่ยนพลิกตัวขึ้นเป็นฝ่ายที่ควบคุมนางแทน ในตำหนักเหอเซิ่ง มีเพียงแค่ชายหญิงสองคนเกี่ยวพันกันอย่างเร้าร้อน พวกเขาสั่งให้กงกง ขันทีและองครั
ที่ประตูเมืองหลวงของรัฐต้าเซี่ย เถียนจิ้งหลานยืนอยู่ข้างกายฮ่องเต้ด้วยสีหน้าเศร้าหมอง“ซือฝุจะไปจริงๆหรือเจ้าคะ” เธอรู้ว่าซือฝุตัดสินใจแล้วยังไงก็ไม่เปลี่ยนใจ เพียงแค่ใจหายที่ต้องบอกลากันเร็วถึงเพียงนี้“อืม” เถียนเหว่ยฉีบอกกับหญิงสาว เขามองฮ่องเต้แล้วพยักหน้าให้ถือว่าเป็นอันรู้กัน“ตอนที่ข้าเดินทางไปแอบดูท่านพี่หม่า ซือฝุจะไปด้วยหรือไม่เจ้าคะ”เถียนเหว่ยฉีนิ่งไปพักหนึ่งก่อนตอบว่า “ถ้าข้าสำเร็จวิชาและมีเวลาว่างข้าจะไป” เขาตัดสินใจแล้วว่าจะเข้าสำนักที่ปรมาจารย์ไป๋แนะนำเพื่อฝึกตนเป็นเทพเซียนปฐพี การจากไปครั้งนี้ก็เพื่อแสวงหาความก้าวหน้าให้แก่ตนเอง“โชคดีนะเจ้าคะ ถ้ามีโอกาสข้าจะให้ฝ่าบาทพาไปพบซือฝุ” เธอกล่าวเช่นนั้นเพราะจำได้ว่าสามีของตนเคยอวดอ้างว่าขนาดเทพเซียนปฐพียังต้องเกรงใจเขา นั่นหมายความว่าเขารู้เรื่องราวเกี่ยวกับเทพเซียนปฐพีและน่าจะสามารถเดินทางไปได้ฮ่องเต้ไม่ได้เอ่ยปฏิเสธหรือตอบรับ เขาเอื้อมมือโอบไหล่ เถียนจิ้งหลาน ก่อนจะกล่าวกับบุรุษตรงหน้า “เดินทางปลอดภัย”เถียนเหว่ยฉีหันหลังให้พวกเขาก่อนหยิบของบางอย่างและทำตามคำแนะนำของปรมาจารย์ไป๋ก่อนที่เขาจะหายตัวไปท่ามกลางฝูงชนเถียนจิ้งห
ด้วยความที่เสียเวลาเดินทางมานาน เมื่อพวกเขานั่งเรือกลับมาถึงฝั่งก็เปลี่ยนเป็นเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่และรับทุกคนเดินทางกลับต้าเซี่ยเลยทีเดียว เว่ยฟางหลิงยังต้องกลับไปเก็บของที่วัง เยี่ยนไป๋อวิ๋นและองค์หญิงซิงหยวนขอลงที่ท่าเรือของรัฐเฉียนเยี่ยนและอวิ๋นโจวเพื่อจัดการธุระของตน ที่ดูหงอยเหงามากที่สุดคงหนีไม่พ้นหยางเหว่ยเสียง ปกติเขาจะชอบพูดคุยกับราชครูหม่า ตอนนี้ราชครูหม่าก็ย้ายไปอยู่ในที่แสนไกลแล้ว เขาคงไม่มีคนให้ซักถามเกี่ยวกับเรื่องโหราศาสตร์และดาราศาสตร์ที่เก่งขนาดนั้นอีกแล้ว ส่วนเยี่ยนไป๋อวิ๋นนั้นถือเป็นสหายที่รู้ใจเขามากที่สุด อยู่ด้วยกันมานานพูดคุยเข้าใจกันทุกเรื่อง พอคิดว่าเยี่ยนไป๋อวิ๋นจะต้องกลับสำนักหลานถาเป็นผู้สืบทอด นานทีปีหนจะลงจากเขา ความเศร้าหดหู่ก็เข้ามาเกาะกุมหัวใจของเขาจนยากที่จะขจัดออก “เจ้าเป็นอะไรไป” เยี่ยนไป๋อวิ๋นเดินมานั่งลงข้างกายเขาหลังจากที่พูดคุยกับเถียนเหว่ยฉีเสร็จ “เดี๋ยวไม่กี่วันเจ้าก็ต้องกลับสำนักแล้ว ข้าคงเหงาน่าดู” เยี่ยนไป๋อวิ๋นเขยิบกายเอาไหล่ตนชนกับไหล่ของหยางเหว่ยเสียง “ถ้าข้ามีเวลาไปหาเจ้า เจ้าจะแต่งกายเป็น
เถียนจิ้งหลานนอนซุกอกกำยำของฮ่องเต้ นิ้วเรียวเขี่ยหน้าอกเขาเล่นด้วยความเพลิดเพลิน“เป่าเป้ยเล่าเรื่องท่านพี่หม่าให้หม่อมฉันฟังเลยเพคะ”“อืม เรื่องมันยาว” เขาไม่รู้จะเริ่มต้นเล่าอย่างไรดี“เจิ้นต้องเล่านิทานเรื่องหนึ่งก่อน จึงจะเล่าเรื่องของ หมิงเจ๋อต่อได้” น้ำเสียงทุ้มต่ำของเขากระตุ้นให้สตรีน้อยยิ่งอยากฟังมากขึ้น“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีสตรีโฉมงามปานเทพธิดานางหนึ่งครองรักอยู่กับบุรุษรูปงามดั่งเทพเซียน พวกเขาทั้งสองวางแผนไว้ว่าหากสตรีนางนั้นทำภารกิจที่อาจารย์มอบหมายไว้ให้เรียบร้อยคนทั้งคู่ก็จะแต่งงานกัน” เขาก้มลงจุมพิตที่หน้าผากของหญิงสาวที่นอนฟังราวกับกระต่ายตัวน้อยก่อนจะเล่าต่อ“สตรีนางนั้นต้องต่อสู้กับศิษย์ร่วมสำนักอีกคน ตามกฎของการประลองคือห้ามผู้ใดเข้าช่วยเหลือได้ เมื่อสตรีนางนั้นเพลี่ยงพล้ำถูกกระบี่ของอีกฝ่าย เขาก็ไม่ได้นิ่งเฉยรีบเข้าไปหวังจะช่วยเหลือนาง เพียงแต่ว่าเขาไปช้าเพียงเสี้ยวเวลาเดียวเท่านั้นจึงทำให้ช่วยนางไว้ไม่ทัน นางสิ้นใจในอ้อมอกของเขา”ร่างแกร่งของชายหนุ่มที่เล่าเรื่องเริ่มสั่นไหว ความรู้สึกเศร้าจนหายใจไม่ออกทำให้หน้าอกกระเพื่อมมากขึ้น น้ำเสียงของเขาเริ่มสั่น
ฮ่องเต้อุ้มเถียนจิ้งหลานเดินนำคนอื่นๆไปยังทางออกอีกฝั่งของถ้ำ ภายในถ้ำยังคงสว่างไสวจากประกายแสงของคริสตัลสีฟ้าน้ำทะเล พวกเขาใช้เวลาเดินประมาณสามก้านธูปก็ได้พบกับประตูหินบานใหญ่ซึ่งเป็นทางออกอีกด้านของถ้ำ เนื่องจากตอนที่พวกเขาเปิดประตูถ้ำนั้นต้องใช้แก้วมณีมังกรทำให้กลไกของประตูเปิดและตอนนี้มันก็ยังคงอยู่ในลิ้นของหินรูปร่างมังกร เมื่อสำรวจกับประตูบานตรงหน้าก็คล้ายกับว่าต้องใช้แก้วมณีมังกรเช่นกัน “เดี๋ยวกระหม่อมจะย้อนไปหยิบให้พะย่ะค่ะ” เจียงจิ้นเผิงเสนอตัวอาสา “ช้าก่อน” เถียนเหว่ยฉีรั้งเขาไว้ “ปรมาจารย์ไป๋ไม่น่าจะขยันหยิบแก้วมังกรไปมา เขาต้องมีวิธีเรียกมันมาได้แน่ๆ” “ข้าคุมน้ำให้มากับน้ำดีหรือไม่เจ้าคะ” เถียนจิ้งหลานที่กำลังอ่อนล้าก็อยากช่วยเช่นกัน “ไม่ต้องๆ ไม่รบกวนเถียนเฟยพะย่ะค่ะ” ทั้งเจียงจิ้นเผิงและเมิ่งจื่อหานกล่าวห้ามพร้อมกัน พวกเขาไม่ได้ประจบเอาใจ เพียงแต่ว่าถ้านางควบคุมน้ำได้ไม่ดี พวกเขาอาจจะต้องไหลไปตามน้ำหรือไม่ก็ตัวเปียกอีกรอบ ฮ่องเต้เพ่งมองไปรอบๆบริเวณอย่างช้าๆ ก่อนที่จะฝากให้เถียนเหว่ยฉีอุ้มเถียนจิ้งหลา
เมื่อเดินใกล้ถึงด้านหัวของหินก้อนนั้นจึงมองออกว่าหินก้อนนั้นคือหินรูปมังกร ศีรษะมังกรขนาดใหญ่อ้าปากคำรามน่าเกรงขาม ข้างหลังของศีรษะมังกรเป็นถ้ำถูกปิดด้วยประตูหินที่แกะสลักลวดลายมังกรอย่างวิจิตรบรรจงเจียงจิ้นเผิงเดินเข้าไปใกล้ประตูหินนั้น เขาลองผลักประตูแต่ไม่ว่าจะใช้แรงมากเท่าไหร่ประตูก็ไม่มีทีท่าจะขยับเลยแม้แต่น้อยฮ่องเต้พินิจพิเคราะห์ในปากมังกร เขาล้วงมือเข้าไปหยิบห่อผ้าออกมาจากหน้าอกตนเอง ก่อนหยิบแก้วมณีมังกรใส่ลงไปตรงกลางลิ้นของมังกร เมื่อแก้วมณีมังกรลงช่องที่พอดีกับขนาดของมันก็ทำให้หินรูปมังกรนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงบริเวณลำตัวจากสีน้ำตาลเข้มแกมดำเปลี่ยนเป็นสีเขียวมรกตสดใส ดวงตาของมังกรก็เปล่งประกายสีแดงก่ำราวกับโกเมน จากนั้นประตูหินค่อยๆแง้มออกต้อนรับแขกผู้มาเยือนภายในถ้ำของเกาะแห่งนี้แตกต่างจากเกาะแรกราวฟ้ากับเหว ขนาดพื้นที่กว้างขวาง โอ่โถง พื้นและผนังถ้ำเป็นหินอ่อน ส่วนเพดานเต็มไปด้วยหินคริสตัลสีฟ้าน้ำทะเลส่องแสงระยิบระยับสะท้อนไปทั่วทั้งถ้ำ ทำให้ไม่จำเป็นต้องจุดคบไฟเพื่อให้ความสว่างก่อนที่จะเดินเข้าไปในถ้ำ ฮ่องเต้คว้าตัวเถียนจิ้งหลานไว้ มือใหญ่ทั้งสองจับที่คางของนางก่อนที่