สายลมเย็นฉ่ำพัดพาเข้ามาผ่านบานประตูที่เปิดเอาไว้ ซ่งเหวินจิ้งยืนจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างทำอะไรไม่ถูก ครั้งนี้เขาลอบเข้าไปก่อความวุ่นวายในกองทัพของฉินอ๋อง แม้ว่าจะอยู่ในช่วงเวลาเฉียดตายแต่สิ่งที่อยู่ภายใต้จิตสำนึกของเขาก็คือจะต้องปฏิบัติภารกิจให้เสร็จเพื่อจะได้กลับมาหาลูกและโม่ชิงเยว่ที่อยู่ในเมืองหลวง ภารกิจเสี่ยงตายในครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาไม่ได้ทำเพื่อฝ่าบาทและไม่ได้ทำเพื่อรวบรวมอำนาจให้แก่องค์ชายรองผู้เป็นสหาย แต่เขาตั้งใจทำให้ภารกิจลุล่วงเพื่อความปลอดภัยของผู้คนในเมืองหลวง และที่สำคัญเขาทำเพื่อครอบครัวของเขาจะได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงได้อย่างสงบสุขและปลอดภัย
วันนี้เมื่อสามารถเด็ดหัวศัตรูได้คนแรกที่เขารีบมาหาก็คือโม่ชิงเยว่ ไม่ได้พบเจอกันหลายวันเขาทั้งคิดถึงและเป็นห่วงนาง ยามนี้เมื่อได้เห็นว่านางยังใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่นและปลอดภัยดีในใจของเขาก็รู้สึกว่าสิ่งที่ทำลงไปคุ้มค่ากับความเสี่ยงแล้ว อาจจะมีน้อยอกน้อยใจอยู่บ้างเมื่อได้พบว่าในใจของนางไม่ได้คิดถึงเขาอย่างที่เขาคิดถึงนาง แต่เมื่อคิดว่าที่ผ่านมานางเคยได้รับความทุกข์ยากเช่นใดภายใต้การละเลยของเขา ยามนี้เมื่อได้เห็นความหมางเมินของนางเขาก็ได้แต่ปลอบใจตนเองว่าสมควรแล้ว
“ลูกๆ เป็นอย่างไรบ้าง” เมื่อซ่งเหวินจิ้งเอ่ยถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ยิ้มออกมาแล้วเอ่ยตอบเขาอย่างตรงไปตรงมา
“ข้าคิดว่าท่านน่าจะรู้อยู่แล้วนะว่าพวกเขาปลอดภัยดี มีคนของท่านคอยคุ้มกันอย่างใกล้ชิดถึงขนาดนั้น ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพวกเขาจะไม่ได้รายงานความเป็นไปของลูกๆ ให้ท่านทราบ” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งพยักหน้า
“เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงได้เอ่ยอำลากับนาง”
“เช่นนั้นข้าคงต้องไปแล้ว” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางทำท่าว่าจะจากไปแต่โม่ชิงเยว่กลับส่งเสียงรั้งเขาเอาไว้
“ท่านไม่คิดจะไปเยี่ยมเยียนลูกๆ ก่อนหรือ เมื่อครู่นี้พวกเขาพึ่งจะมาสอบถามท่านกับข้า ในเมื่อยามนี้ท่านกลับมาแล้วก็น่าจะแวะเวียนไปหาพวกเขาสักหน่อย” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้จิตใจอันแห้งเหี่ยวของซ่งเหวินจิ้งก็พลันกระชุ่มกระชวยขึ้นมาในทันที แต่เมื่อเขาก้มลงมาจ้องมองตนเองแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า
“วันนี้คงจะไม่ได้ สภาพของข้าในยามนี้น่าจะสกปรกจนเกินไปเอาไว้ข้าจะมาหาพวกเขาใหม่ก็แล้วกัน” เมื่อซ่งเหวินจิ้งเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ไม่ได้เอ่ยวาจาเหนี่ยวรั้งเขาอีกเขาจึงได้ออกจากจวนโหวด้วยความเสียดาย ในใจก็ได้แต่ตำหนิตนเองว่าเขาน่าจะไปชำระล้างร่างกายมาก่อนจะได้มีข้ออ้างที่จะอยู่ที่จวนนานขึ้นอีกสักหน่อย
เช้าวันรุ่งขึ้นก็มีข่าวครึกโครมทั่วเมืองหลวง นิ่งอันโหวซ่งเหวินจิ้งยังไม่ตาย อยู่ๆ ก็มีคนเห็นเขาสวมใส่เสื้อผ้ามอซอควบม้าเข้าเมืองหลวงตามลำพังทันทีที่ประตูเมืองเปิด คนที่สามารถจดจำเขาได้ต่างก็พากันโวยวายและพากันวิ่งหนีอย่างอุตลุด ปากก็ร่ำร้องว่าผีนิ่งอันโหวมาหลอกเขาแล้ว จวบจนยามสายมีประกาศจากวังหลวงว่านิ่งอันโหวยังไม่ตายมีคนช่วยเขาได้ดังนั้นฝ่าบาทจึงมีราชโองการพระราชทานรางวัลเพื่อเป็นการปลอบขวัญผู้คนใจจวนนิ่งอันโหว อีกทั้งจัดการเลี้ยงเฉลิมฉลองให้แก่นิ่งอันโหวที่เขาสามารถรอดชีวิตกลับมาได้
“บัดซบ!” เสียงสบถของเหยียนเซียวทำให้บรรดาลูกน้องของเขาต่างก็รีบคุกเข่าลงไปด้วยเกรงว่าโทสะของท่านราชเลขาธิการจะทุ่มลงไปที่พวกเขา
“พวกเจ้าทำงานกันอย่างไร ไหนรายงานกับข้าว่าร่างของซ่งเหวินจิ้งแหลกเหลวไปแล้วมิใช่หรือ แล้วคนที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าท้องพระโรงตั้งแต่เช้ามันคือผู้ใด” เสียงของเหยียนเซียวทำให้บรรดาลูกน้องของเขาต่างก็พากันเนื้อตัวสั่นเทา โดยเฉพาะคนที่คอยบงการความเคลื่อนไหวของนักฆ่ารีบโขกศีรษะและเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสำนึกผิดในทันที
“เป็นความผิดของข้าเอง ข้าขอน้อมรับความผิดทุกประการขอรับ” เมื่อคนผู้นั้นเอ่ยจบศีรษะของเขาก็พลันหลุดออกจากร่างไปในทันที ส่วนเหยียนเซียวที่ในมือกำลังกำด้ามกระบี่อยู่เอ่ยกับลูกน้องของเขาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเรียบเย็น
“ส่งคนลงไปจัดการนักฆ่ากลุ่มนั้นในเมื่อทำงานสำคัญไม่สำเร็จลุล่วงก็ควรจะต้องชดใช้ด้วยชีวิต” เหยียนเซียวเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงโกรธจัด ยิ่งเมื่อคิดว่ายามที่ซ่งเหวินจิ้งสบตากับเขาแล้วแววตาที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยันของซ่งเหวินจิ้งทำให้เหยียนเซียวรู้ว่ายามนี้ซ่งเหวินจิ้งจะต้องรู้แล้วเป็นแน่ว่าคนที่ส่งนักฆ่าไปลอบฆ่าเขาคือผู้ใด
“พวกเจ้าจงจำเอาไว้ว่าให้ระมัดระวังนิ่งอันโหวและคนของพวกเขาไว้” เหยียนเซียวเอ่ยพลางจ้องมองไปที่คนของพวกเขา
“จงจำเอาไว้ว่าคนที่ทำงานให้ข้าจะต้องไม่มีคำว่าผิดพลาดและล้มเหลว หากพวกเจ้าล้มเหลวเมื่อไหร่ก็จงดูภาพของคนที่ล้มเหลวเหล่านี้เอาไว้” เหยียนเซียวเอ่ยพลางชี้ไปที่ร่างของคนที่เขาพึ่งจะเด็ดศีรษะไป
“นายท่านแล้วเรื่องที่ท่านกั๋วกงส่งคนไปลอบทำร้ายนิ่งอันโหวฮูหยินเล่าขอรับ นิ่งอันโหวกลับมาแล้วเช่นนี้คนของท่านกั๋วกงน่าจะลงมือได้ยาก” เมื่อคนของเขาเอ่ยเช่นนี้เหยียนเซียวก็พลันยิ้มออกมา
“ส่งคนไปช่วยคนของท่านพ่อของข้าด้วย หากลงมือไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไรอย่างน้อยก็ช่วยตามเก็บกวาดอย่าให้ผู้อื่นมีหลักฐานว่าคนที่ส่งนักฆ่าไปดักรอทำร้ายนางที่จวนโหวเป็นคนของจวนไหวกั๋วกง” เมื่อเหยียนเซียวเอ่ยเช่นนี้คนของเขาก็ขานรับแล้วขอตัวออกไปจัดการภารกิจของตนเอง
ในขณะที่เหยียนเซียวกำลังคิดว่าจะทำเช่นไรกับซ่งเหวินจิ้งดีทางจวนนิ่งอันโหวก็กำลังต้อนรับการกลับจวนของซ่งเหวินจิ้งอย่างคึกคัก แม้ว่าความตื่นเต้นยินดีของฮูหยินและทายาทของเขาจะไม่ได้ปรากฏออกมาให้เห็น แต่การต้อนรับที่คนของในจวนแสดงออกมาก็ทำให้ซ่งเหวินจิ้งได้รับความพึงพอใจเป็นอย่างมาก
เมื่อเช้านี้ทันทีที่ประตูเมืองเปิดแล้วเขาขี่ม้าเข้ามาในเมืองเพื่อตรงไปรายงานตัวที่วังหลวง ยามที่ได้เห็นว่ามีคนวิ่งหนีเขาและป่าวประกาศออกมาว่าเขาเป็นผีที่จงใจควบม้าเข้าเมืองหลวงเพื่อหลอกหลอนผู้คนทำให้เขาได้แต่พยายามข่มกลั้นโทสะของตนเองเอาไว้ เขาสั่งให้ลูกน้องของเขาทำให้คนจดจำเขาได้เพื่อที่ว่าเขาจะได้ใช้ข้ออ้างนี้บอกปัดการต้องทำงานภายใต้เงามืดให้ฝ่าบาทอีก แต่คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุการณ์วุ่นวายอย่างใหญ่โตเฉกเช่นเมื่อเช้านี้ ชาวบ้านที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่หลายคนต่างก็พากันวิ่งหนีเขาด้วยความหวาดกลัว ปากก็ร่ำร้องว่าเขาคือผี เรื่องนี้มันทำให้เขารู้สึกว่าลูกน้องของเขาสมควรจะต้องถูกอบรมเสียใหม่แล้ว
ยามที่ซ่งเหวินจิ้งตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือม่านมุ้งในห้องนอนของโม่ชิงเยว่ที่ปรากฏเข้าสู่สายตา เขากะพริบตาอีกครั้งแล้วจึงได้พยายามทบทวนว่าเรื่องเมื่อคืนนี้เป็นความฝันหรือว่าเป็นความจริงกันแน่ กลิ่นกายอันหอมกรุ่นของนางแผ่กำจายไปทั่วม่านมุ้งอีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะหอมกรุ่นติดตามร่างกายของเขาไปด้วย อีกทั้งปฏิกิริยาทางร่างกายที่ไม่เหมือนเดิมของเขาทำให้เขารู้ว่าสัมผัสอันน่าหลงใหลเมื่อคืนนี้ไม่ใช่แค่เพียงความฝัน เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ทำให้มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของเขาในทันที“นอนตาลอยแล้วยิ้มราวกับคนเสียสติเช่นนั้นท่านทำให้ข้าชักจะรู้สึกหวาดกลัวท่านแล้วนะ” เสียงทักของโม่ชิงเยว่ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งเหวินจิ้งพลันหายไปในทันที“มีสิ่งใดให้น่ากลัวกัน” เขาเอ่ยพลางพลิกตัวแล้วดึงผ้าห่มอันหมิ่นเหม่ขึ้นมาคลุมร่างกายของตนเองเอาไว้ ด้วยไม่รู้ว่าคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าเตียงนั่งจ้องมองเขานานเท่าไหร่แล้ว“แล้วเจ้ายกเก้าอี้มานั่งจ้องมองข้าเช่นนี้ทำไมกัน” เมื่อเขาถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ยิ้มออกมา“เมื่อคืนนี้มีคนบอกกับข้าว่าอยากจะตื่นขึ้นมาพร้อมกันกับข้ามิใช่หรือ ข้าก็เลยมานั่งรอให้ท่า
หลังจากดูพลุไฟแล้วซ่งเหวินจิ้งและโม่ชิงเยว่ก็เดินไปส่งเด็กๆ กลับเรือนด้วยตนเอง แน่นอนว่าซ่งเหวินจิ้งย่อมจะต้องเดินตรวจตรารอบๆ เรือนด้วยตนเองอีกครั้งและยังกำชับให้คนของเขาคอยคุ้มกันจวนให้ดี อีกทั้งยังสั่งสาวใช้ภายในเรือนให้วันพรุ่งนี้ย้ายข้าวของเครื่องใช้ของซ่งจื่อเยว่และซ่งจื่อเหยาไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่ เมื่อสั่งการทุกคนเสร็จเรียบร้อยดีแล้วเขาจึงได้เดินไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยอีกครั้ง พอเห็นว่าการรักษาความปลอดภัยของเรือนนี้แน่นหนาดีแล้วเขาจึงได้เข้าไปหาโม่ชิงเยว่ที่กำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ภายในเรือน“ในเมื่อลงนามสงบศึกแล้ว คนของแคว้นต้าเป่ยก็ไม่น่าจะสร้างความร้าวฉานด้วยการลอบโจมตีท่านและครอบครัวอย่างที่ท่านกำลังกังวลอยู่” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งส่ายหน้า“แคว้นต้าเป่ยแม้ว่าจะปกครองด้วยเชื้อพระวงศ์สกุลเซียว แต่สกุลที่กุมอำนาจทางกองทัพก็คือสกุลหม่า ข้าที่พึ่งจะฆ่าผู้นำสกุลและนักรบอีกหลายคนของสกุลหม่าย่อมจะต้องกลายเป็นเป้าแห่งความแค้นเคืองของพวกเขา แม้ว่าฮ่องเต้ของพวกเขาจะลงพระนามขอสงบศึกแล้ว แต่คนสกุลหม่าใช่ว่าจะก่อเรื่องไม่ได้ขอแค่เพียงสิ้นไร้หลักฐานก็ไ
ฮ่องเต้แคว้นต้าเป่ยส่งราชสาส์นมาขอเจรจาสงบศึก อีกทั้งยังยินดีที่จะส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายแด่ฮ่องเต้แคว้นเหลียนทุกปี เมื่อทางฝั่งแคว้นต้าเป่ยยินยอมอ่อนข้อให้จนถึงขั้นนี้มีหรือที่หลี่เฟยหลงฮ่องเต้จะปฏิเสธหลังจากนั้นจึงได้ส่งราชสาส์นตอบกลับไปด้วยความยินดี เมื่อมีสัญญาณว่าการศึกจะสงบอย่างถาวรเช่นนี้ ประชาชนในแคว้นต่างก็รู้สึกยินดีกันทั่วหน้า สงครามจบสิ้นแล้วก็หมายความว่าต่อไปพวกเขาจะได้อยู่อย่างสงบสุขไปอีกหลายปี ไม่ต้องกังวลว่าคนในครอบครัวจะต้องไปพลีชีพเพื่อปกป้องแคว้นที่ชายแดนอีกจวบจนเมื่อมีการลงนามสงบศึกอย่างเป็นทางการชาวบ้านร้านตลาดก็ต่างพร้อมใจกันจัดงานรื่นเริงเพื่อเฉลิมฉลอง พลุไฟนับหมื่นพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อโอ้อวดความงดงามท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรี ซ่งเหวินจิ้งยืนนิ่งจ้องมองพลุไฟเหล่านั้นด้วยสีหน้ากังวลใจเมื่อคิดได้ว่าท่ามกลางงานเลี้ยงเฉลิมฉลองกำลังมีคนของแคว้นต้าเป่ยเข้ามาแทรกซึมอยู่ในเมืองหลวง ยามนี้เขาทำหอดูดาวให้สูงขึ้นแล้วรื้อหลังคาของหอดูดาวออก ทำให้เขาและครอบครัวสามารถชื่นชมความงามของพลุไฟได้อย่างเต็มที่“ท่านแม่! ท่านดูสิราวกับมีดอกไม้นับหมื่นกำลังแข่งกันเบ่งบานอย
ในขณะที่ทางจวนโหวมีคนกำลังพยายามเร่งสานความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ทางจวนตระกูลเหยียนหรืออดีตจวนไหวกั๋วกงก็กำลังตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งความตึงเครียด เหยียนฮูหยินผู้เคยได้ดำรงตำแหน่งฮูหยินของท่านกั๋วกงก็กำลังนั่งร้องไห้อ้อนวอนขอให้บุตรชายหาหนทางช่วยสามีที่ในยามนี้ถูกขังอยู่ในคุกของกรมอาญา“เจ้าไม่คิดจะช่วยท่านพ่อของเจ้าจริงๆ หรือ เสียแรงที่พ่อของเจ้าทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้า” เหยียนฮูหยินเอ่ยพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาด้วยท่วงท่าที่ดูอ่อนแอและบอบบางราวกับว่าจะแตกหักได้ทุกเมื่อ“จะให้ข้าช่วยอย่างไร ให้ข้าไปคุกเข่าขอพระเมตตาแล้วทำให้ข้าและสกุลเหยียนทั้งสกุลถูกฝ่าบาทหวาดระแวงและคิดว่าพวกเราสกุลเหยียนมีความทะเยอทะยานในราชบัลลังก์เช่นนั้นหรือ ท่านแม่อย่าได้ลืมสิว่าฮุ่ยเอ๋อต้องเสียสละอะไรไปบ้าง ยามนี้นางกำลังได้รับความโปรดปรานท่านอยากให้ฝ่าบาททรงตระหนักได้ว่าการกระทำของท่านพ่อล้วนเป็นเพราะความทะยานอยากที่จะยึดครองกองกำลังของจวนโหวแล้วทำให้ชีวิตของฮุ่ยเอ๋อและองค์ชายน้อยต้องตกอยู่ในอันตรายหรือ” คำพูดของเหยียนเซียวทำให้เหยียนฮูหยินส่ายหน้า“นางได้รับความโปรดปรานถึงเพียงนั้น แต่กลับไม่คิดจะทำเพื่อเจ้าแ
ฤดูกาลผันเปลี่ยนจากฤดูหนาวอันหนาวเหน็บเริ่มย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่แสนจะงดงาม พออากาศเริ่มอุ่นขึ้นต้นทุนในการซื้อสมุนไพรก็ลดลงเมื่อต้นทุนลดลงผลกำไรก็มากขึ้น เมื่อได้ผลกำไรมากขึ้นก็ทำให้โม่ชิงเยว่เริ่มมีกำลังใจที่จะคิดค้นสินค้าชนิดใหม่ๆ เพื่อนำไปวางขายในร้านโม่เซียงของนาง“เหตุใดบรรดาถุงผ้าปักเหล่านี้จึงได้มีลวดลายแปลกตาเช่นนี้เล่า แล้วยังกล่องไม้สำหรับใส่ผงแป้งเหล่านี้อีกเจ้าไปเอาแนวทางในการคิดค้นรูปร่างและลวดลายพวกนี้มาจากไหน” คำถามของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่วางพู่กันที่ใช้วาดรูปลวดลายลงบนโต๊ะเขียนอักษรแล้วจึงได้สะบัดมือเพื่อคลายความเมื่อยล้า“หากข้าจะบอกว่าข้าได้รับแรงบันดาลใจมาจากความฝันอันยาวนานของข้าท่านจะเชื่อหรือไม่” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พยักหน้า“เหตุใดจะไม่เชื่อกันเล่า ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยฝันเสียหน่อย เพียงแต่ความฝันของข้าไม่เคยนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์เช่นนี้” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางเดินมานวดไหล่ให้โม่ชิงเยว่ด้วยความคุ้นชินส่วนโม่ชิงเยว่ก็เอนกายพิงพนักเก้าอี้แหงนหน้าขึ้นแล้วหลับตาเพื่อรับความสบายจากอุ้งมืออันอุ่นร้อนของเขาอย่างผ่อนคลาย“มันเป็นความฝันที่ยาวนานมาก ยาม
เมืองหลวงมีข่าวครึกโครมอีกครั้งเมื่อจวนนิ่งอันโหวถูกลอบโจมตี แม้ว่าจะสามารถจับตัวคนร้ายได้แต่นิ่งอันโหวกลับได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการให้เจ้ากรมอาญาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวด อีกทั้งยังทรงส่งองค์ชายรองมาควบคุมการสอบสวนด้วยพระองค์เอง ทั้งนี้คนร้ายที่ถูกจับต่างก็ซัดทอดความผิดไปที่ไหวกั๋วกง ทำให้ไหวกั๋วกงต้องรีบเข้าวังเพื่อแก้ต่างให้กับตนเองและขอให้มีการตรวจสอบนักฆ่าเหล่านั้นอีกครั้งแต่แน่นอนว่าทางซ่งเหวินจิ้งได้เตรียมการเรื่องนี้เอาไว้แล้ว เขาไม่เพียงขอพระราชโองการคุ้มครองพยานให้กับเหล่านักฆ่า ยังส่งกองกำลังของตนเองคอยคุ้มครองครอบครัวและคนใกล้ชิดของเหล่านักฆ่าอย่างแน่นหนา เหล่านักฆ่าเองก็ไม่ใช่คนโง่พวกเขาเข้าออกจวนไหวกั๋วกงเป็นว่าเล่นย่อมมีลู่ทางสำรองเอาไว้บ้าง การที่พวกเขาลักลอบตีสนิทกับคนในจวนไหวกั๋วกงก็เพื่อให้พวกเขาเป็นคนมีตัวตนภายในจวน ไม่ใช่แค่เพียงนักฆ่าเงาที่ตายไปแล้วก็ไม่หลงเหลือร่องรอยให้ผู้คนตามหา ดังนั้นทางกรมอาญาย่อมสามารถที่จะหาคนมายืนยันฐานะของพวกเขาได้ว่าพวกเขาทำงานให้ไหวกั๋วกงจริงๆ ดังนั้นครั้งนี้ไหวกั๋วกงจึงไม่อาจจะปัดป้องความผิดของตนเองได้แล้ว“ท่านเ