แสร้งเป็นคนดีอะไรตอนนี้
“ป๋อเหวิน เจ้ารอข้าตรงนี้กับเสวียนหนี่ก่อน ข้ามีธุระต้องไปคุยกับแม่ชีหยูถง”
“ขอรับฮูหยิน เชิญท่านฮูหยินคุยธุระตามสบาย ข้าจะรออยู่ที่นี่กับเสวียนหนี่”
ป๋อเหวินรับปากแล้วหันไปยิ้มให้เสวียนหนี่อย่างรู้ใจกัน เพราะต่างก็รู้กันดีว่าเมื่อลับตาท่านแม่ไปแล้ว เสวียนหนี่จะได้รับอนุญาตให้ทานขนมได้มากเท่าที่นางพอใจ
พี่ป๋อเหวินไม่เคยขัดใจนางเลยสักครั้ง ไม่ว่านางจะร้องขอสิ่งใดหลังจากที่ลงเขาไปแล้ว เขาก็จะจัดการหามาให้นางในครั้งถัดไป
สองพี่น้องต่างมารดา หนึ่งคนสื่อสารด้วยวาจาอีกคนสื่อสารด้วยภาษามือ แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังพูดคุยเล่นกันอย่างสนุกสนาน ราวกับว่าห้วงเวลาในวัยเยาว์ของทั้งคู่ได้หวนกลับมาอีกครั้ง...
ซินหยางที่แยกตัวออกมาจากทั้งสอง ได้เดินเข้ามาหาแม่ชีหยูถงในห้องนั่งสมาธิ นางเห็นแม่ชีกำลังนั่งอยู่หน้าเทวรูปศักดิ์สิทธิ์ นางจึงเข้าไปคุกเข่าสักการะเทวรูปด้วยจิตศรัทธา ก่อนจะตั้งจิตอธิษฐานอยู่นาน
ความไม่สบายใจใดเล่าจะเท่าความห่วงหาอาลัยอาวรณ์ ยิ่งเห็นฮูหยินตระกูลฉู่อธิษฐานนานกว่าทุกครั้งที่เคยมา แม่ชีหยูถงรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งที่สมควรแก่เวลาแล้ว...
ครั้นเมื่อนางอธิษฐานเสร็จ แม่ชีหยูถงที่ได้เฝ้ามองทุกกิริยาด้วยแววตาสงบเรียบเฉยแล้วกล่าวว่า
“ถึงเวลาแล้วหรือ” แม่ชีเอ่ยถามด้วยแววตาสงบนิ่ง
“เจ้าค่ะ” นางตอบรับเสียงแผ่ว
“จะให้ส่งนางไปที่ใด”
“ที่ใดก็ได้...ขอเพียงให้นางปลอดภัยและมีชีวิตยืนยาว” นางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
แม่ชีเงียบไปสักพัก จึงเอ่ยถามย้ำอีกครั้ง “ฮูหยินคิดดีแล้วอย่างนั้นหรือ?”
“มันจำเป็นเจ้าค่ะ ตอนนี้ไม่มีใครสนใจการมีอยู่ของนาง แต่หากเมื่อใดที่ฉู่มู่เฉินกับท่านอ๋องเริ่มลงมือ ผลจะออกมาเป็นเช่นไรข้าเองก็มิอาจคาดเดาได้ และหากฮ่องเต้สืบทราบแน่ชัดว่ามู่เฉินยังมีบุตรสาวอีกคน หัวใจของข้าคงสลายสิ้นไปพร้อมกับลมหายใจ” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย ในใจรู้สึกเป็นห่วงบุตรสาวยิ่งนัก
“ท่านแน่ใจแล้วใช่หรือไม่ ว่าจะไม่ไปกับนาง” แม่ชีพยายามโน้มน้าวใจอีกฝ่าย แต่ซินหยางกลับส่ายศีรษะ นางคิดมาเป็นอย่างดีแล้ว
“ข้าแน่ใจแล้ว หากข้าติดตามไปด้วย เกรงว่าทั้งข้าและนางคงถูกพลิกแผ่นดินเพื่อตามล่า ขอแม่ชีทำตามความประสงค์ครั้งสุดท้ายของข้าด้วยเถิด ข้าขอขอบคุณแม่ชีที่ช่วยชุบเลี้ยงเสวียนหนี่มาเป็นอย่างดี เสียดายที่เสวียนหนี่กับข้ายังไม่มีโอกาสได้ทดแทนบุญคุณ”
แม่ชีหยูถงถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า “อย่าเป็นห่วงไปเลย ข้าขออวยพรให้ความปรารถนาของฮูหยินสัมฤทธิ์ผล ว่าแต่จะให้ส่งนางออกจากแคว้นเถียนเมื่อใด”
“วันรุ่งขึ้นเลยเจ้าค่ะ” นางตอบกลับ
เวลาผ่านไปราวหนึ่งเค่อ ซินหยางเดินกลับมาหาเสวียนหนี่และป๋อเหวิน นางหยุดมองสองพี่น้องสื่อสารกันแล้วนึกสงสารป๋อเหวินขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก หลังผ่านคืนนี้ไปนางเองก็ไม่รู้ว่าทุกคนในจวนตระกูลฉู่จะมีชะตากรรมอย่างไร นางก็ได้แต่เก็บซ่อนสิ่งที่อยู่ในใจเอาไว้แล้วก้าวเดินต่อด้วยใจที่แน่วแน่
เมื่อคืนนี้อ๋องซีฮั่นมาหามู่เฉินที่จวน ระหว่างที่ทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่นั้น นางบังเอิญไปได้ยินเรื่องบางอย่าง ที่ไม่สมควรจะได้ยิน ใจความสำคัญของการหารือ เหมือนกับว่าท่านอ๋องได้ออกคำสั่งให้ฉู่มู่เฉิน จัดการเกณฑ์ไพร่พลเพื่อทำการช่วงชิงบัลลังก์ เพราะจากเดิมที่คิดว่าอยากเป็นเพียงแค่มือชักใยที่อยู่เบื้องหลังก็พอใจแล้ว แต่ทว่าตอนนี้เขาเริ่มไม่อยากเป็นเพียงแค่คนคอยเชิดหุ่น จึงมีความคิดว่าหากทำการกบฏชนะ แล้วได้บัลลังก์มาครอบครอง ต่อให้มีผู้ใดคิดต่อต้านเพียงแค่จับตัวพวกมันออกมาเผาทั้งเป็นต่อหน้าปวงประชาอย่างโหดเหี้ยม พวกที่คิดต่อต้านจะได้รู้สึกหวาดกลัว และไม่มีผู้ใดกล้าต่อต้านอีก
ส่วนเหตุผลที่ต้องรีบโค่นล้มฮ่องเต้องค์ปัจจุบันทิ้งทั้งที่อีกฝ่ายเพิ่งมีอายุได้ยี่สิบชันษา เป็นเพราะฮ่องเต้น้อยในวันนั้น บัดนี้กลับเติบโตขึ้นและเริ่มไม่ยอมทำตามคำสั่ง ซีฮันอ๋องจึงคิดว่าไม้อ่อนนั้นดัดง่าย ส่วนไม้แก่ไม่สมควรเอามาดัดให้เสียเวลา มิหนำซ้ำฮ่องเต้ยังแอบซ่องสุมกำลังของตนเองเอาไว้อย่างลับ ๆ พอท่านอ๋องทราบเรื่องนี้เข้าทำให้รู้สึกโกรธแค้นเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงคิดหาโอกาสเดินหมากก่อน ในขณะที่กองกำลังลับของฮ่องเต้ยังไม่แข็งแกร่งพอ
ที่จวนตระกูลฉู่
ย่างเข้าสู่วัยสิบแปดปี ซูหนี่เติบโตขึ้นมาด้วยรูปลักษณ์สง่างาม แต่ทว่าวาจายอกย้อนของนางนั้น กลับทำให้สูญสิ้นความงดงามไปโดยปริยาย ถึงรูปลักษณ์ภายนอกนั้นจะงดงามประดุจนางเซียน แต่ทุกคำที่พูดออกมาล้วนลดคุณค่าของตัวนางเอง บุตรีของมู่เฉินเติบโตมาแล้วหน้าตาไม่แตกต่างกันมานัก อีกทั้งอายุยังห่างกันเพียงหนึ่งปีจึงละม้ายคล้ายคลึงกันมาก ผิดแผกกันไปคือด้านนิสัยใจคอ ซูหนี่เป็นคนมีความมั่นใจในตัวเองสูง ทำให้เห็นว่านางถูกเลี้ยงดูมาอย่างไร เติบโตมาเป็นอย่างไร ดังนั้นนางจึงไม่ค่อยเห็นคนอื่นอยู่ในสายตา และมักจะชอบวางตัวสูงส่งกว่าผู้อื่นอยู่เสมอ
“ไปอารามบนเขาต้าซานกับฮูหยินมาอีกแล้วสินะ” ทันทีที่ก้าวเข้าประตูจวนมา น้ำเสียงคุ้นหูก็ดังขึ้นจากด้านหลัง ทำเอาฉู่ป๋อเหวินชะงักไปเล็กน้อย ครั้นเมื่อเห็นว่าเป็นน้องสาว เขาจึงเดินเข้าไปคุยกับนาง หากแต่ฉู่ซูหนี่กลับคลี่พัดจีบในมือเชิดใบหน้ามองพี่ชายด้วยหางตาแล้วถามต่อเสียงแข็งกระด้าง
“ข้าถามว่าท่านพี่ขึ้นเขาต้าซานไปหาเสวียนหนี่ใช่หรือไม่”
“ใช่! ทำไมงั้นรึ” นางตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“เป็นอย่างไรบ้างล่ะ! น้องสาวสุดที่รักของท่านพี่”
“เจ้าจะมาพูดจาถากถางข้าเพื่ออะไร ไม่ว่าเจ้าหรือนางก็ล้วนแล้วแต่เป็นน้องสาวข้าทั้งคู่” ชายหนุ่มชักเริ่มหงุดหงิด ไม่รู้ว่าทำไมน้องสาวของตนถึงได้จงเกลียดจงชังอีกฝ่ายนัก
“หลายปีมานี้ข้ารู้ว่าท่านพี่รู้สึกผิด แต่จะมาแสร้งเป็นคนดีเอาตอนนี้ไม่คิดว่ามันสายไปหน่อยหรือ” ซูหนี่เองก็รู้สึกไม่พอใจพี่ชายเช่นกัน
“ก็ยังดีกว่าเจ้าที่ไม่รู้สึกผิดอะไร ตอนที่ยังเป็นเด็กข้าคิดว่าเจ้าแยกดีชั่วไม่ออกก็เลยไม่คิดกล่าวโทษเจ้าเลย แต่ยามนี้เจ้าได้เติบโตจนรู้ความกว่าเมื่อยามเยาว์วัย แต่ก็น่าแปลกนักที่ยังแยกดีชั่วไม่ออกอยู่อีก”
“ท่านพี่!”
“อย่ามาขึ้นเสียงกับข้า” ป๋อเหวินคิดว่าตอนนี้ตัวเองไม่ใช่เด็กเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว
“หึ! หากคิดว่าข้าเป็นต้นเหตุที่ทำให้เสวียนหนี่ต้องเป็นเช่นนั้นท่านพี่ก็จงโทษตัวเองให้มาก ถูกต้องที่ยามนั้นข้ายังเยาว์วัย แต่ท่านพี่เองก็แก่กว่าข้าถึงสองปีเหตุใดโง่เขลาหลงเชื่อคำพูดข้าเล่า ท่านควรมีสติคิดให้ได้มากกว่าข้ามิใช่หรือ”
“...”
ป๋อเหวินถึงกับพูดไม่ออก ยามนั้นเขาคือคนที่โตสุดในบรรดาพี่น้องทั้งสามแต่กลับทำตัวเป็นที่พึ่งให้เสวียนหนี่ไม่ได้เลย เพราะความขี้ขลาดของเขาจึงทำให้ตัดสินใจพลาดไป หากย้อนเวลากลับไปในวันนั้นได้ ถ้าเขานำเรื่องไปบอกมู่เฉินเร็วกว่านั้นมู่เฉินก็อาจตามเจอตัวเสวียนหนี่ได้ทันท่วงทีก่อนที่นางจะถูกแมงมุมสือยี่เหยียนกัด
“ถึงกับพูดไม่ออกเลยหรือเจ้าคะ” หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“ไปให้พ้นหน้าข้า”
“หึ ที่ไล่ข้าไปเพราะข้าคงพูดได้แทงใจดำท่านพี่มากละสิ”
ป๋อเหวินเดินจากไปแล้ว ซูหนี่มองตามหลังแล้วยิ้มอย่างพึงพอใจที่ยั่วโมโหพี่ชายได้สำเร็จ ในบางครั้งนางก็อดคิดไม่ได้ว่า เหตุใดเขาถึงไม่เกิดเป็นพี่น้องร่วมมารดากับเสวียนหนี่ให้รู้แล้วรู้รอดไป ในเมื่อท่านพี่กับเสวียนหนี่ต่างรักใคร่กลมเกลียวกันดี ครั้นพอย้อนคิดอีกทีท่านพี่อาจจะอาศัยครรภ์ของท่านแม่มาเกิด จึงนับว่ามีประโยชน์อยู่บ้าง เพราะหลังจากที่เขาเกิดมาท่านแม่ก็เลยได้รับความดีความชอบจากท่านพ่ออย่างเห็นได้ชัด และท่านแม่ก็ยังให้กำเนิดนางที่สามารถเป็นหน้าเป็นตาให้อีกคนได้แต่งเข้าเป็นสะใภ้ของจวนอ๋อง ส่วนท่านฮูหยินใหญ่มีเพียงแค่เสวียนหนี่ บุตรสาวที่พูดไม่ได้แถมยังไร้ประโยชน์อีก
ในช่วงเย็นย่ำเสวียนหนี่เห็นแม่ชีลูกวัดกำลังขนข้าวของขึ้นเกวียน มีจำพวกอาหารแห้งและผ้า รวมไปถึงเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่จำเป็นเสวียนหนี่จึงหยุดมองด้วยความสงสัย ครั้นจะเดินเข้าไปถามให้แน่ชัดเสียงของแม่ชีหยูถงก็หยุดนางเอาไว้ก่อน
“คุณหนูฉู่”
เสวียนหนี่หันกลับมามองแม่ชีพลางก้มศีรษะลงอย่างนอบน้อมก่อนจะทำท่าทางสื่อสารด้วยภาษามือ
‘ของพวกนี้จะขนขึ้นเกวียนไปช่วยผู้ประสบภัยหรือเจ้าคะ’
“ถูกต้อง ทางทิศตะวันออกเกิดน้ำป่าไหลหลาก ผู้คนขาดแคลนอาหารและเสื้อผ้า พรุ่งนี้ยามเฉินข้าจะให้คุณหนูฉู่นำของที่ชาวบ้านบริจาคมาไปช่วยผู้ประสบภัย”
‘จริงหรือเจ้าคะ ข้าดีใจมากเลยเจ้าค่ะ’
หญิงสาวแย้มยิ้มและพยักหน้ารับอย่างดีใจเพราะเป็นครั้งแรกที่นางจะได้รับอนุญาตให้ออกจากอารามได้ โดยไม่รู้เลยว่าทั้งหมดนี้เป็นอุบายลวงเพื่อพานางหลบหนีภัยอันตรายไปมีชีวิตใหม่ในอีกสถานที่หนึ่ง แม่ชียิ้มตอบอย่างโล่งใจ ในเมื่อนางตกปากรับคำง่ายดายขนาดนี้ก็คงไม่มีอะไรให้ต้องห่วงอีก เสวียนหนี่แทบอดทนรอให้ถึงรุ่งเช้าไม่ไหว นางนอนหลับไม่สนิทตลอดทั้งคืนเนื่องจากตื่นเต้นดีใจมากเกินไปอยากรีบเอาของไปให้ผู้ประสบภัยอย่างที่แม่ชีหยูถงบอกไว้ ระหว่างใกล้รุ่งสาง เสวียน
หนี่ได้จินตนาการถึงทิวทัศน์ภายนอกไว้อย่างสวยงาม จนกระทั่งเสียงเคาะประตูดังขึ้นนางจึงสะดุ้งตื่นจากภวังค์“คุณหนูฉู่! ตื่นหรือยังคุณหนูฉู่”
เสวียนหนี่ได้ยินเสียงเรียกของแม่ชีหยูถงจึงรีบมาเปิดประตูให้ เมื่อวานนี้นางได้ยินแม่ชีบอกว่าจะให้นางเอาของไปให้ผู้ประสบภัยยามเฉิน แต่ตอนนี้เพิ่งจะเข้ายามเหม่า ทำไมแม่ชีหยูถงถึงมาเคาะประตูปลุกในเวลานี้
“ไปเถิด ได้เวลาแล้ว”
‘ตอนนี้เลยหรือเจ้าคะ เมื่อวานนี้แม่ชีบอกว่าจะให้ข้าไปยามเฉิน’ นางทำมือเอ่ยถาม
“ไปตอนนี้เลย”
‘เช่นนั้นข้าขอไปล้างหน้าล้างตาเสียก่อน’
“ไม่ ไม่มีเวลาขนาดนั้น เร็วเข้า!” แม่ชีมีท่าทีร้อนรน
ผู้อาวุโสแห่งอารามต้าซานทำท่าทางรีบร้อนผิดปกติ เสวียนหนี่อยากถามว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดแม่ชีถึงรีบร้อนนักแต่ก็ถูกจูงมือมาที่เกวียนกึ่งเดินกึ่งวิ่ง พอเห็นทุกอย่างเรียบร้อยดีแม่ชีก็รีบบอกให้นางขึ้นเกวียนไปโดยเร็ว จนกระทั่งเกวียนเคลื่อนออกจากอารามไปตามเส้นทางขรุขระที่เป็นเส้นทางสำหรับลงจากเขา ในตอนรุ่งสางพระอาทิตย์เริ่มโผล่พ้นพสุธา ท้องฟ้ายามนี้เริ่มมีแสงสลัวพอจะมองเห็นเงาเลือนรางของทหารกลุ่มหนึ่ง โดยหนึ่งในทหารกลุ่มนั้นที่คาดว่าจะเป็นผู้นำชูดาบขึ้นเหนือศีรษะโห่ร้องปลุกใจพวกพ้องเสียงดัง จากนั้นทหารที่อยู่แถวหลังก็ตะโกนตามอย่างฮึกเหิม
ปราบกบฏซีฮันคืนบัลลังก์ให้ฮ่องเต้!
ปราบกบฏซีฮันคืนบัลลังก์ให้ฮ่องเต้!
ปราบกบฏซีฮันคืนบัลลังก์ให้ฮ่องเต้!
ทิ้งเด็กไว้แล้วไปต่อถึงแม้มารดาของเด็กจะยังไม่มาตามนัด แต่ถานถานและเสวียนหนี่ไม่อาจทนรอจนฟ้าสางได้ถานถานควบเกวียนเข้ามาในตลาด พอถึงแหล่งชุมชนเขาอุ้มเด็กลงจากเกวียนแล้วปล่อยให้นางยืนโดดเดี่ยวทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่ตรงนั้นด้วยความสงสารเสวียนหนี่พยายามขอร้องเขาแต่ถานถานก็ไม่คิดจะใจอ่อน“พื้นฐานจิตใจของท่านข้าคิดว่าไม่ใช่คนใจร้าย”“เจ้าจะไปรู้ดีกว่าข้าได้อย่างไร”“ท่านไม่สงสารนางหรือเจ้าคะ”“ไม่ ออกเดินทางได้แล้ว เราเสียเวลามามากพอแล้ว”“...”เขาบอกให้นางขึ้นเกวียนแล้วตนเองก็เข้าไปนั่งประจำที่ของตน ก่อนจากไปเสวียนหนี่ไม่ยอมละสายตาจากเด็กน้อยที่กำลังยืนร่ำไห้ชีวิตต่อจากนี้ไปจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่อาจทราบได้ ที่เสวียนหนี่ทำได้คือช่วยให้นางมีลมหายใจต่อ แต่เสียใจที่ไม่อาจช่วยได้ตลอดรอดฝั่งเกวียนของทั้งสองออกจากจุดนั้นไม่นานก็มาหยุดอยู่ที่โรงพนัน เสวียนหนี่ชะเง้อมองเข้าไปข้างในเห็นผู้คนม
รับบทคนขุดสุสาน“โมโหขนาดนี้อย่าบอกนะว่าเจ้าจะช่วยนาง”ถานถานดึงแขนเสวียนหนี่เข้ามากระซิบกระซาบถามเป็นครั้งที่สอง“ตาแก่ถาน ท่านพอจะช่วยลูกของนางได้หรือไม่เจ้าคะ”“เหอะ อย่าฝัน”หลังอาทิตย์อัสดงที่สุสานบรรพชนตระกูลผิง“เจ้าบ้าไปแล้วรึ ตัวเองยังเอาตัวไม่รอดยังจะแส่หาเรื่องอีก”เขาตำหนินางด้วยน้ำเสียงที่เบาพอสมควร บรรยากาศรอบตัวเงียบสงัดวังเวง ท้องฟ้ายามนี้สิ้นแสงไปได้ระยะหนึ่ง เสียงสัตว์ที่ออกหากินตอนกลางคืนดังหวีดหวิวน่าหวาดกลัวในขณะที่ทั้งสองเดินตามทางรกร้างแคบ ๆ เสวียนหนี่เกาะชายผ้าชายแก่ไว้เพราะรู้สึกกลัวจนขนหัวลุก ทุกย่างก้าวของนางสั่นเครือเกือบจะก้าวต่อไปไม่ไหวสำหรับถานถานไม่ใช่เรื่องที่น่าตื่นกลัวอะไรเลยเพราะในบางวันที่เขาเข้าป่าไปหาตัดไม้ก็มักจะนอนกลางป่ากลางเขาเป็นเรื่องปกติไม่ว่าจะในสุสานหรือพงไพรล้วนบรรยากาศอึมครึมไม่แพ้กัน สัตว์ป่าที่ส่งเสียงน่ากลัวใ
เจ้าสาวผีเข้าสู่วันที่สิบของการออกเดินทาง เสบียงที่นำติดตัวมานั้นเริ่มร่อยหรอเต็มที เสวียนหนี่ก้มลงมองถุงผ้าที่นางห่อเสบียงแล้วมองไปรอบ ๆ ข้างทางที่ผ่านมานั้นไม่มีลำธารหรือบ่อน้ำให้เห็น เป็นเพราะเส้นทางที่เขาพามาไม่ได้สะดวกอย่างเช่นที่เขาได้บอกไว้ก่อนหน้าฉะนั้นการหาเสบียงเพิ่มจึงเป็นปัญหาหลักของการเดินทางครั้งนี้“ตาแก่ถาน ข้ากระหายน้ำ”“แถวนี้ไม่มีน้ำหรอก อดทนอีกหน่อย พ้นจากตรงนี้ไปราวยี่สิบลี้น่าจะมีน้ำตกถ้าข้าจำไม่ผิด”“ยี่สิบลี้เลยหรือเจ้าคะ”ในขณะที่เสวียนหนี่กำลังหดหู่สิ้นหวังสายตาของนางเหลือบไปเห็นป่าไผ่ข้างทาง นางชี้มือไปที่ป่าไผ่พร้อมบอกเขาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจ“ตาแก่ถาน นั่นป่าไผ่เจ้าค่ะ”“ป่าไผ่แล้วอย่างไร”“ข้าหิวน้ำ ในต้นไผ่มีวุ้นสามารถกินแก้กระหายได้”“เจ้าก็ว่าไปเรื่อยคุณหนูอย่างเจ้าจะไปรู้เรื่องของป่าได้อย่างไร”เขาหัวเราะนางอย่างขำขัน แต่ก็ยังดึงบังเหียนบังคับล่อให้หยุดเมื่อจอดสนิทแล้วเสวียนหนี่กระโดดลงมาจากเกวียน&nb
ผ่านด่านเมืองหลวงเช้าวันรุ่งขึ้น เสวียนหนี่ตื่นขึ้นมาพร้อมเสียงร้องของสัตว์บางชนิดนางลุกขึ้นจากเตียงไม้ไผ่ผุพังในกระท่อมของถานถานแล้วเดินออกมาขยี้ตาดูที่หน้ากระท่อมนั้นถานถานกำลังจูงล่อมาหนึ่งตัว ล่อตัวนี้ลักษณะดี แข็งแรงเหมาะแก่การใช้เป็นพาหนะในการแบกขน เจี่ยนถานถานมัดมันไว้กับเสาหน้าบ้านแล้วเดินมาดื่มน้ำดื่มท่าให้หายเหนื่อย“ท่านเอามันมาจากที่ใดเจ้าคะ”“ซื้อมา”“เอาเงินจากไหนไปซื้อมา”“ก็ปิ่นปักผมกับต่างหูนั่นอย่างไรอ้อมีแหวนด้วย”“ปิ่นและต่างหูของข้าท่านเอาไปตอนไหน”“ตอนเจ้าหลับ”คราวนี้เป็นเสวียนหนี่บ้างที่เป็นฝ่ายกัดฟันกรอดอย่างเหลืออดนางอยากจะกรีดร้องออกมาดัง ๆ แต่ก็ระงับสติได้ทันกลัวว่าถานถานจะไม่พานางไปหุบเขาอูยาเขายังดื่มน้ำในถุงหนังสัตว์อย่างไม่เป็นเดือดเป็นร้อนในขณะที่เสวียนหนี่ตอนนี้โมโหสุดขีดเพราะได้กลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัวโดยสมบูรณ์ความต
วัดใจกันไปเลย!“เห็นทีว่าท่านคงไม่อยากใช้ชีวิตอิสระอีกต่อไปแล้ว ก็ดี...เรียกทหารมาเลย”“เจ้าพูดอะไรของเจ้ากัน”“ทาสสินะ ทาสที่หลบหนีเสียด้วย”ถานถานหน้าถอดสี ความลับที่เขาเก็บซ่อนมานานนับสิบปี แม่นางผู้นี้รู้ได้อย่างไรกัน มาถึงตอนนี้เสวียนหนี่ไม่ได้เป็นรองเขาอีกต่อไป นางละสายตาไปยังกลุ่มทหารที่กำลังตรงมาหา เห็นท่าทีตื่นกลัวของถานถานนางยิ่งมั่นใจว่าตนเป็นฝ่ายเหนือกว่าบอกเขาต่ออย่างไม่เกรงกลัว“ทหารมานู่นแล้ว ข้าจะไม่หนี แต่ท่านกล้าวัดใจกับข้าหรือไม่เจ้าคะ”“เจ้าขู่ข้างั้นรึ”“ตัวข้านั้นรอดจากความตายมาหลายครั้ง ความตายหาใช่สิ่งน่ากลัวสำหรับข้าไม่ ตายแล้วก็หลุดพ้นแล้ว ๆ กันไป แต่ท่านนี่สิข้าดูก็รู้ว่าท่านโหยหาชีวิตอิสระเพียงใดหากถูกจับกลับไปเป็นทาสรองมือรองเท้าพวกขุนนางชั่วช้าอายุก็ไม่ใช่น้อย ๆ แล้วถูกทรมานโขกสับทั้งเช้าเย็นจะตายก็ไม่ได้ตายท่านว่าชีวิตที่เหลือของข้ากับท่านใครจะน่าเวทนาก
ประกาศจับกบฏที่โรงเตี๊ยมในตลาด ถานถานพาเสวียนหนี่มาแล้วสั่งอาหารสามอย่าง มีเป็ดพะโล้ น้ำแกงซี่โครง ไก่ย่าง และที่ขาดไม่ได้เลยคือสุราหมัก ถานถานโลภมากจึงสั่งมาทีเดียวเลยห้าไห เขานั่งทานอย่างเอร็ดอร่อยราวกับว่าไม่เคยได้ลิ้มรสของดีเช่นนี้มาก่อนในชีวิต เสวียนหนี่ทานแค่พออิ่มจึงนั่งจิบชาต่อ เมื่ออิ่มแล้วถานถานได้แบมือออกมาตรงหน้านาง นางทำหน้ามึนงงสงสัยจึงถามกลับ"อะไรหรือเจ้าคะ""ข้าไม่มีค่าอาหาร เจ้าเอากำไลหยกมาให้ข้า ข้าจะเอาไปขายให้""ว่าอย่างไรนะเจ้าคะ""เอ้า เจ้าจะกินอิ่มโดยที่ไม่ต้องจ่ายค่าอาหารหรืออย่างไรหรือจะให้ข้าเป็นคนจ่าย แค่ให้เจ้าติดตามมาและยังต้องช่วยตามหาครอบครัวเจ้าอีก เท่านี้ข้าก็เสียเวลามากแล้ว"เสวียนหนี่เห็นว่าเป็นจริงดังที่เขาบอก หากเขาจะช่วยนางตามหาครอบครัวจริงนั่นเท่ากับว่าเขาได้เสียเวลาโดยใช่เรื่อง นางถอดกำไลออกมาแล้วยื่นให้เขา ตาแก่ถานยิ้มเต็มใบหน้าก่อนจะยื่นมือออกมารับกำไลไปทว่าอีกฝ่ายยังจับไว้แน่นไม่ยอมปล่อยง่าย ๆ"มีอะไรอีกเล่า"