-เจ็ดวันผ่านไป-
“ซั่วอิง เจ้าบอกว่าข้าไปเอาเมล็ดพันธ์พวกนั้นมาจากวัดอะไรนะ?”
“วัดฮุ่ยหลอเพคะ อยู่บนเนินเขาทางตอนเหนือของเมืองหลวง วัดแห่งนั้นส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีใครไปกันหรอกนะเพคะ”
“ทำไมล่ะ?”
“ก็ที่นั่นมีเพียงเจ้าอาวาสคนเดียวเท่านั้น อารามก็เก่าทรุดโทรมแล้วไม่ได้งดงามเหมือนวัดเล่อฉีที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของเมืองหลวงเพคะ”
“ไม่มีใครไปก็ดีแล้วนี่ ไม่วุ่นวายดี”
“เจ้าไปเอาเหล้าที่หมักไว้ออกมาสักสองไหที แล้วก็หยิบไหเล็กมาอีกสองไหด้วยนะเผื่อเอาไว้ให้ใต้เท้าโจวนะ”
“ได้เพคะ”
ซั่วอิงรีบเดินไปนำไหเหล้าองุ่นที่พวกนางหมักเอาไว้เป็นเวลากว่าเจ็ดวันแล้ว ที่ชั้นวางของในห้องครัวบริเวณปีกซ้ายของตำหนักหนิงเซียง
ไม่นานนักนางก็หิ้วไหเหล้ามาพร้อมๆกันทั้งสี่ไหอย่างทุลักทุเลพอสมควร ซั่วอิงก้าวเดินด้วยความเชื่องช้าด้วยกลัวว่าไหเหล้าเหล่านั้นจะตกลงพื้นไปเสียก่อน
“มาแล้วเพคะพระสนม”
“ไหนมาให้ข้าชิมดูก่อนซิ”
จ้าวซูหลินรีบหยิบไหเหล้าใบเล็กใบหนึ่งมาจากมือของซั่วอิงด้วยความว่องไว ก่อนจะเปิดผ้าที่ใช้ปิดฝาไหออกแล้วสูดดมกลิ่นของมันทันที
“อืมม..หอมเสียจริง” นางดมกลิ่นสุราองุ่นก่อนจะเทลงไปในจอกใบเล็กเพียงครึ่งจอกแล้วลิ้มรสไปทีละนิด
“เป็นเช่นใดบ้างหรือเพคะ”
“ต้องใช้เวลาหมักให้นานกว่านี้ถึงจะได้รสชาติที่กลมกล่อมละมุนลิ้นไม่ฝาดคอเกินไป แม้จะมีวัตถุดิบน้อยไปหน่อยแต่รสชาติที่ได้ไม่เลวเลย”
“เจ้าก็ลองชิมดูสิ”
“หม่อมฉันไม่กินเหล้าเพคะ”
“อะไรกันพลาดของดีๆไปได้อย่างไร"
ขณะที่จ้าวซูหลินนั่งดื่มเหล้าองุ่นอย่างสบายใจอยู่นั้น ก็นึกขึ้นได้ว่านางอยากจะไปที่วัดนั้นดูสักครั้ง
"ซั่วอิงข้าอยากไปที่นั่น พาข้าไปที”
“ไปไหนหรือเพคะ”
“วัดฮุ่ยหลออย่างไรเล่า”
“ท่านจะไปอีกทำไมกันล่ะเพคะ หากไปแล้วไม่พบเจ้าอาวาสจะไม่เสียเวลาแย่หรอกหรือ”
“เสียเวลาอะไรข้าต้องทำอะไรที่ไหนกัน เห็นหรือไม่วันๆก็เอาแต่อยู่ในตำหนักเงียบเหงาจะตายไป ข้าเบื่อจะแย่อยู่แล้ว”
แม้จะโล่งอกที่ไม่มีใครมาก่อกวนแต่ภายในใจของนางกลับรู้สึกว่ามันเงียบมากเกินไปมากจนนางเองก็รู้สึกระแวงอยู่ไม่น้อย
“จะว่าไปแล้วนะซั่วอิงเจ้าว่ามันแปลกหรือไม่ หลายวันมานี้เหตุใดตำหนักของเราถึงได้เงียบสงบเช่นนี้ล่ะ”
“คือว่า”
“มีอะไรหรือเปล่า”
“ครั้งที่หม่อมฉันไปห้องเครื่อง ได้ยินมาว่าฮ่องเต้มีรับสั่ง….”
“รับสั่งอะไร?”
“ก็เพราะเหตุการณ์ในวันนั้นพระสนมลิ่งเฟยจึงไปฟ้องร้องฝ่าบาท ฝ่าบาทจึงมีรับสั่งไม่ให้ผู้ใดเข้าใกล้ตำหนักหนิงเซียงเพคะ เห็นรับสั่งว่าเพราะพระสนมซูหลินมีสติฟั่นเฟือนอาจจะทำร้ายผู้คนที่เข้าใกล้ได้”
พรู๊ดดด….~
“แค่กๆ”
“ตรัสเช่นนั้นเลยหรือ?”
“เพคะ แต่หม่อมฉันว่าก็ดีแล้วไม่ใช่หรือเพคะหลายวันมานี้ก็ไม่มีผู้ใดเข้ามารบกวนท่านเลย อีกทั้งทางด้านตำหนักของฮองเฮาเองก็ไม่ได้ส่งผ้ามาให้ท่านปักอีก”
“ใช่ มันก็ดีอยู่หรอก แต่อีตาบ้านั่นหาว่าข้าสติฟั่นเฟือนเลยอย่างนั้นหรือ อย่าให้แม่เจอนะจะต่อยหน้าสักทีโทษฐานกักขังหน่วงเหนี่ยวและกล่าวร้ายข้า”
“อะ อะไรนะเพคะ?”
“เฮ้อ…ช่างเถอะ ออกไปนอกวังกันข้าต้องเอาเหล้าไปขายก่อนจะแวะไปที่วัดฮุ่ยหลอต่อ ชักช้าจะเสียเวลา”
“เพคะ”
จ้าวซูหลินเก็บยาสมุนไพรที่จัดเตรียมเอาไว้เป็นชุดเล็กๆสำหรับพกพาหากเกิดเหตุฉุกเฉินจะได้ใช้ทัน นางนำยาเหล่านั้นใส่ไว้ในห่อผ้าเล็กๆแล้วมอบให้ซั่วอิงเป็นคนดูแล พวกนางรีบเดินออกจากตำหนักหนิงเซียงมุ่งสู่เส้นทางประตูลับที่เคยใช้กับใต้เท้าโจวด้วยความรวดเร็วประหนึ่งกลัวใครจะพบเห็นเข้า
เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูไม้บานนั้นไม่ทันที่นางจะได้เปิดประตูออกไป ก็ได้ยินเสียงบุรุษผู้หนึ่งเรียกนางเอาไว้ก่อน
“แม่นางซูพวกเจ้าจะไปไหนงั้นหรือ? แล้วนั่นถืออะไรกัน”
“ใต้เท้าโจว ท่านนี่เองข้าก็นึกว่าใคร”
“ทำไม คิดว่าเป็นทหารเฝ้ายามหรือ”
“ก็ใช่น่ะสิเจ้าคะ”
“ความจริงแล้วเส้นทางนี้มีทหารยามมาตรวจวันละครั้งเท่านั้นล่ะ แค่ตอนเช้าครั้งเดียวเพราะเป็นเส้นทางที่ฮ่องเต้เคยใช้เพื่อออกไปตรวจชาวบ้านน่ะ”
“เส้นทางที่ฮ่องเต้ใช้เช่นนั้นหรือเจ้าคะ!”
“ใช่แล้วล่ะ”
“แล้วหากฮ่องเต้รู้ว่าข้า”
“อือ ไม่รู้หรอกข้าไม่พูดเจ้าไม่พูดพระองค์จะรู้ได้อย่างไรล่ะจริงไหม”
“ว่าแต่พวกเจ้าจะไปไหนกันล่ะ”
“ข้าจะเอาเหล้าองุ่นไปขายในเมืองเจ้าค่ะ”
“ลืมไปเลยนี่สำหรับท่านเจ้าค่ะใต้เท้า ข้าหมักเองกับมือเลยนะเจ้าคะ”
“เจ้าว่าคือเหล้าอะไรนะ”
“เหล้าองุ่นเจ้าคะ ท่านลองชิมดูสิ”
ฮ่องเต้เปิดผ้าที่ปิดปากไหเหล้าออก กลิ่นของเหล้าโชยออกมาช่างหอมยั่วยวนน้ำลายยิ่งนัก เขารีบยกขึ้นมาดื่มทันที
“รสชาติไม่เลวเลย กลมกล่อมกว่าเหล้านารีแดงเสียอีก”
“จริงหรือเจ้าค่ะ ดีเลยพวกข้าจะนำเหล้าพวกนี้ออกไปขายข้างนอกเจ้าค่ะ ข้าไปก่อนนะ”
“เดี๋ยวสิ เจ้าจะนำเหล้าพวกนี้ไปขายเช่นนั้นหรือ”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ ท่านอย่าไปบอกใครนะเจ้าคะข้ากำลังรวบรวมเงินเพื่อไถ่ตัวเองออกจากวังแห่งนี้อยู่”
“อะ ออกจากวังเช่นนั้นหรือ? จะเป็นไปได้อย่างไรกันเจ้าเป็นถึงพระ….”
“หืม?”
“เอ่อ…ข้าหมายถึงเป็นถึงนางกำนัลจะออกจากวังไปได้อย่างไรกัน หรือที่ที่เจ้าอยู่ไม่สุขสบายเช่นนั้นหรือ”
จ้าวซูหลินไม่ได้ตอบกลับเขาไป นางเพียงแค่ส่งยิ้มให้เล็กน้อยเท่านั้นก่อนจะหันหลังเดินออกจากประตูวังไปด้วยความรวดเร็วทันที
ฮ่องเต้มองแผนหลังที่ก้าวเดินอย่างคล่องแคล่วออกไปจากรั้ววังแห่งนี้ทีละก้าว ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าแสงที่สะท้อนบนแผ่นหลังบอบบางนั้นถึงได้ดูมีชีวิตชีวามากกว่าตอนที่นางอยู่ในเขตรั้ววังหลวงเสียอีก
“อยู่ในวังหลวงนางอึดอัดใจถึงเพียงนี้เชียวหรือ หรือว่าการปลดปล่อยเจ้าไปจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุดสำหรับเจ้ากันแน่นะ”
-5 ปีผ่านไป-เทศกาลโคมไฟวนเวียนกลับมาในอีกรอบปีแล้ว แต่ปีนี้นั้นจ้าวซูหลินกลับรู้สึกว่าช่างเงียบเหงายิ่งนัก ในทุกๆปี นางจะนั่งชมโคมไฟรูปแบบต่างๆกับฮ่องเต้เสมอแต่มาปีนี้กลับต้องนั่งเหงาเดียวดายอยู่เพียงลำพัง“ฝ่าบาท หากชาติหน้ามีจริงขอให้พวกเรากลับมาพบกันอีกครั้งนะเพคะ”ฮ่องเต้ฮั่วจงสวรรคตไปเมื่อหนึ่งปีก่อนหลังเทศกาลโคมไฟของปีที่แล้วพอดี จ้าวซูหลินไม่อาจยื้อชีวิตพระองค์ได้อีกต่อไปแล้วอาจเพราะเครื่องมือที่มีไม่มากพอและตัวนางเองก็ไม่อยากทำให้พระองค์ต้องเจ็บปวดอีกต่อไปแม้จะเป็นไปตามประวัติศาสตร์ที่ฮ่องเต้ฮั่วจงต้องสวรรคตในวัยเพียงแค่สี่สิบชันษา และแม้นางอยากที่จะยื้อชีวิตให้เขาได้อยู่กับนางนานๆมากกว่านี้แต่นางก็ไม่อยากฝืนชะตาลิขิตอีกต่อไปได้เพียงแค่หวังว่าหากชาติหน้ามีจริง นางและเขาจะกลับมาพบกันในสถานะที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ในชาตินี้ มีเพียงกันและกันและสามารถใช้ชีวิตร่วมกันได้โดยไม่ต้องผิดต่อใคร-โรงเตี๊ยมฟู่อันหลง-เช้าวันนี้จ้าวซูหลินรู้สึกว
ฮ่องเต้และฮองเฮาเดินเข้ามาในงานด้วยท่วงท่าสง่างามยิ่ง ฮ่องเต้นั้นสวมฉลองพระองค์ด้วยชุดสีเหลืองทองอร่ามปักลายมังกรงามสง่า ส่วนฮองเฮาสวมชุดคลุมพญาหงส์สวยตระการตาปิ่นห้อยพญาหงส์สีแดงทองทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยความสูงค่าทรงสง่าดูมีท่วงท่าของพระมารดาของแผ่นดินเป็นอย่างมาก บนโถงพิธีมงคลเทียนสีแดงถูกจุดสว่างตำแหน่งเก้าอี้สูงมีฮ่องเต้และฮองเฮาประทับอยู่ ด้านนอกโถงพิธีมงคลมีขุนนางที่หลี่กงอี้เชื้อเชิญมาร่วมงานรวมตัวกันอยู่ไม่น้อย“ได้ฤกษ์แล้ว ต้อนรับบ่าวสาว” ผู้ดูแลจวนเดินออกมายืนป่าวประกาศด้วยเสียงอันดังดนตรีมงคลก็เริ่มบรรเลง เกี้ยวเจ้าสาวหามมาถึงนอกประตูใหญ่ของจวนตระกูลหลี่แล้ว ซั่วอิงถูกประคองลงจากเกี้ยวขณะนั้นก็ได้ยินเสียงประทัดดังปึงปังความปีติยินดีเบิกบานลั่นทั่วทั้งท้องฟ้าพรมสีแดงถูกปูมาจนถึงใต้เท้าของนาง “เจ้าสาวมาแล้ว” มีคนร้องขึ้น ซั่วอิงถูกประคองมาถึงหน้าโถงรับแขก จากนั้นมีสาวใช้สองคนเดินเข้ามารับช่วงต่อจากจ้าวซูหลินสาวใช้สองคนประคองซั่วอิงซ้ายขวาเดินเข้ามาในพิธีชุดมงคลแดงปักท
เวลาล่วงเลยผ่านไปอีกปีแล้วจ้าวซูหลินยังคงอาศัยอยู่ในวังเพื่อถวายการรักษาฮ่องเต้อย่างต่อเนื่อง หลายๆครั้งที่นางพาฮ่องเต้แอบหนีออกจากวังเพื่อไปเยี่ยมเยียนชาวบ้านในหลายๆหมู่บ้าน อะไรที่เขาไม่เคยทำจ้าวซูหลินก็พาทำหมดทุกอย่างหลี่กงอี้ที่เดิมทีเป็นกังวลเกี่ยวกับพระวรกายของฝ่าบาทแต่เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้ยังคงแข็งแรงไปไหนมาไหนได้ไม่รู้เหน็ดเหนื่อยเขาจึงไม่เอ่ยคัดค้านใดๆ ทำได้เพียงแค่ตามทั้งสองคนไปในทุกๆที่เท่านั้น“ท่านกงอี้”“แม่นางซูหลิน มีอะไรให้ข้าน้อยรับใช้หรือขอรับ”“เปล่าเสียหน่อยข้าเพียงแค่จะถามท่านว่าท่านไม่คิดจะแต่งงานบ้างหรือ”“ข้าหรือ?”“ใช่สิเจ้าคะ”“ข้าเห็นนะ ท่านแอบไปที่โรงเตี๊ยมของข้าบ่อยๆ”“อะไรกันนั่นข้าไม่ได้สั่งเสียหน่อย เจ้าไปที่นั่นทำไม? คงไม่ได้แค่ไปกินข้าวกระมัง”“อะเอ่อ ฝ่าบาทคือว่า”“ว่าอย่างไร อ้ำอึ้งอยู่ได้”“คือว่ากระหม่อม”“เจ้าชอบซั่วอิงงั้นหรือ แค่ช
“ก็ฮองเฮาอย่างไรเล่าเพคะ คนที่มีอำนาจในวังหลังมากสุดก็คือฮองเฮา ลองใครกล้านินทาหม่อมฉันดูสิฮองเฮาต้องออกหน้าจัดการแทนแน่นอน”“แล้วการที่เข้ามาดูแลรักษาอาการของพระองค์มันผิดตรงไหนกัน ใครๆก็รู้ว่าหม่อมฉันเป็นหมอ”“ข้าไม่ได้ว่าอะไร กลัวก็เพียงว่าคนที่เจ้าชอบจะมองเจ้าไม่ดี”“หม่อมฉันไม่มีลูกตาให้มองใครแล้วนะเพคะ”“แล้วเจ้ามองใครอยู่หรือ”จ้าวซูหลินยิ้มเบาๆนางไม่ตอบคำถามนี้แต่กลับกำลังค้นหาขวดยาเพื่อนำมาให้ฮ่องเต้เสวยอีกครั้ง“เมื่อครู่ไม่ใช่ว่าข้ากินยาแล้วหรือ”“นั่นยาของหมอหลวง ส่วนนี่ของหม่อมฉัน”“ได้อย่างไรข้ากินแล้วนะ”“อย่าดื้อสิเพคะ หากท่านหายดีในเร็ววันหม่อมฉันจะพาพระองค์อบออกไปเที่ยวนอกวัง”“เที่ยวนอกวัง?”“ใช่แล้วเพคะ”“ไม่กี่วันข้างหน้าก็ถึงเทศกาลโคมไฟแล้วนะเพคะ หม่อมฉันอยากไปดูโคมไฟสวยๆ ฝ่าบาทก็ต้องไปกับหม่อมฉันด้วยนะเพคะ”จ้าวซูหลินยิ้มก่อนจะยื่นเม็ดยาที่นางสกัดออกมาเองใส่พระหัตถ์ของฝ่าบาทฮ่องเต้ถอนพระปัสสาสะเล็กน้อย‘เอาก็เอา อย่างน้อยถ้าหายดีก็จะได้พานางไปเที่ยวเล่
“ท่านน่าจะบอกข้าให้รู้เร็วกว่านี้”“ก็ฝ่าบาทไม่ยอมให้ข้าบอกท่านนี่นา เอาแต่ขู่ข้าว่าหากข้าปากโป้งไปบอกท่านจะตัดหัวข้าทิ้งเสีย ข้าเป็นองค์รักษ์ไม่กลัวตายหรอกนะแต่ข้าเพียงแค่กลัวว่าจะไม่มีใครอยู่คอยดูแลพระองค์ก็เท่านั้นเอง”‘ไม่กลัวตายเลยจริงจริ๊ง’“ใช่สินะ ใครจะไปรู้พระทัยฝ่าบาทเท่าท่านกัน”“แต่ก็อย่างที่ข้าตำหนิท่าน หากบอกข้าเร็วกว่านี้อาการของฝ่าบาทก็จะไม่ทรุดลงเร็วเช่นนี้”“แล้วแม่นางซูหลิน ฝ่าบาทจะทรงหายดีใช่หรือไม่”“ท่านรู้จักข้ามานานรู้ใช่หรือไม่ว่าข้าไม่พูดโกหก แม้บางครั้งจะจำเป็นต้องโกหกก็ตาม”“ข้ารู้”“ฝ่าบาทร่างกายอ่อนแอลงอย่างมากสุดก็ห้าปี”“ห้าปีงั้นหรือ”“พอจะจัดการอะไรๆ ได้ใช่หรือไม่”“ข้านึกว่าจะไม่นานเพียงนั้น”“ท่านกงอี้!”“ข้าพูดเรื่องจริงทั้งไทเฮาและฮองเฮาต่างก็วิตกเพราะรัชทายาทเองก็อายุได้เพียงสิบชันษายังไ
“สะ สนมซู ไม่ใช่ว่าเจ้าตายไปแล้วหรอกหรือ แล้วเหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่!”“ไทเฮา ฮองเฮา เรื่องนี้หม่อมฉันจะมาอธิบายทีหลังนะเพคะ ตอนนี้ให้หม่อมฉันตรวจอาการของฝ่าบาทก่อน”“เจ้ารักษาคนเป็นหรือ”“ฮองเฮาที่กระหม่อมพาพระสนมมาก็เพราะว่านางมีฝีมือทางการแพทย์พ่ะย่ะค่ะ เห็นสมควรให้นางลองรักษาฝ่าบาทไม่ดีกว่าหรือพ่ะย่ะค่ะ”ฝ่าบาทที่เดิมกำลังจะบรรทมต่อเพราะฤทธิ์ยาที่หมอหลวงให้กิน แต่ก็ต้องตื่นตกใจขึ้นมาทันทีที่ได้ยินว่าจ้าวซูหลินมาที่นี่‘มาได้อย่างไร?’ฮ่องเต้รีบทอดพระเนตรดูคนตรงหน้าทันที‘ชัดเลย จ้าวซูหลินจริงๆ! ต้องเป็นเจ้าบ้าหลี่กงอี้แน่ๆ อยากหัวหลุดจากบ่ามากหรืออย่างไรกัน’หลี่กงอี้ที่เหมือนจะรู้ตัวว่ามีสายตาอาฆาตจากฝ่าบาทมุ่งมาทางเขาก็รีบหลบไปที่หลังของจ้าวซูหลินทันที นางแปลกใจเล็กน้อยที่อยู่ๆหลี่กงอี้ก็มาหลบที่หลังของนางแต่เมื่อหันไปมองดูคนบนเตียงก็ต้องตกใจแทบสิ้นสติ!“ตะ…ใต้เท้า!”