“อะไร?เจ้ามองหน้าข้าแบบนั้นทำไม”
“พระสนม…”
“จะมาโทษข้าไม่ได้นะก็นางมาก่อกวนข้าก่อนนี่นา”
“พระสนมเก่งมากเลยเพคะ แต่ท่านก็รู้ว่าฮ่องเต้โปรดปรานสนมลิ่งเฟยมากท่านอาจได้รับโทษก็เป็นได้นะเพคะ”
“ข้าไม่กลัว ฆ่าข้าให้ตายไปเสียเลยสิ”
“ไม่ได้สิหากข้าต้องโทษจริง ห่วงก็แต่เจ้าก็ต้องมาเดือดร้อนเพราะข้าอีกคน โว้ยยยย! หากไม่ใช่ว่านางมาหาเรื่องข้าก่อนมีหรือที่ข้าจะอารมณ์เสียได้ถึงเพียงนี้กัน”
“แต่หากว่าข้าถูกทำโทษจริงเจ้าก็ไม่ต้องห่วงไปหรอก ข้าจะฟาดเจ้าด้วยไม้ท่อนนี้ให้พวกเขาเข้าใจว่าข้าสติไม่ดีทำร้ายคนไปทั่ว ตัวเจ้าเองก็จะรอดจากการถูกลงโทษในครั้งนี้แล้ว”
“พระสนม!”
“พอแล้วเลิกเรียกข้าเสียที เจ้าก็ดูต้นทางไปเผื่อมีทหารมาจะได้เริ่มแผนการเมื่อครู่ได้ทัน”
“โธ่พระสนมหากว่าท่านถูกลงโทษข้าก็ยินดีรับโทษไปพร้อมท่านนะเพคะ พวกเราพูดความจริงทำไมต้องกลัวก็พระสนมลิ่งเฟยชอบมาข่มขู่ท่านทั้งยังใช้งานท่าน ทั้งๆที่ท่านเองก็มีตำแหน่งเทียบเท่ากับนางเพียงแค่ไม่ได้รับการโปรดปรานจากฝ่าบาทเหมือนกับนางก็เท่านั้นเอง”
“ช่างเถอะข้าไม่สนใจหรอก ตอนนี้ที่ข้าสนใจคือข้าจะหาเงินจากที่ไหนมาไถ่ตัวเองออกจากวังแห่งนี้ได้เร็วๆกัน”
‘เฮ้อ ไหนๆก็ตายแล้วเหตุใดไม่ให้ข้าตายไปให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยล่ะจะส่งข้ามาที่นี่ทำไมกัน ให้ถูกกักขังแบบนี้สู้ตายไปเลยเสียยังดีกว่า คนอื่นข้ามภพมามีอุปกรณ์เต็มไม้เต็มมือแล้วเหตุใดข้าถึงมามือเปล่ากันเล่า สวรรค์ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย!’
“เฮ้อ….”
ซั่วอิงนั่งมองพระสนมของตัวเองที่เอาแต่ทอดถอนหายใจไปรอบที่ร้อยของเช้าวันนี้แล้ว นางเองก็ทุกข์ใจและอยากจะออกจากวังหลวงแห่งนี้ไม่ต่างจากพระสนมของนางเช่นกัน
จ้าวซูหลินที่เบื่อๆจึงออกเดินเล่นไปทั่วตำหนักจนมาสุดอยู่ที่ด้านหลังของตำหนักที่ห่างไกลออกมาจากตัวตำหนักพอสมควร
“ซั่วอิงนั่นอะไรหรือ”
“อะไรหรือเพคะ”
“นั่นไงเล่า”
จ้าวซูหลินรีบเดินไปยังด้านหลังบริเวณที่มีรั้วไม้กั้นเอาไว้ทันที เมื่อเข้าไปมองดูใกล้ๆถึงได้รู้ว่าคือสมุนไพรทั้งที่นางรู้จักและไม่รู้จักถูกปลูกเอาไว้หลากหลายชนิดนัก
“อะไรกันเนี่ย!”
“ก็สมุนไพรที่พระสนมทรงปลูกเอาไว้อย่างไรล่ะเพคะ”
“ไม่ใช่ ข้าหมายถึง…”
‘หืม? เจ้าของร่างนี้มีความรู้เรื่องการใช้สมุนไพรด้วยหรือนี่ ให้ตายสิแบบนี้ข้าก็ใช้ชีวิตแบบไม่ลำบากเท่าไหร่แล้วกระมัง’
“ข้าปลูกเอาไว้เองอย่างนั้นหรือ”
“ก็เวลาที่พระสนมหรือข้าป่วย ท่านก็จะมาเก็บสมุนไพรตรงนี้ไปใช้แทนยารักษาที่จะไปขอจากหมอหลวงอย่างไรล่ะเพคะ”
“ทำไมล่ะ”
“เพราะทุกครั้งที่ข้าไปเรียกหมอหลวงเพื่อมาตรวจอาการท่าน หมอหลวงพวกนั้นต่างก็อ้างว่าต้องไปตรวจรักษาเหล่าสนมคนอื่น ไม่มีใครว่างสักคนเป็นแบบนี้หลายครั้งเข้าท่านจึงปลูกสมุนไพรไว้ใช้เองเพคะ”
“เป็นหมอหลวงคนเจ็บป่วยไม่ยอมมารักษาได้อย่างไร”
“นั่นอาจจะมีใครบางคนสั่งการเอาไว้ แต่ก็มีเพียงหมอหลวงจางคนเดียวเท่านั้นที่แอบมารักษาให้นะเพคะ”
“หมอหลวงจางงั้นหรือ”
“ใช่เพคะ แต่หมอหลวงผู้นี้ไม่ค่อยอยู่สำนักหมอหลวงนักได้ยินมาว่าฮ่องเต้มีบัญชาให้เขาออกไปประจำที่โรงหมอในเมืองหลวงน่ะเพคะ นานๆจะกลับวังหลวงที”
“อืม ได้ออกจากวังหลวงช่างดีเสียจริง แล้วเหตุใดข้าถึงมาปลูกที่ไกลลับตาเช่นนี้กันเดินไปๆกลับๆก็เหนื่อยเอาเรื่องอยู่นะ”
“ที่ต้องปลูกเอาไว้หลังตำหนักเพราะเกรงว่าสนมลิ่งเฟยมาพบเข้า นางจะกลั่นแกล้งท่านด้วยการเหยียบสมุนไพรพวกนี้จนเสียหายหมดเลยเพคะ”
“อะไรนะ! นี่นางบ้าจริงๆงั้นหรือ ให้ตายสิคนอะไรช่างชั่วร้ายชะมัด” บ่นๆไปสักพักหางตาของนางก็เหลือบไปเห็นแปลงไม้เลื้อยที่มีผลไม้ที่คุ้นตาเต็มละลานตาไปหมด
“นั่น! เป็นไปได้อย่างไรมันมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกันเนี่ย”
“หืม อ้อผลไม้นั่นหรือเพคะก็พระสนมทรงปลูกเอาไว้ด้วยตัวเองจำไม่ได้แล้วหรือเพคะ”
“ข้าเนี่ยนะ?”
“ใช่แล้ว พระสนมน่าจะจำอะไรไม่ได้อีกเยอะเลยใช่หรือไม่เพคะ ทั้งสมุนไพรทั้งผลไม้พวกนี้พระสนมลงมือปลูกด้วยตัวเองทั้งนั้นเลยนะเพคะ”
‘เป็นไปได้อย่างไร แล้วนางไปเอาเมล็ดพันธ์มาจากที่ไหนกันยุคนี้มีเจ้าสิ่งนี้เกิดขึ้นแล้วหรือ?’
“พระสนม….”
“นี่ซั่วอิง แล้วข้าเอาเมล็ดพันธ์พืชพวกนี้มาจากที่ไหนหรือ”
“พระสนมท่านลืมไปแล้วจริงๆหรือเพคะ ของพวกนี้ท่านบอกว่านำมาจากเจ้าอาวาสที่วัดฮุ่ยหลอ เมล็ดพันธ์บางส่วนที่ปลูกไม่หมดท่านเก็บไว้ในกล่องไม้จันทร์ในห้องนอนอย่างไรเล่าเพคะ”
“อ่อ…ฮ่า ฮ่า ฮ่า ข้าคงลืมไปน่ะเจ้าช่วยไปเอาตระกร้ามาทีนะ ข้าจะเก็บสมุนไพรกับผลไม้พวกนี้เสียหน่อย”
“เพคะพระสนม”
ซั่วอิงเดินหายเข้าไปในตำหนักเพียงไม่นานก็กลับมาพร้อมกับตะกร้าไม้สานใบไม่ใหญ่มากกับมีดเล่มเล็กอีกสองเล่ม
“ได้แล้วเพคะ”
“ดีมาก”
“ให้หม่อมฉันช่วยนะเพคะ”
“เจ้าเก็บผลไม้ตรงนี้ส่วนข้าจะเก็บสมุนไพรตรงนั้น เก็บเสร็จแล้วค่อยนำไปล้างน้ำแล้วนำไปใส่ในตระกร้าที่สะอาดข้าจะใช้หมักทำไวน์เข้าใจหรือไม่”
“หมักอะไรนะเพคะ”
‘อ้าวให้ตายสิ ลืมไปได้อย่างไรว่ายุคนี้ไม่มีไวน์’
“ข้าหมายถึงเหล้าน่ะข้าจะหมักเหล้าองุ่น ไปกันเถอะ”
“เพคะ”
“ซั่วอิงหากข้าทำเหล้าองุ่นขายให้ร้านค้านอกวังจะได้หรือไม่นะ พวกเราแอบเอาออกไปขายเก็บเงินเอาไว้จะได้ออกจากวังเร็วๆอย่างไรล่ะ”
“ความจริงแล้วก็ไม่มีกฎใดบ่งบอกว่านางกำนัลจะขายสิ่งของไม่ได้นะเพคะ แต่ท่านจะแอบออกไปข้างนอกอีกแล้วหรือหากว่าโดนจับได้…..”
“จะสนใจทำไมเล่าพวกเราก็ใช้เส้นทางที่ใต้เท้าโจวพาออกไปอย่างไรล่ะ ไม่มีทหารป้วนเปี้ยนแถวนั้นออกไปได้สบายๆอยู่แล้ว”
“แต่ว่า…”
“ไม่มีแต่…ลงมือกันเถอะ”
“แต่ท่านเป็นถึงพระสนมเลยนะเพคะ จะนำของไปขายได้อย่างไร”
“พระสนมที่ถูกทอดทิ้งเช่นข้าก็ต้องดิ้นรนเอาตัวรอดแบบนี้ล่ะเร็วเข้ารีบไปเก็บกัน หมักเสร็จจะได้เอาไปให้ใต้เท้าโจวชิมดูก่อนถึงจะไปขายได้”
“ว่าแต่จวนใต้เท้าโจวไปทางไหนล่ะวันนั้นข้าก็ลืมถามไปเลย”
“ก็…”
“ช่างเถอะไว้เจ้าไปเฝ้าแถวนั้นเผื่อสักวันจะเจอท่านใต้เท้าค่อยถามอีกที”
“เพคะ”
จ้าวซูหลินและซั่วอิงลงมือเก็บผลอุง่นและสมุนไพรในแปลงปลูกทันที ซั่วอิงสังเกตสีหน้าของนายสาวที่ดูจะสดใสร่าเริงกว่าเมื่อครู่ขึ้นมากทีเดียว
‘รู้เช่นนี้พาพระสนมมาดูหลังตำหนักก่อนก็ดี จะได้อารมณ์ดีกว่าเมื่อก่อนนี้บ้าง’
ใช้เวลาเก็บไม่นานพวกนางก็นำผลไม้และสมุนไพรไปล้างก่อนจะนำสมุนบางส่วนไปตากแดดเอาไว้ เมื่อทำงานเรียบร้อยแล้วจ้าวซูหลินก็นั่งดูผลงานที่ได้ในวันนี้อย่างอารมณ์ดี ภายใต้สายตาขององค์รักษ์เงาดำที่เร้นกายเฝ้ามองดูคนในตำหนักแห่งนี้ก่อนจะหายออกไปเพื่อรายงานต่อฮ่องเต้
‘ฮิๆ หนทางที่ข้าจะได้ออกจากวังหลวงแห่งนี้เริ่มใกล้เข้ามาแล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า’
-5 ปีผ่านไป-เทศกาลโคมไฟวนเวียนกลับมาในอีกรอบปีแล้ว แต่ปีนี้นั้นจ้าวซูหลินกลับรู้สึกว่าช่างเงียบเหงายิ่งนัก ในทุกๆปี นางจะนั่งชมโคมไฟรูปแบบต่างๆกับฮ่องเต้เสมอแต่มาปีนี้กลับต้องนั่งเหงาเดียวดายอยู่เพียงลำพัง“ฝ่าบาท หากชาติหน้ามีจริงขอให้พวกเรากลับมาพบกันอีกครั้งนะเพคะ”ฮ่องเต้ฮั่วจงสวรรคตไปเมื่อหนึ่งปีก่อนหลังเทศกาลโคมไฟของปีที่แล้วพอดี จ้าวซูหลินไม่อาจยื้อชีวิตพระองค์ได้อีกต่อไปแล้วอาจเพราะเครื่องมือที่มีไม่มากพอและตัวนางเองก็ไม่อยากทำให้พระองค์ต้องเจ็บปวดอีกต่อไปแม้จะเป็นไปตามประวัติศาสตร์ที่ฮ่องเต้ฮั่วจงต้องสวรรคตในวัยเพียงแค่สี่สิบชันษา และแม้นางอยากที่จะยื้อชีวิตให้เขาได้อยู่กับนางนานๆมากกว่านี้แต่นางก็ไม่อยากฝืนชะตาลิขิตอีกต่อไปได้เพียงแค่หวังว่าหากชาติหน้ามีจริง นางและเขาจะกลับมาพบกันในสถานะที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ในชาตินี้ มีเพียงกันและกันและสามารถใช้ชีวิตร่วมกันได้โดยไม่ต้องผิดต่อใคร-โรงเตี๊ยมฟู่อันหลง-เช้าวันนี้จ้าวซูหลินรู้สึกว
ฮ่องเต้และฮองเฮาเดินเข้ามาในงานด้วยท่วงท่าสง่างามยิ่ง ฮ่องเต้นั้นสวมฉลองพระองค์ด้วยชุดสีเหลืองทองอร่ามปักลายมังกรงามสง่า ส่วนฮองเฮาสวมชุดคลุมพญาหงส์สวยตระการตาปิ่นห้อยพญาหงส์สีแดงทองทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยความสูงค่าทรงสง่าดูมีท่วงท่าของพระมารดาของแผ่นดินเป็นอย่างมาก บนโถงพิธีมงคลเทียนสีแดงถูกจุดสว่างตำแหน่งเก้าอี้สูงมีฮ่องเต้และฮองเฮาประทับอยู่ ด้านนอกโถงพิธีมงคลมีขุนนางที่หลี่กงอี้เชื้อเชิญมาร่วมงานรวมตัวกันอยู่ไม่น้อย“ได้ฤกษ์แล้ว ต้อนรับบ่าวสาว” ผู้ดูแลจวนเดินออกมายืนป่าวประกาศด้วยเสียงอันดังดนตรีมงคลก็เริ่มบรรเลง เกี้ยวเจ้าสาวหามมาถึงนอกประตูใหญ่ของจวนตระกูลหลี่แล้ว ซั่วอิงถูกประคองลงจากเกี้ยวขณะนั้นก็ได้ยินเสียงประทัดดังปึงปังความปีติยินดีเบิกบานลั่นทั่วทั้งท้องฟ้าพรมสีแดงถูกปูมาจนถึงใต้เท้าของนาง “เจ้าสาวมาแล้ว” มีคนร้องขึ้น ซั่วอิงถูกประคองมาถึงหน้าโถงรับแขก จากนั้นมีสาวใช้สองคนเดินเข้ามารับช่วงต่อจากจ้าวซูหลินสาวใช้สองคนประคองซั่วอิงซ้ายขวาเดินเข้ามาในพิธีชุดมงคลแดงปักท
เวลาล่วงเลยผ่านไปอีกปีแล้วจ้าวซูหลินยังคงอาศัยอยู่ในวังเพื่อถวายการรักษาฮ่องเต้อย่างต่อเนื่อง หลายๆครั้งที่นางพาฮ่องเต้แอบหนีออกจากวังเพื่อไปเยี่ยมเยียนชาวบ้านในหลายๆหมู่บ้าน อะไรที่เขาไม่เคยทำจ้าวซูหลินก็พาทำหมดทุกอย่างหลี่กงอี้ที่เดิมทีเป็นกังวลเกี่ยวกับพระวรกายของฝ่าบาทแต่เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้ยังคงแข็งแรงไปไหนมาไหนได้ไม่รู้เหน็ดเหนื่อยเขาจึงไม่เอ่ยคัดค้านใดๆ ทำได้เพียงแค่ตามทั้งสองคนไปในทุกๆที่เท่านั้น“ท่านกงอี้”“แม่นางซูหลิน มีอะไรให้ข้าน้อยรับใช้หรือขอรับ”“เปล่าเสียหน่อยข้าเพียงแค่จะถามท่านว่าท่านไม่คิดจะแต่งงานบ้างหรือ”“ข้าหรือ?”“ใช่สิเจ้าคะ”“ข้าเห็นนะ ท่านแอบไปที่โรงเตี๊ยมของข้าบ่อยๆ”“อะไรกันนั่นข้าไม่ได้สั่งเสียหน่อย เจ้าไปที่นั่นทำไม? คงไม่ได้แค่ไปกินข้าวกระมัง”“อะเอ่อ ฝ่าบาทคือว่า”“ว่าอย่างไร อ้ำอึ้งอยู่ได้”“คือว่ากระหม่อม”“เจ้าชอบซั่วอิงงั้นหรือ แค่ช
“ก็ฮองเฮาอย่างไรเล่าเพคะ คนที่มีอำนาจในวังหลังมากสุดก็คือฮองเฮา ลองใครกล้านินทาหม่อมฉันดูสิฮองเฮาต้องออกหน้าจัดการแทนแน่นอน”“แล้วการที่เข้ามาดูแลรักษาอาการของพระองค์มันผิดตรงไหนกัน ใครๆก็รู้ว่าหม่อมฉันเป็นหมอ”“ข้าไม่ได้ว่าอะไร กลัวก็เพียงว่าคนที่เจ้าชอบจะมองเจ้าไม่ดี”“หม่อมฉันไม่มีลูกตาให้มองใครแล้วนะเพคะ”“แล้วเจ้ามองใครอยู่หรือ”จ้าวซูหลินยิ้มเบาๆนางไม่ตอบคำถามนี้แต่กลับกำลังค้นหาขวดยาเพื่อนำมาให้ฮ่องเต้เสวยอีกครั้ง“เมื่อครู่ไม่ใช่ว่าข้ากินยาแล้วหรือ”“นั่นยาของหมอหลวง ส่วนนี่ของหม่อมฉัน”“ได้อย่างไรข้ากินแล้วนะ”“อย่าดื้อสิเพคะ หากท่านหายดีในเร็ววันหม่อมฉันจะพาพระองค์อบออกไปเที่ยวนอกวัง”“เที่ยวนอกวัง?”“ใช่แล้วเพคะ”“ไม่กี่วันข้างหน้าก็ถึงเทศกาลโคมไฟแล้วนะเพคะ หม่อมฉันอยากไปดูโคมไฟสวยๆ ฝ่าบาทก็ต้องไปกับหม่อมฉันด้วยนะเพคะ”จ้าวซูหลินยิ้มก่อนจะยื่นเม็ดยาที่นางสกัดออกมาเองใส่พระหัตถ์ของฝ่าบาทฮ่องเต้ถอนพระปัสสาสะเล็กน้อย‘เอาก็เอา อย่างน้อยถ้าหายดีก็จะได้พานางไปเที่ยวเล่
“ท่านน่าจะบอกข้าให้รู้เร็วกว่านี้”“ก็ฝ่าบาทไม่ยอมให้ข้าบอกท่านนี่นา เอาแต่ขู่ข้าว่าหากข้าปากโป้งไปบอกท่านจะตัดหัวข้าทิ้งเสีย ข้าเป็นองค์รักษ์ไม่กลัวตายหรอกนะแต่ข้าเพียงแค่กลัวว่าจะไม่มีใครอยู่คอยดูแลพระองค์ก็เท่านั้นเอง”‘ไม่กลัวตายเลยจริงจริ๊ง’“ใช่สินะ ใครจะไปรู้พระทัยฝ่าบาทเท่าท่านกัน”“แต่ก็อย่างที่ข้าตำหนิท่าน หากบอกข้าเร็วกว่านี้อาการของฝ่าบาทก็จะไม่ทรุดลงเร็วเช่นนี้”“แล้วแม่นางซูหลิน ฝ่าบาทจะทรงหายดีใช่หรือไม่”“ท่านรู้จักข้ามานานรู้ใช่หรือไม่ว่าข้าไม่พูดโกหก แม้บางครั้งจะจำเป็นต้องโกหกก็ตาม”“ข้ารู้”“ฝ่าบาทร่างกายอ่อนแอลงอย่างมากสุดก็ห้าปี”“ห้าปีงั้นหรือ”“พอจะจัดการอะไรๆ ได้ใช่หรือไม่”“ข้านึกว่าจะไม่นานเพียงนั้น”“ท่านกงอี้!”“ข้าพูดเรื่องจริงทั้งไทเฮาและฮองเฮาต่างก็วิตกเพราะรัชทายาทเองก็อายุได้เพียงสิบชันษายังไ
“สะ สนมซู ไม่ใช่ว่าเจ้าตายไปแล้วหรอกหรือ แล้วเหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่!”“ไทเฮา ฮองเฮา เรื่องนี้หม่อมฉันจะมาอธิบายทีหลังนะเพคะ ตอนนี้ให้หม่อมฉันตรวจอาการของฝ่าบาทก่อน”“เจ้ารักษาคนเป็นหรือ”“ฮองเฮาที่กระหม่อมพาพระสนมมาก็เพราะว่านางมีฝีมือทางการแพทย์พ่ะย่ะค่ะ เห็นสมควรให้นางลองรักษาฝ่าบาทไม่ดีกว่าหรือพ่ะย่ะค่ะ”ฝ่าบาทที่เดิมกำลังจะบรรทมต่อเพราะฤทธิ์ยาที่หมอหลวงให้กิน แต่ก็ต้องตื่นตกใจขึ้นมาทันทีที่ได้ยินว่าจ้าวซูหลินมาที่นี่‘มาได้อย่างไร?’ฮ่องเต้รีบทอดพระเนตรดูคนตรงหน้าทันที‘ชัดเลย จ้าวซูหลินจริงๆ! ต้องเป็นเจ้าบ้าหลี่กงอี้แน่ๆ อยากหัวหลุดจากบ่ามากหรืออย่างไรกัน’หลี่กงอี้ที่เหมือนจะรู้ตัวว่ามีสายตาอาฆาตจากฝ่าบาทมุ่งมาทางเขาก็รีบหลบไปที่หลังของจ้าวซูหลินทันที นางแปลกใจเล็กน้อยที่อยู่ๆหลี่กงอี้ก็มาหลบที่หลังของนางแต่เมื่อหันไปมองดูคนบนเตียงก็ต้องตกใจแทบสิ้นสติ!“ตะ…ใต้เท้า!”