บทที่ 19 ข่าวดี
“ทุกคนวันนี้กลับไปช่วยไปแจ้งแก่พวกผู้ใหญ่ทุกคนให้ข้าหน่อยจะได้หรือไม่” ในระหว่างที่ทุกคนกำลังจัดการจานชามหลังจากที่กินอาหารใกล้จะเสร็จแล้วนั้นเอง เย่หัวก็รีบวิ่งมาหาก่อนที่ทุกๆ คนจะลากลับบ้าน
ถึงมันจะไม่จำเป็นเพราะอย่างไรเด็กๆ จะต้องบอกลานางในทุกๆ วันก็เถอะ แต่อาจจะเพราะนางเผลอดีใจมากจนลืมไป
“มีอะไรหรือเจ้าคะ” จางหลังที่กำลังพยายามเล่นกับเจ้าสังที่นอนหมอบอยู่อย่างไม่ไหวติง ซึ่งอยู่ใกล้ที่สุดเป็นคนถามขึ้น
“เดี๋ยวเจ้าช่วยไปเรียกทุกคนมารวมตัวกันสักหน่อยได้หรือไม่ ทุกคนที่มาที่นี่เลยนะ รวมถึงเด็กๆ ด้วย ทุกๆ คนด้วยนะช่วยไปตามทั้งหมดมาที ข้ามีเรื่องจะฝากไปบอกหัวหน้าหมู่บ้านและทุกๆ คนในหมู่บ้านเลย”
“มากันครบแล้วเจ้าค่ะ”
เพียงแค่ไม่นานนัก ก็มีคนมารายล้อมเด็กหญิงเอาไว้จนขนาดที่หากมองจากข้างนอกก็แทบไม่เห็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ อยู่ตรงกลางแล้ว
“เอาหละทุกคนช่วยเงีบฟังข้าสักเดี๋ยวนะ” หลังจากที่ได้ยินคำกล่าวนั้นเสียงที่พูดคุยเล่นบ้าง สอบถามกันด้วยความสงสัยบ้าง หรือกำลังเอ่ยถึงอาหารการกินในวันนี้อย่างมีความสุขบ้าง ต่างก็เงียบเป็นเป้าสากในฉับพลัน เบ่หัวที่เห็นแบบนั้นก็อึ้งเล็กน้อย ก่อนที่จะกล่าวเรื่องสำคัญที่นางเพิ่งจะตัดสินใจไปไม่กี่อึดใจที่ผ่านมา “อย่างที่บางคนได้ยินไปแล้วก่อนหน้านี้ แต่ในเมื่อบางคนยังไม่ได้ยินถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวข้าจะพูดรวดเดียวเลยนะ”
“...”
“...”
“...”
เด็กๆ ทุกคนที่ได้แวะเวียนไปมาที่นี่อยู่หลายครั้งแล้ว ต่างก็ให้ความเคารพต่อเย่หัวเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะหลังจากที่มีข่าวลือกันในหมู่เด็กๆ ที่บอกเล่ากันว่าเย่หัวนั้นเป็นนางเซียนน้อยที่ลงมาจากสวรรค์ เพื่อช่วยเหลือเด็กๆ ที่กำลังตกทุกข์ได้ยากและไม่ทอดทิ้งความดีงามไป...
ทำให้หลังจากนั้นมาแม้แต่เด็กสามขวบที่ผู้ใหญ่อนุญาตให้ออกมาเล่นที่นี่ได้ ภายใต้การดูแลของพี่ๆ นั้น ก็ยังเชื่อฟังในสิ่งที่เย่หัวกล่าวอย่างไม่มีบิดพลิ้ว
“คืออย่างนี้นะ ในคราแรกข้าเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าสิ่งที่ข้านำมามันจะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วแบบนี้ แต่ถึงอย่างนั้นก่อนหน้านี้ข้าก็ยังไม่มั่นใจว่าสิ่งที่พวกเราเพิ่งจะช่วยกันปลูกมันจะติดหัวไหม...
แต่เมื่อกี้นี้ข้าได้ไปดูที่แปลงมันทั้งสองชนิดมา ปรากฏว่ามันฝั่งที่พวกเราเพิ่งจะ “พูนดิน” ไปในตอนบ่ายตอนนี้มันเริ่มออกดอกตูมเล็กๆ แล้ว ส่วนมันหวานเองก็เริ่มลงหัวเล็กๆ บ้างแล้วด้วย ซึ่งถ้าหากข้าจำไม่ผิดแล้วล่ะก็อรกไม่เกินสองวันอย่างช้าที่สุดผลผลิตที่พวกเราลงมือลงแรกทำกันไปในก่อนหน้านี้มันก็จะประสบผลสำเร็จ!”
เด็กๆ ที่อายุยังน้อยอาจจะไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เย่หัวกล่าวนั้นคืออะไร แต่สำหรับเด็กที่พอจะรู้สึกรู้สาขึ้นมาหน่อยแล้ว ทุกคนล้วนแล้วแต่เบิกต้ากว้างขึ้น ในใจแล้วพวกเขาอยากที่จะโห่ร้องตะโกนออกมาใจจะขาด แต่ติดที่ยังคงเชื่อฟังคำของเย่หัว โดยเฉพาะเด็กที่อายุสิบสองปีขึ้นไป ที่ถึงแม้จะยังเป็นเด็กอยู่กึ่งหนึ่ง แต่พวกเขาก็เข้าใจหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างมากขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน
ซึ่งความหมายทั้งหมดเท่ากับว่านับตากนี้ไปพวกเขาก็จะไม่อดอยากอีกต่อไป แม้วันหนึ่งท่านเทพธิดาของพวกเขาจะกลับขึ้นสู่สรวงสวรรค์ก็ตาม...
“...” มองเด็กๆ ที่บางส่วนกำลังงุนงง บางส่วนกำลังยิ้มกว้างออกมา และบางส่วนที่กำลังพยายามข่มกลั้นความดีใจเอาไว้ โดยเฉพาะมีเด็กผู้หญิงที่โตจนอายุสิบแปดสิบเก้าบางคนถึงขึ้นหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความดีใจ ที่พวกเขาจะได้ไม่ต้องอดอยากอีกต่อไป
เด็ก...
ใช่แล้วนางไม่ได้กล่าวผิดไปเลยแม้แต่น้อย สำหรับโลกใบนี้ที่อายุขัยของมนุษย์ยืนยาวโดยเฉลี่ยที่สองร้อยปีแล้วนั้น หากยังไม่เติบโตไปถึงอายุยี่สิบปีก็ยังไม่ถือว่าก้าวพ้นวัยเด็กแต่อย่างใด แล้วหากยังอายุเพียงแค่ไม่ถึงสามสิบก็ยังถือว่าเป็นแค่วัยรุ่นเท่านั้น!
ซึ่งโดยปกติแล้วสำหรับโลกใบนี้โดยเฉลี่ยแล้วผู้คนจะเริ่มแต่งงานมีครอบครัวที่ช่วงอายุยี่สิบปีขึ้นไป น้อยมากที่จะมีก่อนอายุยี่สิบปี
และด้วยช่วงอายุขัยที่ยาวนานและยังเป็นโลกที่ “สะอาด” ในระดับหนึ่ง ทำให้ผู้คนยังสามารถอาศัยอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกัน แม้ว่าภายในครอบครัวนั้นจะมีห้าชั่วรุ่นแล้วก็ตาม จะมีก็เพียงแค่บางส่วนเท่านั้นที่แต่งออกไปจากบ้านหรืออยากที่จะท้าทายตนเองแล้วสร้างบ้านใหม่หรือย้ายถิ่นฐานไป...
“ถ้าอย่างนั้นข้าขอบอกเรื่องสำคัญเลยก็แล้วกัน ในเมื่อสิ่งที่พวกเราทำมันประสบผลสำเร็จ ข้าอยากให้คืนนี้ทุกคนกลับไปบอกพ่อแม่ผู้ปกครองที่บ้าน ให้ช่วยกันกระจายข่าวที ว่าถ้าเป็นไปได้แล้ว ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปข้าอยากให้ทุกคนมาช่วยกันปลูกมันหวานกับมันฝรั่งกัน
แน่นอว่าสำหรับผู้หญิง เด็ก และคนชราเองก็สามารถมาช่วยกันทำอาหารเลี้ยงทุกคนในหมู่บ้านและให้กำลังใจกันและกันในระหว่างวันได้ ข้าจะรับผิดชอบเรื่องวัตถุดิบในการทำอาหารเลี้ยงทุกคนและหัวพันของมันทั้งสองชนิดเอง ขอแค่ทุกคนมาช่วยกันถางป่าปรับพื้นดินเพื่อยกร่องปลูกมัน
แล้วหลังจากนี้ไปอีกแค่ไม่กี่วันข้าสัญญาว่าทุกคนจะมีหัวมันทั้งสองชนิดเอาไว้กินในตลอดหน้าหนาวที่กำลังจะมาถึงนี้อย่างแน่นอน”
.................................
บทที่ 84 แปดเซียนสองเทวะหนึ่งอรหันต์(1)จากแสงของดวงตะวันที่เริ่มอ่อนแรงลงในยามโพล้เพล้ เปลี่ยนเป็นแสงสว่างที่สาดกระทบลงมาทั่วหุบเขาในเสี้ยวพริบตา ทำให้ชาวบ้านทุกคนตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น จนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไปโดยเฉพาะความรู้สึกเคารพ นอบน้อม และหวั่นเกรงต่อแสงสว่างเหล่านั้น แม้ว่าพวกเขาทุกคนจะไม่สามารถมองเห็นต้นเหตุของแสงสว่างเหล่านั้นได้ แต่ว่าความรู้สึกของพวกเขาทุกคน แทบจะไม่แตกต่างกันเลยและในเวลาเดียวกัน สายตาของทุกคนก็หันมองไปทางนางเซียนน้อยของพวกเขา ผู้ซึ่งนำพาแสงสว่างอันศักดิ์สิทธิ์สงบร่มเย็นมายังหุบเขาแห่งนี้ ที่ตอนนี้แม้แต่ตัวนางเองก็ยังมองไปยังฟากฟ้าไม่แตกต่างจากทุกคน...ส่วนที่แตกต่างกันนั้นก็คงจะเป็นภาพ ที่ปรากฏอยู่ในดวงตาของเยว่หัวนั้น มันเป็นกลุ่มก้อนรูปร่างคล้ายคลึงกับมนุษย์โปร่งใส แต่มีขนาดและสีสันต์ที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่ตัวเล็กๆ กว่าปลายเข็ม ไปจนกระทั่งตัวโตจนสูงกว่ายอดเขาที่สูงที่สุดด้วยซ้ำ...“ไม่อยากจะเชื่อ ตกลงว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่...”เยว่หัวมองไปยังภาพที่ปรากฏตรงหน้าของนาง ด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้คิดไปไกลเกินกว่านั้น
บทนำเล่มสาม ดินแดนแห่งชีวิต...หุบเขาธิดาสวรรค์อีกไม่นานหลังจากนี้...ดินแดนแห่งนี้จะเป็นที่กล่าวถึงของผู้คนมากมายดินแดนแห่งนี้ที่เคยเป็นดินแดนแห่งความตายดินแดนแห่งนี้ที่ผู้คนเคยหลีกหนีดินแดนแห่งนี้ที่เคยถูกทอดทิ้งโดยผู้คนมากมายดินแดนแห่งนี้ ที่แทบจะไม่เหลือใครในอีกไม่กี่ปีต่อมา ถ้าหากไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆดินแดนแห่งนี้ ที่ผู้คนภายนอกส่วนใหญ่ต่างมองว่า มันคือดินแดนที่ตายไปแล้วดินแดนแห่งนี้คือหุบเขาที่มีเพียงแค่ความแห้งแล้ง ที่มีเพียงแค่ซากแห่งชีวิต ที่ค่อยๆ แห้งเหือดลงไปในทุกทุกขณะมันคือดินแดนแห่งความสิ้นหวัง ที่ไม่มีใครอยากจะไปเข้าใกล้มัน เพราะไม่ว่าจะเป็นพื้นดินที่แห้งแล้ง ไม่ว่าจะเป็นหุบเขาที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูร แล้วยังมีความลับต่างๆมากมาย ที่เคยพรากชีวิตผู้คนไปนับไม่ถ้วนในตลอดระยะเวลา 10 ปี จนทำให้ภูเขาแห่งนี้ เป็นที่ที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกไปโดยสมบูรณ์ เพราะว่าแม้แต่คนภายในเองก็ยังพยายามที่จะหลีกหนี พวกเขาพยายามที่จะกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดออกมาจากดินแทนแห่งนั้น…แต่อยู่มาวันหนึ่ง...ดินแดนที่เคยไร้ซึ่งชีวิตและความหวัง ก็ได้เกิดปรากฏการณ์สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน จนผู้คนที่พบ
บทที่ 82 บทพิเศษ “เราไม่ลงนะรกแล้วผู้ใดจักลงนรก” (2)“…!!”ในทันทีที่ชาได้สติขึ้นมา มองไปยังใบหน้าของพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้น ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างออก ปากอ้าหุบอ้าหุบพะงาบพะงาบราวกับต้องการจะพูดบางสิ่งบางอย่างออกไป แต่เขารู้ดีว่าความหวังของเขามันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ต่อให้ใบหน้านั้นจักคุ้นเคยและคล้ายคลึงกับคนที่เขาเฝ้าตามหามาช่วยชีวิตสักแค่ไหน แต่มันก็เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาดที่ใครสักคนหนึ่งจะมีใบหน้าเหมือนอีกคน ขนาดนี้จะเป็นคนคนเดียวกัน...‘บางทีอาจเป็นข้าเองที่จำผิด...’เขาพยายามปลอบใจตัวเอง แล้วดึงสติกลับมาในเหตุการณ์ปัจจุบันอีกครั้ง สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น และเขาจะช้าไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว…“พระคุณเจ้าขอรับ...”“เรารู้ว่าเจ้ามหาเราทำไม พูดออกมาเถิดเพราะว่าเจ้าคงจะรู้ดีอยู่แล้วว่าเรานั้นสามารถทำอะไรได้หรือไม่ได้”สิ่งที่พระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้นกล่าวออกมานั้นไม่ผิดเลย สำหรับคนที่เคยเข้าเฝ้าพระปัจเจกพุทธเจ้าและพระพุทธเจ้ามาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน สำหรับเขาที่มีชีวิตอยู่มานานมากขนาดนั้น มีหรือที่เขาจะไม่รู้ในข้อนี้เพราะว่าสำหรับพระที่บรรลุอรหันต์แล้ว
บทที่ 81 บทพิเศษ “เราไม่ลงนะรกแล้วผู้ใดจักลงนรก” (1)#บทนี้เป็น บท ย่อยแยกอีกบทหนึ่งนะครับ#ย้อนกลับไปในตอนก่อนที่เขาจะมอบระฆังธรรมให้กับเพื่อน ในขณะนั้นชาได้สังเกตเห็น ถึงความตั้งใจที่จะสั่งสอนธรรมะของเพื่อน แต่ด้วยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การที่นางไม่สามารถจดจำข้อธรรมใดๆ ได้มากนักก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไรเนื่องจากว่าการที่เขาได้ทำการล้วงเอาจิตของนางขึ้นมาจากนรกนั้น มันเป็นเรื่องที่ทำการฝืนชะตากรรมของคนคนหนึ่ง และการที่เขา เรียกดวงจิตเดิมของนางที่ควรจะแตกดับไปนานแล้ว ตลอดไปจนถึง สัญญาสังขารและวิญญาณแต่เดิมของนาง ในภพแรกที่พวกเขาทั้ง 2 คนได้เจอกันโดยวิธีการเปิดพระธรรมคำสั่งสอนจากระฆังธรรม ให้ดวงจิตที่แตกสลายของนางได้ฟังซ้ำไปซ้ำมาครั้งแล้วครั้งเล่า ยาวนานนับหมื่นปีกว่าที่ดวงจิตของนางจะสามารถเรียกสติกลับคืนมาได้อีกครั้ง ซึ่งมันก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เหล่าสัตว์นรกบางส่วนที่พอมีฤทธิ์สามารถแทรกออกมายังบนโลกอีกครั้ง...และนั่นก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมจู่ๆ นางถึงเหมือนกับว่า สามารถอธิบายข้อธรรมคำสั่งสอนทั้งหลาย ออกมาได้ราวกับเคยศึกษามันมาอย่างถ่องแท้ ทั้งๆ ที่ตัวนางแทบจะไม่เคยศึกษาเรื่องราวในแน
ก่อนอื่นเลยที่สำคัญที่สุดต้องขอบคุณมากๆ เลยนะครับ ที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้(น่าจะเหลือไม่ถึง1/10ของคนที่หลงเข้ามาที่จะเดินมาจนถึงจุดนี้) ดีใจที่เดินทางมาด้วยกันจนถึงจุถดเริ่มต้นที่แท้จริงของนิยายเรื่องนี้ครับใช่แล้วครับ…ตั้งแต่บทนำมาจนถึงตอนนี้เพิ่งจะเป็นส่วนที่ปูจุดเริ่มต้นของ เย่หัว-เยว่หัว ให้ทุกคนได้รู้จักตัวตนและสภาพแวดล้อมของนาง โลกที่นางอยู่ ผู้คน สังคม รายละเอียดที่จะทำให้เข้าใจเนื้อหาหลัก และเหตุผลของการกระทำต่างๆ ที่นางจะทำต่อจากนี้ไป จนบางครั้งอาจจะเป็นการกระทำที่ “โหดเหี้ยม” แบบไร้เหตุผลเลยก็มี เล่ม1-2จะเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวในส่วนของ “บทนำ” แต่หลังจากเล่ม 3 เป็นต้นไปก็จะเข้าสู่ปฐมบทที่แท้จริง ตามชื่อบทของบทนี้ครับ เราจะคุยกันแบบจริงจังกับเนื้อเรื่องที่แท้จริงกันครับ อย่างแรกเลยก็คือหลังจากนี้จะต้อนรับเข้าสู่โลกแห่งความแฟนตาซีที่แท้จริง ของแม่ครัวตัวจิ๋วที่รักในการทำอาหารให้ผู้คนได้ลิ้มรส เป็นหนึ่งในความสุขของนาง และเป็นสิ่งสำคัญที่จะคอยยึดเหนี่ยวตัวนางเอาไว้ ส่วนยึดนางจากอะไรนั้นต้องไปติดตามในเนื้อเรื่องครับอย่างที่สองก็คือเรื่องของความแฟนตาซีและโลกในจินตนาการที
บทที่ 80 เลี้ยงส่ง(จบ)หลังจากที่เยว่หัวสามารถเรียกสติของผู้คนกลับมาได้อีกครั้ง ตลอดช่วงเช้าไปจนถึงเที่ยง นางก็ทำการจัดแจงแบ่งกลุ่มคนออกเป็นกลุ่มๆ โดยที่ไม่ลืมนำวัตถุดิบจำนวนมากออกมา แล้วจัดแจ้งเตรียมการฝึกซ้อมทั้งหมด กว่าที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางก็ปาเข้าไปจนถึงช่วงเที่ยงแล้วซึ่งในระหว่างที่ทำการฝึกซ้อมปรุงอาหารชนิดต่างๆ นั่นเอง เหล่าแม่บ้านและเด็กๆทุกคนต่างก็ได้ลองชิมอาหารกันอย่างเต็มอิ่ม และเมื่อเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว ทุกคนเลยหยุดพักกันในตอนเที่ยงพอดิบพอดี และถือเป็นการพักท้องอีกครั้ง เนื่องจากในตอนนี้ทุกคนแทบจะท้องแตกเสียแล้วส่วนฝั่งของจางหลงที่เป็นฝ่ายจัดเตรียมสถานที่ ซึ่งพวกเขาทุกคนก็ทำเต็มที่ในหน้าที่ของตนเอง แต่ด้วยข้อจำกัดของหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง โดยเฉพาะเวลาที่มีอยู่เพียงแค่ไม่กี่ชั่วยามเท่านั้น พวกเขาจึงตกลงกันใหม่ว่า จะจัดเป็นโต๊ะไม้ยาวๆ ขนาด 6 ถึง 8ที่ แทนที่แผนการจะทำโต๊ะชุดวงกลม และโต๊ะทั้งหมดจะหันหน้าเข้าหาเวที ด้านเดียว ส่วนตัวเวทีเองก็จะสร้างขึ้นมา โดยการขุดดินมาถมเป็นเนินสูงขึ้นประมาณหัวเข่า ใช้ดินเหนียวในการป้ายโดยรอบเพื่อไม่ให้หน้าดินพัง