บนที่นอนเก่า ๆ มีร่างของเด็กสาวอายุสิบสองหนาวที่นอนป่วยติดต่อกันมาห้าวันแล้วกำลังขยับตัว ร่างผอมบางแทบจะปลิวหากถูกลมแรง ๆ พัดมา จนลืมตาขึ้นมาได้ก็รู้สึกปวดเมื่อยตามตัวไปหมด เมื่อปรับสายตาได้จึงมองสำรวจรอบ ๆ ก็แปลกใจว่าเธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง เข็มขาวจำได้ว่าเธอถูกรถชนอย่างแรง และตายไปแล้วแต่ตอนนี้ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้ แถมยังใส่ชุดเหมือนคนจีนโบราณ
เมื่อนั่งทบทวนเรื่องราวอยู่จู่ ๆ ก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างแรงและมีความทรงจำของร่างนี้ มันกำลังหลั่งไหลเข้ามาในหัวของเธอจนต้องนอนนิ่ง ๆ อยู่เกือบหนึ่งเค่อ อาการปวดหัวเหล่านั้นจึงเริ่มดีขึ้น เธอเรียบเรียงความทรงจำของร่างนี้ ก็พบว่าร่างที่เธอเข้ามาอยู่นั้นมีชื่อว่าสวีลู่ชิงอายุสิบสองหนาว ท่านพ่อของนางถูกท่านปู่แท้ ๆ ไล่ออกจากตระกูล เพราะมีคนสร้างหลักฐานเท็จใส่ร้ายว่า ท่านพ่อทำบัญชีปลอมเพื่อโกงเงินร้านค้าผ้า
เมื่อมีหลักฐานชี้ชัดก็ไม่อาจก้ตัวอะไรได้ ท่านพ่อจึงพาทุกคนเดินทางมาบ้านเดิมของท่านย่าที่หมู่บ้านอันผิง ยามออกจากจวนพวกเขาไม่อาจหยิบของมีค่าติดตัวมาได้ โชคดีที่ท่านแม่แอบนำตั๋วเงิน มาเย็บไว้ในเสื้อผ้าของลู่ชิงจึงพอมีเงินจ่ายค่าเดินทาง จากพ่อค้าต้องขึ้นเขาล่าสัตว์ทำสวนปลูกผัก ท่านแม่ก็รับผ้ามาปักหารายได้ช่วยครอบครัวอีกแรง
ด้วยตอนนี้เป็นฤดูหนาวที่มีหิมะตกหนัก สวีลู่ชิงที่ร่างกายขาดสารอาหาร และช่วยงานของครอบครัวเกิดล้มป่วยไข้ขึ้นสูง
เงินเก็บในบ้านก็มีไม่พอที่จะไปตามหมอมารักษา ท่านพ่อจึงหาสมุนไพรมาต้มให้ดื่มแก้ขัด เพื่อบรรเทาอาการเท่านั้น แต่ร่างกายนี้ทนพิษไข้ไม่ไหวจึงจากไปในที่สุด และเป็นวิญญาณของเธอที่เข้ามาอยู่ในร่างนี้แทน แม้จะไม่รู้ว่าทำไมถึงมาอยู่ในร่างนี้ได้ แต่ก็อยากขอบคุณเจ้าของร่างอยู่ดีที่ทำให้เธอได้มีโอกาสได้ใช้ชีวิตในโลกใหม่นี้อีกครั้ง
“สวีลู่ชิง ขอให้เจ้าไปสู่ภพภูมิที่ดีเถิด อย่าได้เป็นห่วงครอบครัวของเจ้า จากนี้ต่อไปข้าจะช่วยดูแลพวกเขาแทนเจ้าเอง” เข็มขาวพูดจบก็รู้สึกถึงสายลมวูบหนึ่งพัดผ่านตัวเธอไป ขณะที่กำลังจะลงจากเตียงก็มีเสียงเอ่ยเรียกขึ้นมาเสียก่อน
“นะ นะ น้องเล็กเจ้าฟื้นแล้ว ดีจริง ๆ ทุกคนเป็นห่วงเจ้ามากนะ ท่านแม่เองก็แอบร้องไห้อยู่บ่อย ๆ เพราะกลัวว่าเจ้าจะไม่ยอมตื่น” คนที่พูดกับข้าคือพี่ชายคนรองสวีลู่เสียน ด้วยความเป็นห่วงน้องสาว เขาจึงแวะเวียนมาดูอาการก่อนจะไปช่วยบิดากวาดหิมะ
“ข้าฟื้นแล้วเจ้าค่ะพี่รอง รบกวนท่านหาน้ำมาให้ข้าสักหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ ข้ารู้สึกกระหายน้ำมากเลยเจ้าค่ะตอนนี้” ด้วยร่างกายที่ผอมบางและเพิ่งฟื้น ทำให้ไม่ค่อยมีแรงมากนัก ทำอะไรก็ดูจะชักช้าไปหมด จนรู้สึกขัดใจตนเองอยู่ลึก ๆ ที่สำคัญยังเป็นร่างของเด็กหญิงอายุสิบสองหนาวอีกนี่สิ
“ได้สิ ๆ เจ้ารอพี่รองสักประเดี๋ยว พี่รองจะไปเอาน้ำมาให้เจ้านะ และจะไปตามท่านพ่อท่านแม่และพี่ใหญ่ด้วย พวกเขาต้องดีใจมากแน่ ๆ ที่เห็นเจ้าฟื้นขึ้นมาเช่นนี้” ลู่เสียนบอกน้องสาวเสร็จ ก็รีบวิ่งออกจากห้องไปตามทุกคน โดยไม่ลืมเอาน้ำต้มสุกอุ่น ๆ กลับมาให้สวีลู่ชิงได้ดื่ม
“ได้รับโอกาสมีชีวิตใหม่อีกครั้ง และมีครอบครัวที่รักกันแบบนี้ก็ดีไม่น้อยเลย” เข็มขาวขอบคุณสิ่งศักดิสิทธิ์ หรือท่านเทพทั้งหลายที่เมตตาให้โอกาสเธอได้ใช้ชีวิตใหม่อีกครั้ง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามที่ทำให้วิญญาณของเธอ ได้มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ แม้ในอนาคตจะเจอกับอุปสรรค เธอก็จะพยายามฝ่าฟันและไม่ยอมแพ้อย่างแน่นอน
จากนี้ไปเธอไม่ใช่เข็มขาวอีกแล้ว แต่เธอคือสวีลู่ชิงบุตรสาวคนเล็กของตระกูลสวี อย่างแรกคงต้องรักษาตัวเองให้แข็งแรงก่อนถึงจะคิดเรื่องอื่น ๆ ได้ ไม่งั้นคงจะได้ตายรอบสองแน่ ถ้ายังมีร่างกายผ่ายผอมขาดสารอาหารเช่นนี้
“ชิงเอ๋อร์!! เจ้าฟื้นจริง ๆ ด้วย พี่รองของเจ้าไม่ได้โกหกแม่ดีใจเหลือเกินที่เจ้าฟื้นเสียที เจ้าหิวหรือไม่เจ้านอนหลับไม่ได้สติไปหลายวัน จนแม่กลัวว่าเจ้าจะไม่ยอมตื่นขึ้นมาเสียแล้ว เจ้าคุยกับท่านพ่อและพี่ชายของเจ้าไปก่อนนะ ประเดี๋ยวแม่จะไปต้มโจ๊กมาให้เจ้ากินรองท้อง เจ้าเพิ่งจะฟื้นต้องกินอาหารอ่อน ๆ ไปก่อน” ท่านแม่มาเร็วเคลมเร็วไปหรือไม่เจ้าคะ ท่านแม่เข้ามาก็พูดขึ้นรัว ๆ และรีบออกไปที่ห้องครัวทันทีหลังพูดจบ ไม่เปิดโอกาสให้ข้าได้ตอบเลย
“ชิงเอ๋อร์ของพ่อรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง ยังปวดหัวอยู่หรือไม่” ท่านพ่อถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนและเป็นห่วงนางยิ่งนัก
“ท่านพ่ออย่าได้กังวล ชิงเอ๋อร์ดีขึ้นแล้วเจ้าค่ะ อาจจะมีอ่อนเพลียอยู่บ้าง แต่นอนพักสักสองสามวัน ก็ลุกออกไปช่วยงานท่านพ่อได้แล้วเจ้าค่ะ” ลู่ชิงตอบกลับบิดาเพื่อให้เขาคลายกังวล เพราะท่าทีของท่านพ่อเหมือนคนรู้สึกผิด
“เจ้าต้องพักผ่อนให้มากหน่อย รอให้หายดีจริง ๆ ก่อน ค่อยคุยเรื่องทำงานเข้าใจหรือไม่” เขาเห็นบุตรสาวยิ้มได้ก็สบายใจขึ้น แม้นางจะยังดูซีดเซียวอ่อนแรงอยู่บ้างก็ตาม
“น้องเล็กเจ้าต้องพักผ่อนอย่างที่ท่านพ่อบอกให้ดี อยากได้อะไรเจ้าก็บอกพี่ใหญ่มาได้เลย เดี๋ยวพี่ใหญ่จะช่วยทำให้เจ้าเอง”
ลู่ชิงหันไปมองพี่ชายคนโตที่กำลังเข้าสู่วัยหนุ่มแล้ว ปีนี้พี่ใหญ่อายุสิบห้าหนาว เขาหน้าตาคล้ายท่านพ่อถึงเจ็ดส่วน ด้านพี่รองนั้นเพิ่งอายุครบสิบสามหนาวเมื่อเดือนก่อน ก็มีหน้าตาคล้ายท่านพ่อสี่ส่วน รูปร่างไม่ได้สูงใหญ่เหมือนท่านพ่อ แต่กลับสูงโปร่งคล้ายบัณฑิตมากกว่า ที่สำคัญยังมีใบหน้าที่อ่อนหวานเยี่ยงสตรีมากกว่าบุรุษ ส่วนข้านั้นคล้ายท่านแม่ถึงแปดส่วนเลยทีเดียว ท่านแม่มีใบหน้าที่งดงามไม่น้อยแม้จะไม่ถึงกับงามล่มเมืองแต่กลับน่ามอง ท่านแม่มาจากครอบครัวบัณฑิตท่านตาเป็นซิ่วฉายสอนอยู่สำนักศึกษาที่เมืองเฉียนเหอ
ท่านพ่อมักจะไปติดต่อค้าขายที่เมืองนี้บ่อย ๆ จึงได้เจอกับท่านแม่ เวลาที่ท่านพ่อมาทำการค้าที่เมืองนี้ ก็ได้พูดคุยกันจนเกิดเป็นความรัก ท่านพ่อจึงให้แม่สื่อมาเจรจาสู่ขอ เมื่อแต่งงานแล้วท่านแม่ก็ต้องไปอยู่เมืองหลวงกับท่านพ่อ จะกลับไปเยี่ยมท่านตากับท่านยายนาน ๆ ครั้ง
จนกระทั่งสองปีต่อมา ที่เมืองเฉียนเหอเกิดโรคระบาด ท่านตาท่านยายต่างก็ติดโรคระบาดนี้จนเสียชีวิตทั้งคู่ ขณะที่ลู่ชิงกำลังนึกถึงอดีตของครอบครัว ท่านแม่ก็ถือชามโจ๊กร้อน ๆ เข้ามาหานางพอดี
“ชิงเอ๋อร์มากินโจ๊กรองท้องก่อนนะลูก จะได้ดื่มยาต่อเจ้าจะได้หายไว ๆ” ท่านแม่เดินเข้ามานั่งลงที่ข้างเตียง พร้อมกับเป่าไล่ความร้อนของโจ๊กให้นาง
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านแม่” ลู่ชิงรู้สึกอบอุ่นในหัวใจเหลือเกินจึงได้เอ่ยขอบคุณท่านแม่ด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
“แม่ยินดีทำให้ชิงเอ๋อร์ มากินโจ๊กเถอะเดี๋ยวแม่จะป้อนให้เจ้าเอง” ตอนนี้ฟางซินนางมีความสุขมาก ที่บุตรสาวฟื้นจากอาการป่วยในครั้งนี้ จึงนั่งป้อนโจ๊กให้บุตรสาวด้วยรอยยิ้ม
ลู่ชิงมองดูถ้วยโจ๊กที่ท่านแม่ทำมาให้ แม้ว่ามันจะมีน้ำมากกว่าเม็ดข้าว แต่กลับรู้สึกว่าในถ้วยใบนี้มันเต็มไปด้วยความรัก ลู่ชิงจึงอ้าปากให้ท่านแม่ป้อนและมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ท่านแม่ข้าอิ่มแล้วเจ้าค่ะกินอีกไม่ไหวแล้ว” ลู่ชิงกินโจ๊กไปได้ไม่กี่คำก็รู้สึกอิ่ม เพราะนอนป่วยมาหลายวันทำให้กินได้ไม่มากนัก
“ถ้าเช่นนั้นก็ดื่มยาแล้วนั่งพักสักครู่ ค่อยนอนพักผ่อนนะลูก” ท่านแม่วางถ้วยโจ๊กแล้วหยิบถ้วยยาสีดำปี๋ แถมกลิ่นก็ไม่น่าพิสมัยเอาเสียเลยยื่นมาให้ลู่ชิง
“ท่านแม่เจ้าคะ ไม่ดื่มได้หรือไม่ดูแล้วมันคงจะขมมากนะเจ้าคะ” แค่เห็นสีของยาลู่ชิงก็ไม่อยากจะดื่มมันขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“ยาก็ต้องมีรสขมเป็นธรรมดา เจ้ากลั้นใจดื่มสักหน่อยเถิดนะ” นางพยายามพูดปลอบใจบุตรสาวที่ไม่อยากดื่มยารสขม
“ก็ได้เจ้าค่ะท่านแม่” ลู่ชิงรับถ้วยยามาถือไว้และกลั้นหายใจดื่มมันลงไปทีเดียว อื้อหือขมมากแม่ ล้วงคอเอาออกมายังทันไหมนะ
“เอาล่ะอีกสักพักเจ้าค่อยนอนพักผ่อน มีอะไรก็เรียกแม่ได้แม่จะนั่งปักผ้าอยู่ตรงหน้าบ้านนะ” ฟางซินเห็นสีหน้าบุตรของสาวหลังดื่มยา ก็อดที่จะขำไม่ได้ นางกำชับบุตรสาวเล็กน้อย ก่อนจะเดินออกจากห้องไป
หลังจากที่ลู่ชิงดื่มยาถ้วยนั้นแล้ว นั่งอยู่สักครู่ก็เริ่มจะง่วงขึ้นมาอีกครั้ง จึงค่อย ๆ เอนตัวลงนอน ด้วยร่างกายที่ยังอ่อนเพลียจากพิษไข้อยู่ ลู่ชิงจึงหลับไปอย่างง่ายดาย โดยไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังมีเรื่องอัศจรรย์เกิดขึ้นกับตนเอง
ความคิดเห็น