หนิงหนิง ไม่รู้ว่าเธอถูกพาตัวมาส่งที่โรงพยาบาลตอนไหน คงเป็นอาเยว่ที่พาเธอมา เพราะตอนนี้เธอเริ่มจะรู้สึกตัวแล้ว
“จะ เจ็บ” เธอพึมพำออกมาเบาๆ เสียงที่แหบเสียจนแทบจะไม่มีเสียงออกมาจากลำคอของเธอ
ตอนนี้เธออยากจะขอความช่วยเหลือจากใครสักคน เพราะเธอหิวน้ำ มือของหว่านหนิงเอื้อมคลำไปด้านข้างอย่างสะเปะสะปะ เพื่อหาปุ่มกดเรียกพยาบาล
หรือหากมีคนเฝ้าอยู่ภายในห้อง ย่อมต้องเห็นว่าเธอตอนนี้รู้สึกตัวแล้ว แต่ก็ไม่มีเสียงใดเกิดขึ้น ดวงตาที่ยังไม่อาจลืมได้เต็มที่ ก็ทำให้ไม่สะดวกที่จะทำสิ่งใด
หว่านหนิงค่อยๆ หยันตัวขึ้นเพื่อพิงหัวเตียง “อ๊ะ” มือทั้งสองข้างของเธอไม่ได้หัก ขาก็ไม่ได้หัก เพียงแค่ปวดเมื่อยตามเนื้อตัวไปหมดเท่านั้น
สิ่งนี่ทำให้เธออดที่จะแปลกใจไม่ได้ แรงชนของรถที่เธอถูกชน เป็นไปไม่ได้หากจะไม่มีส่วนใดที่แตกหัก ถ้าจะบอกว่าเธอสมควรตายทันทีเลยก็ดูจะไม่เกินจริงนัก
“ฟื้นแล้วรึ” เสียงบุรุษหยานคาง เหมือนจะดื่มมาไม่น้อย ถามเธอขึ้นมา มือที่คว้านหาปุ่มกดกับโทรศัพท์ของหว่านหนิงหยุดชะงักทันที
“หือ” เพียงแค่เขาเดินเข้ามาใกล้เธอก็ต้องย่นจมูกทันที เพราะกลิ่นของแอลกอฮอล์ที่ออกมาจากตัวของเขาดูเหมือนจะไม่ใช่น้อยๆ เลย
“คุณเป็นคนที่ชนฉันใช่ไหม ดื่มมามากขนาดนี้ ทำไมถึงไม่ถูกตำรวจจับห๊ะ” นางตำหนิออกมาอย่างไม่พอใจ แม้แต่ตาที่ยังลืมไม่ขึ้นเธอก็เชื่อว่าเธอต้องหันไปทางทิศที่เขายืนอยู่ถูกอย่างแน่นอน ก็กลิ่นเหล้าหึ่งแบบนี้
“เจ้าพูดบ้าอันใด” เสียงเย็นชาที่ดูจะไม่พอใจนางเอ่ยตำหนิเสียงดัง
“คุณพูดอะไร พูดเหมือนกับคนโบราณ ฉันไม่ตลกด้วยนะ ไปเรียกพยาบาลมาให้ฉันก่อน ฉันหิวน้ำ จะเข้าห้องน้ำด้วย” หว่านหนิงขยี้ตาของเธอ เพื่อให้มันลืมได้เสียที
หากต้องรอให้ตาบ้านี่ไปตามพยาบาลมาช่วยเธอ วันนี้เธอก็คงไม่ได้ดื่มน้ำ หรือเข้าห้องน้ำแน่
ภาพตรงหน้าของหว่านหนิงค่อยๆ ปรากฏให้เห็นเลือนราง ก่อนจะชัดเจนขึ้นช้าๆ
พอดวงตาของเธอปรับให้สู้แสงแดดที่ส่องเข้ามาได้แล้ว ภาพตรงหน้าก็ทำให้หว่านหนิงตกตะลึงนิ่งงันไปทันที
ทั้งสองมองจ้องกันไปมาอย่างไม่ลดละ กว่าที่หว่านหนิงจะรู้สึกตัว บุรุษตรงหน้าก็เดินเข้ามาจับหน้าผากเธอเสียแล้ว
“เฮ้ยย” เธอร้องอย่างตกใจ ทั้งถอยหลังไปจนชิดผนังที่อยู่ด้านใน
“เจ้าเป็นบ้าอันใดขึ้นมาอีกเล่า” เขามองหว่านหลินอย่างสงสัย
“คุณนั่นแหละเป็นใคร แล้วเข้ามาได้ไง ฉะ ฉัน ฉัน...” เธอมองสำรวจห้องที่เธออยู่ไปด้วย “ที่ไหนวะเนี่ย” เธอกรีดร้องออกมาอย่างเสียขวัญ พร้อมทั้งดึงทึ้งผมของตนเองไปด้วย
ห้องเก่าๆ ที่ผนังดำเหมือนขึ้นรา เตียงไม้ที่ทำขึ้นมาจากไม้ไผ่ดูไม่แข็งแรง ทั้งยังหมอนหนุนที่คงจะใช้ไม้ทั้งท่อนทำขึ้นมา ไหนจะผ้าห่มที่เหม็นอับจนอยากจะสะบัดทิ้งเสียตอนนี้
คนตรงหน้าก็แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าย้อนยุค เก่าเสียจนคิดว่าห่อด้วยผ้าเช็ดพื้นไว้ ไหนจะหนวดเคราที่รกรุงรังไม่ได้โกนออกให้เรียบร้อยจนดูไม่ออกว่าเขามีอายุเท่าไหร่
“พูดอันใดของเจ้า ข้าฟังไม่รู้เรื่อง หรือว่าตกเขาจนความจำเสื่อมไปเสียแล้ว” เขายิ้มเยาะมองสตรีตรงหน้า
หากนางไม่คิดจะหนีออกจากหมู่บ้าน นางจะตกเขาได้อย่างไร คงนึกเสียใจที่แต่งให้เขาจนอยากจะหนีกลับไปที่เมืองหลวง
“ตกเขา ฉันถูกรถชนไม่ใช่เหรอ” แววตาที่ทั้งสับสนทั้งหวาดกลัว ทำให้หลี่เฉียงแปลกใจไม่น้อย
ซูหว่านหนิง สตรีไร้ยางอาย นางไม่เคยหวาดกลัวสิ่งใดมาก่อน ในตอนแรกที่เขาเห็นว่านางฟื้นขึ้นมาคงได้อ้าปากด่าทอเขา ที่พานางกลับมาอยู่ในที่ที่ซอมซ่ออย่างแน่นอน
นี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางคิดหนีกลับเมืองหลวง แต่ทุกครั้งนางก็ไปได้ไม่ไกลก็ถูกเขาตามกลับมาได้ ในเมื่อนางอยากแต่งให้เขาก็ต้องทนทุกข์ทรมานไปกับเขาด้วย
นางที่เป็นคนหลงใหลในชื่อเสียงเงินทอง ย่อมไม่อาจทนอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้ ที่นางยอมแต่งให้เขาก็เพราะหลี่เฉียงเป็นบุตรชายคนโตของคหบดีหาน พ่อค้าผู้มั่งคั่งในเมืองหลวง
หลี่เฉียงแม้จะเป็นบุตรชายคนโต ก็ไม่ได้มีความสำคัญมากนักในตระกูลทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะเขาทำตัวเอง ด้วยมารดาของเขาเสียตั้งแต่เขายังเล็ก บิดาจึงได้แต่งสุ่ยอวี้ ญาติผู้น้องของมารดาตนเข้ามาเป็นภรรยาเพื่อดูแลหลี่เฉียง
สุ่ยอวี้ในตอนแรกก็เลี้ยงหลี่เฉียงมาด้วยความรักเช่นบุตรของนาง ถึงอย่างไรเขาก็เป็นหลานชายของนางแท้ๆ แต่เมื่อนางมีบุตรชายของตนเอง ความรักที่มีให้เขาก็แปรเปลี่ยน
ต่อหน้าผู้เป็นสามีนางก็รักหลี่เฉียงราวกับบุตรที่นางคลอด แต่พอลับหลังสามีนางสอนหลี่เฉียงให้กลายเป็นคุณชายน้อยผู้ร้ายกาจ ไม่อยากเรียนนางก็ไม่ให้ไปเรียน อยากจะเที่ยวเล่นนางก็ล้วนแต่เห็นดีเห็นงามด้วย ชื่อเสียงของเขาไม่มีผู้ใดพูดถึงในทางที่ดี
ทั้งเรื่องสุรา การพนันเข้าล้วนแต่ชื่นชอบทั้งหมด เพียงแต่ไม่เข้าหอคณิกาเท่านั้น เพียงสองสิ่งผู้เป็นบิดาก็เริ่มจะไม่พอใจเขามากแล้ว
นางสุ่ยซื่อยังจัดหาหว่านหนิงมาตบแต่งให้เขาด้วยตนเอง ในช่วงแรกนางทั้งอ่อนหวานและอ่อนโยน เพียงแค่เดือนเดียวเท่านั้นความร้ายกาจของนางก็ปรากฏออกมาเรื่อย ๆ
หลี่เฉียงกับหว่านหนิงทะเลาะกันแทบจะทุกวัน เพียงแต่งงานกันยังไม่พ้นเดือน สุดท้ายเมื่ออยู่ในเรือนไม่มีความสุขเขาก็แทบจะกินนอนอยู่ที่หอพนันเลยทีเดียว
ความอดทนของคหบดีหานหมดลง เมื่อหอพนันนำใบทวงหนี้ก้อนใหญ่มาหาเขาถึงจวน ครั้งนี้เขาถึงจ่ายเงินถึงสองพันตำลึงทอง หากไม่จ่ายบุตรชายก็ต้องถูกตัดมือทิ้ง
“อาเฉียง พ่อจะยอมช่วยเจ้าครั้งสุดท้าย หากมีอีกครั้งเจ้าก็ไสหัวออกไปจากตระกูลหานได้เลย!!!” ครั้งนี้ดูเหมือนผู้เป็นบิดาจะได้พูดเล่นๆ เสียแล้ว หลี่เฉียงจำต้องยอมรับปากบิดาของตน
เขาเห็นแววตาของบิดาที่เสียใจกับสิ่งที่เขาทำ จึงคิดที่จะกลับเนื้อกลับตัว แต่ก็เพียงแค่ไม่กี่วัน เมื่อนางสุ่ยซื่อที่ต้องการให้เขาถูกขับออกจากตระกูลอยู่แล้วก็สร้างเรื่องให้หลี่เฉียงกับหว่านหนิงทะเลาะกัน
พอหลี่เฉียงขาดสติจากเรื่องที่หว่านหนิงนางชวนทะเลาะ สุ่ยซื่อก็เข้ามาทำทีว่าเข้าใจในตัวเขา มอบเงินให้เขาหนึ่งก้อน เพื่อให้ตนเองออกไปหาความสำราญด้านนอก
เขาคิดว่าเงินก้อนนี้หากจะได้หรือเสียก็จะขอไปอีกเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น แล้วอย่างไรเล่าเขาที่เสียจนมิอาจถอนตัวได้ก็กลายเป็นหนี้อีกครั้ง
ถึงแม้ครั้งนี้จะเพียงไม่กี่ร้อยตำลึงเงิน แต่ผู้เป็นบิดากลับไม่ให้โอกาสเขาอีกแล้ว
พอมาถึงด้านล่างภูเขา ก็ไม่เหลือชาวบ้านที่ออกมาหาของป่าก่อนหน้านี้แล้ว พวกเขาจึงเดินกลับเรือนโดยไม่ต้องหลบสายตาของผู้ใดหว่านหนิงนางนำเมล็ดโสมที่ได้มาแยกออกจากต้น ก่อนที่จะให้ฮวาเตี๋ยนางนำไปปลูกที่สวนด้านหลังเรือนเซียงเซียงนำผ้าออกมาให้หว่านหนิงกับหลี่เฉียงนับสิบพับได้“เหตุใดถึงมากมายเช่นนี้” หว่านหนิงนางร้องถามขึ้นจะให้นางนำทั้งหมดออกมาตัดเป็นชุดเห็นทีจะใส่ไม่ทันอย่างแน่นอน“ผ้าพวกนี้นอกจากเสื้อผ้า นายหญิงท่านยังนำไปตัดเป็นผ้าห่มและผ้าปูรองนอนได้ด้วยเจ้าคะ” เซียงเซียงเอ่ยตอบนาง“ไว้ข้าค่อยเข้าเมืองไปซื้อฝ้ายก่อนค่อยทำออกมา”“เรื่องฝ้ายที่จะใช้ยัดด้านในท่านมิต้องข้าเตรียมมาให้ท่านแล้ว” เซียงเซียงพูดจบ นางก็นำใยฝ้ายออกมาจากช่องเก็บของของนางทุกการกระทำของเซียงเซียง หลี่เฉียงได้แต่มองอย่างตกตะลึง แม้เขาจะรู้ว่าบรรดาสัตว์ที่สื่อสารกับเขาอยู่ตอนนี้จะวิเศษ แต่ไม่คิดว่าพวกมันจะสามารถนำของออกมาจากช่องว่างเช่นนี้ได้หว่านหนิงเอ่ยขอบคุณเซียงเซียง ก่อนจะเริ่มเก็บของเข้าที แล้วนางจึงได้เข้าไปที่ครัวเพื่อทำอาหารมื้อเย็นทันทีผู้ที่หิวมากที่สุดเห็นจะเป็นเสี่ยวหู่ที่มันบ่นเรื่องท้องร้องไม่เลิก“เ
หนอนที่อยู่บนต้นซังเยี่ย ต่างกำลังเร่งสร้างรังไหมออกมาจนทั่วทั้งต้นซังเยี่ยมีแต่รังไหมให้ได้เห็น ที่น่าแปลกสำหรับหว่านหนิงอีกอย่าง เห็นจะเป็นรังไหมที่อยู่บนต้น สีของมันมิได้มีเพียงแค่สีขาวที่นางเคยพบเห็น แต่มีของรังไหมแทบจะมีทุกสีเลยก็ว่าได้“สวรรค์ เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร” นางพึมพำออกมาอย่างไม่เชื่อสายตา“นายหญิงท่านชอบหรือไม่เจ้าคะ” ฮวาเตี๋ยร้องถามเสียงใสนางภูมิใจไม่น้อยที่สิ่งที่นางเตรียมการไว้ให้หว่านหนิงนางจะตกตะลึงมากถึงเพียงนี้“ชอบ ชอบมาก เจ้าช่างดีกับข้าเสียจริง” หากฮวาเตี๋ยนางตัวใหญ่เสียหน่อย หว่านหนิงคงพุ่งเข้ากอดนางไปแล้ว“รังไหมที่ท่านเห็น ข้าจะให้สหายของข้าถักทอออกมาจนเป็นผ้าผืนงามให้ท่านเจ้าค่ะ”“ทำอย่างไร” นางเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจฮวาเตี๋ยบินหายไปจากสายตาของหว่านหนิง แต่เพียงครู่เดียวนางก็กลับมาพร้อมผีเสื้ออีกตัว“นายหญิง นี่คือเซียงเซียง สหายของข้าเจ้าค่ะ นางดูแลสวนซังเยี่ยแห่งนี้”ฮวาเตี๋ยพาสหายของนางมาแนะนำให้หว่านหนิงได้รู้จัก ทั้งยังพาชมพื้นที่โดยรอบที่พวกมันทำงานกันอยู่หว่านหนิงนางไม่คิดว่าผีเสื้อนับพันตัวจะมารวมกันอยู่ในที่แห่งนี้ได้ แต่ละตัวต่างบินเก็บรังไหมไปไ
“หยุดดิ้นได้แล้วนอนเถิด พรุ่งนี้เจ้าจะขึ้นเขากับฮวาเตี๋ยมิใช่หรือ ต้องรีบนอนถึงจะถูก” ขาของหลี่เฉียงกดทับขาของหว่านหนิงไม่ให้นางดิ้น“ท่านก็ปล่อยข้าสิ ข้าอึดอัด”“หนิงหนิง ข้าหนาว ขอกอดเจ้าหน่อยจะเป็นอันใด” หลี่เฉียงเอ่ยเสียงเบาอย่างน่าเห็นใจออกมา“หลี่ เฉียง เจ้าคนหน้าหนา อากาศร้อนเยี่ยงนี้ท่านพูดออกมาได้อย่างไรว่าท่านหนาว”“รึข้าจะเป็นไข้ ถึงได้หนาว หนิงหนิงเจ้าดูให้ข้าหน่อย”หว่านหนิงหยุดนิ่งทันที นางพลิกตัวหันมาทางหลี่เฉียงเพื่อดูว่าเขาเป็นไข้จริงหรือไม่ ยามที่มือน้อยๆ ของนางแตะลงที่หน้าผากของเขา ยิ่งนางดันตัวขึ้นมาใกล้ใบหน้าของเขา หลี่เฉียงภายในอกสั่นสะท้านขึ้นมาทันที“หนิงหนิง” เขาเอ่ยเรียกนางด้วยเสียงที่แหบพร่า ก่อนจะรั้งต้นคอของนางไว้ให้โน้มต่ำลงมาใกล้ริมฝีปากหนาประกบครอบครองริมฝีปากบางของหว่านหนิงโดยที่นางไม่ทันตั้งตัว วงแขนของหลี่เฉียงโอบรอบเอวของนางไว้แน่น เพื่อไม่ให้นางผละหนีไปจากเขาได้หว่านหนิงตกใจเกินกว่าจะปัดป้องได้ เรียวลิ้นของหลี่เฉียงเขาตวัดเกี่ยวกวาดชิมความหวานในช่องปากของนางอย่างหื่นกระหาย “อื้มมม” หลี่เฉียงคำรามออกมาอย่างพอใจเขาพลิกตัวหว่านหนิงให้กลับลงมานอนอยู
แต่ผู้ที่มาเปิดเรือนให้เขาเป็นตู้ลู่จื้อ พอเขาเห็นใบหน้าของหลี่เฉียงชัดๆ ก็ตกตะลึงไปเช่นกัน ไม่คิดว่าเพียงแค่โกนหนวดเคราออก เขาจะรูปงามเช่นนี้“เจ้ามองอันใด” หลี่เฉียงมองลู่จื้ออย่างหวาดระแวง“เหอะ มาที่เรือนข้าทำไม” เขาถลึงตามองหลี่เฉียงที่คิดบ้าๆ กับเขา“หนิงหนิงให้ข้านำผ้าเช็ดหน้าที่นางปักมาให้ท่านป้าตู้”“ท่านย่าของข้ามิอยู่ เจ้านำมาให้ข้า ไว้ข้าจะให้ท่านย่าเอง” ลู่จื้อเอื้อมมือออกมารับของ แต่หลี่เฉียงกับเบี่ยงตัวหลบ“มิได้ ข้าให้เจ้าไปแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าจะนำไปมอบให้ท่านป้าตู้” เขากลัวว่าลู่จื้อจะนำผ้าเช็ดหน้าไปใช้เองโถ่ หลี่เฉียง เจ้าไม่ได้ดูเลยว่าผ้าเช็ดหน้าในมือของเจ้าเป็นสีชมพู ข้าจะนำไปใช้ได้อย่างไร สายตาของลู่จื้อบอกหลี่เฉียงเช่นนี้“เหอะ แล้วแต่เจ้า เช่นนั้นก็กลับมาใหม่ในภายหลังเถิด” หลี่เฉียงทำท่าครุ่นคิด หากเขานำผ้าเช็ดหน้ากลับไปที่เรือน หว่านหนิงนางจะต้องเป็นผู้นำมาให้ในภายหลังอย่างแน่“ได้ เช่นนั้นก็ฝากเจ้าด้วย อย่าได้นำไปใช้เล่า” ก่อนกลับเขายังเอ่ยเตือนลู่จื้ออีกหนตู้ลู่จื้อมองตามแผ่นหลังของหลี่เฉียงไปอย่างเบื่อหน่าย ตัวเขาเป็นบุรุษจะสนใจผ้าเช็ดหน้าที่มีสีสันข
หว่านหนิงเมื่ออาบน้ำเรียบร้อยแล้ว นางเข้ามาในห้องก็พบว่าหลี่เฉียงนั่งคุกเข่ารอนางอยู่ที่พื้น“ท่านคุกเข่าทำไม” นางเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ หรือยังมีเรื่องที่เขาไม่ได้บอกนางอีก“เอ่อ...คือว่า...”“พูดมา ก่อนที่ข้าจะมีโทสะ” นางหรี่ตามองเขา นอกจากเรื่องที่นางรับรู้มาจากพ่อบ้านจ้าวแล้ว ยังมีเรื่องที่เขาทำผิดอีกรึหลี่เฉียงใช้เข่าเดินต่างเท้าเข้ามากอดขาทั้งสองข้างของหว่านหนิงไว้“หนิงหนิง เจ้าอย่าเพิ่งมีโทสะ” หลี่เฉียงลุกขึ้นก่อนจะจูงมือหว่านหนิงมานั่งลงที่เตียง“...” นางมองเขาอย่างสงสัย แต่ก็ไม่เอ่ยถาม เพราะต้องการที่จะรอฟังเขาพูดเสียก่อนหลี่เฉียงจึงเอ่ยเล่าเรื่องที่เขารับปากกับฟู่หวงอวี้ไว้ ทั้งยังบอกเล่าความน่าเห็นใจที่มีต่อเด็กน้อยม่านม่านอีกด้วย“เห็นหรือไม่เล่าว่าข้าเป็นคนดี เห็นใจสองพี่น้องตระกูลฟู่ ฟู่ม่านม่านนางคงเศร้าใจที่ต้องห่างพี่ชาย พอพี่ชายอยากจะเอาใจน้องสาวก็ไม่อาจหาของได้ ถึงได้คิดจะมาขอซื้อเสี่ยวหู่ไปจากข้า”“ท่านก็เลยรับปากคุณชายฟู่ว่าจะนำผ้าเช็ดหน้าที่ข้าปักไปมอบให้เขาเช่นนั้นรึ” นางเอ่ยเสียงเย็นออกมา“ชะ ใช่”“แล้วจะพูดอะไรให้ยืดยาว ก็บอกมาตามตรงก็สิ้นเรื่อง” นางมองค้อนเ
หลี่เฉียงมาถึงโรงค้าสัตว์ เขาก็เดินเข้าไปดูวัวที่คอกทันที“นายท่าน ซื้อม้าสองตัวที่อยู่ในคอกนั่นเถิดขอรับ” เสี่ยวหู่ยื่นปากไปทางม้าสีขาวสองตัวที่อยู่ในคอกใกล้กับคอกวัว“หื้อ ซื้อม้าเลยรึ”“ใช่ข้ารับ เชื่อข้า” เสี่ยวหู่รับรู้ได้ว่าม้าทั้งสองตัวมิใช่ม้าธรรมดา เขาจึงต้องการให้หลี่เฉียงซื้อทั้งสองตัวกลับไป“นายท่านสนใจม้าคู่นั้นหรือขอรับ” นายหน้าค้าสัตว์เห็นหลี่เฉียงหันไปมองที่คอกม้าจึงได้เอ่ยถาม“ราคาเท่าใด” หากแพงเกินไปเขาก็ไม่คิดอยากจะซื้อ“ม้าสองตัวนี้ดุร้ายไม่น้อย คนงานยังมิอาจจะถูกตัวพวกมันได้ เกรงว่า...แต่หากท่านต้องการข้าขายให้ตัวละสิบตำลึงทองพอขอรับ” เขาซื้อทั้งสองตัวมาก็เกือบสามสิบตำลึงทองแล้วแต่เพราะได้มาหลายเดือนทำอย่างไรก็ขายไม่ออกเสียที ทั้ง ๆ ที่รูปร่างของมันทั้งคู่สง่างามไม่น้อย ด้วยความที่ดุร้ายผู้ใดก็มิอาจเข้าใกล้ได้ เขาลดราคาแล้วแต่ก็ขายไม่ออกเสียที“อืม...” หลี่เฉียงครุ่นคิดว่าควรจะซื้อดีหรือไม่“หากนายท่านซื้อทั้งสองตัว ข้ายินดีที่จะแถมรถม้าคันใหญ่ให้ท่านด้วยเลยขอรับ” เขาทั้งลดทั้งแจกเลยทีเดียว“เช่นนั้นเลยรึ” หลี่เฉียงหันไปมองนายหน้าค้าสัตว์อย่างสนใจ“ข้ารับ หรือท่า