เข้าสู่ระบบหลังจากตรวจสอบเห็ดหลินจือ ดอกใหญ่สาม ดอกกับดอกเล็กห้าดอกแล้ว หมออู๋ก็ถามกับมู่หลินว่าต้องการรับเป็นตั๋วเงินทั้งหมดเลยหรือตำลึงด้วย ที่หมออู๋ต้องเจรจากับมู่หลินนั้นเป็นเพราะบุรุษทั้งสามคนวิญญาณได้ออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกเรียบร้อยแล้ว
"ข้าต้องการทำเรื่องฝากเงิน 8,500 ตำลึงทอง รับเป็นตั๋วเงินใบละ 500 ตำลึง 9 ใบ กับ100 ตำลึง 4 ใบ ที่เหลือขอเป็นตำลึงเงินกับเหรียญอีแปะเจ้าค่ะ"
แม้แต่หลงจู๊ที่กำลังคำนวนเงินจากลูกคิดอยู่กันยังตกใจแทบหงายหลังกับการคิดคำนวนของมู่หลินโดยไม่ต้องใช้ลูกคิด
หมออู๋หัวเราะอย่างชอบใจกับความฉลาดของมู่หลิน พร้อมทั้งยังบอกอีกว่าถ้ามีอะไรให้ช่วยเหลือหรือจะนำสมุนไพรมาขายอีกเมื่อไรก็ย่อมได้เสมอ เมื่อได้ป้ายฝากเงินเป็นชื่อของเจียวจิ้นแล้ว และรับตั๋วเงินตัวตำลึงเงินมาแล้วทั้งหมดก็ขอตัวกับท่านหมออู๋
ตอนแรกสติของบุรุษบ้านหวังยังกลับมาไม่ครบแต่พอฟังคำพูดของมู่หลินแล้ว สติก็รีบกลับเข้าที่ทันที
"พวกท่านกลัวพวกโจรไม่รู้หรือเจ้าคะ ว่าพวกท่านมีเงิน ข้าหิวแล้วเจ้าค่ะท่านพ่อ" ทุกคนเลยลงความเห็นกันว่าจะไปกินบะหมี่เนื้อ
ทุกคนกินบะหมี่เนื้ออย่างเอร็ดอร่อย บุรุษบ้านหวังทั้งสามล้วนแต่สั่งเพิ่มกันทุกคน หลังกินเสร็จมู่หลินบอกกล่าวบิดาเรื่องสร้างบ้าน เงินที่นางไม่ฝากทั้งหมดเพราะต้องการจะสร้างบ้านนั่นเอง
ท่านพ่อบอกให้กลับไปคุยเรื่องนี้ที่บ้าน พร้อมกับมารดา มู่หลินบอกให้บิดาซื้อข้าวสาร แป้งไปเล็กน้อย เพราะถ้าไม่ซื้อเลยคนจะสงสัยได้ โดยเฉพาะบ้านของนางจางซิงที่ปากบอกไม่สนใจแต่ก็ส่งสะใภ้รองมาคอยแอบดูบ่อยๆ
ขากลับทุกคนก็ยังเลือกที่จะเดินเท้าเข้าหมู่บ้าน ถึงหมู่บ้านก็เป็นยามเว่ย(13.00-14.59น.)แล้ว มู่หลินแนะนำให้ท่านพ่อไปคุยกับหัวหน้าหมู่บ้านเรื่องขอซื้อที่เพิ่มและจ้างชาวบ้านช่วยปรับพื้นที่
"ท่านผู้ใหญ่บ้านขอรับ อยู่ไหมขอรับ" เจียวจิ้นแม้จะเป็นญาติกับผู้ใหญ่บ้านแต่ก็ให้ความเคารพอย่างมาก ผู้ใหญ่บ้านหวังเหมาเป็นตระกูลหวังสายหลัก ส่วนท่านปู่เหล่ยเป็นตระกูลหวังสายรอง ในหมู่บ้านแซ่หวังหลายครัวเรือน
"ใคร อาจิ้นรึ เข้ามาก่อน เข้ามาก่อน"
เพราะเจียวจิ้นเป็นคนดี ใครขอให้ช่วยเหลืออะไรก็ทำด้วยความเต็มใจเสมอจึงเป็นที่รักของคนในหมู่บ้าน จะมีก็แต่ส่วนน้อยที่ไม่ชอบใจ และคนส่วนน้อยนั้นก็คือพวกญาตินางจางนั้นเอง
"ข้ามีเรื่องมารบกวนท่านผู้ใหญ่บ้านขอรับ"
"เจ้านี่ บอกกี่ครั้งแล้วให้เรียกข้าท่านลุง"
ผู้ใหญ่บ้านเหมาแสร้งทำเป็นดุไม่จริงจังใครบางจะไม่ชอบให้คนยกย่อง แต่กลับเจียวจิ้นเขาทั้งเอ็นดูทั้งสงสารที่เจอแม่เลี้ยงแบบนางจางซิง
"ได้ขอรับท่านลุงเหมา ข้ามาขอซื้อที่ดินติดบ้านขอรับ พอดีข้าเจอสมุนไพรในป่าชั้นในขายได้ราคาดีพอสมควรเลยอยากจะซื้อที่ไว้ปลูกผักขอรับ" เจียวจิ้นบอกทั้งสิ่งที่ต้องการและอธิบายถึงแหล่งที่มาของเงินครบในประโยคเดียว
"ดี ดี สวรรค์ไม่เคยทิ้งคนทำดี เจ้าต้องการเท่าใดข้าขอไปหยิบแผนที่ก่อน"
เนื่องจากหมู่บ้านที่ครอบครัวหวังอยู่มีขนาดไม่ใหญ่มาก ผู้ใหญ่บ้านจึงมีอำนาจในการซื้อขายได้เลย เมื่อทำการซื้อขายเสร็จสิ้นก็นำเงินและหนังสือแสดงสิทธิ์ไปแจ้งที่อำเภอได้เลย
ผู้ใหญ่บ้านออกมาพร้อมกับแผนที่ตั้งของหมู่บ้านชุนหง โดยเจียวจิ้นต้องการซื้อที่รอบบริเวณบ้านของเขาทั้งหมดผู้ใหญ่เหมาตรวจดูตามแผนที่ พื้นที่ว่างทางด้านฝั่งซ้ายและหลังของบ้านที่ติดเขายาวไปจนถึงริมธารพื้นที่ว่างทั้งหมด50หมู่
ด้านขวาข้างบ้านติดกับบ้านของนายพราน หลี่คงมีพื้นที่วางเกือบ10หมู่ ผู้ใหญ่บ้านเหมาคิดว่าเจียวจิ้นคงซื้อไม่กี่หมู่ถึงแม้ราคาไม่สูงมากแต่ก็เป็นจำนวนเงินที่เยอะอยู่สำหรับชาวบ้านทั่วไป
"อาจิ้น เจ้าต้องการที่ดินกี่หมู่ ที่ดินหมู่ละ 4 ตำลึงเงิน พรุ่งนี้ข้าจะไปวัดพื้นที่ให้"
"ท่านลุงเหมา ข้าต้องการทั้งหมดเลยขอรับ" มู่หลินได้บอกความต้องการของนางตั้งแต่ก่อนจะเข้ามาคุยกับผู้ใหญ่เหมาแล้ว ผู้ใหญ่เหมาที่ได้ยินก็ตกใจแม้พื้นที่ ฟังดูราคา 4 ตำลึงเงิน แต่พื้นที่ 60 หมู่ ก็ต้องจ่ายมากถึง 24 ตำลึงทอง เงินจำนวนเท่านี้ชีวิตชาวบ้านในหมู่บ้านชุนหงนั้นแทบไม่มีใครเคยจับเงินตำลึงทองมาก่อนเเลย
ผู้ใหญ่เหมาอยากออกปากเตือนเจียวจิ้นให้เก็บเงินไว้ปลูกบ้านใหม่ที่จะเข้าหน้าหนาวนี้ หน้าหนาวในหมู่บ้านชุนหง ถึงจะหนาวไม่มากเท่าตอนเหนือแต่ก็ยาวหนาวถึง3-4เดือนเลยทีเดียว
ทุกปีจะมีชาวบ้านหนาวตายโดยเขาที่เป็นผู้ใหญ่บ้านก็รู้สึกปวดใจที่ช่วยอะไรมากไม่ได้ เมื่อเห็นว่าบ้านเจียวจิ้นคิดมาดีแล้วก็นัดเวลาพร้อมทั้งรับปากเรื่องจะพาช่างไม้ไปดูพื้นที่สร้างบ้านและจะหาชาวบ้านไปช่วยถอนหญ้าปรับพื้นที่
มู่หลินให้ผู้ใหญ่บ้านช่วยหาแรงงานที่ขยันไม่เอาเปรียบคนอื่นไม่เกี่ยงเรื่องอายุ แม้แต่เด็กเล็กถ้ามาช่วยเก็บหินหรือขนหญ้าไปทิ้งก็จะมีค่าแรงให้เช่นกันโดยให้ค่าแรงวันละ 30 อีแปะ พร้อมข้าวกลางวันหนึ่งมื้อ ค่าแรงในเมืองอยู่ที่วันละ 25-30 อีแปะแต่ไม่มีอาหารให้ นับว่าบ้านหวังใจกว้างมาก การจ้างงานครั้งนี้ของบ้านหวังเจียวจิ้นจะช่วยชาวบ้านชุนหงให้มีเงินเตรียมตัวผ่านหน้าหนาวนี้ไปได้อย่างแน่นอน
ห้าปีผ่านไปชายแดนประจิมเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ชาวเมืองแคว้นฉีเริ่มเข้ามาทำการค้ามากขึ้น ถึงกับมีตลาดชายแดนที่ทั้งสองแคว้นจะนำสินค้าของตนมาซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน ชีวิตชาวบ้านจึงดีขึ้นมู่หลินได้หาพืชผักที่ทนต่อสภาพอากาศหนาวเข้ามาปลูก นางยังค้นพบภูเขาที่มีดินเค็ม เมื่อถวายฎีกาถึงฮ่องเต้ให้ทราบเรื่องแล้ว พระองค์ได้ช่วยส่งเสริมให้ชาวบ้านบริเวณใกล้เคียงภูเขาผลิตเกลือออกมาจำหน่าย โดยหักภาษีเข้าคลังเพื่อพัฒนาพื้นที่เมืองอื่นต่อไปฮ่องเต้ฉู่เฟยหลางสละราชบัลลังก์ให้กับองค์รัชทายาทขึ้นปกครองตอนนี้เจ้าลูกเต่าทั้งสามติดตามบิดาเข้าไปฝึกวรยุทธ์ในค่ายทหาร เพราะไป๋เฟยหรงหมั่นไส้บุตรชายทั้งสามที่เกาะติดมู่หลินมากเกินไปไป๋หมิงยู่ ไป๋หรงซิ่ง ไป๋เฉินกง เวลาอยู่กับบิดาทั้งสามจะทำตัวนิ่งขึม เหมือนเช่นบิดา พอลับหลังบิดา ทหารที่เป็นพี่เลี้ยงทั้งหลายล้วนปวดหัวกันเป็นแทบ เด็กชายทั้งสามพี่ใหญ่วางแผน พี่รองดูต้นทาง น้องเล็กหลอกล่อ กลยุทธ์ที่ร่ำเรียนมาจากกงหยวนนั้นเรียกได้ว่าตอนนี้เก่งเกินอาจารย์เสียแล้วแม้แต่กงหยวนยังเจ้าเล่ห์ไม่ได้เท่าไป๋หรงซิ่งเลย หากหนีเรียนวันใดแล้วโดนจับได้ ไป๋เฉินกงจะทำหน้าที่เรียกร
ใช้เวลาเดินทางครึ่งเดือนก็มาถึงแดนประจิม จวนท่านแม่ทัพนั้นไม่มีอะไรให้มู่หลินปรับปรุงแก้ไขนอกจากห้องน้ำ นางอยากจะเอาที่นอนออกมาใช้ใจจะขาด แต่ยังไม่ได้บอกกล่าวเรื่องมิติที่มีให้กับเฟยหรงได้รู้มู่หลินที่นอนไม่สบายตัวก็ขยับไปมาจนเฟยหรงรู้สึกตัว“น้องหญิง นอนไม่หลับหรือ” เฟยหรงดึงตัวมู่หลินมา กอด“ท่านพี่ข้าจะพาท่านไปที่แห่งหนึ่ง” พูดจบมู่หลินก็พาเฟยหรงเข้าไปในมิติของตน“ที่นี่คือที่ใด” เฟยหรงมองรอบๆ อย่างโง่งม ที่นี้สวยมากจริงๆ ลำธารที่น่าลงไปแช่ ภูเขาด้านหลังก็ดูอุดมสมบูรณ์ ไหนจะแปลงสมุนไพรหลากหลายชนิด พืชผักผลไม้เต็มไปหมด ทุ่งข้าวที่เหลืองอร่ามพร้อมเก็บเกี่ยว กระท่อมหลังน้อยที่อยู่ท่ามกลางสวนดอกไม้“ที่นี่คือมิติของข้าเจ้าค่ะ” มู่หลินพาเฟยหรงเข้าไปในกระท่อม ด้านในเครื่องเรือนของใช้ไม่เหมือนที่เขาเคยเห็น นางจึงเล่าเรื่องทั้งหมดของนางตั้งแต่แรกให้ฟัง ก็เหมือนสิ่งที่นางเล่าให้ครอบครัวฟังเฟยหรงกอดมู่หลินยิ่งนึกถึงว่านางเกือบตายมาแล้วครั้งหนึ่งใจเขาก็ยิ่งปวด“หากเจ้าไม่อยากนำที่นอนออกไปด้านนอก เจ้าจะบอกพี่เรื่องนี้หรือไม่” เฟยหรงเอ่ยอย่างน้อยใจ มู่หลินจึงจูบไปที่มุมปากเพื่อเอาใจ“ย่อมต้อง
ไป๋เฟยหรงกลับมาเมืองหลวงครั้งนี้ตัวแทบจะติดกับมู่หลินเลยทีเดียว ยิ่งมู่หลินออกไปข้างนอกเฟยหรงแทบจะให้นางใส่ผ้าคลุมทั้งตัวไม่ใช่ว่าไม่มีสตรีเข้าหาเฟยหรงนะ มีมากเลยทีเดียว สาวใช้ที่มาใหม่ในจวนไป๋ที่คิดจะปีนเตียงเฟยหรง โดนเฟยหรงถีบออกมาจากห้องรักษาตัวอยู่ห้าวันกว่าจะลุกขึ้น เมื่อมีตัวอย่างให้เห็นใครจะกล้าเสี่ยงขุนนางที่ใจกล้าก็อยากจะยกบุตรสาวให้เป็นอนุ ตอนเช้ามาทหารเข้ามาจับกุมโดนขุดความผิดที่ตนก่อไว้ตั้งแต่เริ่มเป็นขุนนาง แม้จะเล็กน้อยไม่โดนตัดสินโทษหนักก็ย่อมต้องโดนลดขั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ขุนนางทั้งหลายเลยเลิกยุ่งกับแม่ทัพไป๋ไปโดยปริยาย“หลินเออร์ แม่ว่าเจ้าแต่งให้ท่านแม่ทัพเสียเลยเถิด ตอนนี้เจ้าก็ 17 หนาว แล้ว พ่อกับแม่มีพี่รองของเจ้าอยู่ด้วย เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง” เหมยฮวาเรียกมู่หลินมานั่งพูดคุย เพราะนางก็เห็นใจว่าที่ลูกเขยเช่นกัน“ข้าแล้วแต่ท่านพ่อท่านแม่เจ้าค่ะ” มู่หลินยอมตกลงเฟยหรงที่ได้ยินเช่นนั้นก็แทบจะวิ่งไปป่าวประกาศให้คนทั้งเมืองหลวงได้รู้กันทั่ว เฟยหรงรีบเข้าวังหลวงไปขอฤกษ์มงคลที่เร็วที่สุด แล้วก็เร็วจริงๆ งานจะจัดขึ้นในอีกเจ็ดวันข้างหน้ามู่หลินขบเคี้ยวเขี้ยวฟันอย่างโมโห สั
แล้วก็ถึงวันสอบเตี้ยนซื่อ หน้าพระที่นั่ง โดยวันสอบจะมีฮ่องเต้เป็นผู้คุมสอบและออกข้อสอบ ผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดอันดับหนึ่งจะได้เป็น จอหงวน อันดับที่สอง ปั๋งเหยี่ยน อันดับที่สาม ทั่นฮวาครอบครัวหวังมาส่งเจียวโจวกับเจียวจ้านหน้าสนามสอบ“ตั้งใจทำออกมาให้ดีที่สุดพอ พ่อไม่คาดหวังว่าเจ้าทั้งสองจะติดสามอันดับ” เจียวจิ้นให้กำลังใจบุตรชาย“แต่ข้าคาดหวังว่าท่านพี่ทั้งสองจะได้จอหงวนเจ้าค่ะ”เจียวโจวดีดหน้าผากมู่หลิน เจียวจ้านตบอกให้น้องเล็กรอดูได้เลยเมื่อทั้งสองเดินเข้าสนามสอบแล้ว เจียวจิ้น เหมยฮวา มู่หลินจึงกลับไปรอที่จวนระหว่างรอผลสอบ ข่าวที่ส่งจากโยวโจวทำให้เฟยหรงถึงกับนั่งไม่ติด ต้องรีบควบม้าออกมาจากค่ายทหารนอกเมืองเพื่อขอความเห็นใจจากมู่หลินทันที่“หลินเออร์” เฟยหรงเอ่ยเสียงอ่อยเรียกมู่หลินมู่หลินเลิกคิ้วรอฟังว่าพ่อตัวดีจะพูดสิ่งใด"เยว่เออร์ตั้งครรภ์แล้ว""อืม" ใช่เรื่องนี้นางรู้แล้ว เพราะห่าวหรานส่งข่าวมาเช่นกัน"หลินเออร์ แต่งเลยมิได้หรือ" มู่หลินหรี่ตามองเฟยหรง"กลับค่ายไปเลย" นางกัดฟันพูดผลการสอบเตี้ยนซื่อ ก็ไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง เจียวโจวได้เป็นปั๋งเหยี่ยน เจียวจ้านได้อันดับที่ห้า เด็กๆ
ท่านผู้เฒ่าเซี่ยมาถึงก็เมืองหลวงพักผ่อนเพียงหนึ่งวันก็พาคนทั้งตระกูลเดินทางเข้าสู่วังหลวง"ถวายพระพรฝ่าบาท ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี""ลุกขึ้น ไม่ต้องมากพิธี" ฮ่องเต้มองสหายต่างวัยด้วยความคิดถึง"เซี่ยหลี่เฉียงรับราชโองการ ตระกูลเซี่ยจงรักภักดีต่อราชวงศ์ มีความดีความชอบร่วมปราบกบฏองค์ชายใหญ่ในครั้งนี้ ฮ่องเต้ทรงพระราชทานตำแหน่งกั๋วกง ขั้นหนึ่ง ประทานจวนหน่งหลัง เงินรางวัล 50,000 ตำลึงทอง ผ้าไหม 20 พับ เครื่องประดับ 5 หีบ จบราชโองการ " ขันทีประกาศราชโองการแม้ของรางวัลที่ได้จะไม่อาจเทียบเท่ากับของที่เคยโดนยึดไป แต่ตระกูลเซี่ยก็ไม่เสียดาย เพราะทรัพย์สินของตระกูลตอนนี้มีมากมายเทียบเท่าเงินในคลังหลวงได้ฮ่องเต้ยังคงต้องใช้เงินเยี่ยวยาชาวเมืองที่ได้รับผลกระทบจากการก่อกบฏขององค์ชายใหญ่ในครั้งนี้อีกมากตระกูลเซี่ยเข้าพักในจวนหลังใหม่ ท่านตาท่านยายยังบ่นกับมู่หลินเรื่องที่นอนนั้นนอนไม่สบายเท่าที่หมู่บ้านชุนหง ห้องน้ำก็ไม่สะดวกสบาย หลานสาวแสนดีจึงเอาใจด้วยการเอาที่นอนของใช้ออกมาให้ทุกคน ท่านตาท่านยายเลยได้ยิ้มหน้าบานครอบครัวหวังเจียวจิ้นนั้นแยกตัวไปอยู่จวนที่ห่าวหรานซื้อไว้ หากให้นั
เซี่ยซีห่าวนำทัพพร้อมพวกกบฏเดินทางถึงเมืองหลวงหลังจากที่ไป๋เฟยหรงถึงเกือบสิบวันฮ่องเต้สังประหารขุนนางฝ่ายกบฏทั้งหมด ขุนนางคนใดที่โทษไม่หนักก็เนรเทศออกไปใช้แรงงานที่ชายแดน ส่วนองค์ชายใหญ่นั้นทดพิษบาดแผลไม่ไหวชิงตายไปเสียก่อนวันตัดสินโทษเพียงแค่สองวัน หวงกุ้ยเฟย เสนาบดีเว่ย เว่ยซูเหิง โดนตัดสินให้แล่เนื้อเถือหนังจนกว่าจะสิ้นใจตายส่วนคนในจวนตระกูลเว่ยและตำหนักขององค์ชายใหญ่ที่ตรวจสอบแล้วไม่มีความผิดก็โดนเนรเทศสั่งห้ามทั้งหมดกลับเข้าเมืองหลวงและหมดสิทธิ์เข้าสอบขุนนางตลอดชีวิตเว่ยซูเม่ยที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อกบฏครั้งนี้ แต่นางมีความผิดที่ส่งนักฆ่าไปลอบสังหารมู่หลินหลายครั้ง จึงโดนตัดสินให้ประหารชีวิตด้วย ถึงแม้มู่หลินจะเสียดายที่นางไม่ได้เป็นคนจัดการเอง แต่ก็ไม่ได้ติดใจเพราะโทษตายที่นางได้รับนั้นสมควรแล้วขุนนางกว่าครึ่งในท้องพระโรงที่โดยตัดสินโทษครั้งนี้ แต่ฮ่องเต้ก็ไม่ได้ทรงร้อนใจเท่าใด เพียงแต่ตั้งขุนนางตงฉินเข้ามาแทนในตำแหน่งสำคัญที่หายไป ส่วนในตำแหน่งอื่นนั้น ทรงรอการสอบหน้าพระที่นั่งในอีกหกเดือนที่จะถึงนี้ คงเติมเต็มท้องพระโรงได้ครบทุกตำแหน่งเวลาที่ครอบครัวบ้านหวังรอก็มาถ







