ทางฝั่งติงยวี่ถิง
เว่ยหนิงยิ้มร่า จับมือติงยวี่ถิงเดินไปอย่างอารมณ์ดี “ข้าสบายใจแล้ว เรามาจิบชากันเถอะ เจ้านั่งตรงนี้รอก่อน ข้าจะไปสั่งคนนำขนมมาให้”
“ข้าไม่หิว คุณหนูเว่ยอย่าลำบากเลยเจ้าค่ะ”
“ไม่ลำบากๆ ข้าต้องตอบแทนเจ้าให้มากหน่อย” จบคำก็เดินไปสั่งการสาวใช้ที่ยืนรอรับใช้อยู่อีกฝั่งทันที
จังหวะนั้น พลันมีเสียงสดใสของสตรีนางหนึ่งเอ่ยทักทายติงยวี่ถิง “ไอ่โยว! นี่มิใช่แม่นางติงหรอกหรือ?”
เจ้าของเสียงจะเป็นใครไปได้ หากมิใช่คู่อริคนเก่า ติงยวี่ถิงหันมองขวับ
เห็นเหวินฟางยืนตะหง่านตรงหน้า เหยียดปากว่าต่อ “ข้านึกว่าสตรีดีงามจากที่ใด แต่งกายโดดเด่นเกินหน้าเช่นนี้ ช่างไร้มารยาทเหลือเกิน ทำตัวแย่ยิ่งนัก คงลืมตัวกระมังว่าเป็นแค่หญิงหม้าย บุรุษใดจะชายตาแลถึงขั้นสู่ขอตบแต่งเป็นภรรยาออกหน้าออกตา ย่อมได้เป็นแค่อนุชั้นต่ำเท่านั้น”
ตรงจุดนี้มีพุ่มดอกไม้กั้นจากผู้คน จึงมีเพียงพวกนางแค่สองคนเท่านั้น จึงไม่แปลกที่สตรีผู้หนึ่งจะกล้าพูดเช่นนี้
เหวินฟางเชิดคางมองนางด้วยสายตาเย้ยหยัน “อยากให้ข้าช่วยประกาศหรือไม่เล่า? ว่าเจ้าทำตัวต่ำทรามชั่วช้าปานใดถึงถูกบ้านสามีหย่าร้างและขับไล่เอาได้”
ติงยวี่ถิงมีหรือจะกลัว ไม่เกี่ยวด้วยว่าคนเก่าชาตินี้หรือคนใหม่จากชาติไหน นิสัยจริงก็พอตัว
ด่ามาด่ากลับ ไม่โกงจ้า
หญิงสาวลุกขึ้นประจันหน้า วาจาร้ายกาจยิ่งกว่า
“เจ้าอยากประกาศอะไรก็ทำได้เลย เรื่องของข้าผู้คนล้วนรู้กันทั่ว ไม่ใช่ข่าวใหม่ และข้าก็ไม่อายเลยสักนิด แต่เรื่องของเจ้านี่สิ ให้ข้าช่วยประจานให้เจ้าด้วยดีหรือไม่? เพราะเหตุใดข้าถึงถูกหย่า ใช่เจ้าหรือไม่ที่เข้าหาสามีของข้า ตัวเองเป็นหญิงชู้หน้าด้านคนเดียวไม่พอ ยังให้พ่อเข้ามาแทรกกลางยุแยงนายท่านเซียวสารพัด งัดเล่ห์กลใส่ร้ายข้า อ้อ...อย่าเถียงเชียวว่าไม่ใช่ ข้ามีพยานรู้เห็นตั้งหลายคนนะ”
เหวินฟางชะงัก ยังไม่ทันเอ่ยตอบโต้ เห็นติงยวี่ถิงทำท่าเดินออกไปทางฝั่งที่มีผู้คนยืนอยู่คับคั่ง จึงรีบวิ่งใส่ มือหนึ่งปิดปากติงยวี่ถิงอย่างไว
“อย่านะ! ห้ามปากมาก!”
ติงยวี่ถิงกระชากฝ่ามือเหวินฟางออกแล้วผลักไหล่จนอีกฝ่ายเซถอยหลังเกือบล้ม นางกระซิบเสียงดุ “ไสหัวไป! อย่าเข้าใกล้ข้าอีก มิเช่นนั้นข้าจะวางยาพิษฆ่าเจ้าซะ”
เหวินฟางเบิกตากว้าง เห็นติงยวี่ถิงยามนี้ที่ถลึงตา ฉีกยิ้มมุมปากเหมือนปีศาจร้ายกระหายเลือด น่ากลัวมาก
หญิงสาวรีบยกชายกระโปรงเตรียมตั้งท่าเดินหนี แต่นิ้วยังชี้แบบสั่นๆ “ข้าไม่กลัวเจ้าหรอก ฝากไว้ก่อนเถอะ” ว่าจบก็เร่งฝีเท้า เดินหายวับไปเลย ท่าทางลนลานมาก ติงยวี่ถิงนึกขัน นางแค่ขู่เท่านั้น ใครจะกล้าวางยาฆ่าคนล่ะ แต่เอ๊ะ! เหมือนร่างเก่าจะกล้านะ
“ที่แท้เรื่องราวของเจ้าก็เป็นเช่นนี้”
เสียงนั้นดังจากด้านหลังของติงยวี่ถิง นางหันมอง เห็นเว่ยหนิงมองเหวินฟางสลับกับมองมาทางนางอย่างสนใจ
“คุณหนูคนนั้นเป็นผู้หญิงของบุรุษชุดขาว หรือว่า?” หญิงสาวทำตาโต “โอ้! เขาคนนั้นคืออดีตสามีของเจ้า...” เว่ยหนิงยกมือปิดปาก ท่าทางตื่นตะลึงมาก
“คุณหนูเว่ย ท่านได้ยินด้วยหรือ?”
เว่ยหนิงพยักหน้า “ข้าไม่ได้หูหนวกนะ” นางกอดอกทำท่านึก “อืม...ข้าเคยได้ยินข่าวของเจ้า เห็นว่าร้ายกาจมากจนถูกบ้านสามีหย่าและขับไล่ เพราะแบบนี้ ตอนแรกข้าจึงไม่ค่อยชอบเจ้าเท่าใด แต่ไม่คิดว่าสาเหตุแท้จริงเป็นเพราะคุณหนูคนนั้น”
ว่าพลางหันมาจับมือติงยวี่ถิง “เจ้าอย่ายอมเชียว ต้องจัดการหญิงชู้และทวงคืนผู้ชายของเรากลับมา”
ติงยวี่ถิงส่ายหน้า “ไม่ดีกระมัง”
“ดีสิ! เขารูปงามหล่อเหลาปานนั้น” เว่ยหนิงจริงจัง นางดึงมือติงยวี่ถิงมานั่งลง “มาเถอะ นั่งจิบชาให้สบายใจ ช่วยกันคิดหาวิธีแย่งผู้ชายคืนจากหญิงชู้กันดีกว่า”
“...”
“ว่าอย่างไร อย่าเงียบสิ”
“คุณหนูเว่ยควรห่วงเรื่องคุณชายไป๋มากกว่านะ”
เว่ยหนิงยิ้มกริ่ม “ข้าคิดว่าพี่ใหญ่ได้คำตอบแล้วล่ะ เดี๋ยวยามที่สองสกุลเจรจา ท่านพี่ย่อมช่วยออกปากคัดค้านแทนข้าแน่ ถึงอย่างไรเขาเองก็สนับสนุนให้น้องสาวได้แต่งงานกับบุรุษที่ใจตรงกันอย่างแท้จริง มิใช่กับใครก็ได้ตามคำผู้อาวุโส หากมีพี่ใหญ่ออกหน้า ย่อมไม่ต้องกังวลแล้วล่ะ เอาเรื่องของเจ้าดีกว่า วันนี้เจ้าช่วยข้าเอาไว้ได้อย่างราบรื่น ต่อไปข้าจะช่วยเจ้าบ้าง” นางทำตาพราวยกยิ้มเหี้ยมเกรียม “เจ้าเป็นสตรีร้ายกาจมิใช่หรือ? มิใช่เรื่องยากกระมัง?”
“...”
ติงยวี่ถิงเพิ่งรู้ว่าเว่ยหนิงเป็นสตรีเช่นนี้ อีกฝ่ายคงอยากได้เองนั่นแล
เฮ้อ...แต่คนผู้นั้นก็มีเสน่ห์จริงๆ เห็นทีไรใจเต้นทุกที ไม่แปลกที่ผู้หญิงหลายคนอยากได้
ผู้เฒ่าคนนี้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าธรรมดาค่อนข้างเก่าและขาด เมื่อมองเห็นผู้คนในร้านก็ไม่กล้าเข้ามา ยิ่งไม่กล้าเอ่ยวาจา เพียงก้มหน้านอบน้อม ถ่อมตนมาก สงบปากสงบคำขั้นสุด เหมือนกลัวจะพลั้งปากหลุดคำพูดสมควรตายออกมาให้ผู้ได้ยินรู้สึกระคายหูอย่างไรอย่างนั้นผู้หนึ่งต้องใช้ชีวิตระแวดระวังขนาดนี้ ไม่รู้ว่าเคยเจอเรื่องร้ายปานใดมา ติงยวี่ถิงมองแล้วให้รู้สึกคิดถึงแม่ตัวเองในชาติที่แล้ว ถูกสามีทิ้ง เงินไม่มี ต้องเลี้ยงลูกตามลำพัง พอกลับบ้านเดิมก็ไม่มีใครอยากต้อนรับ แม่ก็เลยจำต้องก้มหน้าให้ทุกคนในตระกูลเหยียบย่ำ ตำหนิด่าทอสารพัด ตกต่ำกระทั่งพูดอะไรไปกลับไม่เคยเข้าหูพวกญาติๆ ท่าทีจึงระมัดระวังคำพูดเช่นนี้ และยังชอบทำทีเป็นแข็งแรงเช่นนี้ต่อหน้าเหมือนกัน กระทั่งล้มป่วยและใกล้จากลานั่นแหละถึงยอมรับว่าเจ็บมากจนทนไม่ไหวเฮ้อ...คิดถึงแม่จังติงยวี่ถิงนึกพลางจับประคองหญิงชรา พาเดินเข้ามาด้านในอย่างระมัดระวัง โดยไม่ฟังเสียงทัดทานจากอีกฝ่าย ท่าทางอย่างนั้นทำเอาเสี่ยวจิงที่ยังคงยืนมองอยู่ถึงกับเบิกตาโพลงประหนึ่งเจอผี“นายหญิงเจ้าคะ แค่ขอทานเท่านั้น สกปรกยิ่ง ไม่จำเป็นต้องใส่ใจเจ้าค่ะ” “ไม่ใส่ใจได้อย่างไร
ติงยวี่ถิงหยิบกระดาษจับพู่กันมาปาดหมึกเขียนกำกับว่าตัวไหนกิน ตัวไหนใช้ทาบำรุงภายนอกแล้วใส่หีบห่อแยกให้อย่างชัดเจน นอกจากไม่ตระหนี่คำชมต่อลูกค้า นางยังไม่ตระหนี่ความรู้ มักสอดแทรกเคล็ดลับการดูแลผิวพรรณควบคู่ไปกับการบำรุงสุขภาพร่างกายอีกมากมาย ประหนึ่งเป็นหมอยาประจำบ้าน เป็นที่กุนซือประจำเรือนหลังให้สตรีทุกบ้้าน โดยไม่คิดเงินเพิ่มยาทุกห่อถูกนำมาใส่กระเป๋าที่เป็นเอกลักษณ์พิเศษ มีเฉพาะที่โรงยาเจี้ยนคัง เป็นการนำรูปแบบกระเป๋ายุคใหม่มาตัดเย็บประยุกต์ใช้กับยุคโบราณแห่งนี้หญิงสาวชอบงานฝีมือแต่ไม่เก่งเท่าใด แน่นอนว่าที่นี่ไม่มีถุงพลาสติก นางจึงทำถุงผ้าแบบง่าย เป็นกระเป๋าแบบมีเชือกถักไม่ได้ปักลาย เอาไว้ฝึกฝนเก่งขึ้นหรือหาช่างฝีมือดีๆ มาได้ค่อยพัฒนาปรับปรุงแล้วกันระหว่างขายของอยู่หน้าร้าน สายตาของติงยวี่ถิงพลันหันไปเห็นหญิงชราผอมแห้งท่าทางมอมแมมผู้หนึ่ง เดินโซซัดโซเซแล้วล้มลงตรงทางเข้าหน้าร้านพอดีหญิงสาวตกใจนัก รีบหันไปสั่ง “เสี่ยวจิง เจ้ามาดูแลจัดสินค้าให้ฮูหยินซูทางนี้ อย่าลืมแยกใส่หีบห่อให้ชัดเจนด้วยนะ สังเกตให้ดีว่าตัวไหนกินตัวไหนทา อย่าใส่ผิด ข้าจะไปดูท่านป้าผู้นั้นสักหน่อย”จังหวะนั้นล
“ฮูหยินซู ท่านจะนำยาทาหน้าไปกินไม่ได้เจ้าค่ะ!” หญิงสาวบอกแก่ลูกค้าคนหนึ่งด้วยน้ำเสียงห่วงใยกึ่งตกใจอีกฝ่ายบอกว่า “ยาตัวนี้น่ากินเหลือเกิน ข้าอยากซื้อเพราะมันเหมือนลูกท้อเชื่อม ต้องอร่อยแน่ๆ” นางหัวเราะ “เจ้าทำยาออกมาได้งดงามยิ่งนัก น่ากินทั้งหมดเลย”ติวยวี่ถิงยิ้มในหน้าแต่กลุ้มใจหนัก สหายรักออกแบบกล่องบรรจุ ส่วนนางขึ้นรูปไว้เป็นก้อนกลมกลึงเกลี้ยงเกลา เคลือบสีสันสวยงามเป็นมันวาว ยานี่น่ากินเกินไปแล้วจริงๆ หญิงสาวรีบอธิบาย “ตัวนี้กินไม่ได้เจ้าค่ะ เวลาจะใช้ต้องบีบเม็ดยาออก นำเอาน้ำมันด้านในมาลูบไล้บนผิวหน้าให้ทั่วอย่างเบามือ ตัวนี้ทาตอนเช้า ตัวนี้ทาผิวก่อนนอน ส่วนด้านนอกที่ใช้ห่อตัวยาก่อนหน้า ข้าผสมสมุนไพรลงในเนื้อแป้ง สามารถนำไปละลายน้ำ ใช้แช่ตัวในน้ำและอาบ ช่วยบำรุงผิวกายเจ้าค่ะ”สรรพคุณดีล้ำจริงๆ แต่ฮูหยินซูยังทำสีหน้าเสียดาย “กินไม่ได้หรือ?”“เจ้าค่ะ” ติงยวี่ถิงพยักหน้า หันไปหยิบยาอีกตัวมา ลักษณะคล้ายดอกกุหลาบบรรจุอยู่ในกล่องประณีตลายเมฆ ค่อยๆ อธิบายต่ออย่างใจเย็น “แต่ตัวนี้กินได้เจ้าค่ะ กินง่าย ย่อยง่าย บำรุงจากภายใน ร่างกายดูดซึมได้ดี รสชาติหวาน แต่กลมกล่อมกำลังดี ไม่ขมเฉกยาบำร
ติงยวี่ถิงเองอยากมีสามีก็จริง ปรารถนามีลูกๆ มีครอบครัวเหมือนคนทั่วไปก็ใช่ทั้งโลกเก่าและโลกนี้ที่ทะลุมิติมาอาศัย นางได้ใช้ชีวิตอย่างที่เห็น ทำงาน ค้าขาย เรียกได้ว่ามีอิสระมากมาย อยากไปไหนก็ได้ไป อยากทำอะไรก็ได้ทำ เงินก็พอมีแล้วไง จึงมีความคิดว่าอยากแต่งงานเหมือนคนอื่นบ้าง อยากเป็นแค่เพียงภรรยาตัวน้อยที่เชื่อฟังสามีและดูแลลูกๆ อย่างดี เป็นคุณแม่ยังสาวที่ไร้ที่ติคนหนึ่งแต่ไม่ได้อยากทำตัวชั่วร้ายเหมือนร่างเก่าแล้วไง ยิ่งไม่อยากแย่งชิงกับใครแล้วด้วยแค่คิดก็เหนื่อยยิ่ง...ดังนั้น ในเมื่อหลงยุคมาเป็นหม้ายแต่งงานไม่ได้ง่ายๆ เอาสมองมาคิดเรื่องหาเงินดีกว่านะตัวเราวันนี้โรงยายังคงมีงานที่ยุ่งวุ่นวายเช่นเดิมติงยวี่ถิงเองก็ไม่เคยหยุดนิ่ง แม้นางเป็นเถ้าแก่เนี้ยแต่หยิบจับทุกอย่างเหมือนคนงานอื่นๆจนมือเป็นระวิง พอว่างจากงานในลานสมุนไพร นางก็หาอย่างอื่นทำหญิงสาวกำลังฝึกฝนการใช้ลูกคิดอย่างขะมักเขม้น ฟังเสียงลูกคิดให้รู้สึกว่าช่างไพเราะยิ่งนัก ยังคิดว่าหากลองประดิษฐ์ลูกคิดจากลูกแก้วจะไพเราะขนาดไหน หรือว่าจะทำจากหยกดี แต่ว่า มันจะทนมือเหมือนทำจากไม้หรือไม่นะ ตอนกระทบกันมันเพราะก็จริงแต่มันจะแตกร้า
ทางฝั่งติงยวี่ถิงเว่ยหนิงยิ้มร่า จับมือติงยวี่ถิงเดินไปอย่างอารมณ์ดี “ข้าสบายใจแล้ว เรามาจิบชากันเถอะ เจ้านั่งตรงนี้รอก่อน ข้าจะไปสั่งคนนำขนมมาให้”“ข้าไม่หิว คุณหนูเว่ยอย่าลำบากเลยเจ้าค่ะ”“ไม่ลำบากๆ ข้าต้องตอบแทนเจ้าให้มากหน่อย” จบคำก็เดินไปสั่งการสาวใช้ที่ยืนรอรับใช้อยู่อีกฝั่งทันทีจังหวะนั้น พลันมีเสียงสดใสของสตรีนางหนึ่งเอ่ยทักทายติงยวี่ถิง “ไอ่โยว! นี่มิใช่แม่นางติงหรอกหรือ?”เจ้าของเสียงจะเป็นใครไปได้ หากมิใช่คู่อริคนเก่า ติงยวี่ถิงหันมองขวับ เห็นเหวินฟางยืนตะหง่านตรงหน้า เหยียดปากว่าต่อ “ข้านึกว่าสตรีดีงามจากที่ใด แต่งกายโดดเด่นเกินหน้าเช่นนี้ ช่างไร้มารยาทเหลือเกิน ทำตัวแย่ยิ่งนัก คงลืมตัวกระมังว่าเป็นแค่หญิงหม้าย บุรุษใดจะชายตาแลถึงขั้นสู่ขอตบแต่งเป็นภรรยาออกหน้าออกตา ย่อมได้เป็นแค่อนุชั้นต่ำเท่านั้น”ตรงจุดนี้มีพุ่มดอกไม้กั้นจากผู้คน จึงมีเพียงพวกนางแค่สองคนเท่านั้น จึงไม่แปลกที่สตรีผู้หนึ่งจะกล้าพูดเช่นนี้เหวินฟางเชิดคางมองนางด้วยสายตาเย้ยหยัน “อยากให้ข้าช่วยประกาศหรือไม่เล่า? ว่าเจ้าทำตัวต่ำทรามชั่วช้าปานใดถึงถูกบ้านสามีหย่าร้างและขับไล่เอาได้”ติงยวี่ถิงมีหรือจะกลัว
ทางฝั่งเว่ยเฉิงพวกเขารู้จักกันระดับหนึ่งจึงทักทายอย่างคุ้นเคย ยังมองเลยไปทางฝั่งสตรีอีกสองคน “นั่น น้องข้า เว่ยหนิง”ชายหนุ่มเพิ่งสังเกตเห็นเช่นกันว่าไป๋ซั่วมิได้มองน้องสาวของตนแต่กลับมองอีกคน เขากระแอม “เอ่อ...คุณชายไป๋ หนิงเอ๋อร์ของข้าสวมชุดสีชมพู มิใช่สีแดง”ไป๋ซั่วชะงัก “อ้อ...คุณหนูเว่ยใส่ชุดสีชมพูนั่นเอง” หน้ากลมบวมแดง ลงแป้งแต้มชาดเยอะเหมือนงิ้วขนาดนั้น ยังดูออกว่าเป็นรอยผดผื่นขรุขระ อัปลักษณ์สิ้นดี“วันนี้คุณหนูเว่ยแลดูน่ารักสดใสเหลือเกินขอรับ” ปากเอ่ยวาจาเช่นนั้น ทว่าสายตาก็ยังมองเพียงสตรีชุดแดงอย่างเผลอไผลอยู่ดี ในเมื่อคนหนึ่งขี้ริ้วขี้เหร่ปานนั้น อีกคนยังงามบาดตาบาดใจปานนี้ ทำเขามิอาจถอนสายตาได้เลยเว่ยเฉิงนิ่วหน้าเล็กน้อย ค่อยๆ แนะนำอย่างเสียมิได้ “สตรีชุดแดงคือแม่นางติง เจ้าของโรงยาเจี้ยนคัง ยามนี้ชื่อเสียงโด่งดังมากในเมืองหลวงเชียว คุณชายไป๋เพิ่งมาจากเมืองซิวโจวใกล้ๆ นี่เอง คงเคยได้ยินบ้างกระมัง”“อ้อ...” ไป๋ซั่วพยักหน้า ดวงตาลุกวาวหากเอ่ยถึงเจี้ยนคังเขาย่อมเคยได้ยินมาบ้าง ข่าวว่านางเก่งกาจดูแลดูแลกิจการเองทุกขั้นตอน นับเป็นสตรีที่มีความสามารถอย่างยิ่ง ไม่น่าเชื่อว่า