เข้าสู่ระบบหลานสาวขมวดคิ้วสงสัย หญิงสาวพอจะรู้ว่าการที่คุณอาของเธอย้ายออกมาอยู่คอนโดก็เพื่อความสะดวกในเรื่องของการเดินทางมาบริษัท อีกทั้งยังมีแหล่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ทั้งห้างสรรพสินค้า รถไฟฟ้า สวนสาธารณะและอีกมากมาย โดยเฉพาะคอนโดที่ผู้เป็นอาอยู่ก็เป็นหลักสิบล้านเพราะทั้งสะดวกครบทุกความต้องการ บริการดี ความปลอดภัยสูง อย่าให้พูดถึงเรื่องเก็บความลับให้ลูกค้า ขึ้นชื่อว่าเป็นที่หนึ่งเรื่องเก็บข้อมูลของลูกค้าเป็นอย่างดี มีครั้งหนึ่งที่แม้พนักงานจะทราบว่าเธอเป็นใครและเป็นอะไรกับชายหนุ่มก็ยังไม่ยอมบอกเลย คอนโดมิเนียมหรูแห่งนั้นจึงเป็นที่นิยมของลูกหลานคนรวยระดับต้นของประเทศ รวมไปถึงไฮโซเซเลบมากหน้าหลายตา ไหนเลยคนเป็นอาจะหนีที่ดีๆ ไปที่อื่นได้อีก
หรือว่าจะมีที่ดีๆ กว่านี้กันนะ
“ที่ใหม่มันใกล้บริษัท อีกอย่างที่นี่ก็ดีไม่แพ้กัน” คนเป็นอาตอบพลางยิ้มกริ่มก่อนจะเฉลยให้หลานสาวรู้ “คอนโดของไอ้ธี”
“คอนโดของอาธี! ก็คอนโดเดียวกับยายนิดเลยน่ะสิคะ” เชอเอมทวนคำด้วยความตกใจก่อนจะพูดขึ้นมาในสิ่งที่ผู้เป็นอารู้อยู่ก่อนแล้ว
หนำซ้ำก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เขายอมปล่อยห้องอีกที่ให้เช่าเพื่อย้ายมาอยู่คอนโดเดียวกับขนิษฐาที่ไม่ได้แตกต่างกันนัก โดยเฉพาะราคาที่ถูกกว่าของห้องที่อยู่ชั้นยี่สิบลงไป แต่ก็แพงกว่าเมื่ออยู่ชั้นที่ยี่สิบเอ็ดขึ้นไป
แน่นอน เขาเลือกที่จะอยู่ชั้นที่สามสิบห้า ที่เป็นห้องชุดสุดหรูเพียงสี่ห้องและใช่ มันคือชั้นเดียวกับขนิษฐาแถมด้วยห้องฝั่งตรงข้าม ทั้งนี้ก็ได้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดียิ่งกว่าลูกค้าท่านอื่นจากธีรภพเพื่อนสนิทที่เป็นนักธุรกิจกลางคืนและอสังหาริมทรัพย์อีกสองสามที่ทั้งในกรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ และประจวบคีรีขันธ์
“งั้นเหรอ ดีเลยสิ อาจะได้มาและกลับพร้อมหนูนิดเลย” อัฐพลแกล้งพูดเหมือนคนเพิ่งรู้จากปากของหลานสาว ทั้งที่ตลอดหนึ่งเดือนเขาคอยตามดูเพื่อนของหลานสาว จนบัดนี้ถึงเวลาที่จะลงมือจัดการกับหญิงสาวที่หนีออกจากคอนโดของเขาเสียที
“หยุดเลยค่ะ อาอัฐกำลังจะทำให้ยายนิดถูกนินทาเหมือนน้าเสาวนี ไม่ได้หรอกค่ะ อาห้ามดึงเพื่อนเอมไปแปดเปื้อนกับผู้หญิงคนนั้นเลย ถ้าไม่ติดว่าเขาต้องคอยประสานงานกับทางต่างประเทศให้กับบริษัทเรา เอมจะให้คุณพ่อไล่ออกไปให้สิ้นเรื่อง”
เชอเอมพูดรวดเดียวจบด้วยอารมณ์ขุ่นมัวเล็กน้อยเมื่อยามนึกถึงผู้หญิงคนนั้นที่พอกลับมาจากต่างประเทศก็วิ่งแจ้นมาหาอาของเธอจนพนักงานไม่เป็นอันทำงานต้องมานั่งซุบซิบนินทากันตลอด ครั้งนี้ก็เช่นกัน ตั้งแต่กลับมาก็เอาแต่คลุกคลีอยู่กับคุณอาของเธอทุกวัน
“อาว่าดีนะ อาสุงสิงกับเพื่อนเอมดีกว่านี ไม่ดีเหรอ”
ชายหนุ่มขบขันก่อนจะเย้าหยอกหลานสาว ทว่าแฝงความจริงจังอยู่ในทีกับประโยคคำพูด
“อือ...” หลานสาวครุ่นคิด “มันก็ดีอยู่ แต่...”
ลากเสียงยาวชำเลืองตามามองผู้เป็นอาพลางครุ่นคิดอีกครั้งอย่างต้องการเรียบเรียงความคิดกับคำพูดให้ดีและต้องมั่นใจว่าจะไม่ทำให้ตัวเองขายหน้า อีกทั้งอาจจะทำให้เพื่อนดูไม่ดีในสายตาของผู้เป็นอาหากตนพูดอะไรออกไปโดยไม่ไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน
“ไม่ต้องแต่หรอก อาไม่ทำให้เพื่อนเราถูกว่าร้ายหรือถูกนินทาได้หรอก”
“เอมเชื่อได้แค่ไหน เอาจริงๆ เอมก็รู้สึกดีที่ยายนิดไม่ต้องนั่งแท็กซี่กลับ แต่เอมก็อดห่วงเพื่อนไม่ได้ อาน่ะก็ร้ายพอๆ กับพี่พี”
เชอเอมถามออกไปตามตรง ไม่วายเหน็บแนมผู้เป็นอากับพี่ชายของตนซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องที่เพิ่งย้ายมาอยู่ที่บ้านได้ปีกว่าแล้วซึ่งมีนิสัยคล้ายกันในเรื่องของความรักที่ไม่เคยคบใครเป็นตัวเป็นตนเสียที มิหนำซ้ำยังควงนางแบบแต่ละครั้งก็ไม่เคยซ้ำหน้า ทั้งนี้ก็เพราะผู้เป็นอาที่เคยมีข่าวหลุดและเธอเคยบังเอิญเจออาของตนควงนางแบบมากหน้าหลายตาอยู่หลายครั้ง
“อาเป็นอาของเอมนะ เพื่อนเอมก็เหมือนหลานอา...จะดูแลอย่างดี”
อัฐพลพูดพลางยักไหล่อย่างไม่ยี่หระก่อนยกยิ้มมุมปากจนเชอเอมไม่ทันสังเกตและพูดขึ้นใหม่ด้วยน้ำเสียงมีเลศนัย ทว่าแววตาฉายชัดถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงที่มันปิดไม่มิด
“...ก็ได้ค่ะ แต่ถ้าเอมได้ยินอะไรมาไม่ดี เอมเล่นงานอาอัฐแน่ ไปเถอะค่ะ” เชอเอมแกล้งแยกเขี้ยวใส่อัฐพลก่อนจะคว้าแขนของอาหนุ่มเดินออกจากแผนกที่ตนกับเพื่อนกำลังฝึกงานไปยังลิฟต์ทันที เมื่อเหลือบไปเห็นเวลาว่าเลยสี่โมงครึ่งมาแล้ว สาวเจ้าจึงกลัวว่าจะเตรียมตัวไม่ทันก่อนงานปาร์ตีเริ่ม อีกทั้งเจ้าของงานก็ควรจะไปถึงก่อน
เธออยากจะย้ายที่ฝึกงานเสียจริง
ใครจะคิดว่าวันนี้ชายหนุ่มจะลงจากชั้นของผู้บริหารมายังแผนกที่หญิงสาวทำงาน ทั้งที่ร้อยวันพันปีเขาไม่เคยลงมาเลยแม้แต่ในเวลาเลิกงาน ขนาดลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนมาฝึกงานที่บริษัททั้งที คนเป็นพ่อที่เป็นถึงผู้บริหารสูงสุดยังไม่ลงมาต้อนรับเลย
ไหงวันนี้เขาถึงลงมาได้ล่ะ
เธอก็อุตส่าห์คอยหลบหน้าหลบตามานาน สุดท้ายก็มาพลาดเอาวันนี้ มิหนำซ้ำยังมาทำท่าทางถึงเนื้อถึงตัวแถมด้วยคำพูดคำจาให้เธอรู้สึกกระดากอายอยู่คนเดียว แม้เพื่อนของเธอจะไม่เข้าใจก็ตาม
แต่คนที่เข้าใจก็มีแต่เธอกับเขานี่นะ!
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกอยากจะหายไปจากแผ่นดินนี้เสียให้รู้แล้วรู้รอด คนอะไรหน้าหนายิ่งกว่าปูนซีเมนต์ ในหัวก็ก่นด่าอาของเพื่อนพลางเดินตรงไปที่ลิฟต์เพื่อขึ้นไปพักผ่อน แต่แล้วก็ต้องรีบหลบให้กับพนักงานขนย้ายที่กำลังย้ายของเข้าลิฟต์ ทว่าการก้าวถอยหลังหลบกะทันหันทำให้เธอพลาดข้อเท้าพลิกเพราะใส่ส้นสูงจึงทำให้เธอล้มง่ายมากกว่าจะแค่เซถอยหลังเท่านั้น แต่แล้วก็เหมือนโชคช่วยเมื่อมีมือใหญ่มารับเธอไว้จากด้านหลังไม่ให้ล้มลงกระแทกพื้นจนต้องเจ็บตัวและยังทำให้เธอไม่ต้องเจ็บข้อเท้าจนอาจเดินไม่สะดวกก็เป็นได้
“ขอบคุณค่ะ”
หญิงสาวเงยหน้าหันไปมองเจ้าของมือที่ช่วยรับเธอไว้ก่อนจะรีบผละออกห่างเมื่อพบว่าเป็นธีรภพเจ้าของคอนโดมิเนียมที่เธอพักอยู่พลางกล่าวขอบคุณ
“ไม่เป็นไรครับ ใช้ลิฟต์อีกตัวก็ได้ครับ วันนี้มีลูกค้าคนพิเศษย้ายเข้ามามันก็เลยวุ่นวาย เอ่อ อาจจะทำให้คุณหนูนิดรำคาญใจหน่อยนะครับ เขาย้ายมาอยู่ชั้นเดียวกับคุณหนูนิด”
“เอ่อ…ค่ะ ฉันไม่ซีเรียส ว่าแต่คุณรู้จักฉันด้วยเหรอคะ”
ขนิษฐาถามพลางยิ้มบางอย่างแปลกใจ หญิงสาวพอจะรู้จักชายหนุ่มที่เป็นเจ้าของคอนโดมิเนียมสุดหรูแห่งนี้ แต่คนอย่างเขาก็ไม่น่าจะมารู้จักคนอย่างเธอที่ไม่ใช่คนดังหรือคนมีชื่อเสียงเสียหน่อย แม้แต่คำว่าไฮโซเซเลบก็ไม่เคยถูกใช้กับเธอ ไม่เหมือนกับเชอเอมที่มักถูกเรียกด้วยคำเหล่านี้
“ทำไมจะไม่รู้จักล่ะครับ ขนิษฐาหรือหนูนิด ลูกสาวอดีตนักแสดงสาวเบอร์ต้นๆ ของประเทศที่ผันตัวไปเป็นทูตสันถวไมตรีเต็มตัวหลังได้รับตำแหน่งกับนักเขียนชาวอิตาลีร้อยล้านชื่อดัง”
“อ๋อ รู้จักฉันจากชื่อเสียงพ่อกับแม่นี่เอง”
ขนิษฐาพยักหน้าอย่างเข้าใจ หญิงสาวเข้าใจในทันทีว่าหมายถึงอะไรทำไมเขาถึงพูดถึงพ่อแม่ของเธอที่เป็นเหมือนใบเบิกทางให้ทุกคนรู้จักกับเธอในฐานะลูกสาวเพียงคนเดียว ไม่มีพี่หรือน้องยกเว้นพี่ชายต่างแม่ที่เป็นลูกติดของพ่อก่อนท่านทั้งสองจะแต่งงานกันและทันทีที่แม่คลอดเธอก็ทำหมันอย่างไม่ลังเลเพราะอยากใช้ชีวิตท่องเที่ยวไปกับพ่อที่เป็นคนอิตาลี ไม่เพียงแค่เรื่องเที่ยวเท่านั้นแต่ท่านทั้งสองก็ยังมีงานที่ต้องคอยออกเดินทางอยู่ตลอดเวลา
ใช่ เธอมีเชื้อสายเป็นลูกครึ่งอิตาลี
“ครับ งั้นเชิญที่ลิฟต์ตัวนี้ดีกว่า เดี๋ยวผมจะขึ้นไปด้วย ไปต้อนรับเขาสักหน่อย”
“ได้ค่ะ”
หญิงสาวส่งยิ้มพลางพยักหน้าก่อนจะพากันเดินไปยังลิฟต์อีกตัวเพื่อใช้ขึ้นไปยังห้องพักของเธออย่างไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าแค่ว่าเจ้าของโรงแรมเพียงแค่จะขึ้นไปต้อนรับลูกค้าที่เข้ามาใหม่และคงพิเศษมากพอสมควร อีกฝ่ายถึงต้องขึ้นไปต้อนรับด้วยตัวเอง
สงสัยต้องระมัดระวังไม่ให้ตัวเองไปรบกวนเพื่อนบ้านคนใหม่เสียแล้ว
แสงแดดยามสายของวันสาดส่องเข้ามาภายในห้องนอนปลุกให้เชอเอมตื่นจากภวังค์เมื่อแสงแดดที่ลอดผ่านเข้ามาในห้องกระทบลงบนเปลือกตา หญิงสาวยกมือขึ้นมาบังแสงแดดพลางขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิดใจก่อนเปลี่ยนมากุมขมับฉับพลันเมื่ออาการปวดศีรษะแล่นปราดขึ้นมาจนต้องร้องโอดครวญออกมาก่อนพลิกตัวนอนตะแคงข้างกุมขมับ “ปวดหัวชะมัด ไม่น่าดื่มเข้าไปเยอะเลยเรา” เสียงหวานบ่นอุบกับตนเองก่อนจะค่อยๆ พยุงตัวเองลุกขึ้นมานั่งอย่างยากลำบากเมื่ออาการปวดศีรษะยิ่งทวีคูณขึ้น แต่แล้วความรู้สึกเย็นวาบทั่วทั้งตัวส่วนบนก็ทำให้หญิงสาวชะงัก อาการปวดศีรษะทุเลาลงลืมตาขึ้นด้วยความฉงนก่อนมองไปรอบๆ จึงพบว่าตนไม่ได้นอนอยู่ในห้องนอนตัวเอง แต่แล้วสายตาไปสะดุดลงที่กรอบรูปหัวเตียงของอัฐพลจึงรับรู้ได้ว่าตนค้างคืนที่ห้องของผู้เป็นอา ทว่า ขณะที่เชอเอมกำลังเรียบเรียงสติและความทรงจำเหตุการณ์ตั้งแต่เมื่อคืนก็ต้องสะดุ้งตกใจเมื่อมีแขนหนักๆ ของใครบางคนมาพาดลงบนหน้าตักของตัวเอง หญิงสาวจึงก้มลงมองแขนแกร่งที่อยู่บนตักแต่ไม่เท่ากับความน่าตกใจที่ได้พบว่าตัวเองกำลังเปลือยเปล่า เธอรีบปัดแขนแกร่งออกจากตักพลางดึงผ้าห่มขึ้นมาห่อ
เสียงคลื่นทะเลซัดเข้าฝั่งไพเราะรับเข้ากับเสียงลมและเสียงธรรมชาติชวนให้ขนิษฐาที่นั่งอยู่บนผ้าปูริมชายหาดระบายยิ้มรับสายลมอย่างมีความสุขพลางหลับตาพริ้มสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอด ยิ่งเพิ่มรอยยิ้มยิ้มให้กว้างขึ้นเมื่อเวลานี้เธอสามารถยิ้มได้อย่างไม่ติดขีดใดๆ ได้อีกเมื่อความสุขที่แท้จริงได้ก่อเกิดขึ้นในชีวิตของเธอแล้ว เมื่อเสียงหัวเราะใสอย่างสนุกสนานของลูกชายวัยห้าขวบที่กำลังวิ่งหยอกล้อกับผู้เป็นพ่ออยู่เบื้องหน้า ขนิษฐาเปิดเปลือกตาขึ้นมามองภาพอัฐพลกำลังวิ่งไล่จับลูกชายก่อนจะจับได้พลางยกขึ้นจากพื้นทรายเพื่อเล่นให้ลูกชายรู้สึกหวาดเสียวอย่างสนุกสนานและชอบใจ มือเล็กที่เท้ากับพื้นยกขึ้นมาเพียงหนึ่งข้างเพื่อลูบวนเบาๆ ที่หน้าท้องนูนของตนที่มีอายุครรภ์ในหกเดือน หญิงสาวมองสามีและลูกชายอย่างมีความสุขอย่างเต็มความรู้สึกหลังเหตุการณ์มากมายผ่านพ้นไป พลันฉุกคิดถึงตนเองที่ตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาลอีกครั้งแม้จะพบว่าลูกของหญิงสาวปลอดภัยแต่ก็ควรระวังไม่ให้ออกแรงด้วยเพราะเจอเหตุการณ์และการกระทบกระเทือนมา จนคนเป็นพ่อลูกชายวัยห้าขวบกังวลจนเธอแทบทำอะไรเองไม่ได้จัดการให้ทุกอย่างจนแพทย์สั่งให้กลั
“นี คุณหยุดเถอะ โทษหนักจะได้กลายเป็นเบา” จิระภัทรพูดเตือนสติบ้าง“ไม่ต้องพูด คุณบอกฉันว่าเป็นศัตรูกับอัฐไม่ใช่เหรอ ทำไมตอนนี้ดูสนิทสนมกันล่ะคะ” เสาวนีหันมาพูดพลางเล็งปืนออกมาที่ทุกคน“ผมเป็นคนส่งเพื่อนผมเข้าหาคุณเอง ผมผิดเอง...นี ผมขอโทษ คุณยังมีโอกาสที่จะทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้นนะ” อัฐพลตอบพลางขยับเข้าไปใกล้อย่างช้าๆ พร้อมจิระภัทรอย่ารู้กันดีเมื่อเห็นเสาวนีไม่ทันตั้งตัวเซนโซก้าซึ่งเห็นว่าชายหนุ่มทั้งสองกำลังเข้ารวบตัวเสาวนีจังหวะที่อีกฝ่ายกำลังเผลอ เขาจึงคิดเข้าไปช่วยน้องสาวแต่แล้วความเคลื่อนไหวของเขากลับทำให้เสาวนีจับได้จึงบันดาลโทสะออกมา“หยุดนะ! อย่าคิดเข้ามาแม้แต่คนเดียว ฉันยิงนังนี้กับลูกในท้องแน่” เสาวนีตวาดลั่นพลางเล็งปืนสะเปะสะปะไปมาในจังหวะนั้นเองที่อัฐพลตัดสินใจชำเลืองตามองจิระภัทรพลางพยักหน้าอย่างรู้กันก่อนก้าวเท้าเข้าไปล็อกตัวหญิงสาวทันทีให้ออกห่างจากขนิษฐาอย่างไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัวจนสำเร็จ ทว่าปืนกลับลั่นขึ้นหนึ่งนัดสร้างความตกใจแก่ทุกคน ต่างพากันมองไปที่ชายหนุ่มทั้งสองที่กกำลังกอดรัดหญิงสาวเพียงคนเดียวล้มลงไปนอนกับพื้นปัง!ทุกคนให้ความสนใจที่คนทั้งสามโดนไม่ทันสังเกตขนิษฐ
“คุณแค่จะใช่เธอเป็นตัวประกันต่อกรกับมันหมอนั่นไม่ใช่เหรอนี” “ใช่ค่ะ แต่บังเอิญมันท้องฉันเลยต้องทำหลักประกันให้ไม่มีข้อบกพร่องยังไงล่ะคะ คนอย่างอัฐไม่มีทางปล่อยให้ลุกในท้องนังเด็กนั่นเป็นอะไรแน่...หลักประกันชิ้นดีเลยนะคะ” “แต่นั่นเด็กนะนี เด็กทียังไม่...” “เด็กแล้วยังไงล่ะคะ เจตน์ ความจริงตอนนี้คุณไม่มีหน้าที่อะไรแล้ว หน้าที่ของคุณแค่ทำให้ไฟที่งานดับและพาตัวมันมาให้ฉันที่นี่เท่านั้น!” เสียงคนกำลังมีปากเสียงกันปลุกให้ขนิษฐารู้สึกตัวตื่น ไม่เพียงเสียงผู้คนแต่ยังมีลมเย็นที่ปะทะผิวกายจึงทำให้หญิงสาวรู้สึกตัวจนเรียบเรียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ คิ้วทรงสวยขมวดเข้าหากันพลางค่อยๆ ไล่เรียงความทรงจำหลังไฟดับสาวเจ้าผละออกจากอัฐพลพลางหันมองซ้ายขวาท่ามกลางความมืดด้วยความตกใจก่อนจะรู้สึกมีคนเข้ามาประชิดจากด้านหลังพร้อมกับใช้บางอย่างประกบลงที่จมูกและปากของตนก่อนทุกอย่างจะดับวูบไป จนกระทั่งตอนนี้ เธอเปิดเปลือกตาขึ้นจึงพบว่าตนกำลังถูกมัดกับเสาบางอย่างที่ไม่รู้ว่ามันคือเสาอะไรและไม่เพียงรู้ว่าตนถูกมัดติดเอาไว้แน่น แต่ยังรับรู้ว่าตนกำลังอยู่บนดาดฟ้าของบริษั
“สาวน้อยของแม่ ยังไม่ได้มีแค่คำอวยพรจากพ่อแต่ยังมีจากแม่ด้วยนะ...แม่ไม่มีคำพูดอวยพรอะไรมากมายแต่แม่จะขอให้ลูกพบกับสิ่งล้ำค่าอีกชิ้นที่กำลังมีหัวใจดวงน้อยในท้องของหนู ต่อจากนี้ก็เป็นข่าวดีที่จะบอกว่าแม่จะอยู่ที่ไทยจนกว่าหลานแม่จะคลอด” เขมมิกามองสามีและลูกสาวด้วยรอยยิ้มก่อนพูดออกไป ยื่นมือไปลูบศีรษะลูกสาวด้วยความรัก“มาพูดกันแบบนี้ ทำให้หนูไม่อยากให้พ่อกับแม่กลับกันเลยนะคะ” ขนิษฐาพูดขึ้นอย่างออดอ้อนเมื่อได้รับความรักจากพ่อและแม่ของตนท่านทั้งสองส่งยิ้มให้กับลูกสาวก่อนจะหันไปมองทางประตูห้องเมื่อเสียงกริ่งดังขึ้น ขนิษฐาอาสาเดินไปดูบุคคลที่มาเยือนในเวลา พลันฉุกคิดได้ว่าอาจเป็นเซนโซก้าที่กลับจากฮ่องคนแต่แล้วก็ต้องล้มเลิกความคิดนั้นไปหากเป็นพี่ชายก็คงไม่กดกริ่งเช่นนี้ทั้งที่เธอเคยบอกพร้อมยื่นกุญแจห้องสำรองเอาไว้แล้วก่อนอีกฝ่ายเดินทาง แต่แล้วเมื่อหญิงสาวเปิดประตูจึงพบกับอัฐพลที่กำลังยืนถือกล่องสีดำกำมะหยี่พร้อมรอยยิ้มทันทีที่เห็นเธอ“คุณอาไม่ได้เข้าบริษัทไปเตรียมงานเหรอคะ” สาวเจ้าถามหลังหันกลับมาจากหันไปมองพ่อและแม่ของตน“ไปมาแล้วและกลับมาเพื่อเอาสร้อยข้อมือมาให้หนูนิดใส่กับชุด” ชายหนุ่มตอบพล
ขนิษฐานั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าผู้เป็นแม่และพ่อขงอตนด้วยความรู้สึกผิดหลังเล่าทุกอย่างให้พวกท่านได้รับรู้ไม่เว้นแม้แต่เรื่องที่ตนกำลังตั้งครรภ์ลูกของอัฐพล ปฏิกิริยาตกใจแกมนิ่งอึ้งของท่านทั้งสองไม่ได้ผิดคาดไปจากที่ครุ่นคิดเอาไว้ยิ่งทำให้หญิงสาวรู้สึกว่าตัวเองทำเรื่องผิดอย่างไม่น่าให้อภัยในฐานะลูกสาวเพียงคนเดียวของครอบครัว “หนูขอโทษพ่อกับแม่นะคะกับทุกเรื่องที่เกิดขึ้น” หญิงสาวกระพุ่มมือขึ้นมาก้มลงกราบลงที่ตักผู้เป็นพ่อก่อนก้มลงกราบผู้เป็นแม่ตาม ผละออกห่างมองพวกท่านทั้งสองอีกครั้ง สาวเจ้ารู้ตัวเองว่าตนทำผิดและทำตัวให้พวกท่านทั้งสองผิดหวังในตัวเธอโดยเฉพาะกับผู้เป็นแม่ที่แสดงสีหน้าราบเรียบจนเธอดูไม่ออกว่าทันกำลังคิดหรือกำลังรู้สึกเช่นไร ต่างจากผู้เป็นพ่อที่แม้จะแสดงสีหน้าตกใจแกมเสียใจอยู่น้อยๆ แต่ท่านยังมีสีหน้าให้พอเดาออกว่ากำลังรู้สึกเช่นไร “พ่อผิดหวังในตัวลูกที่มีความคิดอะไรก็ไม่รู้ไม่ยอมบอกเขาเสียที” ซานเซสชำเลืองมองภรรยาที่รักก่อนพ่นลมหายใจออกมาเพื่อรวบรวมสติให้มั่นก่อนตัดสินใจพูดออกมาเมื่อภรรยาเอาแต่นั่งนิ่งมองหน้าลูกสาว ด้วยเพราะตนนึกเป







