@บ้านอัครสิริไพศาล
“อุ๊ย! อันนี้ก็สวย อันนี้แม่ก็ชอบนี่ของแม่หมดเลยเหรอ” เสียงกรกนกกำลังเอ่ยชื่นชมของฝากจากต่างประเทศที่ลูกชายคนเล็กหิ้วมาให้อย่างไม่ขาดปากด้วยความชอบใจ
“อันไหนที่คิดว่าแม่ชอบผมก็ซื้อมาหมดแหละครับ”
“แหม! เตนี่รู้ใจแม่ไปหมดเลยนะแถมยังปากหวานช่างพูดอีกด้วย ถ้าพี่ชายเราพูดเก่งได้สักครึ่งหนึ่งของเราบ้างก็คงจะดีสินะ”
“แม่จะรำคาญเอานะครับ” ในขณะที่ผู้เป็นแม่กำลังพูดถึงลูกชายคนโตอยู่ไม่ทันขาดคำ ร่างสูงดูดีของคนที่ถูกพูดถึงก็ก้าวเข้ามาในบ้านพอดี
“หึ! ตายยากฉิบ” เตมินทร์หันไปมองหน้าพี่ชายที่เดินแล้วพูดขึ้นลอยๆ
“ลมอะไรหอบมาเนี่ยราม ไม่เห็นบอกแม่ก่อนเลยว่าจะมา”
“มีคนโทรไปบอกให้เข้ามาเอาของฝากน่ะครับ”
“อ๋อ! ถ้าน้องไม่โทรไปให้เข้ามา ก็คงไม่คิดจะแวะมาหาแม่เลยสินะ” คนคิดถึงลูกชายอยู่ตลอดแกล้งพูดเหมือนน้อยใจ
“ก็มาแล้วไงครับ”
“…”
“ผมซื้อห่อหมกร้านที่แม่ชอบมาด้วย”
“จริงเหรอ แม่กำลังอยากกินอยู่พอดีเลย เรานี่ก็รู้ใจแม่เหมือนกันน้า”
“อะไรกันครับแม่ มันพูดแค่นี้ก็หายงอนแล้วเหรอ” เตมินทร์พูดพร้อมส่ายหน้าให้กับความเปลี่ยนไปไวกริบของแม่ตัวเอง
“จะให้งอนอะไรนักล่ะ แค่พี่เราแวะมาแม่ก็ดีใจแล้ว”
“เฮ้อ~ลูกรักอะเนาะ”
“แม่ก็รักทั้งสองคนนั่นแหละ ว่าแต่ไม่พาหนูริศามาด้วยล่ะราม”
“…” คนถูกถามได้แต่นิ่งไปไม่ยอมตอบอะไร
“ช่วงนี้แกไม่ได้เจอริศาบ้างเหรอ” เป็นเตมินทร์ถามขึ้นต่อทว่ารามก็ยังเงียบอยู่เช่นเดิม
“แสดงว่าไม่ได้เจอกันสินะ ผมบอกแม่แล้วไง ว่ารามมันไม่ชอบคนใสๆซื่อๆแบบริศาหรอก มันชอบแบบ…”
“เงียบ!” รามกดเสียงเข้มข่มน้องชายเพราะรู้ว่าจะพูดอะไรพร้อมกับทำตาดุใส่ แต่เตมินทร์ก็ยักไหล่เป็นเชิงบอกว่าไม่กลัว พี่น้องคู่นี้สูสีกันเรื่องการทำสงครามประสาทอยู่แล้ว
“อย่าดุน้องสิราม เราเองก็เหมือนกันนะเต รู้บ้างอะไรควรพูดอะไรไม่ควร” กรกนกจึงเอ็ดลูกชายทั้งสองไปพร้อมกัน
“ขอโทษครับ ผมแค่คิดว่าถ้าสองคนนี้มันไม่ได้รักกันแม่ก็ไม่น่าไปบังคับตั้งแต่แรก” เตมินทร์กล่าวถึงในเรื่องที่เขาคิดว่ามันก็ไม่ควรเป็นอย่างนั้นตั้งแต่ทีแรก
“แม่ก็ไม่ได้อยากจะบังคับ แม่แค่อยากเลือกคนที่ดีที่สุดให้กับลูก แล้วหนูริศาแม่ก็เห็นมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย หรือเราจะเถียงว่าเพื่อนเราไม่ดี?”
“ดีครับ แต่ริศามันดีเกินกว่าที่จะได้กับเสือผู้หญิงอย่างไอ้พี่ชายผมคนนี้ไง”
“มั่นใจจังนะว่าเพื่อนตัวเองดีมากแกอยู่กับเขาตลอดหรือไง” รามถามน้องชายกลับทันควัน
“ไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดแต่ก็เรียนด้วยกันมาตั้งหลายปี โตมาด้วยกันทำไมจะไม่รู้จักนิสัย เหมือนที่ฉันรู้จักนิสัยแกนั่นแหละ”
“สิ่งที่แกเห็นอาจไม่เป็นอย่างที่แกคิดก็ได้นะไอ้เต อย่ามั่นใจให้มาก” รามยังคงเชื่อในความคิดและความรู้สึกของตัวเอง แม้ว่าน้องชายเขาจะสนิทกับริศาแต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเตมินทร์จะรู้จักตัวตนของเธอทั้งหมด
“พูดงี้หมายความว่าไงว่ะ”
“เอาล่ะๆ เลิกเถียงกันได้แล้วแม่ปวดหัวไปหมดแล้ว เฮ้อ~~” กรกนกที่เห็นว่าศึกครั้งนี้จะไม่จบลงง่ายๆจึงเอ่ยปรามขึ้น แต่แล้วก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่มีใครบางคนเดินเข้ามาที่ห้องนั่งเล่นนี้พอดี ทำให้ทั้งสามหันไปมองผู้ที่เดินเข้ามาใหม่พร้อมกัน และพอเห็นว่าเป็นใครรามก็ถึงกับต้องเมินหน้าหนีไปทางอื่นด้วยความรู้สึกไม่ถูกใจนัก
“อ้าว! เรียวตะ”
“สวัสดีครับคุณน้า” ชายหนุ่มร่างสูงผิวขาวใบหน้าหล่อเหลาแบบลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่นเดินเข้ามายกมือขึ้นไหว้กรกนกอย่างนอบน้อมพร้อมกับปรายตามองเตมินทร์และรามเพียงชั่วครู่
“นั่งก่อนสิจ้ะ เดี๋ยวน้าให้คนไปตามพ่อให้”
“ครับ ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มส่งยิ้มบางๆให้กับภรรยาของพ่อและเดินไปนั่งลงโซฟาที่ว่างอยู่ ส่วนสองพี่น้องที่ตอนแรกเถียงกันอยู่ก็กลับมานั่งเงียบไม่ได้เอ่ยทักทายพี่ชายต่างมารดาแต่อย่างใด ไม่ใช่ว่าพวกเขาทั้งสามไม่ชอบหน้ากัน แต่เป็นเพราะว่าไม่สนิทกันมาแต่ไหนแต่ไรจึงต่างฝ่ายต่างเงียบ ไม่มีแม้แต่จะเอ่ยทักทาย
“แล้วนี่มาคนเดียวเหรอ”
“มากับไอริสครับ แต่รายนั้นขอเดินแยกไปดูต้นกุหลาบที่เอามาฝากคนสวนปลูกไว้ก่อน”
“อ๋อ! เมื่อวานตอนที่น้าไปนั่งจิบน้ำชาในสวนก็เห็นอยู่ กำลังงามเลยแหละ ไอริสนี่เข้าใจเอามาปลูก ว่าแต่รีบกลับกันหรือเปล่าทานข้าวเย็นด้วยกันก่อนสิ”
“ผมกับไอริสก็ว่าจะมาฝากท้องไว้ที่นี่พอดีครับ แล้วก็จะมาคุยเรื่องงานแต่งกับพ่อด้วย”
“หือ? ได้ฤกษ์แต่งมาแล้วเหรอจ้ะ ดีจัง”
พรึบ!
“ผมไปรับโทรศัพท์ก่อนนะครับ” อยู่ๆรามที่ตอนแรกนั่งเงียบๆก็ลุกพรวดพราดขึ้นและเดินออกไปจากตรงนั้นท่ามกลางสายตาของทั้งสามคนที่ยังนั่งอยู่มองหน้ากันเลิ่กลั่ก เพราะเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอพูดอะไรที่ทำให้อีกคนไม่ชอบใจออกไป ทว่าถ้าจะย้อนกลับไปก็คงไม่ทันแล้ว
“ขอโทษนะครับคุณน้า ผมลืมไปว่าเขานั่งอยู่” เรียวตะทำหน้ารู้สึกผิดจริงๆกับกรกนก
“ไม่เป็นไรจ้ะ ยังไงรามก็ต้องยอมรับความจริงให้ได้” กรกนกกล่าวพร้อมกับมองตามหลังลูกชายคนโตของตัวเองออกไปอย่างนึกห่วงอยู่ลึกๆในใจ
“ใช่ มันต้องยอมรับความจริง” เตมินทร์เองก็เห็นด้วยกับสิ่งที่แม่เขาพูดออกมาเช่นกัน
…ด้านราม…
“ฟู่ว~~” หลังจากที่เดินออกมาจากตรงนั้นแล้วรามก็ไม่ได้ออกมาคุยโทรศัพท์ตามที่บอกแม่ไว้ แต่กลับมายืนอัดควันบุหรี่คำใหญ่เข้าปอดเพื่อระบายอารมณ์อยู่แถวบริเวณที่เคยมายืนสูบอยู่ประจำ ความรู้สึกหงุดหงิดที่ได้ยินอะไรไม่ชอบใจทำให้เขาเผลออัดมันเข้าไปอยู่หลายมวน กระทั่งสูบจนพอใจแล้วร่างสูงจึงได้ก้าวพาตัวเองเดินไปที่สวนหลังบ้านต่อ
กึก!
เพื่อมายืนดูใครบางคนก้มๆเงยๆชื่นชมดอกไม้แสนสวยของเธอ
“คิดถึง” คำพูดแผ่วเบาหลุดออกมาจากริมฝีปากหนา พร้อมกันนั้นดวงตาคมกริบของเขาก็จ้องมองเธออย่างไม่วางตา ไม่คิดเลยว่าคนที่ตัวเองหลงรักมานานจะต้องกลายมาเป็นพี่สะใภ้ เขายังรู้สึกรับมันไม่ได้เลยจริงๆ แต่ก็นั่นแหละ ถึงจะรับมันไม่ได้แต่เขาเองก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน
“อ้าว! ราม นายมาด้วยเหรอ โทษทีนะฉันมัวแต่อยากเห็นดอกไม้ที่เอามาปลูกไว้ยังไม่ได้เข้าไปทักทายใครเลย กะว่าอีกสักพักถึงจะเข้าไป” ไอริสที่บังเอิญหันเห็นรามเข้าพอดีจึงเอ่ยทักขึ้น ทำให้คนที่ยืนแอบมองอยู่จำใจต้องเดินก้าวไปหาเธอ
“เธอได้ฤกษ์แต่งแล้วงั้นเหรอ” ปากหนาขยับเอ่ยถามในสิ่งที่ตัวเองได้ยินมาทันทีทั้งที่แววตาก็ยังคงนิ่งอยู่ แต่ในใจมันแสนเจ็บร้าวเหลือเกิน
“ใช่ ต้นปีหน้านี้แหละแต่ยังไม่ได้ลงวัน”
“ไม่เร็วไปเหรอ”
“เร็วอะไรกัน ฉันแก่ลงทุกวันๆต้องรีบหน่อยสิ”
“เธออยากแต่งกับมันมากสินะ” แม้ว่าจะรู้สึกเจ็บปวด ทว่าเขาก็เลือกที่จะถามมันออกไปอีกครั้ง
“นายก็ถามแปลกๆ คนรักกันก็ต้องอยากแต่งงานกันอยู่แล้วป่ะ”
“จะเน้นย้ำฉันไปถึงไหนว่าเธอรักคนอื่น”
“นายถามฉันเองนะราม แล้วฉันก็ย้ำจนกว่านายจะเข้าใจนั่นแหละ” ไอริสบอกกับคนตรงหน้าพร้อมจ้องมองเข้าไปในดวงตาคมของเพื่อนที่เคยสนิทใจกันมากๆ แต่เขากลับเป็นผู้ทำลายมันด้วยการคิดไม่ซื่อกับเธอ
“หึ!”
“ฉันว่าบางทีนายควรจะลองเปิดใจให้ใครสักคนดูบ้างนะรามเผื่อฉันจะได้เพื่อนคนเดิมกลับมา”
“สุดท้ายเธอก็ไล่ฉันไปหาคนอื่น…คงอึดอัดมากสินะ”
“ฉันไม่ได้อึดอัด”
“งั้นก็คงอยากให้ฉันไปพ้นๆ?”
“ราม! นายเริ่มพูดไม่รู้เรื่องแล้วนะ ฉันว่าฉันไม่คุยกับนายแล้วดีกว่า” ไอริสที่เริ่มไม่พอใจคนพูดไม่รู้เรื่องจึงคิดจะเดินหนี
ทว่า…
หมับ!
รามกลับจับแขนของเธอไว้และดึงเข้าหาตัวเอง
“ปล่อยนะราม”
“เรายังคุยกันไม่จบ”
“ก็นายคุยไม่รู้เรื่อง” ไอริสเงยหน้าขึ้นไปจ้องตากับคนตัวสูงอย่างไม่ยอมกัน ที่ผ่านมาเธอชัดเจนมาตลอดว่าคิดกับเขาแค่เพื่อนแต่อีกคนกลับไม่ยอมรับความจริง
“ไอริส” และในระหว่างที่ทั้งสองกำลังถกเถียงกันด้วยสายตาอยู่นั้นก็มีเสียงของใครบางคนเดินเข้ามาเรียกชื่อคนรัก ทำให้รามต้องยอมปล่อยมือออกจากแขนของไอริสและหันไปมองอีกคนอย่างไม่สบอารมณ์
“ไอริสกำลังจะเข้าไปพอดีเลย พี่เรียวตะมีอะไรหรือเปล่าคะ”
“คุณน้าให้มาตามไปทานข้าวเย็นกันน่ะ” เรียวตะบอกกับคนรักแต่ปรายตาไปมองน้องชายต่างมารดาด้วยความไม่ชอบใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ได้เอ่ยอะไร
“งั้นไปกันเถอะไอริสก็หิวแล้ว” ว่าแล้วไอริสก็คว้ามือเรียวตะเดินผ่านหน้ารามไปอย่างจงใจ เธอไม่ได้ทำเพื่อให้รามหึงหวงแต่อย่างใด เธอแค่ทำทุกอย่างให้ชัดเจนเหมือนที่เคยทำมาตลอด การแบ่งเส้นคำว่าเพื่อนของเธอกับรามมันชัดเจนมาตลอดอยู่แล้วจริงๆ…
@ห้องนั่งเล่นของสองพี่น้อง…
“หึ! ย้อมใจหน่อยมั๊ย” น้ำเสียงพูดติดกวนของน้องชายลอยมาพร้อมกับร่างสูงที่นั่งลงตรงข้ามเขา ในมือถือแก้วกับขวดเหล้าชั้นดีติดมาด้วย
รามไม่ได้เข้าไปร่วมวงบนโต๊ะอาหารพร้อมใครๆ เพราะยังคงกลัวตัวเองเก็บอาการไม่ได้หากว่าต้องเผชิญหน้ากับไอริสและเรียวตะ ซึ่งทุกคนก็เข้าใจ
“อย่าหาว่าฉันเสือกเลยนะ แต่ฉันว่าแกควรจะตัดใจจากพี่ไอริสจริงจังได้แล้ว” คนเป็นน้องเปิดหัวข้อสนทนาอย่างตรงไปตรงมา ความจริงแล้วนั้นก็ไม่ได้อยากจะเข้ามายุ่งแต่ทว่าเรื่องนี้มันดันเกี่ยวข้องกับความรู้สึกของหลายๆคนที่อยู่รอบตัวเขา
“แกรู้ใช่ไหมว่าช่วงนี้พ่อสุขภาพก็ไม่ค่อยดี ยิ่งพี่น้องมาหมางใจกันด้วยเรื่องแบบนี้ฉันกลัวว่าพ่อจะยิ่งทรุดหนัก” เตมินทร์เอ่ยอ้างถึงอาการป่วยของพ่อให้พี่ชายคิดตาม ซึ่งรามเองก็พอจะรู้ดีเขาถึงไม่อยากไปร่วมโต๊ะทานอาหารด้วยเพราะกลัวความอารมณ์ร้อนของตัวเอง กลัวว่าจะออกอาการหรือพูดจาอะไรไปให้ทุกคนคิดมากและพากันอึดอัดกว่านี้
“แล้วก็เรื่องริศา” เตมินทร์เปลี่ยนหัวข้อสนทนาเอาดื้อๆ
“ทำไม?”
“แกไม่ได้ไปเจอมันหน่อยเหรอว่ะ”
“ไม่ ไม่มีอะไรต้องให้ไปเจอ” รามไม่ได้เล่าเรื่องที่ไปเจอริศาในร้านเหล้าให้น้องชายฟังเพราะคิดว่าไม่สำคัญอะไร อีกอย่างเขาก็ไม่ได้อยากใส่ใจเรื่องผู้หญิงคนนั้นสักเท่าไหร่ ถึงเธอจะเป็นคู่หมั้นก็เถอะ
“ถ้าแม่ไม่ได้บอกให้ไปแกก็ไม่คิดจะไปเจอเพื่อนฉันหน่อยเลยเหรอ”
“ก็ไม่รู้จะไปทำไม”
“แม่ง โคตรใจร้าย” เตมินทร์อดไม่ได้ที่จะพูดใส่
“แกก็รู้ว่าฉันไม่ได้อยากหมั้น”
“เออ! ก็รู้ แต่หมั้นไปแล้วก็ทำหน้าที่หน่อยดิ อย่างน้อยๆก็ไปรับมากินข้าวบ้านเดือนละครั้งสองครั้งก็ยังดี”
“ถ้าจะห่วงขนาดนั้นทำไมตอนแรกไม่บอกแม่ขอหมั้นไปเองเลยว่ะ จะได้ไม่ต้องลำบากฉัน”
“โว๊ะ! ก็กูเป็นเพื่อน” คุยกันได้ไม่นานพี่น้องก็เริ่มแยกเขี้ยวใส่กันอีก ทว่าก็ไม่ได้จริงจังอะไร
“ลูกชายทั้งสองของแม่ทำอะไรกันอยู่เอ่ย?” กระทั่งกรกนกที่ทานอาหารอิ่มเรียบร้อยแล้วจึงเดินเข้ามาหาลูกชายทั้งสองในห้องนั่งเล่นอีกห้องหนึ่งที่ประจำของพวกเขา พร้อมกันนั้นในมือก็มีจานผลไม้มาด้วย
“โอ๊ะ! ดื่มกันอีกแล้วเหรอ เบาๆกันหน่อยนะลูกเสียสุขภาพหมด” เธออดไม่ได้ที่จะเตือนด้วยความเป็นห่วง
“นิดหน่อยเองครับ เดี๋ยวรามมันก็จะกลับแล้ว”
“ดื่มแล้วยังจะขับรถกลับอีกเหรอ นอนค้างที่นี่ก็ได้ มันก็บ้านลูกเหมือนกันนะ”
“ผมมีงานเช้าครับ”
“งานๆ อะไรก็อ้างงานตลอด” คนเป็นแม่ทำทีเป็นงอนลูกชายเหมือนสาวงอนหนุ่ม ทำให้ทั้งสองพี่น้องต้องยิ้มออกมากับท่าทางแบบนั้นที่แสนจะคุ้นชิน
“ไว้ว่างๆผมแวะเข้ามาอีกครับ”
“ไม่ต้องมาพูดเลย แม่ไม่หายงอนหรอก”
“แล้วผมต้องทำยังไงแม่ถึงจะหายงอนครับ” ลูกชายคนโตที่ถึงจะตีหน้านิ่งใส่คนอื่นตลอด แต่เวลาอยู่กับแม่ของตัวเองก็มีความอ่อนโยนอยู่มาก หากรู้ว่าแม่ต้องการอะไรถ้าเขาทำให้ได้ก็จะทำ ทว่าสิ่งที่แม่เขาต้องการก็คือ…
“ถ้าอยากให้แม่หายงอนรามก็พาหนูริศามาหาแม่บ่อยๆสิ” ใบหน้าหล่อเหลาหุบยิ้มลงทันทีและเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ทำให้กรกนกที่เห็นท่าทีแบบนั้นก็เริ่มไม่พอใจลูกชายอย่างจริงจัง ก็เขาเป็นคนถามเองว่าต้องทำยังไงแม่ถึงจะหายงอน
“หมั้นกันมาตั้งนานแล้วนะราม ไม่คิดจะเปิดใจให้น้องบ้างเหรอไง”
“ผม…” คนเป็นลูกชายไม่รู้จะตอบยังไง
“ลูกไม่เห็นหรือไงว่าเขากำลังจะแต่งงานกัน” พอเห็นว่าลูกชายเงียบไปกรกนกจึงเอ่ยพาดพิงถึงอีกสองคนที่คุยอยู่กับราเมศข้างนอกถึงเรื่องงานแต่งงานที่กำลังจะมีขึ้น
“แม่เห็นนะว่าลูกมองไอริสตลอด รู้ไหมว่าพ่อเขาอึดอัดใจเรื่องนี้แค่ไหน” กรกนกพยายามพูดกับลูกให้นุ่มนวลที่สุดเพราะรู้ว่าเรื่องนี้รามเจ็บปวดมากแค่ไหน
“แล้วแม่จะให้ผมทำยังไงครับ ผมรักไอริสมาก่อนแต่ผมก็ยอมปล่อยไปให้มัน ยังจะเอาอะไรกันกับผมอีก”
“แม่ก็แค่เป็นห่วง ถึงลูกจะรักเขาแค่ไหนแต่เขาไม่ได้รักลูกนี่ ตัดใจไม่ได้หรือไง รู้ไหมว่าทุกคนเขาอึดอัด” พูดจบกรกนกก็รู้ตัวทันทีว่าเผลอพูดอะไรรุนแรงเกินไป แต่มันก็ไม่ทันเสียแล้ว ทั้งสามที่นั่งอยู่ด้วยกันต่างเงียบไปชั่วขณะ…
“ถ้าทุกคนอึดอัดต่อไปผมก็จะไม่มา…ถ้ารู้ว่าสองคนนั้นอยู่ที่นี่…ทุกคนก็จะไม่เห็นผมอยู่” พูดจบรามก็ลุกขึ้นพลางจะสาวเท้าเดินออกไป ทว่า…
“เหมือนกัน! ถ้าสิ่งที่แม่พูดมันทำให้รามไม่พอใจ…ต่อไปแม่ก็จะไม่กวนใจลูกอีก ขอโทษที่แม่เข้าไปจุ้นจ้านกับชีวิตลูกมากเกินไป” แล้วก็เป็นกรกนกเองที่เดินดุ่มๆออกไปจากตรงนั้นด้วยอาการน้อยใจจริงๆที่มี โดยที่ลูกชายทั้งสองของเธอก็ได้แต่มองตามหลังผู้เป็นแม่ไปอย่างที่ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา…