แชร์

บทที่ 4

ผู้เขียน: มุ้ยดอกจิก
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-10-21 14:35:49

@บ้านอัครสิริไพศาล

“อุ๊ย! อันนี้ก็สวย อันนี้แม่ก็ชอบนี่ของแม่หมดเลยเหรอ” เสียงกรกนกกำลังเอ่ยชื่นชมของฝากจากต่างประเทศที่ลูกชายคนเล็กหิ้วมาให้อย่างไม่ขาดปากด้วยความชอบใจ

“อันไหนที่คิดว่าแม่ชอบผมก็ซื้อมาหมดแหละครับ”

“แหม! เตนี่รู้ใจแม่ไปหมดเลยนะแถมยังปากหวานช่างพูดอีกด้วย ถ้าพี่ชายเราพูดเก่งได้สักครึ่งหนึ่งของเราบ้างก็คงจะดีสินะ”

“แม่จะรำคาญเอานะครับ” ในขณะที่ผู้เป็นแม่กำลังพูดถึงลูกชายคนโตอยู่ไม่ทันขาดคำ ร่างสูงดูดีของคนที่ถูกพูดถึงก็ก้าวเข้ามาในบ้านพอดี

“หึ! ตายยากฉิบ” เตมินทร์หันไปมองหน้าพี่ชายที่เดินแล้วพูดขึ้นลอยๆ

“ลมอะไรหอบมาเนี่ยราม ไม่เห็นบอกแม่ก่อนเลยว่าจะมา”

“มีคนโทรไปบอกให้เข้ามาเอาของฝากน่ะครับ”

“อ๋อ! ถ้าน้องไม่โทรไปให้เข้ามา ก็คงไม่คิดจะแวะมาหาแม่เลยสินะ” คนคิดถึงลูกชายอยู่ตลอดแกล้งพูดเหมือนน้อยใจ

“ก็มาแล้วไงครับ”

“…”

“ผมซื้อห่อหมกร้านที่แม่ชอบมาด้วย”

“จริงเหรอ แม่กำลังอยากกินอยู่พอดีเลย เรานี่ก็รู้ใจแม่เหมือนกันน้า”

“อะไรกันครับแม่ มันพูดแค่นี้ก็หายงอนแล้วเหรอ” เตมินทร์พูดพร้อมส่ายหน้าให้กับความเปลี่ยนไปไวกริบของแม่ตัวเอง

“จะให้งอนอะไรนักล่ะ แค่พี่เราแวะมาแม่ก็ดีใจแล้ว”

“เฮ้อ~ลูกรักอะเนาะ”

“แม่ก็รักทั้งสองคนนั่นแหละ ว่าแต่ไม่พาหนูริศามาด้วยล่ะราม”

“…” คนถูกถามได้แต่นิ่งไปไม่ยอมตอบอะไร

“ช่วงนี้แกไม่ได้เจอริศาบ้างเหรอ” เป็นเตมินทร์ถามขึ้นต่อทว่ารามก็ยังเงียบอยู่เช่นเดิม

“แสดงว่าไม่ได้เจอกันสินะ ผมบอกแม่แล้วไง ว่ารามมันไม่ชอบคนใสๆซื่อๆแบบริศาหรอก มันชอบแบบ…”

“เงียบ!” รามกดเสียงเข้มข่มน้องชายเพราะรู้ว่าจะพูดอะไรพร้อมกับทำตาดุใส่ แต่เตมินทร์ก็ยักไหล่เป็นเชิงบอกว่าไม่กลัว พี่น้องคู่นี้สูสีกันเรื่องการทำสงครามประสาทอยู่แล้ว

“อย่าดุน้องสิราม เราเองก็เหมือนกันนะเต รู้บ้างอะไรควรพูดอะไรไม่ควร” กรกนกจึงเอ็ดลูกชายทั้งสองไปพร้อมกัน

“ขอโทษครับ ผมแค่คิดว่าถ้าสองคนนี้มันไม่ได้รักกันแม่ก็ไม่น่าไปบังคับตั้งแต่แรก” เตมินทร์กล่าวถึงในเรื่องที่เขาคิดว่ามันก็ไม่ควรเป็นอย่างนั้นตั้งแต่ทีแรก

“แม่ก็ไม่ได้อยากจะบังคับ แม่แค่อยากเลือกคนที่ดีที่สุดให้กับลูก แล้วหนูริศาแม่ก็เห็นมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย หรือเราจะเถียงว่าเพื่อนเราไม่ดี?”

“ดีครับ แต่ริศามันดีเกินกว่าที่จะได้กับเสือผู้หญิงอย่างไอ้พี่ชายผมคนนี้ไง”

“มั่นใจจังนะว่าเพื่อนตัวเองดีมากแกอยู่กับเขาตลอดหรือไง” รามถามน้องชายกลับทันควัน

“ไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดแต่ก็เรียนด้วยกันมาตั้งหลายปี โตมาด้วยกันทำไมจะไม่รู้จักนิสัย เหมือนที่ฉันรู้จักนิสัยแกนั่นแหละ”

“สิ่งที่แกเห็นอาจไม่เป็นอย่างที่แกคิดก็ได้นะไอ้เต อย่ามั่นใจให้มาก” รามยังคงเชื่อในความคิดและความรู้สึกของตัวเอง แม้ว่าน้องชายเขาจะสนิทกับริศาแต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเตมินทร์จะรู้จักตัวตนของเธอทั้งหมด

“พูดงี้หมายความว่าไงว่ะ”

“เอาล่ะๆ เลิกเถียงกันได้แล้วแม่ปวดหัวไปหมดแล้ว เฮ้อ~~” กรกนกที่เห็นว่าศึกครั้งนี้จะไม่จบลงง่ายๆจึงเอ่ยปรามขึ้น แต่แล้วก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่มีใครบางคนเดินเข้ามาที่ห้องนั่งเล่นนี้พอดี ทำให้ทั้งสามหันไปมองผู้ที่เดินเข้ามาใหม่พร้อมกัน และพอเห็นว่าเป็นใครรามก็ถึงกับต้องเมินหน้าหนีไปทางอื่นด้วยความรู้สึกไม่ถูกใจนัก

“อ้าว! เรียวตะ”

“สวัสดีครับคุณน้า” ชายหนุ่มร่างสูงผิวขาวใบหน้าหล่อเหลาแบบลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่นเดินเข้ามายกมือขึ้นไหว้กรกนกอย่างนอบน้อมพร้อมกับปรายตามองเตมินทร์และรามเพียงชั่วครู่

“นั่งก่อนสิจ้ะ เดี๋ยวน้าให้คนไปตามพ่อให้”

“ครับ ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มส่งยิ้มบางๆให้กับภรรยาของพ่อและเดินไปนั่งลงโซฟาที่ว่างอยู่ ส่วนสองพี่น้องที่ตอนแรกเถียงกันอยู่ก็กลับมานั่งเงียบไม่ได้เอ่ยทักทายพี่ชายต่างมารดาแต่อย่างใด ไม่ใช่ว่าพวกเขาทั้งสามไม่ชอบหน้ากัน แต่เป็นเพราะว่าไม่สนิทกันมาแต่ไหนแต่ไรจึงต่างฝ่ายต่างเงียบ ไม่มีแม้แต่จะเอ่ยทักทาย

“แล้วนี่มาคนเดียวเหรอ”

“มากับไอริสครับ แต่รายนั้นขอเดินแยกไปดูต้นกุหลาบที่เอามาฝากคนสวนปลูกไว้ก่อน”

“อ๋อ! เมื่อวานตอนที่น้าไปนั่งจิบน้ำชาในสวนก็เห็นอยู่ กำลังงามเลยแหละ ไอริสนี่เข้าใจเอามาปลูก ว่าแต่รีบกลับกันหรือเปล่าทานข้าวเย็นด้วยกันก่อนสิ”

“ผมกับไอริสก็ว่าจะมาฝากท้องไว้ที่นี่พอดีครับ แล้วก็จะมาคุยเรื่องงานแต่งกับพ่อด้วย”

“หือ? ได้ฤกษ์แต่งมาแล้วเหรอจ้ะ ดีจัง”

พรึบ!

“ผมไปรับโทรศัพท์ก่อนนะครับ” อยู่ๆรามที่ตอนแรกนั่งเงียบๆก็ลุกพรวดพราดขึ้นและเดินออกไปจากตรงนั้นท่ามกลางสายตาของทั้งสามคนที่ยังนั่งอยู่มองหน้ากันเลิ่กลั่ก เพราะเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอพูดอะไรที่ทำให้อีกคนไม่ชอบใจออกไป ทว่าถ้าจะย้อนกลับไปก็คงไม่ทันแล้ว

“ขอโทษนะครับคุณน้า ผมลืมไปว่าเขานั่งอยู่” เรียวตะทำหน้ารู้สึกผิดจริงๆกับกรกนก

“ไม่เป็นไรจ้ะ ยังไงรามก็ต้องยอมรับความจริงให้ได้” กรกนกกล่าวพร้อมกับมองตามหลังลูกชายคนโตของตัวเองออกไปอย่างนึกห่วงอยู่ลึกๆในใจ

“ใช่ มันต้องยอมรับความจริง” เตมินทร์เองก็เห็นด้วยกับสิ่งที่แม่เขาพูดออกมาเช่นกัน

…ด้านราม…

“ฟู่ว~~” หลังจากที่เดินออกมาจากตรงนั้นแล้วรามก็ไม่ได้ออกมาคุยโทรศัพท์ตามที่บอกแม่ไว้ แต่กลับมายืนอัดควันบุหรี่คำใหญ่เข้าปอดเพื่อระบายอารมณ์อยู่แถวบริเวณที่เคยมายืนสูบอยู่ประจำ ความรู้สึกหงุดหงิดที่ได้ยินอะไรไม่ชอบใจทำให้เขาเผลออัดมันเข้าไปอยู่หลายมวน กระทั่งสูบจนพอใจแล้วร่างสูงจึงได้ก้าวพาตัวเองเดินไปที่สวนหลังบ้านต่อ

กึก!

เพื่อมายืนดูใครบางคนก้มๆเงยๆชื่นชมดอกไม้แสนสวยของเธอ

“คิดถึง” คำพูดแผ่วเบาหลุดออกมาจากริมฝีปากหนา พร้อมกันนั้นดวงตาคมกริบของเขาก็จ้องมองเธออย่างไม่วางตา ไม่คิดเลยว่าคนที่ตัวเองหลงรักมานานจะต้องกลายมาเป็นพี่สะใภ้ เขายังรู้สึกรับมันไม่ได้เลยจริงๆ แต่ก็นั่นแหละ ถึงจะรับมันไม่ได้แต่เขาเองก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน

“อ้าว! ราม นายมาด้วยเหรอ โทษทีนะฉันมัวแต่อยากเห็นดอกไม้ที่เอามาปลูกไว้ยังไม่ได้เข้าไปทักทายใครเลย กะว่าอีกสักพักถึงจะเข้าไป” ไอริสที่บังเอิญหันเห็นรามเข้าพอดีจึงเอ่ยทักขึ้น ทำให้คนที่ยืนแอบมองอยู่จำใจต้องเดินก้าวไปหาเธอ

“เธอได้ฤกษ์แต่งแล้วงั้นเหรอ” ปากหนาขยับเอ่ยถามในสิ่งที่ตัวเองได้ยินมาทันทีทั้งที่แววตาก็ยังคงนิ่งอยู่ แต่ในใจมันแสนเจ็บร้าวเหลือเกิน

“ใช่ ต้นปีหน้านี้แหละแต่ยังไม่ได้ลงวัน”

“ไม่เร็วไปเหรอ”

“เร็วอะไรกัน ฉันแก่ลงทุกวันๆต้องรีบหน่อยสิ”

“เธออยากแต่งกับมันมากสินะ” แม้ว่าจะรู้สึกเจ็บปวด ทว่าเขาก็เลือกที่จะถามมันออกไปอีกครั้ง

“นายก็ถามแปลกๆ คนรักกันก็ต้องอยากแต่งงานกันอยู่แล้วป่ะ”

“จะเน้นย้ำฉันไปถึงไหนว่าเธอรักคนอื่น”

“นายถามฉันเองนะราม แล้วฉันก็ย้ำจนกว่านายจะเข้าใจนั่นแหละ” ไอริสบอกกับคนตรงหน้าพร้อมจ้องมองเข้าไปในดวงตาคมของเพื่อนที่เคยสนิทใจกันมากๆ แต่เขากลับเป็นผู้ทำลายมันด้วยการคิดไม่ซื่อกับเธอ

“หึ!”

“ฉันว่าบางทีนายควรจะลองเปิดใจให้ใครสักคนดูบ้างนะรามเผื่อฉันจะได้เพื่อนคนเดิมกลับมา”

“สุดท้ายเธอก็ไล่ฉันไปหาคนอื่น…คงอึดอัดมากสินะ”

“ฉันไม่ได้อึดอัด”

“งั้นก็คงอยากให้ฉันไปพ้นๆ?”

“ราม! นายเริ่มพูดไม่รู้เรื่องแล้วนะ ฉันว่าฉันไม่คุยกับนายแล้วดีกว่า” ไอริสที่เริ่มไม่พอใจคนพูดไม่รู้เรื่องจึงคิดจะเดินหนี

ทว่า…

หมับ!

รามกลับจับแขนของเธอไว้และดึงเข้าหาตัวเอง

“ปล่อยนะราม”

“เรายังคุยกันไม่จบ”

“ก็นายคุยไม่รู้เรื่อง” ไอริสเงยหน้าขึ้นไปจ้องตากับคนตัวสูงอย่างไม่ยอมกัน ที่ผ่านมาเธอชัดเจนมาตลอดว่าคิดกับเขาแค่เพื่อนแต่อีกคนกลับไม่ยอมรับความจริง

“ไอริส” และในระหว่างที่ทั้งสองกำลังถกเถียงกันด้วยสายตาอยู่นั้นก็มีเสียงของใครบางคนเดินเข้ามาเรียกชื่อคนรัก ทำให้รามต้องยอมปล่อยมือออกจากแขนของไอริสและหันไปมองอีกคนอย่างไม่สบอารมณ์

“ไอริสกำลังจะเข้าไปพอดีเลย พี่เรียวตะมีอะไรหรือเปล่าคะ”

“คุณน้าให้มาตามไปทานข้าวเย็นกันน่ะ” เรียวตะบอกกับคนรักแต่ปรายตาไปมองน้องชายต่างมารดาด้วยความไม่ชอบใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ได้เอ่ยอะไร

“งั้นไปกันเถอะไอริสก็หิวแล้ว” ว่าแล้วไอริสก็คว้ามือเรียวตะเดินผ่านหน้ารามไปอย่างจงใจ เธอไม่ได้ทำเพื่อให้รามหึงหวงแต่อย่างใด เธอแค่ทำทุกอย่างให้ชัดเจนเหมือนที่เคยทำมาตลอด การแบ่งเส้นคำว่าเพื่อนของเธอกับรามมันชัดเจนมาตลอดอยู่แล้วจริงๆ…

@ห้องนั่งเล่นของสองพี่น้อง…

“หึ! ย้อมใจหน่อยมั๊ย” น้ำเสียงพูดติดกวนของน้องชายลอยมาพร้อมกับร่างสูงที่นั่งลงตรงข้ามเขา ในมือถือแก้วกับขวดเหล้าชั้นดีติดมาด้วย

รามไม่ได้เข้าไปร่วมวงบนโต๊ะอาหารพร้อมใครๆ เพราะยังคงกลัวตัวเองเก็บอาการไม่ได้หากว่าต้องเผชิญหน้ากับไอริสและเรียวตะ ซึ่งทุกคนก็เข้าใจ

“อย่าหาว่าฉันเสือกเลยนะ แต่ฉันว่าแกควรจะตัดใจจากพี่ไอริสจริงจังได้แล้ว” คนเป็นน้องเปิดหัวข้อสนทนาอย่างตรงไปตรงมา ความจริงแล้วนั้นก็ไม่ได้อยากจะเข้ามายุ่งแต่ทว่าเรื่องนี้มันดันเกี่ยวข้องกับความรู้สึกของหลายๆคนที่อยู่รอบตัวเขา

“แกรู้ใช่ไหมว่าช่วงนี้พ่อสุขภาพก็ไม่ค่อยดี ยิ่งพี่น้องมาหมางใจกันด้วยเรื่องแบบนี้ฉันกลัวว่าพ่อจะยิ่งทรุดหนัก” เตมินทร์เอ่ยอ้างถึงอาการป่วยของพ่อให้พี่ชายคิดตาม ซึ่งรามเองก็พอจะรู้ดีเขาถึงไม่อยากไปร่วมโต๊ะทานอาหารด้วยเพราะกลัวความอารมณ์ร้อนของตัวเอง กลัวว่าจะออกอาการหรือพูดจาอะไรไปให้ทุกคนคิดมากและพากันอึดอัดกว่านี้

“แล้วก็เรื่องริศา” เตมินทร์เปลี่ยนหัวข้อสนทนาเอาดื้อๆ

“ทำไม?”

“แกไม่ได้ไปเจอมันหน่อยเหรอว่ะ”

“ไม่ ไม่มีอะไรต้องให้ไปเจอ” รามไม่ได้เล่าเรื่องที่ไปเจอริศาในร้านเหล้าให้น้องชายฟังเพราะคิดว่าไม่สำคัญอะไร อีกอย่างเขาก็ไม่ได้อยากใส่ใจเรื่องผู้หญิงคนนั้นสักเท่าไหร่ ถึงเธอจะเป็นคู่หมั้นก็เถอะ

“ถ้าแม่ไม่ได้บอกให้ไปแกก็ไม่คิดจะไปเจอเพื่อนฉันหน่อยเลยเหรอ”

“ก็ไม่รู้จะไปทำไม”

“แม่ง โคตรใจร้าย” เตมินทร์อดไม่ได้ที่จะพูดใส่

“แกก็รู้ว่าฉันไม่ได้อยากหมั้น”

“เออ! ก็รู้ แต่หมั้นไปแล้วก็ทำหน้าที่หน่อยดิ อย่างน้อยๆก็ไปรับมากินข้าวบ้านเดือนละครั้งสองครั้งก็ยังดี”

“ถ้าจะห่วงขนาดนั้นทำไมตอนแรกไม่บอกแม่ขอหมั้นไปเองเลยว่ะ จะได้ไม่ต้องลำบากฉัน”

“โว๊ะ! ก็กูเป็นเพื่อน” คุยกันได้ไม่นานพี่น้องก็เริ่มแยกเขี้ยวใส่กันอีก ทว่าก็ไม่ได้จริงจังอะไร

“ลูกชายทั้งสองของแม่ทำอะไรกันอยู่เอ่ย?” กระทั่งกรกนกที่ทานอาหารอิ่มเรียบร้อยแล้วจึงเดินเข้ามาหาลูกชายทั้งสองในห้องนั่งเล่นอีกห้องหนึ่งที่ประจำของพวกเขา พร้อมกันนั้นในมือก็มีจานผลไม้มาด้วย

“โอ๊ะ! ดื่มกันอีกแล้วเหรอ เบาๆกันหน่อยนะลูกเสียสุขภาพหมด” เธออดไม่ได้ที่จะเตือนด้วยความเป็นห่วง

“นิดหน่อยเองครับ เดี๋ยวรามมันก็จะกลับแล้ว”

“ดื่มแล้วยังจะขับรถกลับอีกเหรอ นอนค้างที่นี่ก็ได้ มันก็บ้านลูกเหมือนกันนะ”

“ผมมีงานเช้าครับ”

“งานๆ อะไรก็อ้างงานตลอด” คนเป็นแม่ทำทีเป็นงอนลูกชายเหมือนสาวงอนหนุ่ม ทำให้ทั้งสองพี่น้องต้องยิ้มออกมากับท่าทางแบบนั้นที่แสนจะคุ้นชิน

“ไว้ว่างๆผมแวะเข้ามาอีกครับ”

“ไม่ต้องมาพูดเลย แม่ไม่หายงอนหรอก”

“แล้วผมต้องทำยังไงแม่ถึงจะหายงอนครับ” ลูกชายคนโตที่ถึงจะตีหน้านิ่งใส่คนอื่นตลอด แต่เวลาอยู่กับแม่ของตัวเองก็มีความอ่อนโยนอยู่มาก หากรู้ว่าแม่ต้องการอะไรถ้าเขาทำให้ได้ก็จะทำ ทว่าสิ่งที่แม่เขาต้องการก็คือ…

“ถ้าอยากให้แม่หายงอนรามก็พาหนูริศามาหาแม่บ่อยๆสิ” ใบหน้าหล่อเหลาหุบยิ้มลงทันทีและเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ทำให้กรกนกที่เห็นท่าทีแบบนั้นก็เริ่มไม่พอใจลูกชายอย่างจริงจัง ก็เขาเป็นคนถามเองว่าต้องทำยังไงแม่ถึงจะหายงอน

“หมั้นกันมาตั้งนานแล้วนะราม ไม่คิดจะเปิดใจให้น้องบ้างเหรอไง”

“ผม…” คนเป็นลูกชายไม่รู้จะตอบยังไง

“ลูกไม่เห็นหรือไงว่าเขากำลังจะแต่งงานกัน” พอเห็นว่าลูกชายเงียบไปกรกนกจึงเอ่ยพาดพิงถึงอีกสองคนที่คุยอยู่กับราเมศข้างนอกถึงเรื่องงานแต่งงานที่กำลังจะมีขึ้น

“แม่เห็นนะว่าลูกมองไอริสตลอด รู้ไหมว่าพ่อเขาอึดอัดใจเรื่องนี้แค่ไหน” กรกนกพยายามพูดกับลูกให้นุ่มนวลที่สุดเพราะรู้ว่าเรื่องนี้รามเจ็บปวดมากแค่ไหน

“แล้วแม่จะให้ผมทำยังไงครับ ผมรักไอริสมาก่อนแต่ผมก็ยอมปล่อยไปให้มัน ยังจะเอาอะไรกันกับผมอีก”

“แม่ก็แค่เป็นห่วง ถึงลูกจะรักเขาแค่ไหนแต่เขาไม่ได้รักลูกนี่ ตัดใจไม่ได้หรือไง รู้ไหมว่าทุกคนเขาอึดอัด” พูดจบกรกนกก็รู้ตัวทันทีว่าเผลอพูดอะไรรุนแรงเกินไป แต่มันก็ไม่ทันเสียแล้ว ทั้งสามที่นั่งอยู่ด้วยกันต่างเงียบไปชั่วขณะ…

“ถ้าทุกคนอึดอัดต่อไปผมก็จะไม่มา…ถ้ารู้ว่าสองคนนั้นอยู่ที่นี่…ทุกคนก็จะไม่เห็นผมอยู่” พูดจบรามก็ลุกขึ้นพลางจะสาวเท้าเดินออกไป ทว่า…

“เหมือนกัน! ถ้าสิ่งที่แม่พูดมันทำให้รามไม่พอใจ…ต่อไปแม่ก็จะไม่กวนใจลูกอีก ขอโทษที่แม่เข้าไปจุ้นจ้านกับชีวิตลูกมากเกินไป” แล้วก็เป็นกรกนกเองที่เดินดุ่มๆออกไปจากตรงนั้นด้วยอาการน้อยใจจริงๆที่มี โดยที่ลูกชายทั้งสองของเธอก็ได้แต่มองตามหลังผู้เป็นแม่ไปอย่างที่ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา…
อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • คู่หมั้นร้าย ไม่อยากจะรัก   บทที่ 97

    “งานแต่งของเราเธออยากจัดที่ไหน แบบไหนที่เธอชอบ” รามยอมละริมฝีปากจากการคลอเคลียออกมาเอ่ยถาม “อืม…” คนถูกถามจึงทำท่านึกคิด ถึงเธอจะเคยวาดฝันถึงงานแต่งของตัวเองบ่อยครั้ง ทว่าแต่ละครั้งก็ช่างต่างออกไปตามแต่จินตนาการในตอนนั้น จะจัดที่โรงแรม ริมทะเลหรือว่าสวนดอกไม้อะไรก็แล้วแต่ ขอแค่เจ้าบ่าวเป็นเขาค

  • คู่หมั้นร้าย ไม่อยากจะรัก   บทที่ 96

    “สัด กูช้ำในตายก่อนได้แต่งเมียพอดี” รามหัวเราะเสียงฉุนไม่ได้ถือสาเพื่อนที่เล่นแรงแต่อย่างใด “คืนนี้ต้องฉลองหน่อยไหม เพื่อนจะมีเมียเป็นตัวเป็นตนทั้งที” น้ำเสียงกระดี๊กระด๊าที่เป็นเอกลักษณ์ประจำตัวเพลย์บอยหนุ่มอย่างเสือเอ่ยขึ้น ทว่าในเวลาต่อมาก็ต้องถูกเสียงราบเรียบรู้ทันของเพทายพูดขัด “ไม่ต้

  • คู่หมั้นร้าย ไม่อยากจะรัก   บทที่ 95

    บัดนี้หน้าจอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บริเวณข้างสนามจับภาพใบหน้าของหญิงสาวไว้ที่เดียว ริศาเริ่มรู้ตัวแล้วว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น หัวใจดวงน้อยที่เต้นเป็นปกติเหมือนกับคนธรรมดาทั่วไปในตอนแรกก็พลันเปลี่ยนเป็นเต้นโครมครามยิ่งกว่าจังหวะสามช่าหน้ารถแห่ การปรากฏตัวของนักร้องชื่อดังที่เธอชื่นชอบอาจจะทำให้เ

  • คู่หมั้นร้าย ไม่อยากจะรัก   บทที่ 94

    “งานนี้ถ้าสำเร็จมึงต้องตบรางวัลใหญ่ให้เมียกูแล้วนะราม” มือหนาตบเข้าที่บ่าเพื่อนแรงๆอย่างให้กำลังใจ เพทายมั่นใจในความฉลาดไม่แพ้ใครของคนรักของตัวเองยิ่งกว่าอะไรเสียอีก “กูก็หวังให้เป็นแบบนั้น หวังว่าเมียมึงจะเดาใจเมียกูถูก” “เอาน่า มันก็ไม่ได้มีอะไรเสียหายนี่ ยังไงริศาก็รักมึงอยู่แล้วจะกลัว

  • คู่หมั้นร้าย ไม่อยากจะรัก   บทที่ 93

    2ปีต่อมา… “อื๊อ~” เสียงร้องประท้วงในลำคอเล็กถูกเปล่งออกมา พร้อมกับมือบางที่พยายามดันแผ่นอกกว้างของคนเอาแต่ใจออกไป นานกว่าหลายนาทีแล้วที่เขาตะกละตะกลามระดมจูบและดูดดึงกลีบปากของเธอไม่หยุด ทั้งที่ตอนแรกชวนเธอเข้ามานั่งในรถคันใหม่ที่จะนำลงแข่งเพื่อลองเครื่อง ทว่าลงสนามมาได้ไม่เท่าไหร่เขากลับจอ

  • คู่หมั้นร้าย ไม่อยากจะรัก   บทที่ 92

    “ก็รู้ว่านานๆที แต่เราก็ต้องดูกำลังตัวเองด้วย ดื่มก็ใช่ว่าจะเก่งอยู่แล้ว ยังไปทำตามไอริสมันอีก” ทำเป็นส่งเสียงดุใส่ ทว่าจริงๆก็นึกเอ็นดูคนตัวเล็กที่กำลังกอดโถสวมแน่นเพราะความมึนเมาอยู่ไม่น้อย ตอนแรกคงคิดได้ใจที่พวกเพื่อนเขาให้ท้ายด้วยการให้ดื่มเยอะๆและไม่ต้องกลัวว่าเขาจะดุ แต่หารู้ไม่ว่าตัวเองกำลังโ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status