บทที่ 3
สามีคนใหม่
กระดาษแผ่นใหญ่ที่มีแต้มจุดวงกลมในแต่ละช่องนั้นมีตั้งแต่หนึ่งจุดถึงหกจุด ถูกนำมาวางกางไว้บนกลางโต๊ะตรงหน้าของบุรุษทั้งสาม ชามกระเบื้องสีขาวที่มีลวดลายดอกเหมยฮวาถูกนำมาวางตรงหน้าเหวินมู่หยาง เมื่อเปิดชามอีกใบที่ครอบอยู่นั้นจะเห็นลูกเต๋าสีเขียวหยกสามลูก ที่มีแต้มตั้งแต่หนึ่งถึงหกแกะสลักอยู่บนลูกเต๋าทั้งหกด้าน ทั้งหมดถูกนำมาวางตรงหน้าของเหวินมู่หยาง บ่งบอกว่าเขาคือเจ้ามือในการละเล่นครั้งนี้
จางเฟินเยว่เบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง ไม่ว่าจะชามกระเบื้องที่มีลวดลายวิจิตร และลูกเต๋าทั้งสามลูกนั้น ล้วนงดงามวิจิตรจนนางประหลาดใจ นางไม่เคยเห็นอุปกรณ์การเล่นไฮโลที่งดงามและควรค่าขนาดนี้มาก่อนเลย
สายตาคู่หวานมองบุรุษผู้นั้นไม่วางตา ความสงสัยภายในใจและความอยากรู้ล้วนพุ่งเป้าไปที่บุรุษที่มีกลิ่นอายไม่ธรรมดานี้...เขาเป็นใครกันแน่!
“อ่า...นี่คือไฮโลที่ท่านกุนซือบอกไว้เมื่อคราวก่อนใช่หรือไม่”
อู๋ซานจ้องเขม็งด้วยความสนใจ หลี่หยวนจื่อเองก็จับจ้องไม่วางตาเช่นกัน
“ใช่แล้ว นี่คือเกมไฮโลที่ข้าพูดไว้เมื่อคราวก่อน การเล่นนั้นง่ายมาก ข้าซึ่งเป็นเจ้ามือจะเขย่าลูกเต๋าที่อยู่ในชามที่ปิดเอาไว้ หลังจากนั้นพวกท่านทั้งสองก็สามารถวางเดิมพันได้เลยว่าลูกเต๋าทั้งสามลูกจะออกเลขใด หากเปิดออกมาแล้วตรงกับที่ท่านวางเดิมพันไว้ ท่านก็จะได้รับเงินตามจำนวนที่วางเดิมพันนั้นสามเท่า”
“อืม นี่ไม่ยากเลย ลูกเต๋ามีถึงสามลูก โอกาสที่จะออกแต้มที่ข้าแทงย่อมสูงมาก”
กุนซือหนุ่มหัวเราะเสียงเบาก่อนจะเอ่ยอธิบายต่อ “มิใช่เพียงแค่นี้” ปลายนิ้วเรียวยาวชี้ที่ตัวอักษรคำว่าสูง และต่ำให้ทั้งสองดู “แต้มต่ำคือผลรวมของลูกเต๋าทั้งสามตั้งแต่ 1-10 ส่วนแต้มสูงคือผลรวม 11-18 ในส่วนนี้ข้าจะจ่ายให้หนึ่งเท่าของจำนวนเงิน”
“โอ้...สามารถวางเดิมพันได้หลายแบบเลยสินะ นี่ช่างอัศจรรย์นัก”
หลี่หยวนจื่อตาลุกวาวด้วยความชอบใจ นี่มันสวรรค์ของการวางเดิมพัน เช่นนี้ก็น่าสนุกขึ้นเยอะ
“แล้วถ้าลูกเต๋าออกเหมือนกันทั้งสามเล่าเจ้าคะ” จางเฟินเยว่เอ่ยถามด้วยความสงสัย
น้ำเสียงหวานล้ำที่เพิ่งได้ยินจากสตรีด้านหลังของอู๋ซาน เรียกความสนใจจากบุรุษที่อยู่ในห้อง
“แม่นางช่างฉลาดนัก หากออกเหมือนกันทั้งสามจะเรียกว่าตอง ในส่วนนี้ข้าที่เป็นเจ้ามือจะเป็นฝ่ายชนะ”
“พวกข้าเข้าใจแล้ว ไม่ยากเลย เช่นนั้นเรามาเริ่มเล่นกันเถอะ”
ท่านแม่ทัพเร่งเร้าขึ้นมา เขาเข้าใจกฎกติกาการเล่นไฮโลแล้ว
“เช่นนั้นเราก็มาเริ่มกันเลยขอรับ”
เหวินมู่หยางละสายตาจากจางเฟินเยว่ ก่อนจะมาจดจ่อกับการเขย่าแต้มไฮโล
เมื่อเริ่มเขย่าลูกเต๋าในชามกระเบื้อง เสียงดังกรุ๊งกริ๊งเวลาที่ลูกเต๋าสัมผัสกับชามกระเบื้องนั้น ทำให้เกิดเสียงไพเราะขึ้นมาในความเงียบ หลี่หยวนจื่อลงพนันในคราวละมาก ๆ แต่ส่วนมากเขาจะวางเดิมพันที่แต้มสูง
ส่วนอู๋ซานนั้นเขาอยากได้เงินจากการเดิมพันสามเท่า จึงได้เลือกวางที่แต้มตัวเลขแทน พวกเขาทั้งสามได้ตั้งกฎว่าจะนำเงินมาคนละหนึ่งพันตำลึงทอง และของหนึ่งสิ่งที่จะเป็นสิ่งสุดท้ายของการวางเดิมพัน ผู้ที่มีจำนวนเงินเหลือเยอะที่สุดจะเป็นฝ่ายชนะ
หากผู้ใดแพ้พนันในครั้งนี้ก็จะต้องกลับบ้านไป พร้อมกับการละเล่นครั้งนี้ได้จบลง และจะเริ่มมาเล่นใหม่อีกครั้งในสามเดือนให้หลัง
ครั้งนี้หลี่หยวนจื่อนำดาบล้ำค่ามาวางเดิมพัน เหวินมู่หยางนำตำราพิชัยยุทธ์หายาก ส่วนอู๋ซานกลับนำอนุของตนมาวางเป็นเดิมพันครั้งสุดท้าย
เวลาล่วงเลยผ่านไปราวครึ่งคืน จำนวนเงินที่ทั้งสามเตรียมมาหนึ่งพันตำลึงทองก็เริ่มถูกโยกย้าย ดูด้วยสายตาเปล่าจะเห็นว่าอู๋ซานคือผู้ที่มีเงินเหลือน้อยที่สุด ถัดมาเป็นหลี่หยวนจื่อ และเจ้ามืออย่างเหวินมู่หยางที่มีเงินมากที่สุด
“ข้าแทงไม่ถูกมาหลายตาแล้วนะเนี่ย” อู๋ซานโอดครวญด้วยความหัวเสีย
“สงสัยวันนี้ดวงของเจ้าจะไม่ดีเสียแล้ว ข้ายังคงได้กำไรอยู่นิดหน่อย ฮ่าฮ่าฮ่า” หลี่หยวนจื่อหัวเราะร่า ตัวเขาถูกติดต่อกันมาสองตาแล้ว
ในที่สุดอู๋ซานก็วางจำนวนเงินที่แต้มสูงตามหลี่หยวนจื่อเป็นครั้งสุดท้าย ผลออกมาแต้มลูกเต๋าทั้งสามออกห้าแต้ม ครั้งนี้เหวินมู่หยางเป็นฝ่ายชนะ
อู๋ซานเริ่มฮึดฮัดในใจ ครั้งที่แล้วเขายังเป็นฝ่ายชนะอยู่เลย แต่ครั้งนี้เขากลับจะมาแพ้เสียอย่างนั้น หรือจะเป็นเพราะว่าเขาพาจางเฟินเยว่ที่มีใบหน้าอัปลักษณ์มาที่นี่กัน นางจะต้องเป็นตัวอัปมงคลสำหรับเขาอย่างแน่นอน
สายตาคมตวัดมองสตรีหนึ่งเดียวที่อยู่ในห้องด้วยความเดือดดาลใจ ยิ่งเห็นแววตาที่เป็นประกายที่มองการเล่นไฮโลอย่างสนใจ เขาก็ยิ่งเกิดเพลิงโทสะ
เป็นนางที่ทำให้เขาดวงซวย!!
“ข้าเหลือนางเป็นสิ่งสุดท้ายแล้ว ครั้งนี้ข้าแทงต่ำ” เขากัดฟันกรอดด้วยความแค้นใจ
จางเฟินเยว่ที่มัวแต่มองลูกเต่าอย่างเพลิดเพลิน พลันหันหน้ามามองสามีผู้ไม่เอาไหนด้วยความกรุ่นโกรธ ตัวเองแทงไม่ถูกเอง แต่กลับมองมาทางนางราวกับเป็นความผิดของนางเสียอย่างนั้น
ช่างเป็นบุรุษที่ประเสริฐเสียเหลือเกิน!!
ตอนพิเศษ 2หวนคืนสู่นิรันดร์18 ปีผ่านไปเวลาผ่านไปราวกับสายน้ำไหลที่ไม่ไหลย้อนคืนกลับมา บัดนี้บุตรชายและบุตรสาวในวัยเยาว์ของทั้งสองได้เติบโตขึ้นมาอย่างสง่างามและงดงาม สมกับที่เหวินมู่หยางและจางเฟินเยว่เลี้ยงดูพวกเขาด้วยความรักและความอบอุ่นคุณชายใหญ่เหวินมู่เฉินถอดแบบบิดามาทุกกระเบียดนิ้ว เขาได้กลายเป็นท่านกุนซือน้อยที่คอยช่วยงานของกองทัพคุณชายรองเหวินอี้หานชมชอบการฟันดาบ ด้วยอายุยังน้อยและการสนับสนุนจากบิดา เขาจึงสามารถไต่เต้าด้วยความสามารถของตนเองจนกลายเป็นรองแม่ทัพที่อายุน้อยที่สุดของเมืองหวงซ่างคุณชายเล็กเหวินอี้เจ๋อชมชอบเรื่องการค้าขาย เมื่อเขาได้รับหน้าที่ให้ดูแลร้านผิงเยว่ เขาสามารถขยับขยายร้านผิงเยว่จนตอนนี้มีสาขาย่อยทุกหัวเมือง กิจการเติบโตอย่างรวดเร็วจนแผ่ขยายไปยังเมืองหวงของแคว้นเจียงหนานส่วนคุณหนูหนึ่งเดียวเหวินอ้ายเยว่ นางได้ถอดแบบความงามและความสามารถด้านการทำอาหารมาจากมารดาไม่ผิดเพี้ยน ผู้คนในเมืองหวงซ่างจึงยกย่องให้นางเป็นยอดพธูและเพราะความงามที่ร่ำลือไปไกลนั้น จึงทำให้มีบุรุษมากมายพากันส่งแม่สื่อมาทาบทามเหวินอ้ายเยว่ แต่ทุกคนต้องรีบถอยทัพกลับไปเป็นการด่วน เพราะเหว
ตอนพิเศษ 1ลูก ๆ ของจางเฟินเยว่เวลาผ่านไปราวสองปีนับตั้งแต่เหวินมู่เฉินได้กำเนิดขึ้นมา เขาที่เป็นคุณชายของบ้านถูกดูแลอย่างประคบประหงม ทั้งจากบิดาผู้ใจดีและมารดาที่อ่อนโยน ทำให้เด็กชายที่อายุแค่สองหนาวมีนิสัยที่โอบอ้อมอารี และเป็นเด็กยิ้มง่าย เขาไม่เคยรู้สึกหวาดกลัวหรือต้องรู้สึกเศร้าเสียใจเลยแต่ในวันที่อากาศเย็นลงนั้น เหวินมู่เฉินกลับเริ่มคิดหนัก เขาเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายที่ต้องเล่นกับผู้ใหญ่ และยิ่งได้ไปเห็นว่าเพื่อนเล่นของเขามีน้องน้อยที่น่ารัก เขาเองจึงรู้สึกอยากมีน้องเป็นของตัวเองบ้าง“ทั่นแม่ ทั่นแม่ ข้ายั่กมีน้องขอยับ”เหวินมู่เฉินในวันสองหนาวออกเสียงอ้อแอ้ เขาเดินเตาะแตะมาออดอ้อนผู้เป็นมารดา หญิงสาวหัวเราะขำด้วยความเอ็นดู“อาเฉินของแม่เหงาหรือ”“ขอยับ ข้ายั่กมีน้อง ยั่กมีฉองคนขอยับ”“ฮ่ะฮ่ะ เช่นนั้นพ่อคงต้องรีบมีน้องให้แล้วสินะ”เหวินมู่หยางที่เพิ่งกลับมาจากค่ายทหารได้ยินที่ทั้งสองคุยกันพอดี“ทั่นพ่อ ทำน้องให้ข้านะขอยับ ข้าขอฉองคน”“ได้สิ งั้นคืนนี้อาเฉินของเรานอนคนเดียวได้หรือไม่”เด็กน้อยเอียงคอด้วยความสงสัย เหตุใดเขาต้องนอนคนเดียวด้วย แต่เพราะเขาอยากมีน้องมากจึงยอมพยักหน้าต
จวนตระกูลเหวินหลังจากเรื่องราวในครั้งนั้น นี่ก็ผ่านมาร่วมเจ็ดวันแล้ว จางเฟินเยว่กลับมาใช้ชีวิตของนางดังเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือข่าวการตั้งครรภ์ของนาง สิ่งที่นางสงสัยนั้นเป็นจริงตอนนี้นางตั้งครรภ์ได้หนึ่งเดือนเศษแล้ว!เหวินมู่หยางที่รู้ว่าตัวเองจะได้เป็นพ่อคน เขารู้สึกตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก เพราะข่าวดีนี้เขาจึงได้ประกาศแต่งตั้งให้จางเฟินเยว่เลื่อนขั้นเป็นฮูหยินรอง โดยหลังจากที่นางคลอดบุตรแล้ว เขาก็จะแต่งตั้งให้นางเป็นภรรยาเอกหากทำเช่นนี้ก็จะไม่มีผู้ใดสามารถมาโต้แย้งได้ แต่ถึงจะกล้าโต้แย้งคงต้องถามดาบในมือของเขาเสียก่อน จางเฟินเยว่ที่คราแรกอยากเป็นเพียงแค่อนุ แต่เพราะนางนึกถึงฐานะของบุตรที่จะกำเนิดมาจึงได้ยินยอมทำตามที่เหวินมู่หยางต้องการในยามพลบค่ำที่ห้องนอนของทั้งคู่ จางเฟินเยว่นั่งพิงหน้าอกแกร่งของเหวินมู่หยาง ในมือของนางกำลังจดข้อควรปฏิบัติและสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยงในยามตั้งครรภ์ ทั้งที่เคยได้ยินจากชีวิตก่อน และจากคำแนะนำของท่านหมอที่ดูแลนาง“ไม่นอนก่อนหรือเยว่เอ๋อร์ เจ้าต้องพักผ่อนให้มาก ๆ นะ”“อีกนิดเดียวเจ้าค่ะท่านพี่ ข้าใกล้เสร็จแล้ว”หญิงสาวกลับมาจดจ่ออีกครั้ง เวลาผ่านไปก
บทส่งท้ายเหวินมู่หยางกับจางเฟินเยว่กลับมาที่เมืองหวงซ่างในยามสาย บ้านพักของอู๋ซานที่พาจางเฟินเยว่ไปนั้นอยู่อีกเมืองหนึ่ง แต่เพราะเป็นเมืองที่อยู่ติดกันจึงใช้เวลาเดินทางไม่นานนัก ผู้คนที่เห็นว่าท่านกุนซือขี่ม้าตัวเดียวกันกับจางเฟินเยว่ต่างพากันประหลาดใจขบวนของเหวินมู่หยางตรงไปยังค่ายทหารทันที เขาต้องการจัดการเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด เพราะยังมีอีกคนที่ไม่อาจปล่อยให้หลุดมือไปได้ เหวินมู่หยางได้พาจางเฟินเยว่ให้ไปรอเขาที่เรือนพักของเขาที่ค่ายทหารก่อน ส่วนเขาจะไปจัดการเรื่องทั้งหมดเองทหารของท่านแม่ทัพใหญ่บุกเข้าไปยังจวนตระกูลลู่ พวกเขาจับกุมตัวลู่เสียนผู้เป็นเจ้าเมืองที่มีตำแหน่งขุนนางขั้นสูงของที่นี่โดยไม่ไว้หน้า เรื่องนี้ยิ่งสร้างความสับสนให้กับชาวเมือง“ปล่อยข้านะ พวกเจ้ามีสิทธิ์อันใดมาจับข้า ข้าเป็นถึงเจ้าเมืองเชียวนะ” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดดังมาจากร่างของชายสูงวัยใบหน้าที่มีรอยเหี่ยวย่นเคร่งขรึมลงด้วยความเคร่งเครียด เขากังวลว่าอาจจะมีคนรู้เรื่องที่เขาแอบทำลับหลังแล้วก็เป็นได้‘ไม่ใช่ว่าพวกมันรู้แล้วนะ บัดซบ!!’ลู่เสียนสบถในใจด้วยความหวาดหวั่น ความกริ่งเกรงที่มีต่อท่านแม่ทัพใหญ่และกุนซือ
เหวินมู่หยางกลับมาที่ห้องอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขากลับรู้สึกลำคอแห้งผาก เสียงกลืนน้ำลายดังเอื๊อกเมื่อเห็นภาพเย้ายวนตรงหน้าจางเฟินเยว่ที่ควรจะนอนตัวสั่นเพราะความหวาดกลัว กลับนอนยั่วยวนเขาบนเตียงเสียอย่างนั้น อาภรณ์สีแดงที่เนื้อผ้าบางเบาเผยออกมาจนเห็นเนินอกขาวผ่องของนาง รอยยิ้มมุมปากที่แสนยั่วยวนของนาง ราวกับกำลังเชิญชวนเขาให้รีบมาจัดการนางโดยเร็ว“จะ เจ้าไม่นอนหรือเยว่เอ๋อร์” กว่าเขาจะหาเสียงตัวเองเจอก็ผ่านไปหลายลมหายใจ“ข้ารู้สึกอากาศมันร้อนเจ้าค่ะ ตอนนี้ข้าเองก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก แต่ข้าอยากได้อ้อมกอดจากคนที่ข้ารักเจ้าค่ะ ไม่รู้ว่าความปรารถนาของข้าจะเป็นจริงหรือไม่”เหวินมู่หยางก้าวเดินเข้าไปหาคนช่างยั่วพลางหัวเราะออกเบา ๆ“เยว่เอ๋อร์คงจะเสียขวัญมาก พี่คงต้องปลอบเจ้าทั้งคืนใช่หรือไม่”“เจ้าค่ะท่านพี่”จางเฟินเยว่ยิ้มยั่ว ฝ่ามือเล็กค่อย ๆ ถอดเสื้อคลุมของตัวเองออกไป จนตอนนี้ร่างกายของนางเหลือเพียงเอี๊ยมบังทรงเท่านั้น ซึ่งมันไม่สามารถปกปิดก้อนเต้าหู้อวบใหญ่ของนางได้เลย“อ่า...คนช่างยั่วต้องโดนอะไรนะ” น้ำเสียงแหบพร่าดังมาจากลำคอหนา สายตาคู่คมมองร่างเย้ายวนตรงหน้าด้วยความรู้สึกหลากหลาย ตรง
บทที่ 13อ้อมกอดของคนรักเหวินมู่หยางโอบประคองจางเฟินเยว่ด้วยความหวงแหน สีหน้าของนางซีดขาวด้วยความหวาดกลัว นางที่เพิ่งมาอยู่ในยุคนี้คงไม่เคยเห็นการฆ่าฟันกันมาก่อน แต่เขาที่มาอยู่ที่นี่นับสิบปี และอยู่แต่ในสนามรบจึงชินชากับเรื่องนี้ ฝ่ามือหนาที่ปิดดวงตาของนางเอาไว้คลายออก พร้อมกับช้อนร่างของนางเข้ามาในวงแขนของขา เขาพานางออกไปจากห้องที่มีแต่กลิ่นคาวเลือดและศพของอู๋ซาน“นี่มืดแล้ว เราคงต้องพักกันที่นี่หนึ่งคืน พรุ่งนี้ค่อยกลับบ้านของเรากันนะเยว่เอ๋อร์”เหวินมู่หยางวางร่างที่แสนบอบบางของจางเฟินเยว่ที่เตียงกว้าง เขาได้สั่งให้สาวใช้ที่นี่นำทางเขาไปยังอีกห้องหนึ่งที่เว้นว่างเอาไว้“เจ้าค่ะท่านพี่แล้วเหยาเหยาเล่าเจ้าคะ”“เหยาเหยาปลอดภัยดี ตอนนี้พี่ให้นางนอนพักอีกห้องหนึ่งแล้ว”“ขอบคุณเจ้าค่ะ”ผู้คนที่นี่ที่นางพอจะรู้สึกเป็นห่วงก็มีเพียงเหยาเหยาคนเดียวเท่านั้น เหยาเหยาไม่ใช่เพียงสาวใช้ข้างกาย แต่นางรู้สึกรักและเอ็นดูเหยาเหยาเปรียบเสมือนน้องสาวคนหนึ่งเลย“ขออภัยขอรับ เราพบคุณหนูรองลู่ที่ห้องด้านข้างขอรับ”องครักษ์ของเหวินมู่หยางเอ่ยรายงานเสียงเข้มที่หน้าห้อง ในตอนที่พวกเขากำลังจัดการคนทั้งหมดนั